“อาร์เอส” จับมือ “เวิร์คพอยท์” ต่อยอดธุรกิจ MPC ดันรายได้ทะลุ 1 พันล้านบาท

alivesonline.com : “อาร์เอส” ทรานฟอร์มธุรกิจสื่อสู่ธุรกิจพาณิชย์หลายช่องทาง Multi-platform Commerce จับมือช่อง “เวิร์คพอยท์” ต่อยอดธุรกิจ หวังใช้ศักยภาพและจุดแข็งของแต่ละฝ่ายให้เกิดประโยชน์แบบสูงสุด คาดดันยอดโตพุ่งแรง 500 ล้านบาทในปี 63 ก่อนเพิ่มเป็น 1 พันล้านบาทในปี 64

นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่านับตั้งแต่ “อาร์เอส” ทรานฟอร์มธุรกิจสื่อสู่ธุรกิจพาณิชย์อย่างสมบูรณ์แบบ ถือเป็นการเริ่มต้นธุรกิจยุคใหม่ ภายใต้ Business Model ใหม่ ด้วยธุรกิจพาณิชย์หลายช่องทาง Multi-Platform Commerce (MPC) สร้างธุรกิจในลักษณะ D to C (Direct to Customer) เป็นการสร้างโอกาสจากการบริหารธุรกิจดั้งเดิมอย่างมิวสิคสู่ธุรกิจสื่อที่แข็งแรงและมีความชำนาญ สามารถต่อยอดแพลตฟอร์มหน้าจอ ช่อง 8 เป็นแพลตฟอร์มที่สามารถสร้างรายได้และผลกำไรของบริษัทฯ ให้เติบโต พร้อมเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ Horizontal Integration ขยายธุรกิจในแนวราบ ขับเคลื่อนธุรกิจกลุ่มอาร์เอส จนประสบความสำเร็จ เติบโตมั่นคง ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจ และตลาดทีวีดิจิทัลโดยรวมที่ประสบปัญหาจากการแข่งขันที่รุนแรง รวมถึงความท้าทายจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ

สำหรับปี 2562 ถือเป็นปีสำคัญของกลุ่มอาร์เอส ในการสร้างมิติใหม่วงการธุรกิจสื่อ ด้วยการเปิด Synergy กับพาร์ทเนอร์ ผู้นำอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งหลายกลุ่ม ล่าสุดจับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจใหม่กับผู้นำทีวีดิจิทัลอย่าง ช่องเวิร์คพอยท์ ของนายปัญญา นิรันดร์กุล เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ และต่อยอดธุรกิจแบบ Win-Win ทั้งคู่

“การทำธุรกิจยุคใหม่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาแนวทาง หรือแนวคิดใหม่ ๆ มาเพิ่มศักยภาพและสร้างโอกาสให้กับองค์กรธุรกิจของตนเอง อาร์เอส ให้ความสำคัญในการร่วมงานกับพันธมิตรทางธุรกิจ หรือพาร์ทเนอร์ที่แข็งแรงและพร้อมที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จร่วมกัน ความร่วมมือกับ ช่องเวิร์คพอยท์ ในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มช่องทางการขายสินค้า เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเพิ่มฐานข้อมูล Big Data ลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ให้ธุรกิจ MPC ของอาร์เอส ที่มีอยู่ประมาณ 2 ล้านคน โดยจากการประเมินรายได้จากการร่วมธุรกิจกับช่องเวิร์คพอยท์ ในปี 2563 คาดว่าจะสามารถทำได้ประมาณ 500 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 1 พันล้านบาท ภายในปี 2564” นายสุรชัย กล่าวเสริม

นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ กลุ่มธุรกิจสินค้าและแพลตฟอร์ม บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจับมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ ช่องเวิร์คพอยท์ ในครั้งนี้ เป็นการเดินเกมรุกขยายธุรกิจแนวราบ โดยเตรียมเปิดช่องทางขายสินค้าใหม่ ภายใต้ชื่อ Wellness Shop จำหน่ายสินค้าของ “ไลฟ์สตาร์” ซึ่งเป็นสินค้าในเครืออาร์เอส รวมถึงสินค้าของพาร์ทเนอร์ซึ่งจะช่วยต่อยอดทางธุรกิจได้มากขึ้น ทั้งยังเป็นการเพิ่มศักยภาพการเข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ ๆ ของช่องเวิร์คพอยท์ และสร้างฐานข้อมูล (Database) ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ผลักดันรายได้ของกลุ่มอาร์เอส ให้เติบโตสู่เป้าหมาย 1 หมื่นล้านบาท ในปี 2565 ซึ่งการจับมือในครั้งนี้ เป็นการเสริมศักยภาพ (Synergy) ทางธุรกิจ ผสานจุดแข็งของสองบริษัทที่เป็นผู้นำของอุตสาหกรรม เชื่อมโยงฐานข้อมูลลูกค้า พร้อมตอกย้ำความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการเข้าถึงสินค้าและบริการที่มีคุณภาพต่าง ๆ อย่างทั่วถึงและตอบโจทย์ความพึงพอใจให้ลูกค้าได้อย่างตรงใจ”

ด้าน นายชลากรณ์ ปัญญาโฉม กรรมการผู้จัดการ สายงานดิจิทัลทีวี สถานีโทรทัศน์เวิร์คพอยท์ บริษัท ไทย บรอดคาสติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับช่องเวิร์คพอยท์ หมายเลข 23 เป็นช่องทีวีดิจิทัลที่เติบโตต่อเนื่อง เชี่ยวชาญในด้านความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ทั้งการผลิตรายการโทรทัศน์, การผลิตภาพยนตร์, การจัดแสดงคอนเสิร์ตและโชว์บิซ, การผลิตและตัดต่อภาพเคลื่อนไห ด้วยระบบคอมพิวเตอร์, การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์, การรับจ้างจัดกิจกรรมทางการตลาด และสตูดิโอบันทึกเสียงที่ผ่านมาได้พัฒนาคอนเทนต์หลากหลายรูปแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทั้งวาไรตี้ เกม รวมทั้งการพัฒนาระบบช้อปปิ้งออนไลน์ จนมีฐานลูกค้ากว่า 5 แสนคน

“การร่วมมือกับ อาร์เอส ครั้งนี้ จะช่วยขยายฐานธุรกิจ และสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้กับ 2 บริษัทในอนาคต วันนี้เรามีฐานผู้ชมค่อนข้างกว้าง ด้วยรายการวาไรตี้และบันเทิงที่ดูสนุกและมีสาระ ทำให้เข้าถึงคนจำนวนมากทั่วประเทศ ขณะที่ อาร์เอส มีความแข็งแกร่งในธุรกิจพาณิชย์หลายช่องทาง Multi-Platform Commerces หรือ MPC โดยจะเริ่มออกอากาศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ในหลายช่วงเวลาตลอดทั้งวัน โดยจำหน่ายสินค้าผ่านทางช่องทางเทเลเซล และ Line @rsmall เชื่อว่าการร่วมมือกันครั้งนี้จะช่วยสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้าได้สูงสุดจากสินค้าและบริการของทั้งสองบริษัท” นายชลากรณ์ กล่าวในตอนท้าย

เลือกเครื่องประดับอย่างไร ? .“ให้ถูกใจ…ได้ของแท้”

 

alivesonline.com : จะซื้อเครื่องประดับพลอยสักชิ้น…อยากได้ของสวยและแท้ ต้องเลือกอย่างไร?

ง่ายๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ ต้องดูดีไซน์เครื่องประดับว่าเหมาะกับบุคลิกของเราหรือไม่ ? เพราะจะทำให้สวมใส่อย่างมั่นใจและควรเลือกดีไซน์ที่สามารถนำไปใช้ได้หลายโอกาส หรือใส่เล่นวันทำงานก็เก๋ ๆ

เมื่อได้แบบที่ถูกใจแล้วก็มาดูรายละเอียดของ “พลอย” ควรเลือกที่มีสีสม่ำเสมอทั่วทั้งเม็ด หากมีตำหนิภายในก็อย่าเพิ่งกังวล เพราะพลอยธรรมชาติมักมีตำหนิทั้งนั้น แต่ก็ให้เลือกที่ตำหนิไม่มากเกินไป ส่วนสีของตำหนิไม่ควรแตกต่าง หรือโดดจากสีพลอยจนเห็นได้ชัดเจน เช่น พลอยสีแดงก็ไม่ควรมองเห็นตำหนิสีขาวชัดเจน จากนั้นก็ดูรูปร่างพลอยที่ได้สัดส่วน รูปทรงไม่เบี้ยว การเจียระไนประณีตทำให้พลอยเปล่งประกายสวยงาม

ถ้าอยากมั่นใจยิ่งขึ้นว่า ซื้อ “ของแท้” มีคุณภาพ ก็ให้มองหาสัญลักษณ์ในโครงการซื้อด้วยความมั่นใจ (Buy With Confidence) หรือ BWC ของสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับ หรือ GIT ซึ่งรับรองคุณภาพมาตรฐานของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ และผู้ซื้อสินค้าสามารถสแกน QR Code จาก BWC Tag ที่ติดสินค้าเพื่อดูรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องประดับที่สนใจ และขอดูเอกสารรับรองที่ร้านค้าได้รับจากสถาบัน GIT ได้ ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นว่าได้อัญมณีและเครื่องประดับที่มีคุณภาพและเป็นของแท้แน่นอน

ถ้าใครอยากมีตัวเลือกเยอะ ๆ แนะนำให้ไป “จันทบุรี” เที่ยวเทศกาลนานาชาติ “พลอยและเครื่องประดับจันทบุรี 2019” ระหว่างวันที่ 4-8 ธันวาคม 2562 ณ บริเวณศูนย์ส่งเสริมอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรี, เคพี จิวเวลลี่เซ็นเตอร์, ตลาดพลอย ถนนศรีจันทร์และ OTOP Lifestyle ที่มีผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาตินำสินค้าโชว์และจำหน่ายมากถึง 500 คูหา รับรองว่าได้เลือกอัญมณีและเครื่องประดับสุดสวย หลากดีไซน์ คุณภาพดี กันอย่างจุใจในราคาผู้ผลิตอย่างแน่นอน

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.changemsfest.com หรือ โทร.0 2634 4999 ต่อ 636

CDG -มจธ.พระนครเหนือ ผุดโครงการปั้นบุคลากรรองรับความต้องการยุคดิจิทัล

alivesonline.com : กลุ่มบริษัทซีดีจี จับมือคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม ภาควิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ คลอดโครงการ Public Training หลักสูตรการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา รับตลาดแรงงานอนาคต มุ่งถ่ายทอดการเรียนการสอนด้านโค้ดดิ้งผ่าน 4 กิจกรรม ตั้งเป้าสร้างบุคลากรด้านโค้ดดิ้งเพิ่มกว่า 1 พันคน ภายในปี 2563

นายนาถ ลิ่วเจริญ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ซีดีจี ให้บริการด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจรแก่องค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน ภายใต้โครงการ “Code Their Dreams” เปิดเผยว่า เทรนด์โลกในปัจจุบันที่ต้องจับตามองที่จะส่งผลต่อตลาดแรงงานในอนาคตทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ มาจากเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงปัญญาประดิษฐ์ (AI) การใช้ Big Data และ Cloud ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยจากรายงานของ World Economic Forum (WEF) คาดว่าภายในปี 2565 สัดส่วนการทำงานร่วมกันของมนุษย์และเครื่องจักรหรือระบบอัลกอริทึมจะอยู่ที่มนุษย์ 58% เครื่องจักร 42% ชี้ให้เห็นว่า โลกการทำงานต้องการคนทำงานที่มีทักษะชุดใหม่โดยเฉพาะทักษะที่เกี่ยวข้องกับการสร้างนวัตกรรมและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี โดยทักษะด้านการโค้ดดิ้งจัดเป็น 1 ใน 10 ที่ต้องการสูงสุดระดับประเทศและระดับโลก

จากเทรนด์ดังกล่าว ชี้ชัดให้เห็นถึงความสำคัญของทักษะการทำงานในอนาคตของตลาดแรงงานที่มีความต้องการจากตลาดสูงสุด กลุ่มบริษัทซีดีจีจึงได้ประกาศความร่วมมือกับ คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม ภาควิชาคอมพิวเตอร์ศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จัดทำโครงการ “Public Training” หลักสูตรการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษา รับตลาดแรงงานอนาคตทักษะโค้ดดิ้ง โดยจะถ่ายทอดการเรียนการสอนด้านโค้ดดิ้ง ให้กับนักเรียน นักศึกษา และครู อาจารย์ เน้นการพัฒนาการเรียนรู้ด้านภาษาคอมพิวเตอร์และเตรียมความพร้อมเชิงดิจิทัล เพื่อนำไปใช้ในการเรียนสอน และปูความพร้อมแก่นักศึกษาสามารถนำไปใช้ในการทำงานได้จริง

โครงการ “Public Training” ได้นำร่องด้วยโครงการ In-House Public Training ผ่าน 4 กิจกรรมมุ่งไปที่ผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 และครู อาจารย์ โดยมีกิจกรรมเป็นการอบรมคอร์สเรียนต่าง ๆ อาทิ Scratch Program Training โดยเป็นการสอนความรู้เบื้องต้นโปรแกรม Scratch เพื่อต่อยอดในการทำแผนการเรียนการสอนของครู อาจารย์ หรือการสร้างสรรค์เกมของนักเรียน, Mbot Learn & Run – Mun & Fin เพื่อเรียนรู้ประโยชน์จากการหุ่นยนต์ mbot, Sticker ®Line ให้ทุกคนสามารถทำสติกเกอร์ไลน์ด้วยตัวเองได้, Thunkable สร้างแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนแบบง่าย ๆ, IoT Smart Building ควบคุมการทำงานของสิ่งรอบตัวด้วยระบบออนไลน์ โดยกิจกรรมทั้งหมดเปิดลงทะเบียนสมัครแล้ว ผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดกิจกรรมและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ www.codetheirdreams.com

นายนาถ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การปูพื้นฐานด้านโค้ดดิ้งที่นับเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยมุ่งหน้าสู่การเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม พัฒนาการศึกษา และความพร้อมทางด้านเทคโนโลยี ด้วยมองว่า ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แอปพลิเคชัน และโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ที่ใช้กันอยู่ล้วนได้รับการสร้างสรรค์จากโค้ดดิ้งทั้งสิ้น โดยได้เริ่มการเรียนการสอนแล้ว ตั้งเป้าสร้างบุคลากรด้านโค้ดดิ้งเพิ่มกว่า 1 พันคน ภายในปี 2563

“กลุ่มบริษัทซีดีจี หวังจุดประกายเยาวชนไทย ครู ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไป ให้ตระหนักและเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวสู่ยุคดิจิทัล สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนเห็นความสำคัญและสนใจหาความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือการโค้ดดิ้ง รวมถึงกระตุ้นให้ครู ผู้ปกครอง และผู้ที่ใกล้ชิดกับเด็ก ช่วยกันส่งเสริมให้เยาวชนได้พัฒนาทักษะในด้านนี้ มุ่งรณรงค์ให้เยาวชนเกิดทักษะด้านการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ด้วยความช่วยเหลือจากครูและผู้ปกครอง ซึ่งกลุ่มบริษัทซีดีจียินดีเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมขับเคลื่อน พัฒนาเยาวชนไทย เพื่อรับต่อเทรนด์ความต้องการของตลาดเรงงาน เพื่อการอยู่รอดและความสำเร็จในโลกแห่งดิจิทัล” นายนาถ กล่าวในตอนท้าย

“เฮเฟเล่” ยกทัพสินค้านวัตกรรม Living Transform บุกงาน “บ้านและสวนแฟร์ 2019”

ยังคงแนวคิด “เฮเฟเล่ อุปกรณ์ครบ จบทุกเรื่องงานอาคาร” ไว้เช่นเคย สำหรับ เฮเฟเล่ ผู้นำด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ครัว เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว อุปกรณ์แสงสว่าง ไฟแอลอีดี อุปกรณืล็อคอิเล็คทรอนิกส์ พร้อมทั้งสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ในห้องน้ำ คุณภาพมาตรฐานเยอรมนีที่ยกขบวนสินค้านวัตกรรมไอเดียล้น บุกงานแฟร์ส่งท้ายปี เอาใจคนรักบ้าน ในงาน “บ้านและสวนแฟร์ 2019” ระหว่างวันที่ 18-27 ตุลาคม 2562 ในธีม “Living Transform with Häfele” พรีเซนต์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวันในประสบการณ์ใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม พร้อมจัดแสดงไฮไลท์สินค้าเทรนด์ Transform แห่งอนาคต ลดกระหน่ำจัดเต็มราคาพิเศษ พลาดไม่ได้กับนวัตกรรมสร้างสรรค์ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชัน พร้อมราคาพิเศษภายในงาน อาทิ อุปกรณ์แสงสว่างไฟแอลอีดี, อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ที่ช่วยเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บอุปกรณ์จัดเก็บเสื้อผ้าที่ช่วยการจัดระเบียบให้กับพื้นที่ที่จำกัด, อุปกรณ์ล็อคอิเล็กทรอนิกส์, ประตูบานเลื่อน, Smart Toilet ผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงผู้ใช้ทุกเพศทุกวัย เพียงแค่แจะปุ่ม O-Touch ก็สามารถควบคุมการ เปิด/ปิด ของฝารองนั่งและการชำระล้างอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องก้ม หรือเอื้อมมือลงไปจัดการ แม้แต่เด็กเล็กก็สามารถใช้งานได้โดยลำพัง, ถังขยะแบบต่าง ๆ, อุปกรณ์ครัว ตระแกรง ชั้นวางในตู้ครัวสูงและเตี้ย และอื่น ๆ อีกมากมาย

ร่วมสัมผัสพร้อมกันที่ บูธ “เฮเฟเล่” ในงาน “บ้านและสวนแฟร์ 2019” บูทหมายเลข L79-85

เปิดตัว “สิมิลัน บอลรูม” ศูนย์การประชุมไมซ์แห่งใหม่ในภูเก็ต

alivesonline.com : “เอาท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต บีช รีสอร์ท” รีสอร์ทหรูริมชายหาดที่ได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมาย รวมทั้ง รางวัล “ตราสัญลักษณ์มาตรฐานสถานที่จัดงานประเทศไทย” (Thailand MICE Venue Standards : TMVS) ในปี 2561 โดยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” (TCEB) เป็นสิ่งยืนยันว่าห้องประชุมสัมมนาและจัดเลี้ยงที่ “เอาท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก้ตบีช รีสอร์ท” เป็นศูนย์การประชุมที่มีความเหมาะสมตามมาตรฐานการจัดงานในระดับสากล และด้วยศักยภาพนี้ประกอบกับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า จึงได้ประกาศเปิดตัว “สิมิลัน บอลรูม” ศูนย์บริการประชุมไมซ์ครบวงจรแห่งใหม่ในเดือนมกราคม 2563

ห่างจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียง 25 นาที “สิมิลัน บอลรูม” ถูกสร้างใหม่ในพื้นที่บริเวณรีสอร์ท ถูกออกแบบให้มีทางเข้าออกแบบเป็นส่วนตัว เพื่อความยืดหยุ่นและรองรับกิจกรรมงานประชุมสัมมนา งานเลี้ยงสังสรรค์ หลากหลายรูปแบบ ทั้งจากภาครัฐและเอกชนในจังหวัดภูเก็ตและจากทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมไปถึงการจัดงานแต่งงาน

“สิมิลัน บอลรูม” ใหม่ครบครันสมบูรณ์แบบด้วยอุปกรณ์เทคนิคด้านภาพ แสง สี เสียงและ Wi-Fi ความเร็วสูง มีพื้นที่ขนาด 640 ตารางเมตร ประกอบด้วยห้องบอลรูมหลัก โดดเด่นด้วยเพดานสูง 6 เมตรขนาด 448 ตารางเมตร สามารถแบ่งออกได้เป็นอีก 3 ห้องประชุม รองรับผู้ร่วมงานได้ถึง 350 คน พื้นที่บริเวณห้องโถงต้อนรับด้านหน้าห้องประชุมกว้างขวาง รวมถึงพื้นที่อเนกประสงค์ วีไอพีเลานจ์ ส่วนชั้นสองของศูนย์ประชุมจะมีอีก 3 ห้อง ซึ่งสามารถใช้เป็นห้องประชุม สำหรับช่วงเวลาพักเบรก หรือใช้เป็นห้องทำกิจกรรมได้ นอกจากนี้บริเวณล็อบบี้ของรีสอร์ทยังมีห้องประชุม 3 ห้องพื้นที่รวม 320 ตารางเมตร

นายโทนี่ เพ็ดรอนนี่ ผู้จัดการทั่วไป “เอาท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต บีช รีสอร์ท” กล่าวว่า “สิมิลัน บอลรูม” ใหม่นี้จะเป็นพื้นที่จัดงานประชุมธุรกิจไมซ์แบบครบวงจรอย่างมีความรับผิดชอบ พรั่งพร้อมด้วยบริการเสริมที่หลากหลาย เช่น ชอปปิง ความบันเทิง ร้านอาหาร หรือทางเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบกีฬาและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ เพื่อประสบการณ์ของแขกผู้มาเยือนภูเก็ต

“เอาท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต บีช รีสอร์ท” ใส่ใจและให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก รณรงค์ต่อต้านการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง  จัดกิจกรรม “สีเขียว” เช่น งดใช้ถุงพลาสติกในการบรรจุอาหารและหลอดพลาสติก การใช้แต่ภาชนะที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ กิจกรรมรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมเหล่านี้คือสิ่งที่ “เอาท์ริกเกอร์ ลากูน่า ภูเก็ต บีช รีสอร์ท” ตั้งมั่นเพื่อการเป็นศูนย์การจัดงานไมซ์อย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน นอกจากนี้ยังมีโครงการ “เอาท์ริกเกอร์ ปันเพื่อเปลี่ยน” โครงการความรับผิดชอบต่อสังคมสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน ให้การสนับสนุนด้านการศึกษาแก่เด็กนักเรียนโรงเรียนบ้านโคกวัดใหม่ในจังหวัดภูเก็ตต่อเนื่องมากว่า 4 ปี ซึ่งผู้จัดงานประชุมฯสามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมสนับสนุนโครงการฯได้

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองห้องพักได้ที่ (+66) 76 360 600 หรือ อีเมล : sm.phuketbeach@outrigger.co.th

“กรุงศรี คอนซูมเมอร์” คว้าสามรางวัลใหญ่จากเวทีระดับภูมิภาค

นายอธิศ รุจิรวัฒน์ (ขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด และ ดร.ลิสา พัทธ์วิวัฒน์ศิริ (ซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายปฏิรูปธุรกิจ กรุงศรี คอนซูมเมอร์  เป็นตัวแทน “กรุงศรี คอนซูมเมอร์” ผู้นำในธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล รับ 3 รางวัลใหญ่ จากเวที “Global Retail Banking Innovation Awards 2019” ซึ่งจัดขึ้นโดย The Digital Banker ที่ประเทศสิงคโปร์ จากความสำเร็จของบัตรเครดิต “เซ็นทรัล เดอะวัน” ที่คว้ารางวัลชนะเลิศ ประเภทบัตรเครดิตดีเด่นแห่งปี ต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 2 (Credit Card of the Year – Winner) และความสำเร็จของโครงการ Robotic Process Automation (RPA) ซึ่ง “กรุงศรี คอนซูมเมอร์” นำมาใช้บริหารกระบวนการทำงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทั้งองค์กร จนได้รับรางวัลโครงการนวัตกรรมยอดเยี่ยม (Excellence in Digital Innovation – Highly Acclaimed) และ รางวัลบริการให้คำปรึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยใช้ระบบอัตโนมัติยอดเยี่ยม (Best Automated Advisory Service – Highly Acclaimed) ตอกย้ำความเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมของ “กรุงศรี คอนซูมเมอร์” ซึ่งมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้า

ALL เปิดบ้านดีไซน์ใหม่ ชูนวัตกรรมบ้านอัจฉริยะ

alivesonline.com : “ออลล์ อินสไปร์ฯ” เปิดโครงการทาวน์โฮม “The Vision ลาดพร้าว – นวมินทร์” เฟสใหม่ หลังเฟสแรกกวาดยอดจองกว่า 100 หลังในวันเดียว เชื่อการนำอินไซต์ลูกบ้านมาพัฒนาโครงการ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง พัฒนาดีไซน์ใหม่ Vision Smart เพิ่มความคุ้มค่าและความสะดวกสบายเอาใจการใช้ชีวิตของคนเมือง ด้วยการออกแบบครบทุกฟังก์ชั่นรองรับความต้องการของสมาชิกในบ้านที่มีหลากหลายเจนเนอเรชั่น การใช้นวัตกรรม Home Automation ที่นำเทคโนโลยีมาเพิ่มความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยและความอบอุ่นใจในระบบรักษาความปลอดภัย

นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL กล่าวว่า หลังจากโครงการ “The Vision ลาดพร้าว – นวมินทร์” เฟสแรกประสบความสำเร็จกวาดยอดจองไปกว่า 100 หลังภายในวันเดียว ตอบรับกระแสดีมานด์ผู้อยู่อาศัยที่ต้องการทาวน์โฮมไซส์ XL ฟังก์ชั่นครบ คุ้มราคาในย่านทำเลทองลาดพร้าว – นวมินทร์ จึงได้เปิดเฟสใหม่ จำนวน 109 ยูนิต โดยคงไว้ซึ่งคอนเซ็ปต์หลักเพื่อตอบโจทย์ลูกบ้าน ภายใต้แนวคิด “ชีวิตดีเริ่มต้นที่บ้าน The Vision  XL สเปซ  XL ความสุข” ด้วยพื้นที่ใช้สอย 138 ตร.ม. ขนาดหน้ากว้าง 5 เมตร จอดรถในบ้านได้ถึง 2 คัน ความสูง 2 ชั้น ดีไซน์ใหม่ ในราคาเริ่มต้นที่ 2.59 ล้านบาท

ขณะเดียวกัน โครงการได้พัฒนาบ้านดีไซน์ใหม่ Vision Smart เพิ่มความคุ้มค่าในการใช้ชีวิตคนเมืองที่มีความโดดเด่นใน 4 ด้าน ได้แก่ 1) Smart Function ขยายขีดจำกัดของการอยู่อาศัยทาวน์โฮม ด้วย 3 ห้องนอนขนาดใหญ่ทุกห้อง พื้นที่ภายในบ้านมีความโล่ง โปร่ง ฝ้าสูง 2.7 เมตร พื้นที่หลังบ้านลงเสาเข็มให้สามารถรองรับการขยายพื้นที่ในอนาคต 2) Smart Design ออกแบบเพื่อรองรับความต้องการของสมาชิกในบ้านในหลายเจนเนอเรชั่น เช่น ห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องสำหรับผู้สูงอายุที่ชั้น 1 และห้องน้ำที่มี Shower รองรับการใช้ชีวิตในทุกรูปแบบของสมาชิกในบ้านได้อาศัยอยู่ชั้นล่างของบ้านได้อย่างสะดวกสบาย 3) Smart Home เน้นความสะดวกสบายโดยใช้นวัตกรรมบ้านอัจฉริยะ Home Automation ได้แก่ การควบคุมสวิทช์ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านทางสมาร์ทโฟน การควบคุมเครื่องปรับอากาศผ่านแอปพลิเคชัน ฯลฯ 4) Smart Security เพื่อความปลอดภัยและอุ่นใจของสมาชิกภายในบ้าน ได้แก่ กล้องอัจฉริยะด้วยมุมมอง 360 องศา ระบบตรวจจับการโจรกรรมประตูทางเข้าเพื่อแจ้งเตือนมายังโทรศัพท์มือถือ ระบบไฟส่องสว่างยามวิกาลเมื่อไม่อยู่บ้าน ระบบเปิดปิดอัตโนมัติเมื่อเดินผ่าน (Motion Sensor) เป็นต้น

โครงการ “The Vision ลาดพร้าว – นวมินทร์” ตั้งอยู่ในซอยนวมินทร์ 85 บนพื้นที่โครงการ 33 – 0 – 08 ไร่ จำนวน 308 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1.4 พันล้านบาท ครบทุกฟังก์ชั่น เหมาะทั้งที่จะซื้อเป็นบ้านหลังแรกและเหมาะกับผู้ที่ต้องการขยับขยายครอบครัวให้ใหญ่ขึ้น พร้อมการพักผ่อนหย่อนใจภายในโครงการด้วยคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ขนาด Half – Olympic พร้อมสระเด็กและระบบบับเบิ้ลเจ็ท ห้องฟิตเนสแบบ Commercial มาตรฐานโรงยิม ห้อง Kids Room สนามเด็กเล่นที่มาพร้อมพื้นซับแรงกระแทกเพื่อความปลอดภัย สวนสาธารณะขนาดใหญ่เกือบ 1 ไร่ ถนนภายในโครงการกว้างถึง 12 เมตร ทางเข้า – ออกโครงการ 4 เลน แยกช่องทางลูกบ้านและผู้มาติดต่อด้วยระบบอัตโนมัติ RFID

 

นอกจากนี้ ที่ตั้งโครงการยังใกล้ทางด่วน รามอินทรา – อาจณรงค์และวงแหวนกาญจนาภิเษก ใกล้ศูนย์การค้าและแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์, คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์, คริสตัล พาร์ค, เดอะ วอล์ค เกษตรนวมินทร์, เดอะมอลล์ บางกะปิ, แฟชั่น ไอส์แลนด์ อีกทั้งยังใกล้สถานศึกษาและโรงพยาบาลชั้นนำ เช่น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA), โรงเรียนเลิศหล้า, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, โรงเรียนสตรีวิทยา 2, โรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล นวมินทร์, โรงพยาบาลรามคำแหง และโรงพยาบาลเวชธานี ทั้งนี้ ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล แคราย – ลำสาลี ผ่านถนนนวมินทร์ 85 โดยคาดว่าจะเป็นสถานีโพธิ์แก้วและสถานีอินทรารักษ์

นายธนากร กล่าวในตอนท้ายว่า ขณะนี้ โครงการ “The Vision ลาดพร้าว – นวมินทร์” เฟสใหม่ เปิดให้ผู้สนใจลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์ส่วนลด 1 แสนบาท คลิกที่ www.allinspire.co.th หรือสอบถามโทร.0 2029 9999 โดยมีกำหนดเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการวันที่ 23 พฤศจิกายน 2562 คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2563 ซึ่ง ALL เชื่อมั่นว่าโครงการ “The Vision ลาดพร้าว – นวมินทร์” เฟสใหม่จะได้รับกระแสตอบรับจากเรียลดีมานด์อย่างดีเช่นเฟสแรก เพราะ ALL นำอินไซต์ของลูกบ้านมาพัฒนาโครงการ บริการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบแท้จริง พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่าบริษัทฯ จะสามารถบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่ตั้งเป้าไว้ได้อย่างแน่นอน

 

โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ 1 รับมาตรฐานเทคโนโลยีสารสนเทศโรงพยาบาลขั้นสูงสุด

ดร.สาธิต วิทยากร (ที่ 2 จากขวา) ประธานคณะกรรมการ บริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัด พร้อมด้วย นพ.บุญชนะ เพชรพลอยงาม (ที่ 3 จากซ้าย) รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ โรงพยาบาลในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ ได้รับการรับรองมาตรฐานเทคโนโลยีสารสนเทศโรงพยาบาล ขั้นที่ 7 (HIMSS Analytic Stage 7) ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดของมาตรฐาน EMRAM (Electronic Medical Record Adoption Model) ที่แสดงว่าโรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ 1 มีความเป็นเลิศในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่นำเข้ามาใช้ในระบบสุขภาพภายในโรงพยาบาล นับเป็นโรงพยาบาลแรกและโรงพยาบาลเดียวในประเทศไทยที่ได้รับมาตรฐานนี้ โดยเข้ารับเกียรติบัตรรับรองจาก นายฮาโรลด์ วูลฟ์ (ที่ 3 จากขวา) ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร องค์กรเฮลท์แคร์ อินฟอร์เมชั่น แอนด์ เมเนจเมนท์ ซิสเต็มส์ โซไซตี หรือ HIMSS เมื่อเร็ว ๆ นี้

เสนอ ครม.เศรษฐกิจ ใช้ 16 กิจกรรมท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี 62

alivesonline.com : “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” ดัน 16 กิจกรรมท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมช่วงปลายปี 62 ครอบคลุม 3 มาตรการหลัก ทั้งด้านการเงิน การคลังและกฎหมาย อำนวยความสะดวกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนกระตุ้นตลาดและเพิ่มค่าใช้จ่าย เร่งดำเนินการภายใน 3 เดือน – 1 ปี

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 4/2562 ณ ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ช่วงเวลาที่ผ่านมา แม้ว่าการผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ “ชิมช้อปใช้” ที่เปิดตัวกันมาระยะหนึ่งจะได้รับกระแสตอบรับจากประชาชนคนไทยเป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุงแก้ไขตามที่หลาย ๆ ฝ่ายมองว่ายังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย กระทรวงฯ จึงได้มีการเสนอ 16 กิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว เพื่อเป็นแนวทางกระตุ้นและจูงใจให้เกิดการท่องเที่ยวและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยจัดเป็นมาตรการระยะสั้นจำนวน 11 กิจกรรม และมาตรการระยะกลางและระยะยาว จำนวน 5 กิจกรรม โดย มาตรการหลัก แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ 1 มาตรการด้านการเงิน การคลังและกฎหมาย 2.มาตรการอำนวยความสะดวกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และ 3.มาตรการกระตุ้นตลาดและเพิ่มค่าใช้จ่าย

ทั้งนี้ มาตรการระยะสั้น มีทั้งหมด 11 กิจกรรม ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3–6 เดือน ได้แก่ 1.การคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund) ให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.การทบทวนกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศของกลุ่มคนต่างชาติแรงงานฝีมือ (Expatriate) 3.การหักรายจ่าย 2 เท่าของบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับการอบรมสัมมนาภายในประเทศ 4.การอำนวยความสะดวกด้านการตรวจลงตรา (วีซ่า) แก่นักท่องเที่ยว 5.การขยายเวลาเปิดด่านชายแดน เป็น 24 ชั่วโมง ช่วงสุดสัปดาห์ หรือวันหยุดเทศกาล 6.เร่งรัดการใช้ระบบ e-Visa ให้ครอบคลุมกับนักท่องเที่ยวจีนทั่วประเทศ 7.ขอความร่วมมือเร่งประชาสัมพันธ์การใช้ระบบ e-VoA ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูล 8.ทบทวนข้อกฎหมายให้สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นิยมถือบัตรเครดิต/ใช้กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) แทนเงินสด 9.โครงการ Amazing Thailand Grand Sale “Passport Privileges” 10.โครงการประชุมเมืองไทยภูมิใจช่วยชาติ กระตุ้นบริษัท (Corporate) โดยให้ Voucher 20,000 บาทต่องาน/กลุ่ม และ 11.ส่งเสริมการจัดประชุมภาครัฐ (Government Meeting)

ส่วนมาตรการระยะกลางและระยะยาว มี 5 กิจกรรม ซึ่งจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน – 1 ปี ได้แก่ 1.การขึ้นทะเบียนสถานพักแรมและให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการ เพื่อนำไปปรับปรุงสถานประกอบการและการบริการให้ได้มาตรฐาน 2.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในด้านความปลอดภัยและลดความสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บของนักท่องเที่ยว 3.เพิ่มจำนวนแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม 4.การจัดมหกรรมระดับโลก หรือกิจกรรมขนาดใหญ่ เช่น World Event, Ultra Trail Thailand, การจัดคอนเสิร์ต Tomorrow Land, มหกรรมด้านความงามและสุขภาพ อาทิ World Cannabis Expo 5.การประชุมองค์กรจากต่างประเทศมาจัดในประเทศไทย

“ทุกมาตรการที่เสนอข้างต้นจะมีขอบข่ายพันธกิจที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับกระทรวงและหน่วยงานอื่น ๆ ตลอดถึงผู้ประกอบการภาคธุรกิจเอกชนอีกมากมาย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จึงจำเป็นต้องประสานงานขอความร่วมมือทำงานกันแบบบูรณาการกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยจะได้สื่อสารทำความเข้าใจในรายละเอียดและแลกเปลี่ยนแนวคิดระหว่างกันต่อไป เพราะถึงเวลาแล้วที่เราต้องมาสร้างความรับผิดชอบร่วมกันทั้งภาครัฐภาคเอกชน ผมเชื่อมั่นว่าหากทุกมาตรการสามารถบริหารจัดการให้เป็นไปตามที่เราได้วางแผนไว้จะสามารถกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย กระจายรายได้ไปยังชุมชนท้องถิ่น เป็นการสร้างโอกาสสร้างรายได้ เกิดประโยชน์แก่พี่น้องประชาชนได้อย่างมหาศาล โดย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จะไม่ใช่องค์กรที่สร้างรายได้เพียงอย่างเดียว แต่เราจะร่วมพัฒนาคนและพัฒนาประเทศไทยไปพร้อม ๆ กันด้วย” นายพิพัฒน์ กล่าวในตอนท้าย

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” กวาดยอดขายสะสม 9 เดือน 2.3 หมื่นล้านบาท

alivesonline.com : “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” โกยยอดขายไตรมาส 3 รวม 10,188 ล้านบาท หลังยอดขายโครงการแบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” 4 โครงการแรกฉลุย ปิดการขายรัว ๆ 3 โครงการ “พาร์ค ออริจิ้น จุฬา-สามย่าน” และ “พาร์ค ออริจิ้น ราชเทวี” ตีคู่กวาดยอดพรีเซลเฉียด 80% ล่าสุด “เคนซิงตัน ระยอง” มาแรงกวาดยอด 90% ส่งท้ายไตรมาส หนุนยอดขายสะสม 9 เดือน 23,148 ล้าน คิดเป็น  83% ของเป้ายอดขายทั้งปี ต่อยอด Q4 ด้วยโครงการบ้านจัดสรร “บริทาเนีย” และ “ออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง” มั่นใจหนุนยอดขายทั้งปีทะลุเป้า 28,000 ล้านบาท

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายในช่วงไตรมาส 3/2562 ได้กว่า 10,188 ล้านบาท เนื่องจากโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” (The Origin) ที่เปิดตัวอย่างต่อเนื่องจำนวน 4 โครงการ ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 2 ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมเหนือความคาดหมาย โดยมีถึง 3 โครงการที่สามารถปิดการขายได้แล้ว 100% (Sold Out) ได้แก่ 1.ดิ ออริจิ้น รามคำแหง 209 อินเตอร์เชนจ์ 2.ดิ ออริจิ้น รัชดา-ลาดพร้าว 3.ดิ ออริจิ้น ลาดพร้าว 15

ขณะเดียวกัน “ดิ ออริจิ้น สุขุมวิท 105” ที่เพิ่งเปิดพรีเซลล์เมื่อกลางเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับที่ดี ส่งผลให้ภาพรวมอัตรายอดขาย หรือ Take Up Rate ของแบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” ที่เปิดตัวไป 4 โครงการ สูงถึงกว่า 85% สะท้อนถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ Blue Ocean ของบริษัทฯ ที่มุ่งเจาะทำเลศักยภาพที่ยังมีการแข่งขันไม่สูง และความสำเร็จของการเจาะตลาดกลุ่ม Gen Z ซึ่งเป็นกลุ่มกำลังซื้อใหม่ที่ยังไม่มีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใดครองใจผู้บริโภค

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่แบรนด์ “พาร์ค ออริจิ้น” (PARK ORIGIN) 2 โครงการที่ทยอยเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2-3 มูลค่าโครงการรวมกว่า 7,500 ล้านบาท ยังสร้างยอดขายกลับมายังบริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ “พาร์ค ออริจิ้น จุฬา-สามย่าน” และโครงการ “พาร์ค ออริจิ้น ราชเทวี” ต่างมียอดขายแล้วกว่า 80% ขณะเดียวกัน โครงการ “เคนซิงตัน ระยอง” คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ภายใต้โครงการ “ออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง” ก็ได้รับการตอบรับที่น่าพึงพอใจ ล่าสุดคิดเป็นยอดขาย 90% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขาย

จากกระแสตอบรับที่ดีตลอดทั้งไตรมาส 3 ส่งผลให้บริษัทฯ มียอดขายสะสม 9 เดือนแรกของปี 2562 อยู่ที่ 23,148 ล้านบาท หรือคิดเป็น 83% ของเป้าหมายยอดขายของทั้งปี 2562 ส่วนในช่วงไตรมาส 4/2562 บริษัทฯ ยังมีโครงการที่จะทยอยเปิดตัวอย่างเป็นทางการอีกจำนวนมาก เป็นโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” 2 โครงการ โครงการบ้านจัดสรรแบรนด์ “บริทาเนีย” (Britania) 4-5 โครงการ โครงการ “นอตติ้ง ฮิลล์ ระยอง” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการไฮไลต์ภายใต้โครงการ “ออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง” (Origin Smart City Rayong) รวมถึงโครงการเดอะ “แฮมป์ตัน ศรีราชา บาย ออริจิ้น แอนด์ ดุสิต” (The Hampton Sriracha by Origin and Dusit) ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ กับกลุ่มดุสิตธานี (DTC) คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมไม่น้อยกว่า 14,000 ล้านบาท

“ด้วยจุดแกร่งเรื่องความเข้าใจลูกค้าหรือ Empathy ภาพรวมปีนี้ เราจึงคัดสรรทำเลศักยภาพ โครงการคุณภาพ ในเซ็กเมนต์ที่เหมาะสมมาเปิดตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ขณะเดียวกันยังมีโครงการพร้อมอยู่ หรือ Ready To Move แนวรถไฟฟ้าในอีกหลากหลายทำเลที่ยังคงมีผู้บริโภคทยอยเข้ามาจับจองกันอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าปีนี้เราจะสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 28,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้” นายพีระพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาส 4 บริษัทยังเตรียมออกโปรโมชั่นใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ของผู้บริโภคอีกด้วย โดยคาดว่าจะเปิดตัวโปรโมชันได้เร็ว ๆ นี้