กสอ. บ่มเพาะสตาร์ทอัป สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 53 ล้านบาท

alivesonline.com : กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โชว์ผลสำเร็จโครงการส่งเสริมการใช้พื้นที่ร่วมเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ (Co-Working Space) หรือ โครงการThe Basecamp ผลักดันระบบนิเวศเอื้อต่อการจัดตั้งธุรกิจส่งเสริมและยกระดับ Startup ไทย บ่มเพาะผู้ประกอบการ 50 ราย ภายในระยะเวลา 6 เดือน จนสามารถพัฒนาธุรกิจ สร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ก่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 53 ล้านบาท ตอกย้ำส่งเสริมการใช้อุตสาหกรรม สร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบ หรือ Prototype ได้สำเร็จ

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า การขับเคลื่อนประเทศให้ไปสู่ประเทศไทย 4.0 ตามแนวนโยบายและเป้าหมายของรัฐบาล นั้น วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และวิสาหกิจเริ่มต้น (Startup) เป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การพัฒนาทักษะด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมที่จะเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ให้สามารถสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นสิ่งสำคัญมาก และเพื่อเป็นการเสริมสร้างรากฐานที่จำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ได้เล็งเห็นความจำเป็นจึงสนับสนุนให้เกิดระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจเกิดใหม่ โดยเฉพาะการส่งเสริมให้เกิดการใช้พื้นที่ร่วมเพื่อสร้างธุรกิจใหม่ (Co-Working Space) ที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทายาทธุรกิจ กลุ่มนักประดิษฐ์ นักวิจัย และนักพัฒนานักออกแบบที่มีแนวคิดสร้างสรรค์รวมถึงกลุ่มวิสาหกิจเริ่มต้นให้ได้รับการพัฒนาให้เกิดแนวคิดในธุรกิจใหม่ เพื่อที่จะสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ หรือ บริการใหม่ให้ตรงกับความต้องการของตลาดได้

“หลักสูตรการอบรมโครงการ The Basecamp นอกเหนือจากการส่งเสริมให้เกิดการใช้พื้นที่ร่วม หรือ Co-Working Space เพื่อพัฒนาธุรกิจแล้ว ยังมีหลักสูตรด้านพื้นฐานการสร้างแบรนด์ วิธีการนำเสนอแผน ธุรกิจกับแหล่งทุน การสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบและหรือการออกแบบ 3D รวมทั้งพื้นฐานทางด้านการเงิน สำหรับเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ การส่งเสริมด้านการสร้างสายสัมพันธ์ของผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดเครือข่ายทางธุรกิจ การออกแสดงสินค้าเพื่อทดสอบตลาดจริง รวมถึงการได้ทดลองนำเสนอแผนธุรกิจให้กับแหล่งทุนอีกด้วย ผลจากการดำเนินงานตลอดระยะเวลา 6 เดือน มีผู้ประกอบการที่เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 50 ราย ได้รับการบ่มเพาะธุรกิจผ่านกิจกรรมต่าง ๆ จนสามารถพัฒนาธุรกิจ สร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ (Prototype) รวมถึงการเข้าถึงแหล่งเงินทุนทั้งในและต่างประเทศ คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ (มูลค่าทางธุรกิจ มูลค่าการจ้างงาน และมูลค่าการลงทุน) โดยรวมกว่า 53 ล้านบาท และมีผลตอบแทนเชิงเศรษฐศาสตร์ 1 : 13.25 เท่า ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าผู้ประกอบการอีกหลายรายในโครงการฯ จะสามารถพัฒนาตนเอง ต่อยอดธุรกิจสู่การเป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจเริ่มต้นได้อย่างเข้มแข็งเช่นเดียวกัน” นายกอบชัย กล่าว

สำหรับโครงการนี้มีผู้สนใจสมัครเข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 120 ราย และผ่านเกณฑ์การคัดเลือก จำนวน 50 ราย ในการเข้าร่วมบ่มเพาะธุรกิจ โดยมีโค้ช หรือ ผู้เชี่ยวชาญจาก The World Startup Festival หน่วยงานจาก Silicon Valley ที่มีประสบการณ์ในด้านการสร้าง Startup ไปจนถึงการลงทุนกับ Startup มาให้ความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์แก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมจนนำมาสู่พิธีมอบประกาศนียบัตรในวันนี้ นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงผลงานผลิตภัณฑ์ต้นแบบ โดยมีผลงานที่น่าสนใจเช่น ผลิตภัณฑ์ Zading โปรตีนจิ้งหรีด อาหารแห่งอนาคต ผลงานของคุณภานุวัฒน์ โคตรโนนกอก ที่นำจิ้งหรีดมาแปรรูปเป็นโปรตีนทดแทนหรือโปรตีนผง ส่งออกตลาดต่างประเทศ โดยเน้นจุดขายใช้จิ้งหรีดพันธุ์สะดิ้ง ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีโปรตีนสูงกว่าพันธุ์อื่น ๆ และเลี้ยงในระบบออแกนิค ซึ่งนอกจากจิ้งหรีดผงแล้ว ยังเตรียมทำผลิตภัณฑ์จากจิ้งหรีดอื่น ๆ อีก เช่น เอนเนอจี้บาร์ เส้นขนมจีนอบแห้ง เป็นต้น รวมถึงผลงาน Medical Device ซึ่งเป็นเครื่องวิเคราะห์สไลด์แปบสเมียร์ ด้วยระบบเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligent หรือ AI) เพื่อคัดกรองเซลล์มะเร็งปากมดลูก ของคุณปริญญา วัฒนนุกูลชัย และคุณสมาธิ บัวคอม ที่เป็นการพลิกโฉมกระบวนการตรวจมะเร็งปากมดลูกในประเทศไทยให้รวดเร็วในเวลาไม่กี่วินาที จากวิธีปกติ ที่ต้องรอผลอย่างน้อย 3-5 วัน อีกทั้งยังมีราคาถูกกว่านำเข้าถึง 50 เท่า

นายกอบชัยยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ดำเนินโครงการBasecamp มาปีนี้เป็นปีที่ 2 ผลงานเป็นที่น่าพอใจมาก  ในปี 2561 เรารับแค่ 60 ราย มีคณะกรรมการคัดเลือกเพื่อเข้าบ่มเพาะใน Basecamp เหลือ 12 ราย ได้ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจถึง 38 ล้านบาทและปี2562นี้ 50 ราย เฟ้นเหลือ 5 รายเพื่อพาไปpitching  เพื่อพบปะนักธุรกิจที่มาร่วมทุน ได้ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ 53 ล้านบาท ในขณะที่ใช้งบประมาณดำเนินโครงการไม่มากเพียง 3-4 ล้านบาท ส่วนผู้ประกอบการที่ยังไม่ผ่านการคัดเลือก เรายังฟูมฟักยังดูแลอยู่ต่อไป โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมมุ่งให้เข้าหาตลาดโดยเติมนวัตกรรมเข้าไป เสริมการตลาดออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ ซึ่งมีอีกหลายรายสามารถเพิ่มเติมขยายผลได้อยู่

นอกจากนี้เรายังนำผลงานวิจัยของหน่วยงานวิจัยของรัฐและเอกชน เช่น วว. สวทช. อุทยานวิทยาศาสตร์มาขยายผลและจับคู่ธุรกิจ ซึ่งผลงานวิจัยทั้งหมดที่เราทำมาทั้งปีจะไปโชว์ที่งาน  “Thailand Industry Expo 2019” จัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ระหว่างวันที่ 17-21 กรกฎาคม 2562  อาคารชาเลนเจอร์ 2-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยผู้สนใจนำผลงานไปทำธุรกิจ สามารถเข้าชมกันได้และมีโครงการสัมมนามากมายสำหรับคนสนทำธุรกิจ

ทั้งนี้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม มี 70-80 โครงการต่อปี เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการเริ่มต้น ในขณะนี้มีสื่อมวลชนจำนวนมากสนใจมาสมัครร่วมอบรม เช่น ฟู้ดทรัค ที่สมัครมาเป็นจำนวนนับหมื่นคน โดยด้านนี้เราพัฒนาเริ่มจาก 200 ราย ช่วงกว่า 1 ปีมีเกือบ 2,000 รายแล้ว คนทำงานประจำมาก็สนใจมาทำพิเศษช่วงวันหยุดมีรายได้เดือนละประมาณ 4,000-5,000 บาทต่อวันต่อคืน ซึ่งทางกรมฯมีพันธมิตร ได้แก่ บริษัทสยามออโต้ อีเวนท์คาร์ ผลิตรถฟู้ดทรัค สำหรับให้เช่าแก่สตาร์ทอัพฟู้ดทรัคด้วยเป็นรายวันและรายเดือน สำหรับผู้ต้องการทดลองทำเรามีการอบรมสตาร์ทอัพให้เกี่ยวกับ คน ทัวร์ รถ ตลาด ผู้ต้องการทุนเรามีสินเชื่อให้กู้ได้วงเงิน 500,000 บาท ดอกเบี้ยถูก4%

“Thai One Mall” รุกตลาดความงาม เปิดตัว แผ่นมาส์กหน้า “POYD”

alivesonline.com : “Thai One Mall” ในเครือ “ไทยเจียระไนกรุ๊ป” รุกตลาดความงาม เปิดตัวผลิตภัณฑ์ แผ่นมาส์กหน้า “POYD”  ผ่านกระบวนกานวิจัยและพัฒนานานกว่า 3 ปี ชูไฮไลท์ รวมสารสกัดจากธรรมชาติ 9 ชนิด ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ วางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ “เซเว่นอีเลฟเว่น” มั่นใจ โกยรายได้ปีละกว่า 141 ล้านบาท  

นางสาวหลุ่ย แซ่กั๊ว ประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเจียระไนกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า “Thai One Mall” บริษัทในเครือ ไทยเจียระไนกรุ๊ป สนใจรุกตลาดสุขภาพและความงามในประเทศไทยอย่างเต็มตัว โดยเปิดตัวผลิตภัณฑ์ แผ่นมาส์กหน้า POYD [ปอยด์] เพื่อเจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทั้งวัยเรียนและวัยทำงานที่ต้องการดูแลสุขภาพผิวหน้าให้สวยใสด้วยตนเองผ่านขั้นตอนที่ง่ายและสะดวกรวดเร็ว ซึ่งมั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์ แผ่นมาส์กหน้า POYD จะตอบสนองไลฟ์สไตล์ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ตั้งเป้ายอดขายปีละ 141 ล้านบาท โดยจะวางจำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ “เซเว่นอีเลฟเว่น”  ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป

ผลิตภัณฑ์แผ่นมาส์กหน้า POYD โดดเด่นด้วยส่วนประกอบจากสารสกัดธรรมชาติ มากถึง 9 ชนิด ได้แก่ อโลเวร่า ช่วยเติมน้ำให้ผิวชุ่มชื่น, ใบบัวบกช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจน, ขมิ้นลดริ้วรอยและป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของรอยเหี่ยวย่น, แตงกวาทำให้ผิวพรรณมีความยืดหยุ่นและชุ่มชื่น เห็ดยุโรปตะวันออก ช่วยสมานผิวและกระชับรูขุมขน, ชะเอมเทศลดการอักเสบและรอยแดงจากสิว, กระบองเพชรกระตุ้นเอ็นไซม์ในการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน, สาหร่ายทะเลสีแดงช่วยปรับผิวให้กระชับและยืดหยุ่นมากขึ้น และสารสกัดจาก Platinum (ทองคำขาวบริสุทธิ์) ช่วยเติมออกซิเจนให้กับผิว ลดเลือนริ้วรอย กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

ผลิตภัณฑ์แผ่นมาส์กหน้า POYD มีคุณลักษณะพิเศษคือ ใช้มาส์กหน้าทิ้งไว้ เพียง 15-20 นาที เท่านั้น ผิวหน้าจะแลดูสดชื่นและเนียนกระชับ โดยสัมผัสได้ถึงความชุ่มฉ่ำของสารสกัดต่างๆ อีกทั้ง เป็นแบรนด์แรกที่ผ่านการรับรอง สมุนไพร Platinum Plant จาก องค์การอาหารและยา (อย.) ว่าใช้ส่วนประกอบจากสารสกัดสมุนไพรแท้ ปราศจากน้ำหอมและสารกันบูด เมื่อวางบนผิวหน้าแล้ว ซึมซาบเข้าบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก ทั้งนี้ ในกล่องบรรจุ 10 แผ่น ราคาขายเพียงกล่องละ 880 บาท เท่านั้น

นางสาวหลุ่ย กล่าวเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่สนใจทำตลาดผลิตภัณฑ์แผ่นมาส์กหน้า เนื่องจากเป็นคนผิวแพ้ง่าย จึงต้องการใช้ผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรธรรมชาติที่สามารถใช้ดูแลผิวหน้าด้วยตนเองด้วยขั้นตอนง่าย ๆ สะดวกและรวดเร็ว นอกจากนี้ แผ่นมาส์กหน้า POYD ยังผ่านการรับรองจาก อย. ในการใช้ “แพลตตินั่ม” เป็นส่วนผสม มั่นใจได้ว่าไร้ส่วนผสมที่ส่งผลต่ออาการแพ้ผิว ได้แก่ สารฟอกขาว สารเรืองแสง สารสเตียรอยด์ สารโลหะหนัก และน้ำหอม จึงมั่นใจได้ว่าไม่ระคายเคียงและเกิดอาการแพ้อย่างแน่นอน

สำหรับ ผลิตภัณฑ์แผ่นมาส์กหน้านับว่าได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากช่วยให้ดูแลผิวพรรณให้ดูดีได้ด้วยตนเอง ด้วยวิธีการที่ง่ายและสะดวกสบาย ในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ และประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้ง ได้รับอิทธิพลจากประเทศเกาหลี ที่มีชื่อเสียงในด้านผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางบำรุงผิว ทั้งนี้ เพื่อเปิดตลาดให้เป็นที่รู้จักทั้งภายในประเทศไทยและในประเทศจีน ภายใต้ Thai One Mall โดยในการเปิดตัว ผลิตภัณฑ์แผ่นมาส์กหน้า POYD ครั้งนี้ ได้เชิญเหล่าบล็อกเกอร์ที่มีชื่อเสียงด้านความงามทั้งในประเทศไทย และ ประเทศจีน จำนวนกว่า 20 คน เพื่อร่วมรีวิว อาทิ piyapeauty, rietyrive, nn.nungnew, lilynawiya และ meaomm เป็นต้น จึงมั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากกลุ่มคนรุ่นใหม่เป็นอย่างดี ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นของผลิตภัณฑ์ และช่องทางการจำหน่ายที่ซื้อได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยคาดว่าจะมียอดขายในปีแรก จำนวนกว่า 1.3 ล้านแผ่น หรือมีรายได้มากกว่า 141 ล้านบาท

 

ภาคีรัฐ-เอกชน ร่วมดันสตาร์ทอัปพัฒนานวัตกรรมไมซ์

alivesonline.com : “ทีเส็บ” ร่วมกับ พันธมิตรเดินหน้าโครงการ “Thailand’s MICE Startup” มุ่งสานฝันกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้มีเวทีพัฒนาต่อยอดธุรกิจ พร้อมร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทย หลังเปิดตัวโครงการฯ จัดแข่งขันประกวดการพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดงานไมซ์ เฟ้นหา 3 ทีมสตาร์ทอัปสุดยอดไอเดียนวัตกรรมเข้าโครงการบ่มเพาะ ก่อนนำเสนอผลงานในงานประชุมสมาคมอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้าโลก หรือ UFI Annual Global Congress ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในเดือน พ.ย.ศกนี้

นางจารุวรรณ สุวรรณศาสน์ ผู้อำนวยการฝ่าย MICE Intelligence และนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า โครงการ “Thailand’s MICE Startup” เป็นความร่วมมือของ “ทีเส็บ” กับภาคีจากหลายหน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ depa สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ NSTDA สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA และอิมแพคเทค (ไทยแลนด์) ที่มุ่งหวังจะช่วยกันสร้างเวทีให้กับกลุ่มสตาร์ทอัปซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีไอเดียนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการแก้ไขปัญหาให้กับอุตสาหกรรมไมซ์ เพิ่มประสิทธิภาพและความสะดวกรวดเร็วในการดำเนินงาน และสนับสนุนให้กลุ่มสตาร์ทอัปสามารถเติบโต พัฒนาต่อยอดธุรกิจของตนเอง

การจัดแข่งขันประกวดการพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดงานไมซ์ เปิดตัวโครงการฯ มีผู้เข้าร่วมแข่งขัน 47 ทีม จาก 9 ประเทศ และผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือก 12 ทีม มาประชันกันในการนำเสนอไอเดียนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่อคณะกรรมการ โดยได้ผู้ผ่านเข้ารอบจำนวน 3 ทีมคือ “สนีค” (SNEAK) “ไมนด์ทรี” (Mindstree) และ “โพชั่นเนียร์” (Potioneer)

สำหรับผู้ผ่านเข้าสู่รอบคัดเลือกทั้ง 12 ทีมมีความน่าสนใจมาก แต่ต้องคัดเลือกเพียง 3 ทีมที่โดดเด่นที่สุด โดยทีม “สนีค” ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งนำเสนอแพลตฟอร์มวางแผนการท่องเที่ยวด้วยรูปภาพ โดยใช้รูปแนะนำเส้นทางที่ต้องการจะไป แม้จะยังไม่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมไมซ์ในปัจจุบัน แต่สามารถต่อยอดได้ในอนาคต ด้วยรูปแบบที่ใช้งานง่ายอาจจะสามารถขายจุดหมายปลายทางไมซ์ด้วยภาพ การจัดการเดินทางพักผ่อนหย่อนใจหลังงานประชุม (Post Tour) หรือการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (Incentive) โดยให้ลูกค้าเลือกรูปสถานที่ที่ชอบและระบบจะแนะนำเส้นทางให้ ซึ่งจุดนี้สามารถใช้เป็นลูกเล่นเพิ่มสีสันให้กับผู้ที่เข้าร่วมงานไมซ์ได้ด้วย

ส่วนอันดับสองคือ ทีม “ไมนด์ทรี” นำเสนอระบบที่มุ่งให้การท่องเที่ยวเป็นเครื่องมือกระจายรายได้สู่ชุมชน โซลูชั่นของ “ไมนด์ทรี” นับว่าสร้างผลกระทบสูงมาก ระบบนี้ต้องการที่จะดึงชุมชนเข้ามารองรับตลาดไมซ์ ทำให้เกิดกระจายรายได้และการจัดงานไม่ให้กระจุกอยู่ในกรุงเทพฯ โดยการเข้าไปให้ความรู้ชุมชนว่าจะสนับสนุนอุตสาหกรรมไมซ์ได้อย่างไร มีจุดขายและความแตกต่างอย่างไร ซึ่งในอนาคตจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งชุมชนและผู้ประกอบธุรกิจในการจัดทำเส้นทางไมซ์นำเสนอให้ลูกค้าเลือกชุมชนที่พวกเขาสนใจได้

ส่วนทีมสุดท้ายคือ “โพชั่นเนียร์” นำเสนอระบบที่ช่วยให้ผู้ที่สนใจงานอาหารและเครื่องดื่มแบบเอ็กซ์คลูซีฟค้นหางานได้ง่ายขึ้น จุดขายของระบบนี้คือความเป็นส่วนตัว ซึ่งสนองตอบกับลูกค้าในปัจจุบันที่มีความเป็นปัจเจกชนค่อนข้างสูง สามารถจะพัฒนาเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมไมซ์ในการตอบโจทย์กลุ่มคอร์ปอเรต หรือกลุ่มพรีเมียมที่ต้องการความแตกต่างและประสบการณ์พิเศษเฉพาะตัว ซึ่งอาจจะพัฒนาต่อยอดไปได้หลายธีมตอบโจทย์กลุ่มที่มีความต้องการเฉพาะ เช่น กลุ่มมังสวิรัติ หรือกลุ่มที่ต้องการอาหารโปรตีนสูง เช่น นักกีฬา ฯลฯ

“ในขั้นต่อไปผู้ผ่านเข้ารอบทั้ง 3 ทีมจะต้องเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม หรือโซลูชั่นให้คมชัดขึ้น สามารถตอบโจทย์อุตสาหกรรมไมซ์ได้จริง และทำเป็นธุรกิจได้ รวมถึงการได้รับโอกาสนำเสนอผลงานในงานประชุมสมาคมอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้าโลก หรือ UFI Annual Global Congress ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2562 ซึ่งจะเป็นงานที่ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจของกลุ่มสตาร์ทอัปที่จะนำเสนอผลงานสู่สายตาของผู้เข้าร่วมงานซึ่งมีโอกาสจะเป็นลูกค้าของพวกเขาในอนาคตด้วย และเนื่องจากปีนี้เป็นปีแรกของโครงการฯ คณะกรรมการจึงเห็นชอบที่จะให้สิทธิ์ทั้ง 12 ทีมที่ผ่านเข้ารอบคัดเลือกได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะด้วย เพื่อสร้างเครือข่ายและสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจให้กับเหล่าสตาร์ทอัปมีชุมชนในการพัฒนาเติบโตต่อไปด้วยกัน”

ด้าน นางสาวจิดาภา บี. เอบราโมวิช ผู้จัดการโครงการและชุมชนสตาร์ทอัป “อิมแพ็คเท็ค ไทยแลนด์” กล่าวว่า “อิมแพคเทค” จะรับหน้าที่ในการจัดการและออกแบบหลักสูตรโครงการบ่มเพาะ รวมทั้งสรรหาผู้ให้การอบรม ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านต่างกัน รวมถึงเมนเทอร์สำหรับสตาร์ทอัปแต่ละทีม เพื่อให้คำปรึกษาได้อย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพ โดยจะเน้นในเรื่องทักษะด้านสังคม การเป็นผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ รวมถึงความรู้ด้านอื่น ๆ ทั้งการตลาด การระดมทุน กฎหมายที่ควรรู้ และการรับมือกับการเติบโตในอนาคต เพื่อให้สตาร์ทอัปเข้าใจความต้องการของลูกค้า สามารถพัฒนาสินค้าได้ตรงจุด และเตรียมการระดมทุนพัฒนาต่อยอดธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะมีระยะเวลาการอบรม 3 เดือน เริ่มตั้งแต่ 27 สิงหาคม- 6 พฤศจิกายน 2562 อีกทั้งตอนจบหลักสูตรจะมีกิจกรรมที่เรียกว่า Demo Day ให้บรรดาสตาร์ทอัปได้แสดงพลัง และฝึกฝนการนำเสนอผลงาน ก่อนจะไปพบกับสนามจริงต่อหน้านักลงทุน

นางสาวธันยธร เพ็ญบำรุงวงศ์ ผู้แทนจากทีม “สนีค” กล่าวว่า สนีคเป็นแอปพลิเคชันวางแผนการท่องเที่ยวโดยใช้รูปภาพ ผู้ใช้งานสามารถเลือกรูปภาพสถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบได้หลายรูปพร้อมกัน แล้วระบบจะแนะนำเส้นทางท่องเที่ยวให้โดยอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาวางแผนการเดินทาง ตอนนี้เนื้อหาในแอปฯ ส่วนใหญ่ยังเป็นจุดท่องเที่ยว ในอนาคตจะพัฒนาให้เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมไมซ์ รองรับงานอีเวนต์ และงานแสดงสินค้า นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาดูได้ว่าช่วงนั้นมีงานอีเวนต์อะไรน่าสนใจบ้างและสามารถทำการจองได้ทันที

“โครงการฯ นี้ดีมาก ส่วนมากการจัดงานสตาร์ทอัปอินโนเวชั่นมักจะรวมทุกอุตสาหกรรมไว้ด้วยกัน แต่งานนี้เฉพาะเจาะจง ทำให้เราได้เจอเพื่อนที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน มันเป็นเรื่องที่ดี เพราะสตาร์ทอัปทำคนเดียวไม่ได้ เราต้องมีกลุ่มในการที่จะช่วยกันผลักดันให้เราโตขึ้นด้วยความร่วมมือจากหลาย ๆ หน่วยงานหรือสตาร์ทอัปด้วยกันเอง”

นายศิเวก สัจเดว ผู้แทนจากทีม “ไมนด์ทรี” กล่าวว่า “ไมนด์ทรี” เป็นระบบที่ให้ชุมชนเข้ามาทำธุรกิจบนแพลทฟอร์มได้ ปัจจุบันในระบบมีข้อมูลชุมชนประมาณ 300 แห่ง มุ่งให้เกิดการท่องเที่ยวที่กระจายรายได้ไปสู่ชุมชน ลดปัญหาการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยว และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ขณะเดียวกันมีแนวทางที่จะดึงอุตสาหกรรมไมซ์ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายสูงเข้าสู่ชุมชนด้วย เช่น การนำอาหาร หรือผลิตภัณฑ์จากชุมชนไปใช้ในงานประชุม ชุมชนบางแห่งมีห้องประชุม หลายชุมชนมีกิจกรรมที่สามารถจะรองรับการจัดงานที่ต้องการสร้างทีมได้ ตรงนี้จะทำให้ชุมชนมีรายได้และสามารถอยู่ได้

“องค์ประกอบหลัก ๆ จะเน้นเรื่องของการให้ความรู้กับชุมชน ให้พวกเขาเข้าถึงเทคโนโลยีและแหล่งทุนได้ สุดท้ายการพัฒนาชุมชนไม่ใช่แค่การขายแพคเกจทัวร์ให้ชุมชน แต่ต้องยกระดับศักยภาพของชุมชนขึ้นมาด้วย ปัญหาตอนนี้คือถ้าอุตสาหกรรมไมซ์เข้าไปในชุมชนก็จะไม่มีมาตรฐาน เราต้องให้ความรู้พวกเขา ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เทคโนโลยีช่วยให้มันเกิดได้เร็วขึ้น”

นายพิตนิตสันต์ สันติวราคม ผู้แทนจากทีม “โพชั่นเนียร์” กล่าวว่า “โพชั่นเนียร์” เริ่มจากปัญหาที่เชฟ หรือบาร์เทนเดอร์ต้องการจะจัดงานอีเวนต์แบบเอ็กซ์คลูซีฟของตัวเองแล้วไม่มีช่องทางออนไลน์ที่จะช่วยจัดการแขกที่อยากมาร่วมงานได้ จึงออกแบบแพลตฟอร์มมาเพื่อแก้ปัญหานี้ และช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ที่ต้องการประสบการณ์ในการกินดื่มแบบเฉพาะตัว สามารถเข้าถึงตัวเชฟ หรือบาร์เทนเดอร์ได้มากขึ้น ในอนาคตจะพยายามเชื่อมต่ออุตสาหกรรมไมซ์โดยเฉพาะกลุ่มประชุม-อินเซนทีฟ อย่างเช่นการรับรองแขกวีไอพีเวลามีงานสัมมนาพิเศษ หรืออีเวนต์ต่าง ๆ เช่น งานวิ่งมาราธอน “โพชั่นเนียร์” สามารถพ่วงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของงานเหล่านี้ จัดหาเชฟฝีมือดีให้ได้ ช่วยเพิ่มประสบการณ์ของผู้มาร่วมงานไม่ใช่แค่มาประชุม แต่ยังได้รับประทานอาหารที่รสชาติถูกปากถูกใจด้วย

กรมการค้าภายใน ดันไทย “ฮับเกษตรอินทรีย์สากล”

alivesonline.com : กรมการค้าภายใน ร่วมกับ บริษัท นูเรมเบิร์ก เมสเซ่ จำกัด แห่งเมืองเบียร์ จัดงาน BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019 ครั้งที่ 2 ระดมผู้ผลิตและผู้ประกอบการที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านเกษตรอินทรีย์และมาตรฐานเกี่ยวกับสินค้าธรรมชาติทั้งในประเทศและระดับสากล เข้าร่วมออกบูธแสดงและจำหน่ายสินค้ามากกว่า 300 ราย รวมกว่า 400 บูธ พร้อมร่วมประชุมและการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) โชว์ศักยภาพไทยผู้นำด้านการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าระดับสากล ระหว่าง 11 – 14 ก.ค.62  ณ ฮอลล์ 7 – 8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า งาน BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019 เป็นงานแสดงและจำหน่ายสินค้าอินทรีย์และสินค้าธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งเป็นเวทีแห่งการเจรจาธุรกิจระดับสากล โดยภายในงานได้รวมเหล่าเกษตรกร ผู้ผลิต และผู้ประกอบการอินทรีย์ของไทยไว้มากที่สุด เสมือนเป็นตลาดการค้าเกษตรอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียนครั้งที่ 2 โดยความร่วมมือพันธมิตรระหว่างผู้นำด้านการจัดงานแฟร์ออร์แกนิกใหญ่ระดับโลก บริษัท นูเรมเบิร์ก เมสเซ่ จำกัด ประเทศเยอรมนี ภายใต้ความมุ่งหวังปลุกกระแสผู้บริโภคในปัจจุบันให้หันมาบริโภคสินค้าจากธรรมชาติและออร์แกนิกเพื่อสุขภาพที่ดี อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นรากฐานเศรษฐกิจโดยการสนับสนุนเกษตรกรอินทรีย์ไทยให้มีรายได้เพิ่มรวมทั้งมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

การจัดงานครั้งนี้ยังถือเป็นการยกระดับสินค้าอินทรีย์ให้ได้มาตรฐานสากล ขณะเดียวกันยังแสดงศักยภาพความพร้อมของประเทศไทยทั้งทางด้านการเป็นผู้นำด้านการผลิต การค้า และการบริโภคสินค้าอินทรีย์ เพื่อก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยง และพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในอาเซียนอย่างครบวงจร

สำหรับการจัดแสดงสินค้าในปีนี้มีจำนวนบูธทั้งสิ้นกว่า 400 บูธ ครอบคลุมสินค้าอินทรีย์ทุกกลุ่มเหมาะสมกับทุกเพศทุกวัย ทั้งอาหาร ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เส้นผม และเครื่องสำอาง, ผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็ก, ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสัตว์เลี้ยง, ภาชนะและบรรจุภัณฑ์, สารสกัดสะเดากำจัดแมลงศัตรูพืช, ปุ๋ยอินทรีย์, สินค้าไบโอออร์แกนิคสำหรับใช้ในบ้านแทนสารเคมี รวมทั้งบริการอินทรีย์ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม ร้านสปา และสถานที่ท่องเที่ยว โดยจัดพื้นที่ออกเป็น 6 โซน ได้แก่ 1) โซนสินค้าอินทรีย์มาตรฐานสากล 2) โซนสินค้าอินทรีย์มาตรฐานภายในประเทศ 3) โซนสินค้าธรรมชาติ 4) โซนร้านอาหารอินทรีย์ เช่น Lemon Farm, รังสิตฟาร์ม, อริยะ ออร์แกนิค คาเฟ่, กินดีเฮลตี้ปิ่นโต, เพาะรักฟู้ดโปรดักส์, บจก.ฮาร์โมนี ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล และบจก.คิงด้อม ออร์แกนิค เนทเวิร์ค (ไทยแลนด์) โดยมาพร้อมกับเมนูเด็ด ได้แก่ น้ำพริกเผาลูกหม่อน, บะหมี่ผักโมโรเฮยะปรุงสำเร็จ, ข้าวเหนียวอัญชันหมูหลุมทอด, ขนมจีบ ซาลาเปา ออร์แกนิค, ข้าวอบธัญพืช, รวมทั้งเมนูมังสวิรัติและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอีกเพียบ 5) โซนคลินิกให้คำปรึกษาแนะนำจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 10 หน่วยงาน และ 6) คูหาพิเศษ เช่น คูหามูลนิธิแก้วเกษตร, Organic Village ที่จำหน่ายสินค้าท้องถิ่นจากชุมชนหมู่บ้าน, กรมการค้าต่างประเทศ, ASEAN Pavilion, Sacict เป็นต้น

“ในปีนี้มีสินค้านวัตกรรมที่น่าสนใจ อาทิ ผลิตภัณฑ์จากข้าวอินทรีย์ เช่น เส้นพาสต้า, สปาเก็ตตี้, น้ำนมข้าวยาคู ออร์แกนิก, อาหารเสริมสำหรับเด็ก, น้ำส้มสายชูหมักจากน้ำกะทิไขมันต่ำอินทรีย์, ซอสปรุงรสจากมะพร้าวอินทรีย์, เวชสำอางออร์แกนิกจาก สะเดาเพื่อรักษาอาการจากโรคผิวหนัง, ผลิตภัณฑ์ Superfood (ธัญพืชสกัด), Energy Gel (เจลให้พลังงานสกัดผลไม้ เช่น องุ่น,สตรอว์เบอร์รี), เครื่องสำอางออร์แกนิก และผลิตภัณฑ์จากกาบหมาก ภาชนะบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ทั้งยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การสัมมนาทางวิชาการด้านการตลาดสินค้าอินทรีย์ ซึ่งเป็นกิจกรรมหัวใจสำคัญของงาน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางเครือข่ายการค้า และให้ความรู้ที่ทันสมัยด้านเกษตรอินทรีย์แก่ผู้เข้าร่วมงาน โดยมีหัวข้อที่น่าใจ เช่น ความท้าทายของธุรกิจออร์แกนิคในประเทศไทย, สถานการณ์ด้านธุรกิจผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกเพื่อความงามและสุขภาพในประเทศไทยจากเหล่ากูรูผู้เชี่ยวชาญในแวดวงเกษตรอินทรีย์ทั้งไทยและต่างประเทศ อีกทั้งยังมีเวิร์คชอปสร้างอาชีพเสริมรายได้ เช่น สาธิตการจัดทำมอสบอล (โคเคดามะ), จัดสวนขวด, กำยานออร์แกนิก, ลิปบาล์มออร์แกนิก, ยาย้อมผมสีผมออร์แกนิก, ถุงผ้ามัดย้อม เป็นต้น นอกจากนี้ เป็นอีกครั้งที่ภายในงานจัดให้มีวันเจรจาธุรกิจ (Trade day) สำหรับ  ผู้ที่สนใจธุรกิจออร์แกนิกอีกด้วย


ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ยังเปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดสินค้าออร์แกนิกโดยภาพรวมว่า ปัจจุบันความนิยมในการบริโภคสินค้าออร์แกนิกกำลังแผ่ขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นเทรนด์ของโลก จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้ตลาดออร์แกนิกโลกมีมูลค่าสูงถึง 1.04 แสนล้านเหรียญสหรัฐ มีอัตราการขยายตัวประมาณปีละ 20% โดยทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ ถือเป็นตลาดเกษตรอินทรีย์ที่ใหญ่ที่สุด มีมูลค่าตลาดรวมกันร้อยละ 90 แบ่งเป็น ตลาดสหรัฐอเมริกา มีมูลค่าประมาณ 4.52 หมื่นล้านเหรัยญสหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 44) รองลงมาคือ ตลาดเยอรมนี มีมูลค่าประมาณ 10,040 ล้านเหรียญสหรัฐ (สัดส่วนร้อยละ 10) นอกจากนี้ยังมีตลาดโซนอื่น ๆ เช่น เอเชีย จีน และออสเตรเลีย ส่วนตลาดสำคัญในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย

“สำหรับตลาดออร์แกนิกในไทยมีมูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาท มีมูลค่าการส่งออกประมาณ 2.1 พันล้านบาท และมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% ต่อปี โดยในส่วนของพื้นที่เพาะปลูกเกษตรอินทรีย์ของประเทศไทยจากเดิม 357,091 ไร่ เพิ่มขึ้นมา 83% หรือคิดเป็น 0.652 ล้านไร่ ถือว่ามีพื้นที่ผลิตเกษตรอินทรีย์มากที่สุดเป็นลำดับที่ 3 ในกลุ่มอาเซียน รองจากอินโดนิเชีย และฟิลิปปินส์”


ด้านนายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กล่าวเสริมว่า ด้วยเป้าหมายแห่งการผลักดันออร์แกนิกไทยสู่ประตูการค้าโลก พร้อมมุ่งหวังในการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงและพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในอาเซียน กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จึงมีนโยบายจัดทำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาตลาดสินค้าอินทรีย์ตั้งแต่ปี 2560 – 2564 โดยกำหนดยุทธศาสตร์สำคัญไว้ 4 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) การสร้างการรับรู้ของผู้เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่อุปทาน 2) ผลักดันมาตรฐานและระบบการรับรองเกษตรอินทรีย์ 3) พัฒนาและขยายตลาดสินค้าและบริการอินทรีย์ และ 4) พัฒนาสร้างมูลค่าสินค้าและบริการอินทรีย์ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าของสินค้าอินทรีย์ไทยให้มากขึ้น

การร่วมมือกับ บริษัท นูเรมเบิร์ก เมสเซ่ จำกัด ประเทศเยอรมนี จัดงาน BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019 งานแสดงและจำหน่ายสินค้าอินทรีย์และสินค้าธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 2 จึงเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากแนวคิดการจัดงานในปี 2018 : Southeast Asia ; Home of Organic ที่ผ่านมา อีกทั้งไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพในการผลิตอาหารที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานเป็นที่ต้องการของประชากรโลก บวกกับความพร้อมด้านภูมิศาสตร์และการขนส่งที่ดี จึงมีความได้เปรียบสูงที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำเกษตรอินทรีย์ของอาเซียน ด้วยองค์ประกอบดังกล่าวจะช่วยสร้างความแตกต่างทางด้านคุณภาพให้กับสินค้าออร์แกนิคของไทย และช่วยขยายตลาด ตลอดจนเพิ่มมูลค่าการส่งออกในทุกปีอย่างแน่นอน

นายวิชัย กล่าวอีกว่า กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ คาดว่าตลอดระยะเวลา 4 วัน จะมีผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 50,000 คน อีกทั้งจะสามารถสร้างมูลค่าการจำหน่ายสินค้าได้ไม่ต่ำกว่า 72 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 97% ดังนั้นเพื่อเป็นการร่วมส่งเสริม ผลักดัน พร้อมร่วมเปิดโอกาสทางการค้าและการส่งออกสินค้าเกษตรอินทรีย์ไปตลาดในภูมิภาคและทั่วโลก จึงขอเชิญชวนผู้สนใจสามารถร่วมชมงาน “BIOFACH Southeast Asia 2019 และ Natural Expo Southeast Asia 2019” ในระหว่างวันที่ 11 – 14 ก.ค. 62 ณ ฮอลล์ 7 – 8 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยวันเจรจาธุรกิจ B2B (Trade day) วันที่ 11 – 12 กรกฎาคม เวลา 10.00 – 12.30 น. และสำหรับผู้เข้าชมทั่วไป วันที่      11 – 12 กรกฎาคม เวลา 12.30 – 20.00 น. วันที่ 13 กรกฎาคม เวลา 10.00 – 20 .00 น. และวันที่ 14 กรกฎาคม เวลา 10.00 – 19.00 น. สามารถติดตามข้อมูลได้ทางเว็บไซต์ http://th.biofach-southeastasia.com หรือทาง Facebook Fanpage : Organic & Natural Expo หรือโทร.0 2507 5723

อ่านเพิ่มเติม “กรมการค้าภายใน ดันไทย “ฮับเกษตรอินทรีย์สากล””

ททท. ประกาศแผนการตลาดปี 63 มุ่งรายได้ 3.71 ล้านล้านบาท

alivesonline.com : ผู้ว่าฯ ททท. แถลงทิศทางการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยว ปี 63 กำหนดแนวทางขับเคลื่อนสู่การท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ เน้นนักท่องเที่ยวคุณภาพ พร้อมปรับตัวเลขอัตราการเติบโต 10% รักษาตำแหน่งประเทศที่สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวติดอันดับ 1 ใน 6 ของโลก เตรียมจัดแคมเปญตามแนวคิด “ก้าวต่อไป เพื่อการท่องเที่ยวไทยยั่งยืน” ฉลองครบรอบ 60 ปีในปี 63

เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เป็นประธานในการแถลงทิศทางการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวของ ททท. ปี 2563 โดยได้รับเกียรติจาก คณะกรรมการ ททท. ผู้บริหารของภาครัฐ ภาคเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และผู้บริหาร ททท. ณ โรงแรมเซนทารา แกรนด์ และบางกอก คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ แอทเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ในปี 2563 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยังคงได้รับความไว้วางใจให้เป็นฟันเฟืองที่สำคัญในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ททท. ในฐานะหน่วยงานหลักด้านการตลาด จึงต้องแสวงหาแนวทางในการดำเนินการเพื่อให้บรรลุความคาดหวังของรัฐบาล โดย ททท. ประเมินตัวเลขการเติบโตของปริมาณและรายได้จากการท่องเที่ยว ปี 2562 ซึ่งยังคงมีอัตราที่น่าพอใจ โดยได้กำหนดทิศทางการเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยจากการท่องเที่ยว จาก Mass Tourism เข้าสู่การท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ (Responsible Tourism) ซึ่งเน้นนักท่องเที่ยวคุณภาพ โดยมีการปรับตัวเลขอัตราการเติบโตเพื่อนำไปสู่การวางแนวทางการขับเคลื่อนเพื่อเพิ่มรายได้เป็นสำคัญ

“การจัดทำทิศทางการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยวของ ททท. ปี 2563 ได้นำจุดแข็งของประเทศที่สะท้อนจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาเป็นแนวทางหลักในการทำการตลาดเพื่อการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ภายใต้แรงกดดันของสถานการณ์โลกที่มีความผันผวน รวมทั้งความเสียหายของสภาพแวดล้อมจากน้ำมือมนุษย์ที่มีผลต่อธรรมชาติ อันเป็นทรัพยากรสำคัญของการท่องเที่ยว อีกทั้ง ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านการจัดการข้อมูลข่าวสารที่ ททท. ต้องก้าวให้ทันและนำมาใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด”

ในปี 2563 ททท. จะมุ่งสร้างความเชื่อมั่นในคุณค่าของแบรนด์ประเทศไทย โดยผลักดันและส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบให้เป็นรูปธรรมในทุกมิติของการสื่อสารและลงมือปฏิบัติ เพื่อให้เกิดการรับรู้และตระหนักในวงกว้าง ผ่านช่องทางของอนุสาร อ.ส.ท. เพื่อให้มั่นใจในสินค้าและบริการที่ ททท. นำเสนอด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและตระหนักถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มรูปแบบการเดินทาง รวมไปถึงการทำโฆษณาและประชาสัมพันธ์การให้ความสำคัญกับสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวในแง่มุมของกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรและไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อมและสังคมททท. จะเดินหน้าการนำเสนอสินค้าและบริการที่สามารถชูเอกลักษณ์วิถีไทยที่ทรงเสน่ห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีกระบวนการพัฒนา ต่อยอด เพิ่มคุณค่าของผลิตภัณฑ์ผ่านการใช้นวัตกรรมที่ผสมผสานกับเรื่องเล่าที่เชื่อมโยงภูมิปัญญาท้องถิ่นกับความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ที่รักและต้องการพัฒนาทรัพยากรท้องถิ่นของตนเองให้มีการเปลี่ยนแปลงในแบบที่ท้องถิ่นต้องการเพื่อสืบสานและส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป อีกทั้งยังเป็นการออกแบบสินค้าทางการท่องเที่ยวที่ช่วยเพิ่มการใช้จ่ายหรือกิจกรรมที่ดึงให้นักท่องเที่ยวอยู่นานวันขึ้น

นายยุทธศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ท่ามกลางความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี สังคม และการแข่งขันในหลากหลายสาขาที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวนั้น ททท. ได้กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่สำคัญคือ กลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพที่มีกำลังซื้อสูงและที่ให้ความสำคัญกับคุณค่ามากกว่าราคา โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ให้ความสำคัญต่อการคัดเลือกและสรรหาสินค้าและบริการที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม การบริโภคทรัพยากรที่เกี่ยวเนื่องกับการเดินทางท่องเที่ยว การลดละและเลิกการกระทำที่จะส่งผลช่วงอายุของทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรธรรมขาติ วิถีชีวิตท้องถิ่น

ททท. ยังได้มีแนวทางในการคัดสรรกลุ่มเป้าหมายโดยตลาดต่างประเทศ เน้นการเจาะกลุ่มคุณภาพรายกลุ่ม (Segment) ต่อยอดจากปีที่ผ่านมา โดยแนวคิดของตลาดต่างประเทศคือ Go High คือ มุ่งเจาะและขยายกลุ่มกำลังซื้อสูง มีความใส่ใจสิ่งแวดล้อม Go New Customer คือ ขยายกลุ่ม First Visit จากกลุ่มลูกค้าใหม่ (New Segment) ในพื้นที่เดิมและการหาลูกค้าในพื้นที่ใหม่ ๆ (New Area) Go Local คือ เจาะกลุ่มลูกค้าที่สนใจการท่องเที่ยววิถีถิ่น Go Low Season การกระตุ้นการเดินทางเข้ามาประเทศไทยในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว และ Go Digital เป็นเครื่องมือหลักที่ใช้ในการเข้าถึงลูกค้าสำหรับตลาดในประเทศ แบ่งกลุ่มเป้าหมายในหลายมิติ จำแนกตามลักษณะ (Profile) ได้หลากหลายกลุ่ม ได้แก่ Gen X / Gen Y / Family and Millennial Family / Silver Age / Lady / First Jobber / Multi-Gen / Corporate  โดยจะกำหนดกลุ่มเป้าหมายหลักและกลุ่มเป้าหมายร่วมของภูมิภาค ทั้งนี้ จะมุ่งเจาะและขยายตลาดคนไทยให้ทั่วทุกภูมิภาค เพื่อขยายฐานตลาดใหม่ ๆ และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงตลาดกรุงเทพฯ มากจนเกินไป รวมทั้ง แก้ปัญหาเรื่องการแย่งตลาดกันเองอีกด้วย

สำหรับแนวทางการสื่อสารการตลาดในปี 2563 นั้น ในตลาดต่างประเทศคือ Amazing Thailand ยังคงใช้ Working Concept “Open to the New Shades” ที่เนื้อหามุ่งเน้นให้การนำเสนอประสบการณ์ที่ทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกประทับใจจากประสบการณ์จริงและเกินความคาดหมายที่นักท่องเที่ยวมีต่อประเทศไทย โดยจะจัดทำชุดโฆษณาจำแนกตามกลุ่มเป้าหมายตลาดในประเทศคือ amazing ไทยเท่ ภายใต้ Working Concept “เมืองไทยสวยทุกที่ เท่ทุกสไตล์” ครอบคลุมทุกกลุ่มอายุและกลุ่มความสนใจ หรือข้ามกลุ่มลูกค้า กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวคนไทยมีความสนุก ความสุข และความภูมิใจในออกแบบการท่องเที่ยวของตัวเอง และความต้องการส่งต่อวิธีเที่ยวของตนให้กับผู้อื่นให้เกิดแรงบันดาลใจในการออกแบบการท่องเที่ยวในสไตล์ของตนเองบ้าง

“ในปี 2563 ยังเป็นโอกาสที่ ททท. จะครบ 60 ปี ในการก่อตั้งหน่วยงาน จึงได้ทำแคมเปญตามแนวคิด “ก้าวต่อไป เพื่อการท่องเที่ยวไทยยั่งยืน” ควบคู่กับแคมเปญทางการตลาด มุ่งสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม คือ พนักงาน ททท. ประชาชนทั่วไป และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อสร้างการรับรู้ในระดับประเทศต่อการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบอันหมายรวมถึงการเป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วย เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ”

นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่จะเพิ่มความน่าสนใจให้นักท่องเที่ยว อาทิ ตลาดต่างประเทศ มีแนวคิดจัดทำ “Amazing Thailand Week” ผ่านการทำงานของ สำนักงาน ททท. สาขาต่างประเทศทุกแห่งทั่วโลก โดยร่วมกับพันธมิตรจากทุกภาคส่วน กระตุ้นความสนใจนักท่องเที่ยวให้อยากเดินทางมาเมืองไทยเพิ่มเติม ผ่านการดำเนินงานรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อให้ทุก Touch Point มีเรื่องราวที่ดีเกี่ยวกับประเทศไทยตลอดทั้งสัปดาห์ โดยหวังว่าการผนึกกำลังลักษณะนี้จะทำให้ประเทศไทยโดดเด่น เป็นที่จับตามองมากขึ้นกว่าปกติในช่วงเวลาที่กำหนดจัดกิจกรรม

สำหรับตลาดในประเทศ มีแนวคิดจัดทำ “โครงการ 60 เส้นทางความสุข @ เมืองไทย เดอะ ซีรีส์” กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวตลอดทั้งปี ภายใต้แรงบันดาลใจของ 3 ฤดูกาลที่แตกต่าง โดยเส้นทางที่สร้างสรรค์จะใช้ระบบการขนส่งของภูมิภาคและพาหนะท้องถิ่นเป็นเครื่องมือส่งต่อการท่องเที่ยวใน 60 เส้นทางความสุขทั่วประเทศ โดยจุดหมายปลายทางจะเชื่อมโยงเมืองท่องเที่ยวหลักและรอง ไปจนถึงชุมชนที่มีความพร้อมในการรองรับ

นายยุทธศักดิ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ททท. ได้วางเป้าหมายเชิงการตลาดในปี 2563 ไว้อย่างชัดเจนในการรักษาตำแหน่งประเทศที่สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวติดอันดับ 1 ใน 6 ของโลก สร้างรายได้รวมเพิ่มขึ้น 10% หรือประมาณ 3.71 ล้านล้านบาท และเพิ่มเป้าหมายด้านการสร้างความยั่งยืนทางการท่องเที่ยวซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมาย และสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยวอย่างแท้จริง

มุกดาหาร ชู “ช้างน้าวเฟสติวัล” ยกระดับโอทอป-เอสเอ็มอีท้องถิ่น

alivesonline.com : สำนักงานพาณิชย์จังหวัดมุกดาหาร จัดงาน “ช้างน้าว เฟสติวัล สุดยอดผลิตภัณฑ์มุกดาหารตระการตาชายโขง” มหกรรมแสดงและจัดจำหน่ายสินค้า สุดยอดของดีมุกดาหาร คัดสรรสุดยอดผลิตภัณฑ์มุกดาหารตระการชายโขง ยกมาให้ชาวกรุงได้ชอปอย่างจุใจ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 11 ก.ค.62 ณ สุขสยาม ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ

นายศุภกร มูลสุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยว่า จังหวัดมุกดาหารได้ชื่อว่าเป็นเมืองการค้าและเมืองแห่งการท่องเที่ยว เปรียบเสมือนเป็นประตูสู่กลุ่มประเทศอินโดจีน เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวสวย ๆ และวิถีชีวิตผู้คนที่น่าสนใจ อาทิ ตลาดอินโดจีน ภูผาเทิบ แก่งกะเบา สะพานมิตรภาพไทย – ลาว แห่งที่ 2  นอกจากนี้ยังมีสินค้าและอาหารพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อหลากหลายประเภท จึงได้นำมาจัดแสดงและจำหน่ายในงาน “ช้างน้าว เฟสติวัล สุดยอดผลิตภัณฑ์มุกดาหารตระการตาชายโขง” ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 11 ก.ค.62 ณ สุขสยาม ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ

ด้าน นางจันทิภา ปัทมเสวี พาณิชย์จังหวัดมุกดาหาร กล่าวเสริมว่า การจัดงาน “ช้างน้าวเฟสติวัล สุดยอดผลิตภัณฑ์มุกดาหารตระการตาชายโขง” เป็นส่วนหนึ่งของโครงการส่งเสริมการเปิดตลาดและพัฒนาความร่วมมือทางการค้า การลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อขยายช่องทางการตลาดสินค้าและบริการเด่นของจังหวัดมุกดาหารให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับมากขึ้น ถือเป็นการต่อยอดด้านการคัดสรร การสนับสนุน ยกระดับมาตรฐาน ตลอดจนส่งเสริมการตลาดที่จะช่วยเพิ่มพูนทั้งศักยภาพของผู้ประกอบการและคุณภาพผลิตภัณฑ์ ให้พร้อมเข้าสู่กลไกตลาดและการค้าสมัยใหม่ได้ ทั้งยังช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบและสร้างเครือข่ายพันธมิตรการค้าระหว่างผู้ประกอบการจังหวัดมุกดาหารกับผู้ประกอบการนอกจังหวัดได้อีกด้วย

งาน “ช้างน้าวเฟสติวัล สุดยอดผลิตภัณฑ์มุกดาหารตระการตาชายโขง” จัดขึ้นตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 11 กรกฎาคม 2562 ณ สุขสยาม ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ โดยได้รับความร่วมงานจากหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชน และกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจผลิตภัณฑ์ชุมชน อุตสาหกรรม สินค้าสุดยอดเอสเอ็มอี สินค้าโอทอป สินค้าเกษตรอินทรีย์ สินค้าวิสาหกิจชุมชน อาหารเด่น และสินค้าดีผลิตภัณฑ์เด่นของจังหวัดมุกดาหาร เครือข่ายจังหวัดมุกดาหารคัดสรรผลิตภัณฑ์เด่นมาร่วมจัดแสดงและจำหน่ายกว่า 50 ร้านค้า อาทิ ผ้าหมักโคลนหนองสูงซึ่งเป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายรับรอง (GI) ของจังหวัดมุกดาหาร มีความโดดเด่นเนื้อผ้านุ่ม สีไม่ตกมีกลิ่นหอมละมุนของไอดิน นอกจากนี้ยังมีสินค้าตะกร้าสานพลาสติก ข้าวอินทรีย์ โคขุนหนองสูง แหนมเนือง ปอเปี๊ยะทอด ข้าวเกรียบปากหม้อญวน และอื่น ๆ อีกมากมาย เสมือนการยกเมืองมุกดาหารมาให้ชาวกรุงเทพมหานครได้เลือกสรรผลิตภัณฑ์คุณภาพได้อย่างใกล้ชิด

 

“รัสมิ์ภูมิ คลินิก” เผยกลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง” เจาะตลาดเสริมความงามระดับพรีเมียม

alivesonline.com : คลินิกเสริมความงามมูลค่า 6 หมื่นล้านบาท ยังสดใส “รัสมิ์ภูมิ คลินิก” เปิดสาขาระดับพรีเมียมใหม่แห่งที่ 4 เลียบด่วนรามอินทรา ต่อจาก พระราม 2, ปากซอยท่าอิฐ จ.นนทบุรี, เดอะมอลล์ บางแค ก่อนเตรียมขยายสาขาเข้าใจกรุงเมืองกรุงเทพฯ ย่านสุขุมวิท เตรียมใช้งบการตลาด 20 ล้านบาท พร้อมจัด “เรียลลิตี้ตามหาทีมหมอรัสมิ์ภูมิ” เฟ้นหาหมอหน้าใหม่ร่วมทีม พร้อมสร้างการรับรู้เรื่องการฉีดฟิลเลอร์และโบท็อกซ์ให้ผู้บริโภค

นายแพทย์รัสมิ์ภูมิ สุเมธีวิทย์ ผู้ก่อตั้ง “รัสมิ์ภูมิ คลินิก” เปิดเผยว่า “รัสมิ์ภูมิ คลินิก” มีจุดเริ่มต้นจากการรักษาคนไข้ในโรงพยาบาลที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและเจาะจงที่จะมารักษากับตนประกอบกับคนไข้ที่เดินทางมาส่วนใหญ่ต้องการที่จะปรับรูปหน้าเป็นหลัก โดยเป็นการบอกปากต่อปากถึงความเชี่ยวชาญในเรื่องการปรับรูปหน้าไม่ว่าจะเป็นการฉีดโบท็อก ฟิลเลอร์ หรือแม้กระทั่งการทำเลเซอร์ จึงเป็นสาเหตุให้ต้องมาเปิดคลินิกเพื่อรองรับลูกค้าที่มาจากหลากหลายแห่ง

สำหรับ “รัสมิ์ภูมิ คลินิก” สาขาแรกเปิดที่ พระราม 2 ซอย 60 กรุงเทพฯ สาขาที่ 2 ปากซอยท่าอิฐ จ.นนทบุรี สาขาที่ 3 เดอะมอลล์ บางแค ฝั่งธน ล่าสุดสาขาที่ 4 ถนนเลียบด่วนรามอินทรา กรุงเทพฯ ใกล้กับเซ็นทรัล อีสต์วิว ซึ่งเป็นสาขาที่เปิดให้บริการครบวงจรแบ่งเป็น 3 ชั้นด้วยกัน โดยชั้นที่ 1 เปิดให้เป็นบริการเสริมความงามครบวงจร ตั้งแต่การปรับรูปหน้า การฉีดโบท็อก ฟิลเลอร์ เลเซอร์ ร้อยไหม ฯลฯ ชั้นที่ 2 เปิดเป็นศูนย์ศัลยกรรมความงามที่รวมถึงการปลูกผม โดยในอนาคตอาจเปิดด้านทันตกรรม และเวชศาสตร์ชะลอวัย ส่วนชั้นที่ 3 จัดเป็นศูนย์การเรียนการสอนโดยสถาบันรัสมิ์ภูมิ RMI ให้เป็นแพทย์ที่มาลงเรียนกับสถาบันโดยตรง หรือจากภายนอกเข้ามาจัดสอนภายในสถาบันฯ โดยตนเองเป็นวิทยากรให้การอบรม

“ในส่วนนี้จะแบ่งห้องอบรมออกเป็น 2 ห้องรองรับการอบรมในลักษณะ Hand on ทั้ง 2 ห้อง ได้แก่ ห้องเรียนแลคเชอร์ที่สามารถรองรับผู้เข้าเรียนได้ถึง 80 คน และห้องสอนแบบลงมือปฏิบัติจริงที่มีเตียงรองรับ 5-6 เตียง เน้นการสอนแพทย์ให้เรียนรู้ถึงเทคนิควิธีการฉีดฟิลเลอร์ การฉีดโบท็อกซ์ การร้อยไหม ฯลฯ อย่างมีคุณภาพและปลอดภัย โดยสถาบันฯ ให้ความสำคัญในเรื่องของความรู้ ต้องรู้จริงและสามารถปฏิบัติได้จริง ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนรู้ถึงเทคนิควิธี อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มทักษะและความสามารถในการรักษาอย่างปลอดภัย สำหรับแพทย์ที่เรียบจบคอร์ดจะได้รับ Certificate จากทางสถาบันรัสมิ์ภูมิ RMI เป็นการรับรอง”

ในปัจจุบันจะเห็นว่ามีสถานเสริมความงาม หรือคลินิกเสริมความงามเปิดกันเป็นจำนวนมากทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่คิดหนักกับการเลือกเข้าบริการว่าที่ไหนให้การรักษาเห็นผลชัดเจนและปลอดภัยที่สุด สิ่งนี้จึงเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ “รัสมิ์ภูมิ คลินิก” ได้รับความไว้วางใจทั้งจากประสบการณ์อันยาวนานและการบอกกันปากต่อปากซึ่งได้รับการตอบรับจากคนไข้จำนวนมากเพราะที่ “รัสมิ์ภูมิ คลินิก” ใช้แต่สินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐานจาก (อย.) และผ่าน FDA (Food and Drug Adninistration) ของสหรัฐอเมริกา มีเครื่องมือที่ทันสมัย และความใส่ใจในบริการดูแลคนไข้จากพนักงานและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

จุดเด่นของ “รัสมิ์ภูมิ คลินิก” จะเป็นเรื่องของปรับรูปหน้าที่มีความเชี่ยวชาญมากจนได้รับฉายาว่า “หมอนักปั้นหน้า” ซึ่งฉายานี้ได้จากคนไข้ที่เข้ามาปรับรูปหน้าด้วยการฉีดฟิลเลอร์, โบท็อกซ์ เพราะหลังจากฉีดแพทย์ก็จะทำการนวดปรับรูปหน้าให้เข้าที่ทำให้คนไข้รู้สึกเหมือนหมอกำลังปั้นหน้าให้จึงเป็นที่มาของฉายา “หมอรัสมิ์ภูมิ์ หมอนักปั้นหน้า” ทั้งนี้ คนไข้ที่มารักษากับ “รัสมิ์ภูมิ คลินิก” เป็นเรื่องของการมาฉีดฟิลเลอร์และโบท็อกซ์เป็นส่วนมาก จนล่าสุด บริษัท Allergan จากสหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้เป็นแพทย์ที่ฉีดฟิลเลอร์และโบทูลินั่ม ท็อกซิน มากที่สุดในเอเซีย โดยในแต่ละเดือนจะมีคนไข้เข้ามาฉีดฟิลเลอร์มากกว่า 400 เคสต่อเดือนคิดเป็น 90% ของผู้เข้ามาใช้บริการ ซึ่งเป็นเรื่องของการปรับรูปหน้า เสริมโหงวเฮ้ง สำหรับราคาเริ่มต้นของการฉีดฟิลเลอร์อยู่ที่ 18,000-35,000 บาท ต่อหลอด (1 cc) ฉีดครั้งหนึ่งสามารถอยู่ได้นาน 1-2 ปี แต่จะขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์เพราะคนไข้แต่ละคนที่เข้ามารับการรักษามาด้วยอาการที่แตกต่างกัน

นายแพทย์รัสมิ์ภูมิ กล่าวอีกว่า เมื่อมีหลายสาขาประกอบกับมีคนไข้เข้ารับการรักษาจำนวนมากการควบคุมคุณภาพการให้บริการจึงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นบุคลากรและแพทย์ทุกคนของ “รัสมิ์ภูมิ คลินิก” จะต้องผ่านการคัดเลือกและเข้ารับการอบรมจากสถาบันฯ เพื่อให้เป็นมาตรฐานการให้บริการเดียวกันทั้ง 4 สาขา โดยวัตถุประสงค์หลักจะเน้นให้แพทย์ที่ประจำแต่ละสาขาต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญเทียบเท่าตนเองจนสามารถเรียกได้ว่า “ทีมแพทย์รัสมิ์ภูมิ ” เพราะฉะนั้นคนไข้จึงมั่นใจได้ว่าทุกสาขาของ “รัสมิ์ภูมิ คลินิก” จะมีความเป็นมาตรฐานและความปลอดภัยในการรักษาเท่าเทียมกัน

“การเปิดสาขาเลียบด่วนรามอินทราเป็นสาขาที่มีความทันสมัยและมีความเป็นพรีเมียมมากขึ้นกว่าทุกแห่งเพื่อรองรับคนไข้กว่า 50% ในย่านรามอินทรา เพราะฉะนั้นแผนการตลาดทั้งหมดจะเน้นเรื่องการประชาสัมพันธ์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และการให้บริการจะปรับภาพลักษณ์ให้มีความเป็น Beauty Craft มากขึ้น รวมถึงความเป็น “รัสมิ์ภูมิ ทีม” โดยในปีนี้จะมีการเปลี่ยนรูปแบบใหม่ทั้งหมด”

ในปี 2562 จะใช้งบการตลาดประมาณ 20 ล้านบาท รวมไปถึงครึ่งปีสุดท้ายจะทยอยจัดแคมเปญออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น “เรียลลิตี้ตามหาทีมหมอรัสมิ์ภูมิ ” ซึ่งเป็นโชว์เกี่ยวกับการตามหาทีมแพทย์ที่อยากจะเข้ามาเรียน อยากหาประสบการณ์ หรือแม้กระทั่งอยากจะมาทำงานกับนายแพทย์รัสมิ์ภูมิ์ ซึ่งจะเป็นการคัดเลือกแพทย์ที่อยากได้ความรู้หรือเข้ามาทำงานกับนายแพทย์รัสมิ์ภูมิจริง ๆ และอีกประการหนึ่งทำเพื่อให้ความรู้กับผู้ชมถึงผลเสียของการฉีดฟิลเลอร์ หรือโบท็อกซ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน นอกจากจะเป็นรายการที่จะตามหาทีมแล้วยังเป็นรายการที่คุณหมอจะเข้าไปช่วยคนไข้ด้วยการให้ความรู้ถึงการฉีดฟิลเลอร์ หรือโบท็อกซ์ที่ถูกต้อง ถึงแม้ว่าให้คนไข้ไม่โอกาสจะได้เข้ามาตรงจุดนี้อย่างน้อยก็จะได้มีข้อมูลในการคัดกรองสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ทำให้ตัวเองเสียหาย

นายแพทย์รัสมิ์ภูมิ กล่าวอีกว่าทุกวันนี้ผู้คนให้ความสำคัญกับเรื่องความสวยความงาม เรื่องผิวพรรณ รูปร่าง หน้าตา เพื่อให้ตัวเองดูอ่อนกว่าวัย วิทยาการทางการแพทย์ที่มีวิวัฒนาการก้าวหน้าและทันสมัยจึงเป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้ผู้คนในยุคดิจิทัลสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่าง หน้าตาให้สวยหล่อได้ดั่งใจ ประกอบกับรักษาของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์น่าเชื่อถือก็จะยิ่งเพิ่มความมั่นใจในผลการรักษา

ส่วนการขยายสาขาไปต่างจังหวัดยังไม่คิดไปถึงตรงนั้น หากเป็นใจกลางเมืองก็มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสาขาในโซนสุขุมวิท แต่ก็ยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ เพราะการขยายสาขาเร็วเกินไปจะทำให้ไม่สามารถควบคุมคุณภาพและมาตรฐานในการให้บริการได้ ซึ่งปัจจุบัน “รัสมิ์ภูมิ คลินิก” จัดอยู่ในอันดับหนึ่งของคลินิกเสริมความงามในเรื่องของมาตรฐานการให้บริการความปลอดภัย การเลือกใช้สินค้าเกรดพรีเมียมทั้งหมด แต่เป็นราคาที่คนไข้สามารถเอื้อมถึงและได้รับประโยชน์ดีที่สุดและสูงสุด

นายแพทย์รัสมิ์ภูมิ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมูลค่ารวมของตลาดความงามอยู่ที่ประมาณ 6 หมื่นล้านบาทและมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย “รัสมิ์ภูมิ คลินิก” พร้อมที่จะพัฒนาศักยภาพการให้บริการเน้นความทันสมัยทุกด้านไม่ว่าจะเป็นวิทยาการใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพมาให้บริการกับคนไข้ของเราก่อน ล่าสุดก็มีฟิลเลอร์ตัวใหม่ของสหรัฐอเมริกาเป็นฟิลเลอร์ที่ฉีดสำหรับปรับคุณภาพผิวให้ดีขึ้นซึ่งส่งมาให้ประเทศไทยเป็นที่แรกและตนเองก็เป็นหมอไทยคนแรกที่ฉีดฟิลเลอร์ชนิดนี้ เพราะฉะนั้นทิศทางของเราก็จะเน้นที่วิทยาการและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพมาให้บริการกับผู้บริโภค

“ฝากถึงคนไข้ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชายว่า การดูแลตัวเองเป็นเรื่องที่สำคัญมากปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องของใบหน้า ร่างกาย หรือแม้กระทั่งเรื่องของผิวพรรณก็ตามถ้าเราปล่อยไว้ไม่ดูแลตัวเองมันก็จะทรุดโทรมลงไปเรื่อย ๆ เปรียบเทียบก็เหมือนรถถ้าเราไม่ดูแลใส่ใจแก้ไขข้อบกพร่อง วันหนึ่งถ้ามันพังก็คือพัง แต่ถ้าเราดูแลรักษาอยู่ตลอดก็จะอยู่ได้นานเหมือนกับสภาพร่างกายเราถ้าไม่ดูแลมันก็จะทรุดโทรมไม่สามารถฟื้นคืนสภาพได้เพราะฉะนั้นเราควรใส่ใจดูแลตัวเองไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม การเข้ามาพบแพทย์เพื่อตรวจดูสภาพใบหน้า หรือร่างกายก็เพื่อเป็นการดูแลและแก้ปัญหาเพราะอย่างน้อยเป็นการป้องกันอนาคตไม่ให้มันทรุดโทรมมากไปกว่าเดิม”

อนึ่ง นายแพทย์รัสมิ์ภูมิ เป็นแพทย์ประจำ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท และอาจารย์แพทย์ โรงพยาบาลแม่ฟ้าหลวง อโศก เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนัง Board of Dermatology และได้รับการยกย่องจาก บริษัท Allergan ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฉีด Botox & Filler แห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก อีกทั้งยังได้รับเชิญเป็นวิทยากรสอนแพทย์ผิวหนังและความงามด้าน Botox & Filler ในประเทศไทยและต่างประเทศมานานกว่า 10 ปี รวมทั้งมีความชำนาญพิเศษด้านการปรับแต่งรูปหน้าได้ได้สัดส่วนสวยงาม และเป็นผู้คิดค้นเทคนิค Triangular Face lift ซึ่งเป็นเทคนิคการปรับรูปหน้าแนวใหม่เห็นผลทันทีตั้งแต่แรกทำ

สัมผัสธรรมชาติ “สัมมนารอบกรุง” ดีต่อใจที่ “บางกะเจ้า”

alivesonline.com : บางครั้ง…สิ่งที่เห็นใกล้แค่เอื้อมแต่เรามักละเลยที่จะไขว่คว้า ทั้งยังชอบทำเรื่องง่าย ๆ ให้เป็นเรื่องยาก

ดังเช่นการไขว่คว้าหาธรรมชาติที่หลาย ๆ คนมักมีข้ออ้างที่ใช้เป็นเหตุผลว่า “ไม่มีเวลา”

สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” โดย นายสราญโรจน์ สวัสดิ์ชูโต ผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมตลาดในประเทศ (Domestic MICE) จึงร่วมกับ สมาคมการจัดงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) จัดกิจกรรม “สัมมนารอบกรุง” โครงการสร้างการรับรู้สินค้าและบริการไมซ์ Domestic Fam Trip ประจำปี 2562 โดยมอบหมายให้ออร์แกร์ไนเซอร์ชั้นนำ “PAULA&CO.” นำคณะผู้บริหารด้านทรัพยากรมนุษย์ (HR) จำนวน 35 ราย ร่วมโครงการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาตนเองรูปแบบใหม่ในเส้นทางเช้าไป-เย็นกลับ (One Day Trip) ณ เส้นทาง อ.บางกะเจ้า จ.สมุทรปราการ ภายใต้แนวคิด “Design Your Life Design Your Future”

ถือได้ว่าเป็นการเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยการข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาจากถนนพระราม 3 ซึ่งแวดล้อมไปด้วยอาคารสูง ถึงพื้นที่ “บางกะเจ้า” ให้ผู้มาเยือนได้ซึมซับบรรยากาศในเวลาเพียงชั่วอึดใจ !

เหตุที่การจัดกิจกรรม “สัมมนารอบกรุง” เน้นผู้ร่วมโครงการคือ ผู้บริหารด้านทรัพยากรมนุษย์ (HR) จากองค์กรต่าง ๆ เพราะถือเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญต่อการจัดโครงการประชุมและอบรมสัมมนาบุคลากรภายในองค์กร โดยนำบุคลากรออกมาเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ นอกสถานที่ซึ่งถือเป็นการสร้างวัฒนธรรมองค์กรใหม่ ๆ ทั้งยังถือเป็นการนำความรู้ด้านต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้ทั้งชีวิตประจำกัน การทำงาน และอื่น ๆ

หลากกิจกรรมทรงคุณค่า ณ บางกะเจ้า

กิจกรรมครั้งนี้จึงเริ่มจากการเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร “บางกะเจ้าฟาร์ม” พร้อมร่วมชมกิจกรรมการเพาะ “เห็ดโคนญี่ปุ่น” และการทำ “ไข่เค็มพิลังกาสา” ต่อจากนั้นคือการเยี่ยมชม “วิสาหกิจชุมชนบ้านธูปหอมสมุนไพร” ศูนย์การชุมชนและแหล่งเรียนรู้ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่น พร้อมนำคณะผู้เดินทางร่วมเวิร์คชอปทำ “ธูปหอมสมุนไพร” และ “ผ้ามัดย้อม” ซึ่งถือเป็นการออกแบบคุณค่าหัตถกรรมภูมิปัญญาท้องถิ่น

    

ก่อนจะนำคณะผู้เดินทางเดินชมสวนไปรับประทานอาหารกลางวันรสเลิศที่ร้านอาหาร “พบรัก ณ บางน้ำผึ้ง” ในบรรยากาศสุดชิคแสนสบาย ซึ่งตามกำหนดการจะต้องปั่นรถจักรยานชมสวนซึ่งถือเป็นไฮไลท์ประจำถิ่น แต่เนื่องจากมีฝนตกเป็นบางช่วงเวลา คณะผู้จัดงานจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแผนเป็นการเดินเท้าแทนเพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมทริปซึ่งถือว่าให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ไม่แพ้กัน

จากนั้นคือกิจกรรมสุดท้ายคือ การเจรจาธุรกิจ “Table Top Sale” ระหว่างบริษัทเอกชนและผู้ประกอบการไมซ์ จังหวัดสมุทรปราการ รวมถึงกิจกรรม Reflect และการออกแบบชีวิต โดย “อาจารย์ชินริณี วีระวุฒิวงศ์” ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษย์ปรัชญา ในฐานะโค้ชผู้บริหารที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์โค้ชนานาชาติ ให้เกียรติเป็นวิทยากรอบรมคณะผู้เข้าร่วมสัมมนา ณ ร้านกาแฟ Hidden Woods คาเฟ่ลับที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางบรรยากาศสุดร่มรื่นของคุ้งบางกะเจ้า

“ส่งเสริม ต่อยอด พัฒนา” เศรษฐกิจชุมชน

นายสราญโรจน์ สวัสดิ์ชูโต ผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมตลาดในประเทศ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ กล่าวถึงการจัดกิจกรรม “สัมมนารอบกรุง” ครั้งนี้ว่า การนำ คณะผู้บริหารด้านทรัพยากรมนุษย์ เดินทางมาบางกะเจ้าครั้งนี้ถือว่าแตกต่างจากการเดินทางท่องเที่ยวทั่วไปที่เรามักคุ้นกับตลาดบางน้ำผึ้งและสถานที่ท่องเที่ยวทั้ง 5 บางตลอดระยะทาง 18 กิโลเมตรของบางกะเจ้า เพราะการเดินทางครั้งนี้คือ Fam Trip หรือ Familization Trip ซึ่งถือเป็นการเดินทางเพื่อให้ผู้ร่วมเดินทางมีความคุ้นเคยกับสถานที่ต่าง ๆ ที่มีกิจกรรมหลากหลายที่มีความเหมาะสมและสนองตอบสำหรับกิจกรรมของฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ในการจัดสัมมนาด้านต่าง ๆ เช่น Building, Outing, Leadership

การจัดสัมมนาครั้งนี้ “ทีเส็บ” ใช้หลักการของ สมาคมการจัดงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) ในการจัดการเพื่อตอบโจทย์ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ว่า ต้องการพัฒนาคนลักษณะใดและอย่างไร โดยยึดหลักที่ต้องการพัฒนาเป็นสำคัญ แล้วเลือกเฟ้นสถานที่มาผสมผสานให้สอดคล้องกัน เพื่อให้สอดรับกับวัตถุประสงค์ของ “ทีเส็บ” ในการ “ส่งเสริม ต่อยอด พัฒนา” เศรษฐกิจชุมชน จึงมาลงตัวที่ “บางกะเจ้า” ซึ่งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ โดยใช้ระยะเวลาเดินทางเพียงสั้น ๆ แต่จะสามารถมอบประสบการณ์การเดินทางและความรู้ให้แก่ผู้ร่วมสัมมนาได้อย่างมาก

“บางกะเจ้าถือเป็นปอดของกรุงเทพฯ ที่ยังคงมีระบบนิเวศวิทยาที่อุดมสมบูรณ์และหลากหลาย แต่ขณะเดียวกันพื้นที่นี้ถือเป็นทางผ่านของน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนที่จะออกไปสู่ปากอ่าวซึ่งมีขยะแม่น้ำจำนวนมากตั้งแต่ภาคเหนือของประเทศไทยจนถึงกรุงเทพฯ ไหลมาตามน้ำและวนเวียนอยู่ในพื้นที่ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาขยะสะสมและยากต่อการกำจัด การจัดกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ CSR ที่เหมาะสมกับพื้นที่แห่งนี้จึงเป็นเรื่องการเก็บขยะที่ผู้ร่วมกิจกรรมจะได้มีโอกาสบำเพ็ญประโยชน์ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อคนทำงานรุ่นใหม่ที่ส่วนใหญ่มักเป็นพนักงานออฟฟิศและไม่ค่อยมีโอกาสสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติมากนัก ผู้เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดของ PMAT กว่า 2.5 พันคน จึงน่าจะนำไปต่อยอดสำหรับการจัดประชุมสัมมนาในพื้นที่บางกะเจ้าในโอกาสต่อไป หรือใช้ทริปการสัมมนารอบกรุงนี้เป็นทริปตัวอย่าง โดยยึดอุตสาหกรรมไมซ์เป็นส่วนเสริมให้ได้ใช้ประโยชน์ตามที่เห็นสมควร”

“Design Your Life Design Your Future”

ด้าน อาจารย์ชินริณี วีระวุฒิวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษย์ปรัชญา ในฐานะโค้ชผู้บริหารที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์โค้ชนานาชาติ กล่าวตอนหนึ่งในระหว่างการดำเนินกิจกรรม Reflect และการออกแบบชีวิต ภายใต้แนวคิด “Design Your Life Design Your Future” ว่า จากการร่วมทำกิจกรรมทำไข่เค็มซึ่งวิทยากรอธิบายว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7 วันถึงจะนำมาทอดได้ หรือหากต้องการต้มต้องใช้เวลาประมาณ 15 วัน โดยเวลาที่เหมาะสมคือ 12 วัน แต่ไม่ควรเกิน 15 วันซึ่งจะมีรสชาติเค็มเกินไปนั้น ในฐานะที่ผู้ร่วมสัมมนาเป็นฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ หากออกแบบให้ทุกคนมำไข่เค็มแล้วต่างกนต่างนำกลับไปก็เท่ากับว่าจะได้เพียงผลิตผล หรือ Output คือ ไข่เค็มเท่านั้น ดังนั้นกระบวนการที่สำคัญมากกว่า Output จึงเป็นเรื่องของ “ผลลัพธ์” หรือ Outcome

โลกยุคปัจจุบันให้ความสำคัญในเรื่องของ “นวัตกรรม” ซึ่งไม่ได้หมายถึงเรื่องเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการนำสิ่งที่ยากมาย่อยให้เป็นเรื่องง่ายแล้วอธิบายให้เป็นภาษาเดียว แม้ว่าไข่เค็มจะไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารองค์กร แต่หากผู้เข้าร่วมสัมมนาสามารถอธิบายวิธีการทำไข่เค็มให้เกี่ยวกับการบริหารองค์กรได้ ย่อมถือว่าเป็นนวัตกรรมที่สำคัญ เพราะสามารถนำเรื่องธรรมดาในสถานที่หนึ่งไปทำให้เกิดมูลค่าได้ในอีกสถานที่อีกแห่งหนึ่งโดยไม่ต้องลงทุนมากมายแต่อย่างใด

อาจารย์ชินริณี ยังกล่าวเสริมถึงการร่วมกิจกรรมทำธูปสมุนไพรซึ่งวิทยากรผู้บรรยายเหมือนจะใช้พลังและเหนื่อยมากในการให้ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมสัมมนา แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเพราะวิทยากรผู้นั้นมีองค์ความรู้สะสมที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติจริงเป็นระยะเวลานาน บ่งชี้ให้เห็นว่าถ้าผู้บริหารองค์กรใด “มือไม่เคยเปื้อนดิน” การขับเคลื่อนองค์กรนั้นก็จะไม่เป็นไปอย่างไร้ประสิทธิภาพ

“หน้าที่หนึ่งของฝ่ายทรัพยากรมนุษย์คือเพิ่มคุณค่าให้บุคลากรและพัฒนาคนธรรมดาให้มีความเป็นมืออาชีพอย่างเต็มที่ โดยจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการความคิด หรือ Mindset ของบุคลากรภายในให้เป็นไปในทิศทางบวกมากที่สุด เพราะ Mindset ถือเป็นเรื่องของความเชื่อที่ส่งผลต่อพฤติกรรม ท่าทีและทัศนคติของแต่ละบุคคล จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยนำพาให้องค์กรไปสู่ความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน”

สัมมนารอบกรุง ณ บางกะเจ้า ครั้งนี้ จึงเท่ากับเป็นเปิดโลกใหม่ให้ผู้ร่วมเดินทางได้ขยายขอบเขตการเรียนรู้และพบเห็นสถานที่ใหม่ ๆ ในการขยายขอบเขตการจัดประชุมสัมมนามากกว่ารูปแบบเดิม ๆ ที่อยู่ในเพียงห้องประชุมเท่านั้น !

(จากซ้ายไปขวา) นายสำเนาว์ รัศมิทัต นายก อบต. บางน้ำผึ้ง, นายชัย อรุณานนท์ชัย ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดสมุทรปราการ, น.ส.บุณยานุช วรรณยิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงาน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานฉะเชิงเทรา (พื้นที่รับผิดชอบ จังหวัดฉะเชิงเทราและสมุทรปราการ), นายสราญโรจน์ สุทัศน์ชูโต ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมตลาดในประเทศ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน), นางศิวพร ฉั่วสวัสดิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ, อาจารย์ชินริณี วีระวุฒิวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยปรัชญาและโค้ชผู้บริหารที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์โค้ชนานานชาติ และ ดร.บวรนันท์ ทองกัลยา นายกสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT)

ชูนวัตกรรม-ไอเดียสตาร์ทอัป ขับเคลื่อน “อุตสาหกรรมไมซ์”

alivesonline.com : “ทีเส็บ” จับมือ NIA depa NSTDA และ GISTDA จัดโครงการ Thailand’s MICE Startup เปิดมิติใหม่การพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ จัดแข่งขันประกวดการพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดงานไมซ์ ดึงผู้แข่งขันนานาชาติประลองไอเดียผุดนวัตกรรมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รับกระแสโลกยุคดิจิทัล

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์ดิจิทัลเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการพัฒนาประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของรัฐบาลที่มีเป้าหมายนำไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยทีเส็บมีวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐที่มุ่งเน้น 3 เป้าหมายหลักคือ การสร้างรายได้ การพัฒนาประเทศด้วยนวัตกรรม และการสร้างความเจริญกระจายรายได้

“ในช่วงที่ผ่านมาอุตสาหกรรมไมซ์ในประเทศมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 5-10% ซึ่งหากมีเครื่องมือทางนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการขับเคลื่อนจะมีโอกาสเติบโตได้อีกถึงปีละ 20% ทีเส็บมองเห็นโอกาสการสร้างพันธมิตรใหม่ที่มีความแข็งแกร่ง และขยายการรับรู้เกี่ยวกับอุตสาหกรรมไมซ์ไปสู่สตาร์ทอัปหรือกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ที่ใช้ไมซ์เป็นแพลทฟอร์ม นำไปสู่การพัฒนาวงจรของอุตสาหกรรมไมซ์ให้กว้างออกไปและเข้มแข็งขึ้น มีช่องทางสร้างธุรกิจใหม่ ๆ แลกเปลี่ยนความรู้ต่อยอดการจัดงานไมซ์ให้ดียิ่งขึ้น และแข่งขันในอุตสาหกรรมไมซ์นานาชาติได้อย่างยั่งยืน”

“ทีเส็บ” เริ่มโครงการ Thailand’s MICE Startup ตามแผนยุทธศาสตร์ 3 ปีในการจัดอีเวนท์ด้วยนวัตกรรมและดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ depa และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ NSTDA เพื่อเป็นเวทีพัฒนาธุรกิจ แบ่งปันความรู้ความเข้าใจในอุตสาหกรรมไมซ์กับเครือข่ายด้านนวัตกรรมทั้งภาครัฐและเอกชนในการสร้างเวทีกิจกรรมและการจัดงานไมซ์ด้วยนวัตกรรม เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ (Business) นักออกแบบ (Designer) และนักพัฒนา (Developer) ร่วมระดมความคิดนำไปสู่การยกระดับภาคอุตสาหกรรมไมซ์และวิสาหกิจเริ่มต้น (Startups) เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย

โครงการ Thailand’s MICE Startup เริ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีผู้สมัครเข้าร่วมแข่งขันจากทั่วโลกจำนวน 47 ทีม ทั้งจากไทย สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐเช็ก อินเดีย ฯลฯ โดยมีโจทย์ให้นำเสนอไอเดียนวัตกรรมการพัฒนาทางด้านสิ่งแวดล้อม ปัญญาประดิษฐ์ การให้บริการลูกค้า การขนส่งสินค้า และการพัฒนาประสบการณ์ของผู้ใช้งานในอุตสาหกรรมไมซ์ จากนั้นได้คัดเลือกเพียง 12 ทีม โดยเกณฑ์การตัดสินพิจารณาจากนวัตกรรมที่มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ก่อให้เกิดผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม โมเดลธุรกิจมีความยั่งยืนทางการเงินอย่างมั่นคง ผู้ก่อตั้งมีความรับผิดชอบเข้าร่วมในกิจกรรมของโครงการ ความเป็นทีมเวิร์ค ตลอดจนการสร้างมูลค่าเพิ่ม

ผู้เข้ารอบทั้ง 12 ทีมจะแข่งขันนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาทางเทคโนโลยีแก่อุตสาหกรรมไมซ์ต่อคณะกรรมการในรอบพิจารณาตัดสินในวันที่ 4 กรกฎาคม 2562 เพื่อคัดเลือกผู้ชนะ 3 ทีมที่โดดเด่นเข้าสู่ “โครงการบ่มเพาะ Thailand’s MICE Startup” ด้วยความร่วมมือกับอิมแพคเทค (ไทยแลนด์) โดยทั้ง 3 ทีมจะได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ในการพัฒนาไอเดียเป็นเทคโนโลยี หรือผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไมซ์และนักลงทุนให้สามารถนำไปใช้งานได้จริงในเชิงพาณิชย์ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การเป็นทีมผู้แทนประเทศไทย นำเสนอผลงานในการแข่งขันรอบสุดท้ายในงานประชุมของสมาคมอุตสาหกรรมการจัดงานแสดงสินค้าโลก หรือ UFI ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้

ทางด้าน ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง รองผู้อำนวยการด้านระบบนวัตกรรม สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า “NIA ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ทอัปอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งสร้างและพัฒนาสตาร์ทอัปให้มีความเข้มแข็ง และเติบโตอย่างก้าวกระโดด ผ่านโครงการบ่มเพาะ การให้ทุนสนับสนุน รวมถึงการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการสร้างความเข้มแข็งของสตาร์ทอัป ทั้งนี้ อุตสาหกรรมไมซ์เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่มีช่องทางและโอกาสในการเติบโต โดย NIA และ ทีเส็บ มีความร่วมมือในการส่งเสริมและยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทยด้วยนวัตกรรมเพื่อส่งเสริม สนับสนุน ผลักดัน และยกระดับประเทศไทยให้เป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมไมซ์ เพื่อมุ่งสร้างภาพลักษณ์ด้านนวัตกรรมของประเทศไทยให้มีความโดดเด่นด้านนวัตกรรม ผ่านการนำนวัตกรรมมาขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ของไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานโลกและก้าวสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมไมซ์ของอาเซียน รวมถึงการพัฒนาความสามารถทางนวัตกรรมให้แก่บุคลากรทุกระดับในอุตสาหกรรมไมซ์ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในฐานะเป็นประเทศแห่งนวัตกรรม (Innovation Nation)

สำหรับการจัดกิจกรรมการประกวดการแข่งขันไอเดียนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรมไมซ์ในครั้งนี้ NIA เข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนสตาร์ทอัปรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมไมซ์ ทั้งการบ่มเพาะเสริมสร้างความสามารถ และการสนับสนุนให้เกิดการสร้างธุรกิจสตาร์ทอัปผ่านเครือข่ายของ NIA ในระบบนิเวศสตาร์ทอัปทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติ”

นายฉัตรชัย คุณปิติลักษณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงาน (กลุ่มงานเศรษฐกิจดิจิทัล) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ depa กล่าวว่า ผลผลิตจากเวที Thailand’s MICE Startup เกิดขึ้นจากความร่วมมือ ผลักดันของ 3 องค์กร ระหว่าง depa NIA และ ทีเส็บ ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นสัญญาณดี ที่หน่วยงานภาครัฐ ได้ Co-Create โครงการใหม่ ๆ ร่วมกัน ซึ่งนอกจากจะได้สินค้าและบริการที่มีไอเดียใหม่ ๆ สามารถนำมาต่อยอดให้อุตสาหกรรม MICE ในประเทศไทยได้แล้วนั้น ยังแจ้งเกิด Startup หน้าใหม่ เข้าสู่ระบบนิเวศ เป็นเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้น depa เองก็พร้อมจะสนับสนุน ผลักดันให้กลุ่มเครือข่ายเหล่านี้ได้รับการส่งเสริมผ่านเครื่องมือต่าง ๆ ที่ทางสำนักงานมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น โครงการ depa Accelerator x Techsauce ที่มีจุดประสงค์ในการบ่มเพาะ Startup, โครงการ Tech Tycoon เน้นให้การสร้าง Networking ระหว่างผู้ประกอบการ รวมถึงการสนับสนุนเงินทุนผ่านมาตรการ Startup Fund ในระยะต่าง ๆ ตั้งแต่ 1 ล้านบาท ในระยะเริ่มต้นและสูงสุด 5 ล้านบาท ในระยะเติบโต หรือการส่งเสริมผ่านคูปอง Internationalization Voucher ที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยไปต่อยอดขยายตลาดอุตสาหกรรมดิจิทัลในต่างประเทศ แม้แต่กลุ่ม SMEs เอง ทาง depa ก็มีมาตรการ Digital Transformation Funds สำหรับสนับสนุนให้กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ได้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งเครื่องมือต่างๆ ได้ถูกออกแบบมาเพื่อครอบคลุมความต้องการในแต่ละประเภทของธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัล ทั้งนี้ก็เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เป็นระดับแนวหน้าของภูมิภาคอาเซียนในอนาคตอันใกล้

นางสุวิภา วรรณสาธพ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ NSTDA กล่าวว่า ซอฟต์แวร์พาร์ค สวทช. มุ่งมั่นที่จะส่งเสริมศักยภาพและผลักดันผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี นวัตกรรมและดิจิทัล เพื่อยกระดับและเพิ่มขีดความสามารถให้กับภาคอุตสาหกรรม ทั้งนี้ อุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทยมีทิศทางการเติบโตที่ดี ควบคู่กับการสนับสนุนของรัฐบาลที่ต้องการให้อุตสาหกรรมไมซ์เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนั้น โครงการ Thailand’s MICE Startup นี้จึงเป็นเวทีที่จะเฟ้นหานวัตกรรมดีๆ เพื่อเข้ามาช่วยยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น รวมถึงเปิดโอกาสให้นักพัฒนาและสตาร์ทอัปได้เรียนรู้แนวทางการออกแบบและพัฒนาผลงาน เพื่อตอบโจทย์ และขยายผลไปสู่เชิงพาณิชย์ รวมถึงต่อยอดไปสู่การร่วมลงทุน ผ่านโปรแกรมการเตรียมความพร้อมและกิจกรรมบ่มเพาะของโครงการ ภายใต้ความร่วมมือของการสนับสนุนจากหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งมีความพร้อมในด้านต่าง ๆ

นายจิรุตถ์ กล่าวเสริมว่า “ทีเส็บ” ยังได้ร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เริ่มตั้งแต่การร่วมเป็นกรรมการคัดเลือก Startups ไปจนถึงการส่งเสริมกิจกรรมเพิ่มความรู้และความแข็งแกร่งให้ผู้ชนะทั้ง 3 ทีมตลอดโครงการ รวมถึงสร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติกับสมาคมส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ของสิงคโปร์ หรือซาซิออส (SACEOS) จัดโปรแกรมแลกเปลี่ยนรู้ร่วมกันในหัวข้อ “การพัฒนานวัตกรรมและ Startups ในอุตสาหกรรมไมซ์” ระหว่างวันที่ 24-26 กรกฎาคม 2562 นี้ ที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นความร่วมมือในโครงการพัฒนา Startups ร่วมกันในอนาคต เช่น การแลกเปลี่ยน Startups (Startups Exchange Program) การแลกเปลี่ยนไอเดียนวัตกรรม และการเปิดโอกาสให้ Startups จากทั้งสองประเทศ แลกเปลี่ยนนำเสนอผลงานในเวทีระดับนานาชาติ

“การบูรณาการทำงานพัฒนานวัตกรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดงานไมซ์ร่วมกับพันธมิตรครั้งนี้ นอกจากจะช่วยตอบโจทย์การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมไมซ์ไทยแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมสตาร์ทอัปใหม่ๆ สร้างสิ่งแวดล้อมทางธุรกิจและเครือข่ายเหล่าผู้นำสตาร์ทอัปในประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักและเติบโตไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืนในเวทีระดับนานาชาติอีกด้วย”