ททท.เร่งรายได้ 8.5 พันล้านบาทช่วงโลว์ซีซัน จัดแคมเปญ “Give Me Five” ดึงนักท่องเที่ยวตลาดระยะใกล้

alivesonline.com : ททท.จับมือ “การบินไทย – ไทยสมายล์” รวมถึง สมาคมผู้ประกอบการการค้าย่านราชประสงค์, “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” และ “เซ็นทรัล กรุ๊ป” จัดแคมเปญ “Give Me Five” ดึงดูดนักท่องเที่ยวตลาดระยะใกล้ 7 ชาติ ให้เดินทางมาท่องเที่ยวและจับจ่ายสินค้า พร้อมสิทธิโหลดสัมภาระสำหรับเที่ยวบินขากลับจากไทย เพิ่มขึ้นคนละ 5 กิโลกรัม หวังเพิ่มนักท่องเที่ยว 2 แสนคน พร้อมรายได้เฉพาะการจับจ่ายสินค้า 8.5 พันล้านบาท เตรียมเดินแผนเฟสสองร่วมมือกับแบรนด์สินค้าไทยจัดทำสินค้า Limited Edition จำหน่ายเฉพาะกิจในปี 62

นายฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. ร่วมมือกับสายการบิน “การบินไทย” และ “ไทยสมายล์” รวมถึง สมาคมผู้ประกอบการการค้าย่านราชประสงค์ ห้างสรรพสินค้า “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” และ “เซ็นทรัล กรุ๊ป” จัดแคมเปญ “Give Me Five” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวระยะใกล้คือ นักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศ CLMV อาเซียน และอินเดีย ให้เดินทางมาท่องเที่ยวและจับจ่ายสินค้าในประเทศไทย ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2562

ภายใต้แคมเปญ “Give Me Five” นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจาก 7 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย อินโดนีเซีย ลาว เวียดนาม เมียนมา กัมพูชา และมาเลเซีย ที่เดินทางด้วยบัตรโดยสาร Round Trip มายังประเทศไทยของสายการบินที่ร่วมโครงการฯ จะได้รับสิทธิพิเศษในการโหลดสัมภาระสำหรับเที่ยวบินขากลับจากประเทศไทย เพิ่มขึ้นคนละ 5 กิโลกรัม โดย สมาคมผู้ประกอบการการค้าย่านราชห้างสรรพสินค้า “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” และ “เซ็นทรัล กรุ๊ป” จะมอบส่วนลดสูงสุด 50% และสิทธิพิเศษอื่น ๆ เมื่อนักท่องเที่ยวแสดง Boarding Pass ของ “การบินไทย” และ “ไทยสมายล์” เพื่อรับสิทธิพิเศษตามข้อกำหนดของแต่ละศูนย์การค้าทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการ ณ จุดประชาสัมพันธ์ หรือจุดให้บริการนักท่องเที่ยว

แคมเปญ “Give Me Five” เป็นหนึ่งในแผนการกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วงโลว์ซีซัน เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางด้วยตัวเอง หรือ Foreign Individual Tourism (F.I.T) โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว ผู้หญิง และกลุ่มประชุมเพื่อเป็นรางวัล (Incentive) โดย ททท. มีการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้โดยตรง หรือ In Market ผ่านช่องทางการออนไลน์ในแต่ละประเทศเป็นหลัก โดยคาดว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ประมาณ 2 แสนคน สร้างรายได้เฉพาะการจับจ่ายสินค้าประมาณ 8.5 พันล้านบาท จากปรกติที่นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีการจับจ่ายเฉลี่ยทริปละประมาณ 1.3-1.5 หมื่นบาท”

นายฉัททันต์ กล่าวอีกว่า ตลาดนักท่องเที่ยวระยะใกล้เป็นตลาดที่ ททท. ให้ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ใช้เวลาตัดสินใจก่อนการเดินทางไม่นาน สามารถเดินทางได้บ่อย และชอบจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าในประเทศไทย โดยจากฐานข้อมูลของ ททท. พบว่า นักท่องเที่ยวอินเดียนิยมสินค้าเสื้อผ้าและอาหารประเภทของขบเคี้ยว (Snack) ลาวนิยมสินค้าเครื่องสำอาง เวียดนามนิยมสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

ทั้งนี้ ในช่วงเดือน มกราคม – มิถุนายน 2562 พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% โดยในส่วนของนักท่องเที่ยวอินเดีย มีนักท่องเที่ยวประมาณ 3.93 หมื่นคน เติบโตขึ้น 27.54% มาเลเซีย ประมาณ 5.47 หมื่นคน เติบโตขึ้น 8.89% ลาว ประมาณ 2.4 หมื่นคน เติบโตขึ้น 7.99% อินโดนีเซีย ประมาณ 1 หมื่นคน เติบโตขึ้น 7.08% กัมพูชา ประมาณ 1.49 หมื่นคน เติบโตขึ้น 6.33% เวียดนาม ประมาณ 1.7 หมื่นคนคน เติบโตขึ้น 4.49% และเมียนมา ประมาณ 8.4 พันคน เติบโตขึ้น 4.82%

“สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมในปี 2561 นักท่องเที่ยวจีนยังคงมีมากเป็นอันดับหนึ่งด้วยจำนวน 10 ล้านคน ขณะที่อันดับสองเป็นมาเลเซียมีจำนวนมากถึง 4 ล้านคน ทั้งยังมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มมากขึ้นด้วยการเดินทางโดยเครื่องบินจากเดิมที่นิยมเดินทางผ่านทางชายแดนเท่านั้น ขณะที่อินเดียถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งจำนวนคนและรายได้ โดยล่าสุดสร้างรายได้ให้ประเทศไทยประมาณ 1.6 ล้านบาทและคาดว่าจะเพิ่มเป็น 2 ล้านบาทในปี 2563 ส่วนด้านรายได้รวมคาดว่า ในปี 2562 ตลาดเอเชียจะสร้างรายได้รวมประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นตลาดเอเชียตะวันออก 9 แสนล้านบาท ตลาดเอเชียใต้และอาเซียน 3.2 แสนล้านบาท โดยเป็นรายได้ที่มาจากการจับจ่ายสินค้าประมาณ 3 แสนล้านบาท”

นายฉัททันต์ กล่าวในตอนท้ายด้วยว่า ททท.มีแผนต่อยอดแคมเปญ “Give Me Five” ในเฟสสอง ด้วยการร่วมมือกับแบรนด์สินค้าในประเทศไทยจัดแคมเปญพิเศษในการออกแบบสินค้าให้มีดีไซน์ในลักษณะ Limited Edition ในราคาโปรโมชัน เพื่อจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาจับจ่ายและชอปปิงสินค้าแบรนด์นั้น ๆ ในช่วงเวลาต่าง ๆ เป็นการเฉพาะ หลังจากพบว่ามีสินค้าไทยหลาย ๆ แบรนด์เป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยว เช่น ชาตรามือ, กระเป๋านารายา เป็นต้น โดยมีแผนจะเริ่มดำเนินการภายในปี 2562 รายละเอียดเพิ่มเติม www.giveme5Thailand.com

เปิดตัวแคมเปญการตลาดใหม่ “อยากกินอะไร สั่ง GET เลย”

“GET” (เก็ท) แอปพลิเคชันไลฟ์สไตล์ออนดีมานด์ ทีให้บริการเรียกมอเตอร์ไซค์วิน สั่งอาหาร ส่งของ และอีวอลเลต จัดงานเปิดตัวแคมเปญใหม่ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำบริการส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่ GET FOOD กับแคมเปญ “อยากกินอะไร สั่ง GET เลย” ที่ขนความพิเศษมามากมาย ทั้งโฆษณาใหม่สุดฮา พรีเซนเตอร์สุดฮอตที่เป็นตัวแทนความอร่อย และคอลเลกชันเมนูสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ไม่มีที่ไหน นอกจากที่ GET ที่เดียว

นายภิญญา นิตยาเกษตรวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GET กล่าวว่า “GET FOOD” ก้าวขึ้นมาเป็นบริการฟู้ดเดลิเวอรี่ชั้นนำในตลาดได้อย่างรวดเร็ว ด้วยบริการ ราคา และความหลากหลายของอาหารที่ตอบโจทย์คนกรุงเทพฯ ทุกวันนี้เราให้บริการกับผู้ใช้หลายแสนคนต่อเดือน และช่วยสร้างงานและรายได้ให้กับทั้งร้านค้าและคนขับของเราหลายหมื่นคน แคมเปญการตลาด “อยากกินอะไร สั่ง GET เลย” จึงถือเป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยสร้างการรับรู้ในวงกว้างและสร้างประสบการณ์ที่ดีกว่าให้กับลูกค้าของเรา

นายก่อลาภ สุวัชรังกูร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด GET กล่าวว่า “GET FOOD” เป็นบริการที่รวมทุกของอร่อยจากทุกย่านมาไว้ในแอปฯ เดียว พร้อมเสิร์ฟถึงมือคุณในเวลาอันรวดเร็ว เราจึงจับเอาจุดเด่นที่ลูกค้าทุกคนชื่นชอบนี้ มาบวกกับ Insight ของผู้ใช้แอปฯ ของเราที่ไม่ต้องการเลือกแค่เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง จนออกมาเป็นแคมเปญ การตลาด “อยากกินอะไร สั่ง GET เลย” ที่ได้นักร้องที่ทุกคนชื่นชอบอย่าง “นนท์-ธนนท์” มาเป็นตัวแทนบอกเล่าเรื่องราวแบบสนุกสนานสไตล์ซิทคอม โดย “นนท์” มีคาแรคเตอร์ที่เหมาะกับแบรนด์ GET เพราะมีความเป็นกันเอง เข้าถึงง่าย และเป็นที่ชื่นชอบของคนทุกเพศทุกวัย โดยโฆษณาของเราจะสื่อสารผ่านช่องทางทั้งออนไลน์และออฟไลน์ทั่วกรุงเทพฯ

ความพิเศษอีกอย่างของแคมเปญนี้คือคอลเลกชันอาหารสุดพิเศษ “Only At GET เรื่องกินต้องเก็ท” เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านฟู้ดเดลิเวอรี่ เพราะนอกจากอาหารอร่อยจากทุกมุมเมืองแล้ว คอลเลกชันพิเศษนี้ยังนำเสนออาหารจานเด็ดที่คุณไม่สามารถหาที่อื่นได้ เป็นเมนูที่สร้างสรรค์ขึ้นมาพิเศษเพื่อลูกค้า GET โดยเฉพาะจาก 4 เชฟชื่อดัง ทั้ง “เชฟต้น” จากร้านบ้าน “เชฟกิ๊ก” จากร้านเลิศทิพย์ “เชฟเปเปอร์” จากร้าน ICI และ “เชฟเก๊า” หรือ “เฮียเก๊า” จากร้านเจ๊โอวในตำนาน โดยเป็นการนำอาหารจากเชฟที่คนส่วนใหญ่เคยดูแต่ในทีวี หรืออยากไปที่ร้านแต่ไม่อยากต่อคิว มานำเสนอให้เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น

นางสาววงศ์ทิพพา วิเศษเกษม ผู้อำนวยการธุรกิจ GET FOOD กล่าวว่า นอกจากแคมเปญพิเศษนี้แล้ว ทีม GET FOOD ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนา User Experience หรือการใช้งานต่าง ๆ ให้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้นและตรงใจลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยที่ผ่านมาเราได้เก็บข้อมูลการใช้งานของลูกค้าเพื่อนำมาพัฒนาฟีเจอร์ต่าง ๆ ให้ตอบโจทย์ โดยในเฟสนี้เราพร้อมที่จะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่มากมาย ได้แก่ ระบบฟิวเตอร์ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถเสิร์จหาร้าน หรือเมนูที่ต้องการได้ง่ายขึ้น ฟีเจอร์ OMAKASE ที่จะแนะนำเมนูอาหารที่ Personalized ให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละราย ฟีเจอร์การแสดงส่วนลดแบบใหม่ที่จะช่วยให้ลูกค้าไม่พลาดกับดีลต่าง ๆ บนแอปฯ และอื่น ๆ อีกมากมาย”

แคมเปญโฆษณา “อยากกินอะไร สั่ง GET เลย” เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป โดยสามารถติดตามได้ทั้งทางสื่อออนไลน์ เฟซบุ๊ก, ยูทูป และทวิตเตอร์ และทางสื่อออฟไลน์ ป้ายบิลบอร์ด รถไฟฟ้า และอื่น ๆ ทั่วกรุงเทพฯ โดยคอลเลกชัน Only At GET เรื่องกินต้องเก็ท” เปิดให้ลูกค้าสามารถสั่งเมนูพิเศษจากเชฟแห่งชาติทั้ง 4 คน ได้แก่ “เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร” เจ้าของร้านอาหารบ้าน (Bann) “เชฟกิ๊ก กมล ชอบดีงาม” เจ้าของร้านอาหารเลิศทิพย์ “เชฟเปเปอร์ อริสรา จงพาณิชกุล” แห่งร้าน ICI และ “เฮียเก๊า ศิริชัย ทวีพูลทรัพย์” เชฟในตำนานแห่งร้านเจ๊โอว ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม – 7 กันยายน 2562

จะสั่งเมนูสุดโปรดจากร้านประจำ หรืออยากสั่งเมนูพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟจาก Only At GET ก็สะดวกคุ้ม เพราะ GET FOOD ค่าส่งเริ่มต้นแค่ 10 บาท พร้อมโปรพิเศษส่งฟรีสำหรับผู้ใช้ใหม่เพียงใส่โค้ด GETWELCOME ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน GET ทาง App Store หรือ Play Store และลงทะเบียนเพื่อใช้งานได้แล้ววันนี้ !

 

 

เชิญผู้สนใจร่วมงานประชุมสภาอุตสาหกรรมโรงแรมไทย ครั้งที่ 21

สมาคมโรงแรมไทย ร่วมกับ บริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ต ผู้จัดงาน “ฟู้ดแอนด์โฮเทล ไทยแลนด์ 2019” (Food & Hotel Thailand 2019) เชิญผู้สนใจและผู้ประกอบการด้านธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมเข้าร่วมงาน ประชุมสภาอุตสาหกรรมโรงแรมไทย ครั้งที่ 21 (Thailand 21th Hospitality Industry Congress ) พร้อมร่วมสัมมนาในหัวข้อ “ตลาดดิจิทัลสำหรับธุรกิจบริการ กลยุทธ์สำคัญในปี 2020” (Digital Marketing for Hospitality: Critical Tactics for 2020) ในงาน “ฟู้ดแอนด์โฮเทล ไทยแลนด์ 2019” ระหว่างวันที่ 4-7 กันยายน 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

สำหรับหัวข้อในการสัมมนาประกอบด้วย 4 หัวข้อสำคัญ ได้แก่ 1.เคล็ดลับการเพิ่มยอดขาย ช่องทางการจองตรง 2.การขายในยุคดิจิทัล 3.กลยุทธ์พิชิตกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเอง (Free Independent Traveler : FIT) 4.เปิดโรงแรมง่ายกว่าที่คุณคิด โดยวิทยากรผู้ร่วมการสัมมนา อาทิ ที่ปรึกษาโรงแรม รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจาก Radisson Group และ Independent Hotel

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมการประชุมฯ และสัมมนาได้ที่ สมาคมโรงแรมไทย โทร.0 2282.5277, 08 6342.8930 / อีเมล : yaowalak@thaihotels.org

ความเสี่ยงสงครามการค้าสูงขึ้น – แนวโน้มนโยบายการเงินโลกผ่อนคลายมากขึ้น

ผู้เขียน : ดร. กําพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส Economic and Financial Market Research, วชิรวัฒน์ บานชื่น นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส และพงศกร ศรีสกาวกุล นักวิเคราะห์ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จ ากัด (มหาชน)

ความเสี่ยงสงครามการค้ากลับมาสูงขึ้นหลังประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศเตรียมที่จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่เหลืออีก 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ 10% ในวันที่ 1 กันยายน 2562 ด้วยสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงของสินค้าผู้บริโภค ทำให้การขึ้นภาษีรอบนี้น่าจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก รวมถึงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีนและเศรษฐกิจโลกเป็นวงกว้างอีกด้วย

สำหรับผลต่อเศรษฐกิจไทยนั้น Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า หากแรงกระตุ้นจากภาครัฐมีไม่มากและเร็วพอ ผลของการขึ้นภาษีดังกล่าวอาจทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2562 ขยายตัวต่ำกว่า 3% แต่จากความเสี่ยงของสงครามการค้าที่มีมากขึ้น ธนาคารกลางหลักอาจเตรียมผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม โดย EIC ยังคงมุมมองว่า Fed ยังมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีก 25 bps ในปี 2562 นอกจากนี้ ECB อาจผ่อนคลายนโยบายมากขึ้น (ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และกลับมาทำ QE) ในการประชุมเดือนกันยายน 2562 และ BOJ ที่ส่งสัญญาณเตรียมผ่อนคลายนโยบายมากขึ้นหากความเสี่ยงด้านต่ำต่อเศรษฐกิจสูงขึ้น

EIC ยังคงมีมุมมองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายทั้งปี 2562 ที่ 1.75% แต่ความเสี่ยงสงครามการค้าที่เพิ่มขึ้นทำให้ความน่าจะเป็นที่จะมีการลดดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps ในช่วงปลายปีเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 40% สำหรับการลดปริมาณการออกพันธบัตรระยะสั้นของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเดือนสิงหาคม 2562 ลงอีกนั้น ได้ทำให้ยอดคงค้างพันธบัตรระยะสั้นมีแนวโน้มปรับลดลงเล็กน้อย ดังนั้นโอกาสเกิด J-curve ในเดือนสิงหาคม 2562 น่าจะยังมีค่อนข้างน้อย ส่วนในเดือนกันยายน 2562 นั้น จะมีพันธบัตร ธปท. ครบกำหนดชำระมากขึ้น หาก ธปท. ออกประมูลพันธบัตรในปริมาณเดียวกันกับเดือนสิงหาคม 2562 EIC ประเมินว่า ยอดคงค้างพันธบัตรระยะสั้นจะลดลงอย่างมีนัยเมื่อเทียบกับยอดคงค้างในเดือนสิงหาคม 2562 และจะทำให้โอกาสที่จะเกิดสถานการณ์ J-curve มีสูงขึ้น

  • ความเสี่ยงสงครามการค้าที่กลับมาสูงขี้น

หลังจากที่ ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนที่เหลืออีก 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐที่ 10% ในวันที่ 1 กันยายน 2562 เนื่องจากการเจรจาการค้ากับจีนรอบล่าสุดยังไม่มีความคืบหน้า โดยการประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการเจรจาระหว่างเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ และจีน ครั้งล่าสุดมีความคืบหน้าค่อนข้างน้อย การประกาศจะขึ้นภาษีครั้งนี้จึงทำให้ความไม่แน่นอนในระยะต่อไปสูงขึ้น

การเก็บภาษีรอบนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคในสหรัฐฯ มากขึ้น และส่งผลต่อเศรษฐกิจจีนเป็นวงกว้าง หากพิจารณารายการสินค้าที่ประกาศในเดือนพฤษภาคม 2562 พบว่า มีสัดส่วนสินค้าผู้บริโภคสูงถึง 62% ของมูลค่าทั้งหมด 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องแต่งกายและรองเท้า ของเล่น และสมาร์ทโฟน มีสัดส่วนคิดเป็น 20%, 10%, และ 17% ของสินค้านำเข้าจีนมูลค่า 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐตามลำดับ จึงอาจกดดันให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ และอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคสหรัฐฯ โดยตรง ในส่วนของเศรษฐกิจจีนนั้นมีแนวโน้มชะลอลงเพิ่มเติมและมีโอกาสแตะกรอบล่างที่ 6% ในปีนี้ เนื่องจากความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจและผู้บริโภคมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง สะท้อนจากการส่งออกจีนที่เริ่มหดตัวในครึ่งแรกของปี การผลิตภาคอุตสาหกรรมชะลอตัวและยอดค้าปลีกที่ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 16 ปี

ความเสี่ยงด้านต่ำต่อการส่งออกไทย การท่องเที่ยว และการลงทุนภาคเอกชน สูงขึ้น จากประมาณการณ์ล่าสุดของ EIC ได้มีการทำ Scenario Analysis ไว้ โดยสมมติฐานในกรณีฐาน (Base Case Scenario) ของ

เราคือสหรัฐฯ ไม่มีการตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเติมบนสินค้านำเข้าจากจีนที่เหลือมูลค่าประมาณ 3แสนล้านเหรียญสหรัฐ โดยประเมินว่าการส่งออกในปี 2562 จะหดตัว -1.6% และ เศรษฐกิจปี 2562 จะชะลอตัวเหลือ 3.1%

หากสหรัฐฯ มีการขึ้นภาษีดังกล่าวจริงจะตรงกับสมมุติฐานของกรณีเลวร้าย (Worse Case Sceanario) ที่เคยประเมินไว้ซึ่งจะส่งผลทำให้การส่งออกหดตัว การท่องเที่ยวและการลงทุนชะลอตัวมากกว่าคาดซึ่งผลกระทบอาจส่งผ่านไปยังการจ้างงาน รายได้ และการบริโภคในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม EIC เชื่อว่าในกรณีเลวร้ายนี้รัฐบาลน่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นและเร็วขึ้นโดยมาตรการภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจจะอยู่ในรูปเงินโอนไปให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอย เนื่องจากเป็นช่องทางที่จะให้เม็ดเงินเข้าสู่เศรษฐกิจได้เร็วที่สุด จึงทำให้การบริโภคภาคเอกชนยังสามารถขยายตัวได้ใกล้เคียงกับกรณีฐานได้ โดย EIC มองว่า ในกรณีเลวร้ายนี้เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวชะลอลงมาอยู่ที่ 2.9%

EIC ยังคงมุมมองว่า กนง. น่าจะยังคงดอกเบี้ยนโยบายทั้งปี แต่ความเสี่ยงของสงครามการค้าทำให้เราเพิ่มความน่าจะเป็นที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปีจาก 30% เป็น 40% หากมาตรการกระตุ้นทางการคลังไม่ใหญ่และเร็วพอ และมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยปี 2562 จะขยายตัวต่ำกว่า 3% EIC เชื่อว่า กนง.จะพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps มาอยู่ที่ 1.50% ในช่วงปลายปี 2562 ได้ซึ่งความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่เพิ่มขึ้นนี้ทำให้เราเพิ่มความน่าจะเป็นที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก 30% เป็น 40% สำหรับการประชุม กนง. ในวันที่ 7 สิงหาคม 2562 โดย EIC ยังคงประเมินว่า กนง. จะยังคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75%

  • ธนาคารกลางหลักเตรียมผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม

ในการประชุมเดือนกรกฎาคม 2562 Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง พร้อมประกาศยุติการลดขนาดงบดุล โดยถึงแม้คณะกรรมการ FOMC จะยังคงมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคง “ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง” และตลาดแรงงานที่ยังคง “แข็งแกร่ง” แต่ Fed มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps (จากกรอบ 2.25%-2.50% เป็น 2.00%-2.25%) พร้อมทั้งประกาศยุติการลดขนาดงบดุลเร็วขึ้นกว่ากำหนดการ 2 เดือนโดยเริ่มต่ออายุสินทรัพย์ (Fully-Reinvest) ในเดือนสิงหาคม 2562 โดยมีสาเหตุจาก

1.อัตราเงินเฟ้อและการคาดการณ์เงินเฟ้อที่ปรับลดลงและอยู่ต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย คณะกรรมการ FOMC แสดงความกังวลต่อแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อเงินที่อยู่ระดับต่ำจากถ้อยคำที่ว่า “Muted Inflation Pressures” ซึ่งตัวเลขทั้งอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (PCE Inflation) ต่ำกว่าเป้าของ Fed ที่ 2% ถึง 8 เดือนติดต่อกัน โดยล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2562 อยู่ที่ 1.4%YOY ต่ำกว่าเป้าหมายค่อนข้างมาก นอกจากนี้ คณะกรรมการยังมองว่าคาดการณ์เงินเฟ้อของตลาดก็อยู่ในระดับต่ำด้วยเช่นกัน “Market-Based Inflation Compensation Remain Low”

2.การขยายตัวทางเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงด้านต่ำ (Downside Risk) จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความไม่แน่นอนของสงครามการค้า โดยในรายงานผลการประชุมและคำสัมภาษณ์ของนาย Powell ได้พูดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง สงครามการค้าที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงและส่งผลกระทบมากขึ้นและการชะลอตัวลงของภาคการผลิตในสหรัฐฯ โดยในเดือนกรกฎาคม 2562 ตัวเลขดัชนีฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตของสหรัฐฯ อยู่ที่ 50.4 ปรับลดลงจากต้นปีที่ 53.8

การกลับมาของความเสี่ยงสงครามการค้า เพิ่มโอกาสที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 25 bps ในปีนี้ โดย EIC คงมุมมองFed ลดดอกเบี้ยอีก 25 bps ในช่วงที่เหลือของปีโดยมีสาเหตุจาก

1.ความกังวลต่อความไม่แน่นอนของสงครามการค้าและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีต่อเนื่อง : การกลับมาประกาศเพิ่มกำแพงภาษีสำหรับสินค้านำเข้าจากจีนในส่วนที่เหลือทั้งหมดที่อัตรา 10% เพิ่มความเสี่ยงด้านลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ นอกจากนั้น ในรายงานแถลงของ FOMC พบว่ากังวลต่อความไม่แน่นอนของสงครามการค้าและผลกระทบจาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่องจากถ้อยคำที่กล่าวว่า “Uncertainties About This Outlook Remain” นอกจากนี้FOMC ก็ยังคงคำแถลงจากประชุมครั้งก่อนที่ว่า “”Will Act As Appropriate To Sustain The Expansion” ซึ่งนายพาวเวลล์ ประธาน Fed ยังกล่าวเพิ่มเติมในช่วงแถลงการณ์ว่าอาจปรับลดดอกเบี้ยในรอบนี้อาจมากกว่า 1 ครั้ง

2.อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ ระดับปัจจุบัน ยังไม่ผ่อนคลายเท่าที่ควร : แม้ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงของ Fed ปรับลดลงมาอยู่ที่ 0.65% จาก 0.90% อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวนั้นยังคงสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงซึ่งอยู่ที่ 0.42 (คำนวณโดยแบบจำลองของ Holston Laubach and Williams 2017) จึงอาจกล่าวได้ว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบาย ณ ระดับปัจจุบันยังไม่ผ่อนคลายเท่าที่ควร

3.โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่เป้าหมายในปีนี้ยังต่ำจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่ยังไม่ฟื้นตัว : โดยหากพิจารณาจากรายงานการประชุมครั้งก่อน พบว่า ปัจจัยที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อของสหรฐัฯ ปรับลดลงในปีนี้มาจากราคาน้ำมันที่ลดลง โดย EIC มองว่า แนวโน้มของราคาน้ำมันยังไม่เอื้อต่อการฟื้นตัวของอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากอุปสงค์น้ำมันโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและอุปทานน้ำมันจากผู้ผลิตในสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น สะท้อนจากจ นวนแท่นขุดเจาะน้ำมันเฉลี่ยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2562 ขยายตัว 4%YOY

4.คณะกรรมการส่วนหนึ่งมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อลดลง (Flatted Philip Curve) : จากคำแถลงของ Powell ใน Semiannual Monetary Policy สะท้อนมุมมองว่าความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อมีน้อยลง กล่าวคืออัตราการว่างงานของสหรัฐฯ ที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่องอาจจะไม่ทำให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นได้มากนักเหมือนในอดีต ดังนั้นการลดดอกเบี้ย นโยบายจึงมีความจำเป็นมากขึ้นเพื่อผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อกลับเข้าสู่เป้าหมายได้

  • Box : Insurance cut vs Easing cut

EIC มองว่า การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้เป็นเพียง “Insurance Cut” (เพื่อลดความเสี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ คล้ายในปี 2541) ซึ่งต่างจาก “easing cycle” (วัฏจักรการลดอัตราดอกเบี้ย เหมือนเมื่อปี 2543 และ 2550) โดยในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมานั้น มีวัฏจักรการลดอัตราดอกเบี้ย (Easing Cycle) 2 ครั้งคือ ระหว่างปี 2554-2546 ที่เกิด Dotcom Crisis และระหว่างปี 2550-2551 ที่เกิด Global Financial Crisis ซึ่งในช่วงดังกล่าว Fed ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงถึง 550 bps และ 500 bps ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี EIC มองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้จะเป็นในลักษณะของ Insurance Cut เนื่องจากในปัจจุบันเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้จะชะลอตัวลงและมีความเสี่ยงจากสงครามการค้าที่อาจทวีความรุนแรงขึ้น แต่ยังมีโอกาสค่อนข้างน้อยที่จะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในรอบนี้จึงน่าจะเกิดขึ้นเพียง 50-75 bps เท่านั้น เพื่อสร้างกันชนป้องกันความเสี่ยงให้แก่เศรษฐกิจ นอกจากนี้ นาย Alan Greenspan อดีตประธาน Fed ยังชี้อีกว่า Insurance Cut นั้นเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วคือ ในปี 2538 และในปี 2541 ซึ่งในรอบดังกล่าว Fed ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างละ 75 bps (โดยลดครั้งละ 25 bps)

อย่างไรก็ตาม EIC มองว่า “Insurance Cut” ในรอบนี้อาจน้อยกว่าในปี 1998 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อและคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังไม่ปรับลดลงมากเท่ากับในช่วงนั้น รวมถึงภาวะการเงินยังไม่ตึงตัวมากนัก และขีดจำกัดในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Space) ของ Fed มีน้อยลง โดยเมื่อพิจารณาภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี1998 พบว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในขณะนั้นอยู่ในระดับต่ำที่ 0.9% และคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของตลาดก็ปรับลดลงถึง 74 bps ภายในระยะเวลา 2 เดือนก่อนที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายในขณะนั้นก็ค่อนข้างสูงที่กรอบ 5.25%-5.50% จึงทำให้ Fed สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาได้มาก อย่างไรก็ตาม ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในขณะนี้แตกต่างจากในปี1998 ค่อนข้างมาก โดยแม้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะปรับลดลงมาที่ 1.4%YOY ในเดือนพฤษภาคม 2562 แต่ยังคงสูงกว่าปี 1998 ค่อนข้างมาก และค่าเฉลี่ยคาดการณ์เงินเฟ้อของปี 2562 ก็ปรับลดลงจากปี 2561 เพียง 20 bps

ส่วนในด้านภาวะการเงินของสหรัฐฯ นั้น ก็ยังคงผ่อนคลายกว่าสะท้อนจากดัชนีภาวะการเงินที่คำนวณโดย Chicago Fed โดยก่อน Fed ปรับลดดอกเบี้ยในปี 1998 ดัชนีภาวะการเงินอยู่ที่ -0.14 ขณะที่ปัจจุบันอยู่ที่ -0.84 (ตัวเลขน้อยหมายถึงภาวะการเงินผ่อนคลาย) นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.00%-2.25% ยังคงต่ำกว่าในอดีตมาก ทำให้ความสามารถในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Space) มีน้อยกว่า ดังนั้น EIC จึงมองว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้อาจเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้ง (รวมกัน 50 bps)

นอกจาก Fed ที่ผ่อนคลายนโยบายการเงินแล้ว ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักอื่นก็มีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นเช่นกัน

1.EIC มองว่า ECB อาจผ่อนคลายนโยบายมากขึ้นในการประชุมเดือนกันยายน 2562 โดยในการประชุมนโยบายการเงินของ ECB รอบล่าสุด ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2562 แม้คณะกรรมการจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ได้ส่งสัญญาณว่าจะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม โดยสื่อสารว่าหากอัตราเงินเฟ้อในระยะกลางมีแนวโน้มต่ำกว่าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ECB ก็พร้อมที่จะเลือกใช้เครื่องมือตามความเหมาะสม เพื่อให้อัตราเงินเฟ้อปรับสู่ระดับเป้าหมายได้อย่างยั่งยืน โดยเครื่องมือเชิงนโยบายประกอบด้วย

1) การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

2) Forward Guidance ที่มีการสื่อสารเกี่ยวกับแนวโน้มการดำเนินนโยบายในระยะข้างหน้าที่ทำให้ตลาดคาดการณ์ได้

3) ระบบ Tiering System ที่สามารถกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์จ่ายดอกเบี้ยเงินฝาก (Negative Interest Rate) ในอัตราที่ต่างกันขึ้นอยู่กับปริมาณเงินสำรองส่วนเกินที่ฝาก

4) การเข้าซื้อพันธบัตรผ่านมาตรการ Asset Purchase Programme (APP) โดย EIC มองว่า ECB มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) ลง 10-20 bps ในการประชุมเดือนกันยายน 2562 พร้อมใช้ระบบ tiering system อีกทั้งน่าจะมีการประกาศมาตรการ APP รอบใหม่ โดยมีวงเงินประมาณ 250-300 พันล้านเหรียญสหรัฐด้วยเช่นกัน

2.BOJ มีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายมากขึ้น หากเศรษฐกิจเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้น โดยในการประชุมนโยบายการเงินของ BOJ ณ วันที่ 29-30 กรกฎาคม 2562 คณะกรรมการมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้เท่าเดิม และยังคงถอยคำแถลงที่ว่า “จะรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำพิเศษอย่างน้อยจนถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิ 2563” อย่างไรก็ตาม BOJ มีการสื่อสารถึงโอกาสที่อาจผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้นได้ โดยกล่าวว่า จะสามารถปรับเปลี่ยนการดำเนินนโยบายการเงินตามความเหมาะสมเพื่อที่จะรักษาแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อให้บรรลุเป้าหมาย ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการได้เพิ่มถ้อยคำที่แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ความเสี่ยงด้านต่ำ (Downside Risk) ที่มีสูงขึ้นและอาจส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอัตราเงนิเฟ้อ โดย EIC มองว่า BOJ น่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อไปจนถึงปี 2564 และอาจเพิ่มวงเงินทำ QE หากเศรษฐกิจ หรือเงินเฟ้อขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมิน

  • จับตามองวงเงินประมูลพันธบัตร ธปท. ระยะสั้นในเดือนกันยายนซึ่งจะเป็นปัจจัยส ำคัญต่อสถานการณ์ J-Curve ในระยะข้างหน้า

หลังจากที่ ธปท. ได้ประกาศลดปริมาณการออกพันธบัตรระยะสั้นในเดือนสิงหาคมลงอีก ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มมองว่า ธปท. ตั้งใจใช้มาตรการลดการออกพันธบัตรเพื่อหวังผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงอีกหรือไม่ EIC จึงได้นำข้อมูลยอดคงค้างพันธบัตร ธปท. ระยะสั้น (พันธบัตรที่มีอายุ ณ วันที่ออกไม่เกิน 1 ปี) มาพิจารณาประกอบกับประกาศของ ธปท. เกี่ยวกับปริมาณพันธบัตรที่ออกในแต่ละเดือน พบว่า

1.ยอดคงค้างพันธบัตร ธปท. ระยะสั้นในเดือนกรกฎาคม 2562 ยังคงเพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2562 ดังที่ EIC ได้คาดการณ์ไว้ในรายงานฉบับก่อน โดยหากดูที่ยอดคงค้างพันธบัตรอายุ 3 เดือน จะพบว่า ปรับลดลง 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่พันธบัตรอายุ 6 เดือน ปรับเพิ่มขึ้น 2 หมื่นล้านบาท ส่วนพันธบัตรอายุ 1 ปี ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 4.1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากไม่มีพันธบัตรอายุ 1 ปี ครบกำหนดชำระในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้โดยรวมแล้ว พันธบัตร ธปท. ระยะสั้นเพิ่มขึ้นประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท ในเดือนกรกฎาคม

2.คาดยอดคงค้างพันธบัตร ธปท. ระยะสั้น ในเดือนสิงหาคม มีแนวโน้มปรับลดลงอีกเล็กน้อย โดยหากเปรียบเทียบยอดคงค้างพันธบัตรอายุ 3 และ 6 เดือนที่จะหมดอายุในเดือนสิงหาคมนี้ กับปริมาณพันธบัตรที่ ธปท. จะออกเพิ่มขึ้นมาชดเชย พบว่า ยอดคงค้างพันธบัตรอายุ 3 เดือน จะลดลงถึง 4 หมื่นล้านบาท และยอดคงค้างพันธบัตรอายุ 6 เดือน จะลดลง 1.5 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดี ธปท. ได้ออกพันธบัตรอายุ 1 ปี ในเดือนสิงหาคมเพิ่มเติมอีก 4 หมื่นล้านบาท จึงทำให้ยอดคงค้างพันธบัตร ธปท. ระยะสั้นโดยรวมลดลงเพียง 1.5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น

3.EIC คาดว่าสถานการณ์ J-Curve จะยังไม่เกิดในเดือนสิงหาคมนี้เพราะยอดคงค้างพันธบัตรธปท. ลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยถึงแม้ว่ายอดคงค้างของพันธบัตร ธปท. อายุ 3 และ 6 เดือน ในเดือนสิงหาคมจะปรับลดลง 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งมากกว่าในเดือนกรกฎาคมที่ยอดคงค้างของพันธบัตรอายุ 3 และ 6 เดือน ปรับลดลงเพียง 1 หมื่นล้านบาท แต่ EIC  มองว่า ปริมาณพันธบัตรที่ลดลงในเดือนนี้ยังคงน้อยมากเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในเดือนเมษายนปี 2560 ที่นำไปสู่สถานการณ์ J-Curve ซึ่งในขณะนั้น ยอดคงค้างของพันธบัตรอายุ 3 และ 6 เดือน ลดลงประมาณ 1.18 แสนล้านบาท นอกจากนี้ หากพิจารณายอดคงค้างของพันธบัตรอายุ 1 ปีด้วยแล้วจะพบว่า ลดลงรวมกว่า 2.23 แสนล้านบาท ซึ่งสูงกว่ายอดคงค้างของเดือนสิงหาคมที่คาดว่าจะลดลงเพียง 1.5 หมื่นล้านบาท

4.สำหรับในเดือนกันยายนนั้นจะมีพันธบัตร ธปท. ครบกำหนดชำระเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ปริมาณการออกประมูลพันธบัตร ธปท. จึงมีความสำคัญและอาจมีนัยต่อสถานการณ์ J-Curve โดยพบว่า ในแต่ละสัปดาห์พันธบัตรอายุ 3 เดือนจะครบกำหนดชำระ 4 หมื่นพันล้านบาท ขณะที่พันธบัตรอายุ 6 เดือนจะครบกำหนดชำระ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงกว่าในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม ดังนั้นจึงมีโอกาสที่ ธปท. อาจปรับเพิ่มวงเงินประมูลขึ้นได้ เพราะจะมีความต้องการพันธบัตรเพิ่มขึ้นในเดือนกันยายน อย่างไรก็ดี หาก ธปท. ยังคงออกประมูลพันธบัตรในอัตราที่น้อยลงเหมือนในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาก็จะทำให้ยอดคงค้างลดลงอย่างมีนัยและอาจนำไปสู่สถานการณ์ J-Curve ในระยะต่อไปได้ EIC จึงได้จัดทำ Scenario Analysis เพื่อจำลองสถานการณ์การออกประมูลพันธบัตรของ ธปท. ซึ่งจะส่งผลต่อยอดคงค้างพันธบัตร ดังนี้

o หาก ธปท. ปรับเพิ่มวงเงินประมูลพันธบัตรขึ้นก็จะเลี่ยงสถานการณ์ J-curve ได้ โดย EIC ประเมินว่า ธปท. อาจต้องเพิ่มวงเงินประมูลขึ้นประมาณ 1-1.5 หมื่นล้านบาท (ตารางที่ 2 : Scenario A) เพื่อให้ยอดคงค้างพันธบัตร ธปท. ระยะสั้นไม่ลดลงมาก โดยใน Scenario นี้ ยอดคงค้างทั้งหมดจะลดลงเพียง 5.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นปริมาณที่ลดลงไม่มากนัก นอกจากนี้ หากย้อนกลับไปดูในช่วงปลายไตรมาสแรกและไตรมาสสองของปีนี้จะพบว่ายอดคงค้างพันธบัตร ธปท. ก็ลดลงค่อนข้างมากเช่นกัน โดยในเดือนมีนาคม ลดลง 4.6 หมื่นล้านบาท และในเดือนมิถุนายน ลดลง 9.3 หมื่นล้านบาท แต่ก็ยังไม่เกิดสถานการณ์ J-Curve ทั้งนี้ EIC มองว่า Scenario นี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากที่สุด

o หาก ธปท. ออกประมูลพันธบัตรในปริมาณเดียวกันกับเดือนสิงหาคม ยอดคงค้างจะลดลงอย่างมีนัย โอกาสเกิดสถานการณ์ J-Curve จึงมีสูงขึ้นกว่าในปัจจุบัน EIC  ประเมินว่า ในกรณีนี้ (ตารางที่ 2 : Scenario B) จะทำให้ยอดคงค้างพันธบัตร ธปท. ระยะสั้น ลดลงประมาณ 1.46 แสนล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าในเดือนสิงหาคมอย่างมีนัย ปริมาณพันธบัตรจะมีน้อยกว่าความต้องการของตลาดค่อนข้างมาก โอกาสเกิดสถานการณ์ J-Curve จึงมีสูงขึ้นกว่าในเดือนสิงหาคม

o หาก ธปท. ปรับลดวงเงินประมูลพันธบัตรลงในอตัราเดียวกันกับในเดือนสิงหาคม และอาจทำให้มีโอกาสเกิดสถานการณ์ J-Curve ได้มากที่สุด โดย EIC  สมมติให้ ธปท. ยังคงลดวงเงินประมูลพันธบัตรอายุ 3 เดือน และ 6 เดือน อีก 5 หมื่นล้านบาทต่อสัปดาห์ (ตารางที่ 2 : Scenario C) ซึ่งจะทำให้ยอดคงค้างพันธบัตร ธปท. ระยะสั้น ลดลงประมาณ 1.86 แสนล้านบาท โอกาสเกิดสถานการณ์ J-Curve จึงมีมากที่สุดใน Scenario นี้ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ J-Curve ก็น่าจะยังไม่รุนแรงเท่าในเดือนเมษายน ปี 2560เพราะยอดคงค้างยังลดลงในอัตราที่น้อยกว่า ทั้งนี้ EIC มองว่า ธปท. น่าจะไม่ลดปริมาณการออกพันธบัตรลงเหมือนในกรณีนี้เพราะต้องการเลี่ยงสถานการณ์ J-Curve อีกทั้งแรงกดดันที่มีต่อการแข็งค่าของเงินบาทก็ลดลงมาบ้างแล้ว

EIC มองว่า มีโอกาสสูงที่ ธปท. จะปรับเพิ่มวงเงินการประมูลพันธบัตรในเดือนกันยายน เพื่อเลี่ยงสถานการณ์ J-Curve ที่อาจนำไปสู่ Search-For-Yield ได้ เนื่องจาก หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นลดต่ำลงมาก ก็อาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร (Underpricing of Risk) และเกิดพฤติกรรมค้นหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (Search-For-Yield Behavior) โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้มากที่สุด ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้เป็นสิ่ง ที่ธปท. เป็นห่วงและต้องการป้องกันไม่ให้เกิดมากขึ้น เพื่อรักษาเสถียรภาพระบบการเงินให้อยู่ในเกณฑ์ดีต่อไป นอกจากนี้ การเพิ่มวงเงินประมูลพันธบัตรก็จะเป็นสิ่งที่สะท้อนได้ว่า การลดปริมาณในช่วงที่ผ่านมาอาจยังไม่เป็นมาตรการที่หวังผลถึงการอ่อนค่าของเงินบาท แต่เป็นเพียงการปรับฐานะสภาพคล่องของตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยตามที่ ธปท. ได้กล่าวไว้เท่านั้น

สำหรับมาตรการควบคุมเงินทุนไหลเข้าที่ ธปท. ได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2562 นั้น พบว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกจากตลาดการเงินไทยเล็กน้อย กล่าวคือ ในเดือนกรกฎาคม มีเงินทุนไหลออกจากตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท และไหลเข้าตลาดหุ้นไทย 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในเดือนมิถุนายน พบว่ามีเงินทุนไหลเข้าตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยถึง 5.4 หมื่นล้านบาท และไหลเข้าตลาดหุ้นไทย 4.6 หมื่นล้านบาท จึงอาจสะท้อนได้ว่า มาตรการดังกล่าวช่วยชะลอการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติได้ โดยเฉพาะในตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทย

อย่างไรก็ตาม มาตรการที่ประกาศใช้อาจไม่ได้เป็นพียงปัจจัยเดียวที่ทำให้เงินทุนไหลออกจากตลาดการเงินไทย แต่อาจมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น ภาวะ Risk-Off ลดลง ทไให้ความต้องการถือพันธบัตรไทยน้อยลง ผลตอบแทนของตลาดหุ้นในประเทศเศรษฐกิจหลักปรับเพิ่มขึ้น หรือค่าเงินเหรียญสหรัฐกลับมาแข็งค่า เป็นต้น.

สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระบุภาพรวมอสังหาฯ ผ่านจุดต่ำสุด

alivesonline.com : สามสมาคมอสังหาฯ ผนึกกำลังจัดงาน “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 41” ระหว่างวันที่ 12-15 ก.ย.62 ณ สยามพารากอน เผยข้อมูลผู้บริโภคต้องการซื้อภายในช่วงเวลา 1-2 ปีมากถึง 25% ส่วนใหญ่ต้องการซื้อในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท พร้อมชี้ชัด 6 เหตุผลเพิ่มโอกาสซื้อที่อยู่อาศัยภายในงาน มั่นใจครึ่งปีหลังตลาดจะกลับมาคึกคักหลังผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล รองเลขาธิการ สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร เปิดเผยว่า งาน “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 41” ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 กันยายน 2562 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยาม พารากอน จัดโดย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร, สมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ถือเป็นมหกรรมที่รวบรวมที่อยู่อาศัยที่ใหญ่ที่สุดในไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการตลาดให้กับสมาชิกของทั้งสามสมาคมที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ผู้บริโภคก็จะได้ประโยชน์และได้รับความมั่นใจด้วยเช่นกัน

การจัดงานครั้งนี้มีจุดเด่นสำคัญหลายด้าน ได้แก่ โครงการที่ร่วมออกบูธ หรือนำมาขาย มีใบอนุญาตจัดสรรและใบอนุญาตก่อสร้าง โดยได้รับการคัดเลือกในระดับหนึ่งจากสมาคมที่จัดงาน โดยผู้บริโภคยังจะได้รับโปรโมชันราคาพิเศษจากแคมเปญส่งเสริมการขายผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่มาร่วมออกบูธในระดับราคาที่หลากหลาย นอกจากนั้นผู้ที่จองที่อยู่อาศัยในงานยังมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลอีกมากมาย ทั้งยังถือเป็นการจัดงานมหกรรมบ้านฯ ที่ตอบโจทย์ทุกเพศ ทุกวัย แม้กระทั่ง Gen Z เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) มีรายได้อยู่ประมาณไม่เกิน 2-3 หมื่นบาทต่อเดือน จึงถือเป็นการเพิ่มโอกาสในการเลือกซื้อและเปรียบเทียบความคุ้มค่า-คุ้มราคาจากกว่า 100 บริษัท และกว่า 1 พันโครงการ ในทำเลที่มีศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯ/ปริมณฑล และต่างจังหวัด โดยยังจะได้รับบริการสินเชื่อพิเศษจากสถาบันการเงินชั้นนำที่มาร่วมในงานด้วยเช่นกัน

นายชูรัชฏ์ กล่าวด้วยว่า แม้โดยภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศจะชะลอตัวและส่งผลต่อธุรกิจเรียล เซกเตอร์อย่างอสังหาริมทรัพย์ แต่ก็เชื่อมั่นว่ากำลังซื้อยังมี โดยสะท้อนจากข้อมูลที่ได้สำรวจและสอบถามผู้บริโภคที่เข้าชมและหาข้อมูลจากการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พบว่าความต้องการยังมีในสัดส่วนที่สูงและต้องการซื้อภายในช่วงเวลา 1-2 ปีมีมากถึงเกือบ 25% ต้องการซื้อในช่วงเวลา 6-12 เดือน อยู่ที่ 16.37% และระยะเวลา 1-3 เดือน อยู่ที่ 15.57% ขณะที่ระดับราคาบ้านนั้นส่วนใหญ่ต้องการซื้อในงบประมาณไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยผู้เข้าชมงาน 30.73% ต้องการที่อยู่อาศัยระดับ ราคา 2-3 ล้านบาท และ 23.99% ต้องการระดับ 1-2 ล้านบาท ส่วนอีก 18.31% ต้องการซื้อระดับราคา 3-4 ล้านบาท โดยมีเพียง 5.07% ที่สนใจที่อยู่อาศัยราคาตํ่ากว่า 1 ล้านบาท

การจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 41 จะประสบความสำเร็จและได้รับความสนใจจากผู้บริโภคที่มีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ทั้งนี้เพราะกว่า 60% ของผู้เช้าชมงานมหกรรมบ้านฯ ในครั้งก่อน เป็นผู้เข้าชมงานมหกรรมบ้านฯ ครั้งแรก และอีกประมาณ 38.99% เป็นผู้ที่เคยมางานแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ซึ่งนั่นย่อมพิสูจน์ได้ชัดเจนว่างานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ที่สามสมาคมอสังหาริมทรัพย์ร่วมมือกันจัดขึ้นในแต่ละครั้งนั้นเป็นแหล่งรวมที่อยู่อาศัยที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้บริโภคที่ได้เตรียมความพร้อม หรือมีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัยได้มีโอกาสในการชอปและเปรียบเทียบมากขึ้น

“ภาพรวมของตลาดอสังหาริทรัพย์ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 แม้ค่อนข้างชะลอตัว แต่เชื่อว่าน่าจะผ่านจุดต่ำสุดของธุรกิจแล้ว จึงคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดน่าจะคึกคักกลับขึ้นมาเพราะผู้บริโภคยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย อีกทั้งคาดว่ารัฐบาลใหม่จะออกมาตรการมากระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งนั่นจะช่วยเพิ่มความมั่นใจมากขึ้น” นายชูรัชฏ์ กล่าวในตอนท้าย

ผู้สนใจ งาน “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 41” ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.housecondoshow.com และ www.facebook.com/housecondoshow/

 

“ออเนอร์” จัดให้แคมเปญ OH! MY GOD ลดแหลก แจกบิ๊กคอมโบ

“ออเนอร์” จัดหนัก จัดเต็ม! เสิร์ฟอภิมหาแคมเปญ OH! MY GOD ให้คุณลุ้นเป็น 1 ในผู้เป็นผู้โชคดี ได้บินลัดฟ้าไปท่องโลกที่แดนปลาดิบแบบฟรี ๆ งานนี้มอบให้ทั้งตั๋วเครื่องบินและที่พักแบบครบเซ็ต เพียงมาร่วมจับจองเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน “ออเนอร์” ในราคาพิเศษ ตั้งแต่วันที่ 8 สิงหาคม – 30 กันยายน 2562 เท่านั้น!

ให้คุณสนุกไปกับโชคชั้นที่ 1 เพียงแค่คุณซื้อสมาร์ทโฟน “ออเนอร์” รุ่นที่ร่วมรายการ อาทิ สมาร์ทโฟนเพื่อสายถ่ายรูปอย่าง HONOR 10 LITE, HONOR 20 LITE และ HONOR 8X PRO สมาร์ทโฟนเพื่อชาวเกมเมอร์อย่าง HONOR PLAY หรือสมาร์ทโฟนอันทรงพลังที่คุณภาพคุ้มค่าเกินราคาอย่าง HONOR 8A และ HONOR 8C ก็รับไปเลย ส่วนลดสุดพิเศษแบบจุก ๆ มูลค่าสูงสุดถึง 2,000 บาท!

แค่โชคชั้นเดียวยังไม่พอ! “ออเนอร์” ยังจัดให้อีกต่อลุ้นรับโชคชั้นที่ 2 สำหรับลูกค้าที่ซื้อสมาร์ทโฟนออเนอร์ที่ร่วมรายการ ลุ้นรับของรางวัลใหญ่แห่งปีที่พลาดไม่ได้ ได้แก่ ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ญี่ปุ่นพร้อมที่พักสำหรับ 2 ท่าน (รวมทั้งสิ้น 5 วัน 3 คืน) จำนวล 1 รางวัล หูฟัง HONOR Fly Pods รวมมูลค่า 11,970 บาท จำนวน 3 รางวัล และ บัตรของขวัญจากเทสโก้ โลตัส มูลค่า 500 บาท จำนวนถึง 40 รางวัล รวมทั้งสิ้นมูลค่ากว่า 100,000 บาท !!

กติกาการร่วมสนุก

ลูกค้าที่ต้องการร่วมสนุกกับกิจกรรม “OH! MY GOD Campaign” เพียงแค่ท่านซื้อสมาร์ทโฟน “ออเนอร์” รุ่นใดก็ได้ที่ร่วมรายการ ท่านก็สามารถมาร่วมลุ้นเป็นผู้โชคดีที่จะได้รับรางวัลสุดพิเศษจากทางออเนอร์ โดยการลงทะเบียนออนไลน์ผ่านทาง 2 ช่องทาง ได้แก่

  1. ลูกค้าสามารถแอดไลน์ไปที่ Line Official Account ของ “ออเนอร์” (@HONORThai) เพื่อรับลิงก์ลงทะเบียนออนไลน์
  2. ลูกค้าสามารถสแกน QR code ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายสมาร์ทโฟน “ออเนอร์. เพื่อนำท่านไปยังหน้าลงทะเบียนออนไลน์

สำหรับการลงทะเบียนออนไลน์ ลูกค้าจะต้องกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อรับสิทธิ์ในการเล่นกิจกรรม อาทิ การระบุ ชื่อ-นามสกุล เบอร์ติดต่อ อีเมล วันที่ที่ซื้อโทรศัพท์ และเลขที่ใบเสร็จของสมาร์ทโฟนที่ท่านซื้อในวันนั้น ๆ ซึ่งจำกัดเพียง 1 สิทธิ์ต่อ 1 ใบเสร็จเท่านั้น

งานนี้ต้องไม่รอช้า “ออเนอร์” จัดมาให้ทั้งโปรโมชันสุดคุ้มและของรางวัลที่แสนจะกระชากใจ พูดได้คำเดียวเลยว่า โอ้ว… มาย ก็อด ของมันต้องมี ! มาร่วมเป็นครอบครัวเดียวกับเรา พร้อมลุ้นเป็นผู้โชคดีที่จะได้รับรางวัลสุดพิเศษไปครอง โดยลูกค้าทุกท่านสามารถไปเลือกซื้อสมาร์ทโฟน “ออเนอร์” ที่ร่วมรายการได้แล้วตั้งแต่ วันที่ 8 สิงหาคม 2562 พร้อมร่วมเล่นกิจกรรมได้จนถึง วันที่ 30 กันยายน 2562 โดยจะประกาศรายชื่อผู้โชคดี วันที่ 10 ตุลาคม 2562 เวลา 15.00 น. ผ่านช่องทาง HONOR Fanpage : https://www.facebook.com/HonorThai/ ปักหมุดกันไว้เลย!

“บิ๊กซี” จับมือ 30 พันธมิตรจัดงาน “Nescafe Coffee Month” อัดโปรเด็ดลด 20%

alivesonline.com : “บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์” จับมือร่วมกับพันธมิตรรายใหญ่ 30 ราย จัดงาน “Nescafe Coffee Month” ฉลองเดือนแห่งความหอมกรุ่น เอาใจคอกาแฟดื่มด่ำสินค้าราคาถูก นำผลิตภัณฑ์กาแฟ ครีมเทียม เครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ทั้งชนิดผงและ 3 IN 1 จัดโปรโมชั่นลดสูงสุด 20 % ที่ “บิ๊กซี” ทุกสาขา พร้อมแท็กทีม ดึง “ฮั่น เดอะสตาร์” ร่วมสร้างสีสันมินิคอนเสิร์ต และร่วมกิจกรรมชิงโชค ลุ้นรับสร้อยคอทองคำ 25 สตางค์ จำนวน 5 รางวัล ที่ “บิ๊กซี สุขสวัสดิ์”

นางสาวบุศรินทร์ วานิชทวีวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภค บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี กล่าวว่า “บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์” ฉลองเดือนแห่งความหอมกรุ่น จัดงาน “Nescafe Coffee Month” ก้าวเข้าสู่ปีที่ 3 ร่วมกับ “เนสกาแฟ” และพันธมิตร 30 ราย นำผลิตภัณฑ์กาแฟ ครีมเทียม เครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ ทั้งชนิดผง และ 3IN1 ผลิตภัณฑ์อาหารเช้า จัดโปรโมชั่นลดสูงสุด 20% เพื่อเอาใจคอกาแฟได้ดื่มด่ำเครื่องดื่มสำเร็จรูปในราคาสุดพิเศษ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 13 สิงหาคม 2562 ที่ “บิ๊กซี” ทุกสาขา คาดช่วยกระตุ้นยอดขายเติบโต 30%”

กิจกรรม “Nescafe Coffee Month” จะมีการนำผลิตภัณฑ์กาแฟสำเร็จรูป คอฟฟี่เมต จัดโปรโมชั่นพิเศษ ! เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ “เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู เอสเปรสโซ โรสต์” 472.5 กรัม หรือ “เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ริช อโรมา” 426.6 กรัม จากราคาปกติ 99 บาท เหลือเพียง 92 บาท “เนสกาแฟ เรดคัพ” 380 กรัม และ “เนสกาแฟ เรดคัพ เอสเปรสโซ โรสต์” 340 กรัม จากราคาปกติ 219 บาท เหลือเพียง 209 บาท “เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ริช อโรมา” 776 กรัม และ “เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู เอสเปรสโซ” 700 กรัม จากราคาปกติ 145 บาท เหลือเพียง 134 บาท สามารถซื้อได้ที่ “บิ๊กซี” ทุกสาขาทั่วประเทศ

พิเศษสุด! เมื่อซื้อ ที่ Big C Online “เนสกาแฟ โกลด์ คาปูชิโน” ขนาด 205 กรัม “เนสกาแฟ โกลด์ ลาเต้มัคคิอาโต้” 200 กรัม “เนสกาแฟ โกลด์ ไวท์ เอสเปรสโซ” 250 กรัม “เนสกาแฟ โกลด์ คาเฟ่ โอเลท์ อินเทนโซ” 15 ซอง “เนสกาแฟ โกลด์ คาเฟ่ โอเลท์ สูตรไม่มีน้ำตาลทราย” 15 ซอง จากราคาปกติ 99 บาท เหลือเพียง 79 บาท และเมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ “เนสกาแฟ” และ “คอฟฟี่เมต” ที่ร่วมรายการ 419 บาท รับฟรี ! กระติกน้ำเนสกาแฟ 1 ใบ มูลค่า 99 บาท ที่ “บิ๊กซี” ทุกสาขาทั่วประเทศ (ยกเว้นบิ๊กซี มาร์เก็ตและมินิ บิ๊กซี) และ Big C Online

นายธวัชชัย ตั้งประสิทธิภาพ ผู้จัดการฝ่ายขายช่องทางโมเดิร์นเทรด บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า ภายในงาน “Nescafe Coffee Month” ยังจะมีการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าด้วยกิจกรรมพิเศษ “ฮั่น อิสริยะ” หรือ “ฮั่น เดอะสตาร์” มาร่วมสร้างสีสันมินิ คอนเสิร์ต ให้ลูกค้าบิ๊กซีได้ Meet & Greet

เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 1 ปี สำหรับการเปิด “NESCAFÉ IN-STORE CAFÉ” แห่งแรกของเมืองไทย ที่ “บิ๊กซี สุขสวัสดิ์” ในโซนซูเปอร์มาร์เก็ต “เนสท์เล่” ได้รังสรรค์เมนูใหม่มาให้ลิ้มลอง “Nescafe Gold Dream Grape fruit & RaspberryW ที่ทำจาก “NESCAFÉ GOLD CREMA Smooth & Finest” ในราคาสุดพิเศษ ทั้งเครื่องดื่มเมนูเย็นและร้อน งานนี้คอกาแฟไม่ควรพลาด

สอบถามเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ “บิ๊กซี” ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.BigC.co.th หรือ เฟสบุ๊ค Big C – บิ๊กซี https://www.facebook.com/BigCBigService/ หรือโทร.1756

ตลาดพื้นที่พาณิชย์ พบ “ฟิตเนส” ติดชาร์ตผู้เช่าอันดับต้น ๆ

alivesonline.com : ตลาดพื้นที่พาณิชยกรรมยังคงเติบโตต่อเนื่อง มีอัตราเช่าสูงถึง 95% ของพื้นที่ทั้งหมด พบ “ธุรกิจฟิตเนส” น่าจับตามอง หลังเติบโตรองรับเทรนด์การดูแลสุขภาพคนทุกเพศวัยมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการระดับกลางที่ใช้พื้นที่เพียง 600-,1000 ตารางเมตร เผยพื้นที่เช่าที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจมาก ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงาน

นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดพื้นที่พาณิชกรรมยังคงดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดพื้นที่ศูนย์การค้าในย่านใจกลางเมือง เช่น สยาม ราชประสงค์ และพร้อมพงษ์ ยังคงดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม – มิถุนายน 2562) พบว่า ทำเลดังกล่าวยังคงมีอัตราเช่าสูงประมาณ 95% โดยหมวดหลักคือ กลุ่มผู้ประกอบการด้านอาหารและเครื่องดื่ม (Food and Berverage หรือ F&B) เนื่องจากกลุ่มนี้ยังคงเป็นกลุ่มที่สร้างจุดขายให้กับห้างได้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกัน อีกเทรนด์หนึ่งที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากคือ เทรนด์การรักสุขภาพที่กำลังเป็นที่ได้รับความสนใจ และมาแรงมากในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ตั้งแต่ปี 2557 – ปี 2562) ทำให้หลายธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ ธุรกิจรองเท้า เสื้อผ้ากีฬา, ธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพ และธุรกิจฟิตเนสเติบโตอย่างรวดเร็วตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงาน

ฟิตเนสถือเป็นผู้เช่ารายใหญ่ของตลาดพื้นที่ศูนย์การค้า เนื่องจากฟิตเนสมีความต้องการใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ ส่งผลให้มีความต้องการพื้นที่เช่ามากขึ้น นอกจากนี้ ยังพบว่าพฤติกรรมของผู้ที่มาใช้บริการฟิตเนส โดยเฉลี่ยจะมาใช้บริการเป็นประจำอย่างน้อย 2-3 วันต่อสัปดาห์ ส่งผลให้อาคาร หรือ ห้างสรรพสินค้านั้น ๆ มีทราฟฟิกเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย โดย

เมื่อพิจารณาถึงผู้เล่นหลักในตลาดฟิตเนสในปัจจุบัน เช่น “ฟิตเนสเฟิร์ส” และ “เวอร์จิ้น แอคทีฟ” พบว่ายังมีการขยายสาขาออกไปอย่างต่อเนื่อง โดยทั้งสองแบรนด์เน้นจับตลาดกลุ่มบนเป็นหลัก ซึ่งการจับตลาดกลุ่มบนของผู้เล่นหลักนี้ส่งผลให้เกิดช่องว่างทางการตลาดของตลาดฟิตเนสระดับกลางซึ่งถือมีโอกาสเติบโตเช่นกัน

นายธีระวิทย์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของผู้ประกอบการฟิตเนสระดับกลางที่น่าจับตามองคือ “เจ็ทส์ ฟิตเนส” ซึ่งที่ผ่านมา เน้นการเช่าพื้นที่ในที่สะดวกสบาย ลดขนาดการใช้พื้นที่ของฟิตเนสลง จากปกติที่ฟิตเนสระดับบนแต่ละสาขาจะใช้พื้นที่ประมาณ 2-3 พันตารางเมตร แต่สำหรับ “เจ็ทส์ ฟิตเนส” ลดการใช้พื้นที่ลงเหลือเพียง 600-1,000 ตารางเมตร แต่มาทดแทนด้วยการเปิดสาขาจำนวนมากขึ้น ทำให้สามารถเปิดได้ 2-3 สาขาในทำเลเดียวกัน เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้ออกกำลังกายและง่ายต่อการเข้าถึง นอกจากนี้ ยังเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงอีกด้วย

ด้วยกลยุทธ์การหาทำเล และการเปิดบริการแบบ 24 ชั่วโมง ทำให้ “เจ็ทส์ ฟิตเนส” สามารถขยายสาขาได้ถึง 19 สาขาภายในระยะเวลาเพียง 2 ปี ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ พัทยาและโคราช โดยในปี 2561 สามารถขยายได้ถึง 10 สาขา บนทำเลศักยภาพ อาทิ สาขาเอฟ วาย ไอ เซ็นเตอร์ บริเวณหัวมุมถนนพระราม 4 ตัดถนนรัชดาภิเษก, อาคาร เอสพี ทาวเวอร์ ย่านอารีย์ หรือที่รู้จักกันในนามอาคารไอบีเอ็ม โดยในปี 2562 ได้ขยายเพิ่มอีก 7 สาขา ทั้งยังเป็นปีแรกที่ได้ขยายไปยังต่างจังหวัด โดยมีแผนที่จะขยายเพิ่มเติม ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ๆ อีกกว่า 15 สาขาซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง และดำเนินการ

นายธีระวิทย์ เสริมว่า “เน็กซัสฯ ได้รับความไว้วางใจในการเป็นตัวแทนหาพื้นที่เช่าให้กับ “เจ็ทส์ ฟิตเนส” มาตั้งแต่ปี 2561 โดยทำเลที่สนใจคือ พื้นที่รีเทลชั้น 1 หรือชั้น 2 ที่โดดเด่นสะดุดตา ง่ายต่อการเข้าถึง รวมถึงทำเลที่ใกล้แนวรถไฟฟ้า และสามารถเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงได้ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ โดย “เจ็ทส์ ฟิตเนส” มีเป้าหมายในการขยายสาขาในประเทศไทยมากถึง 100 สาขาภายในปี 2567

 

ธนาคารกลางหลายชาติปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งสัญญาณวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่

alivesonline.com  : “ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ชี้ธนาคารกลางหลายประเทศประกาศลดดอกเบี้ย ส่งสัญญาณวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในรอบ 10–12 ปี ระบุสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ยังยืดยาวไปอีกเป็นปี แนะนักลงทุนจับตาเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด พร้อมจับตาจังหวะเอาคืนของจีน ในกรณีสงครามการค้ากับสหรัฐ

 ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ “Bangkok ASEAN Tour 2019” งานสัมมนาด้านธุรกิจและการลงทุนที่จัดโดย “ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล” กลุ่มบริษัทผู้ให้บริการด้านการเงินระดับโลก โดยในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายมาริโอ้ ซิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล มาร่วมคาดการณ์เศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง 2562 ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน เริ่มส่งสัญญาณเกิดวิกฤติ ซึ่งจากที่มีการศึกษาวิกฤติการณ์ในอดีต ตั้งแต่ Energy Crisis ในปี 2518 Back Monday ปี 2530 Asian Financial Crisis ในปี 2540 และ Subprime Crisis ในปี 2551 ซึ่งแต่ละเหตุการณ์มีระยะห่าง 10-12 ปี ตรงกับช่วงเวลานี้”

“เมื่อพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันจากทั่วโลกพบว่า สัญญาณสำคัญของวิกฤติการณ์เริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยธนาคารกลางในหลายประเทศเริ่มมีนโยบายปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดแรงจูงใจในการเก็บออมเงินของผู้บริโภคและเพิ่มแรงจูงใจในการกู้ยืมเพื่อลงทุน หรือขยายกิจการของภาคธุรกิจ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางยุโรปที่เพิ่งส่งสัญญาณความตั้งใจที่จะลดอัตราดอกเบี้ย โดยอาจเป็นภายในเดือนกันยายน 2562 และเริ่มดำเนินการซื้อสินทรัพย์รอบใหม่ในปีนี้ ขณะที่อินเดียที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดในรอบ 9 ปี ส่วนออสเตรเลียปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1% เกาหลีที่ลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 3 ปี ตุรกีปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งยิ่งใหญ่ในรอบ 17 ปี เศรษฐกิจสิงคโปร์มีอัตราการเติบโตที่น้อยกว่า 0.1% เมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาสที่ 2 ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี หรือแม้แต่เฟดก็มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการแถลง FOMC ในสัปดาห์ที่ผ่านมา” นายมาริโอ้ กล่าว

ด้าน นายจิมมี่ ซู หัวหน้าฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ “ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ระบุว่า ให้จับตาสงครามการค้าอย่างต่อเนื่อง เพราะมีโอกาสที่จะเกิดความผันผวนครั้งใหญ่ ความยืดเยื้ออาจจะมองได้ 2 กรณี กรณีแรกคือก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ ซึ่งยังมองไม่เห็นข้อสรุปใด  ๆในขณะนี้ ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นนั้นความจริงแล้ว นายโดนัล ทรัมป์ เพียงต้องการให้จีนให้ความร่วมมือกับสหรัฐในการทำธุรกิจขนาดใหญ่กับจีน เพราะที่ผ่านมาจีนมีนโยบายสนับสนุนภาคธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็กในประเทศให้เติบโต เป็นการสร้างความแข็งแรงให้เศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งจีนมีขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐนั่นเอง กรณีที่ 2 ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังไม่มีความแน่นอน และไม่สามารถตัดสินได้ นับจากนี้ไปอีก 12 เดือน ประเทศต่าง ๆ จึงยังคงได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า ซึ่งนำมาต่อความผันผวนของการค้าและค่าเงินในหลายประเทศ

“สิ่งที่น่าจับตามองมากที่สุดคือการตอบโต้จากจีน โดยเมื่อพิจารณาฝั่งของ นายโดนัล ทรัมป์ พบว่า ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการประคองภาวะตลาดหุ้นในสหรัฐ นั่นก็เป็นเพราะดุลการค้าการส่งออกไปยังจีนมีมูลค่า เพียงประมาณ 1 พันล้านเหรียญ ขณะที่การนำเข้าสูงถึง 5–6 พันล้านเหรียญ การตอบโต้จากจีนจึงไม่น่าเป็นการตอบโต้ในทางการค้า แต่ด้วยการเป็นประเทศขนาดใหญ่ มีสินทรัพย์มาก ตลาดหุ้นอาจเป็นหนทางในการที่จีนจะเอาคืน มีความเป็นไปได้สูงที่จีนจะเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา เมื่อราคาหุ้นร่วงดิ่งลงก็จะนำมาสู่ปัญหาการเลย์ออฟพนักงาน ทำให้เกิดว่างงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นชนวนที่จะนำไปสู่ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลก”

นายจิมมี่ ยังกล่าวต่ออีกว่า ผลของสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบกับทุกภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยซึ่งได้รับผลกระทบจึงต้องเตรียมรับมือ เพราะถ้าจีนถูกกำแพงภาษีที่ 25% นั่นหมายความว่าจะส่งผลกระทบต่อ GDP ของจีนลดลง 0.9% และจะส่งผลกระทบต่อ GPD ของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 0.4% และการที่จีนมีขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่จึงติดตามดัชนีภาคการผลิตของจีนซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดที่มีผลกระทบต่อการลงทุนในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด

เศรษฐกิจไทยนับจากนี้จึงค่อนข้างท้าทายของรัฐบาล เพราะการเติบโตของเศรษฐกิจโลกก็อยู่ในภาวะที่ตกต่ำ ขณะที่อัตราความเติบโตของการบริโภคในประเทศค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับขนาดและจำนวนประชากรในประเทศ ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็คงไม่สามารถที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ แม้ในหลายประเทศได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปแล้ว เพราะอัตราเงินเฟ้อของไทยที่ค่อนข้างสูงยังเป็นแรงกดดันให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย อาจจะต้องคงนโยบายเพิ่มอัตราดอกเบี้ยต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนโยบายรัฐบาลอาจจะมีนโนบายต่าง ๆ ในเรื่องการลงทุนในสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ออกมากระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เพื่อเกิดการจ้างงานและสร้างกำลังซื้อเข้ามากระตุ้นระบบเศรษฐกิจ

กูรูทั้งสองจาก “ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ส่งท้ายด้วยการเน้นย้ำนักธุรกิจและนักลงทุนให้จับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและมองหาโอกาสในการเพิ่มมูลค่าในการทำธุรกิจและการลงทุน ตลอดจนต้องศึกษาเครื่องมือและผลิตภัณฑ์การเงินและการลงทุนใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพ สามารถต่อยอดทำกำไรได้แม้อยู่ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอย

“เอซุส” ขยายฐานลูกค้าภูมิภาค เปิดสโตร์แห่งใหม่ที่ระยอง

‘จักรกฤช วัชระศักดิ์ศิลป์’ (ซ้าย) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานผลิตภัณฑ์ การขายและการตลาด บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด พร้อมด้วย ‘อัลวิน เฉิน’ (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอซุส (ประเทศไทย) จำกัด และ ‘นภัทร วงษ์ประเสริฐ’ (ขวา) ผู้จัดการทั่วไปศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ระยอง ร่วมเปิด Asus Store by Advice แห่งที่ 2

alivesonline.com : “เอซุส” จับมือ “แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท” เปิด “Asus Store by Advice” แห่งใหม่ที่เซ็นทรัล ระยอง เดินหน้าขยายฐานลูกค้า รองรับการเติบโตโดยเฉพาะตลาดเกมมิ่ง ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีสุดล้ำ พร้อมส่งมอบความสะดวกและสินค้าไอทีครบครันตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ในยุคดิจิทัล

นายอัลวิน เฉิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอซุส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้พัฒนาและผลิตสินค้าไอที ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต เซิร์ฟเวอร์ และสมาร์ทโฟน เปิดเผยว่า บริษัท เอซุส (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมมือกับ บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด เปิด “Asus Store by Advice” แห่งที่สองในประเทศไทย ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า ระยอง ซึ่งถือเป็นสาขาแรกในส่วนของภูมิภาค เพื่อรองรับการเติบโตและขยายการให้บริการลูกค้าครอบคลุมทั่วประเทศ หลังจากเปิดบริการสาขาแรก ณ ชั้น 4 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์

ภายในสโตร์เป็นการนำเสนอนวัตกรรมเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์ “เอซุส” พร้อมจัดจำหน่าย อาทิ โน้ตบุ๊ก เดสก์ท๊อป (AIO) จอมอนิเตอร์ และอื่น ๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์เกมมิ่งแบรนด์อย่าง ROG (Republic of Gamers) โดยเปิดให้บริการแล้วตั้งแต่วันนี้ ณ ชั้น 2 ตั้งแต่เวลา 10:00-22:00 น. ทุกวัน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้าโปรโมชั่น และอื่น ๆ สามารถเยี่ยมชมได้ที่  https://www.facebook.com/ASUSTHAILAND

 

“เรามีความมุ่งมั่นที่จะให้ร้าน Asus Store by Advice แห่งนี้รองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และได้เลือกซื้อสินค้าที่ตรงตามความต้องการ ทั้งยังได้สัมผัสประสบการณ์การใช้งานโดยตรงก่อนการตัดสินใจซื้อสินค้า การเปิดสโตร์ครั้งนี้จึงเป็นการขยายการเติบโตทางธุรกิจที่สำคัญในการให้บริการออกจากใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อส่งมอบความสะดวกสบายแก่ลูกค้าของเราได้อย่างครอบคลุม โดยเอซุสยังมีแผนจะเปิด Asus Store สาขาต่อ ๆ ไปให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคอีกด้วย”

ด้าน นายจักรกฤช วัชระศักดิ์ศิลป์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานผลิตภัณฑ์ การขายและการตลาด บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด ผู้นำและศูนย์รวมอุปกรณ์ไอทีครบวงจรที่มีสาขาครอบคลุมกว่า 350 สาขาทั่วประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว กล่าวเสริมว่า ความร่วมมือครั้งนี้นับเป็นการผนึกพลังของ 2 บริษัทที่ส่งเสริมและสนับสนุนโดยแบรนด์ “เอซุส” ถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านเทคโนโลยีและมีผลิตภัณฑ์ไอทีที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า ทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์ประกอบ (DIY) โน้ตบุ๊ก และผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์กลุ่มเกมมิ่งซึ่งมีการเติบโตสูงโดยเฉพาะโน้ตบุ๊ค โดย “แอดไวซ์” ในฐานะผู้นำในการทำตลาดและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไอที มั่นใจว่าการผนึกความร่วมมือในครั้งนี้จะขับเคลื่อนเทคโนโลยีให้ครอบคลุมลูกค้า พร้อมให้ลูกค้าในจังหวัดระยองและใกล้เคียงในภูมิภาคตะวันออกมาสัมผัสเทคโนโลยีทันสมัยเช่นเดียวกับกรุงเทพฯ

“แอดไวซ์ เล็งเห็นว่าในพื้นที่ภาคตะวันออกกลุ่มตลาดเกมมิ่งมีการเติบโตอย่างมาก โดยที่ผ่านมา แอดไวซ์ มีสาขาให้บริการมาหลายปีและได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นความร่วมมือในการเปิด Asus Store by Advice ครั้งนี้จึงคาดว่าจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการขยายฐานลูกค้าให้เหนียวแน่นยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการขยายลูกค้ากลุ่มใหม่ ผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Fanpage : AdviceClub Line : @AdviceClub Call Center : 1602”