แคมเปญสุดว้าว! เที่ยวเกาะเชจู เพียง 5,200 บาท

alivesonline.com : “ทรู เวิลด์ ทราเวล” เปิดตัวพันธมิตรใหม่ “สายการบินเชจูแอร์” จัดแคมเปญเที่ยวเกาะเชจู แดนกิมจิ 3 วัน 1 คืน เริ่มต้นเพียง 5,200 บาท ครอบคลุมทั้งตั๋วเครื่องบินไป-กลับ, ค่าที่พัก, ค่าอาหาร 7 มื้อ พร้อมไกด์และรถโค้ชนำเที่ยว 40 ที่นั่ง สนใจจองด่วนในงาน GO GO! Travel ณ รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน ถึงวันที่ 7 ก.ค.62

นางสาวพธู ณ สงขลา ผู้บริหารบริษัท ทรู เวิลด์ ทราเวล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจตัวแทนด้านการท่องเที่ยวครบวงจรทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ร่วมมือกับสายการบินเชจูแอร์ (JEJUair) ประเทศเกาหลีใต้ จัดแคมเปญท่องเที่ยว จากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิบินตรงลงไปยังเกาะเชจู ประเทศเกาหลีใต้ ด้วยเที่ยวบินเหมาลำ จำนวนผู้โดยสาร 183 ที่นั่ง ในราคาพิเศษเริ่มต้นเพียง 5,200 บาท ในทริป 3 วัน 1 คืน โดยจัดแคมเปญพิเศษนี้เฉพาะในงาน GO GO! Travel ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 4-7 ก.ค.62 ณ รอยัล พารากอนฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน

การจัดแคมเปญดังกล่าวเป็นทัวร์เต็มรูปแบบที่ผู้ซื้อจ่ายราคาเดียวครอบคลุมถึงค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินไป-กลับ, ค่าที่พัก 1 คืน, ค่าอาหาร 7 มื้อ พร้อมมัคคุเทศก์ และรถโค้ชนำเที่ยว 40 ที่นั่ง โดยจะออกเดินเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเวลาประมาณ 02.00 น. ของคืนวันศุกร์ และนอนพักผ่อนที่เกาะเชจูในคืนวันเสาร์ ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ เวลาประมาณ 22.00 น.ของวันอาทิตย์

เกาะเชจูอยู่ทางตอนใต้ของเกาหลีใต้ ห่างจากรุงโซลโดยการเดินทางทางเครื่องบินประมาณ 1 ชั่วโมง ใช้เวลาการเดินทางจากประเทศไทยประมาณ 5 ชั่วโมง ถือเป็นมรดกโลกแห่งหนึ่งที่มีความน่าสนใจ เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแหล่ง เช่น ปล่องภูเขาไฟซานอิลจูบง (Seongsan Ilchulbong Sunrise Peak) ภูเขาไฟที่ดับแล้วและเป็นหนึ่งในสิบสถานที่สวยงามของเกาะเชจู, หมู่บ้านวัฒนธรรมซองอึบ (Songeub Folk Village) หมู่บ้านโบราณอายุมากกว่า 300 ปีที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่จริง, พิพิธภัณฑ์ชาโอชุลลอค (O’Sulloc) แหล่งธรรมชาติที่ปลูกชาเขียวคุณภาพสูงส่งออกไปทั่วโลก, รวมถึงฮัลโลคิตตี้ (Hello Kitty Jeju Island) สถานที่จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับ “คิตตี้” และจำหน่ายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว

“บริษัทฯ ถือเป็นตัวแทนด้านการท่องเที่ยวที่นำนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางไปยังประเทศเกาหลีใต้มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง จึงต้องการสร้างการรับรู้สถานที่ท่องท่องเที่ยวใหม่ ๆ ของเกาหลีใต้ให้คนไทยได้รู้จักมากขึ้น โดยเฉพาะเกาะเชจูแห่งนี้ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเกาหลีใต้ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนสูงถึง 95% บริษัทฯ จึงจัดแคมเปญนี้ขึ้นโดยจะเปิดเที่ยวบิน ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค.62-31 พ.ค.63” นางสาวพธู กล่าวในตอนท้าย

ด้าน นายคิม มยองจิน ผู้จัดการสายการบินเชจูแอร์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า สายการบินเจจูแอร์ เป็นสายการบินราคาประหยัดอันดับหนึ่งของประเทศกาหลีใต้ มีฐานบินอยู่ที่เกาะเชจู จังหวัดเชจู ประเทศเกาหลีใต้ ให้บริการเที่ยวบินประจำในเส้นทางระหว่างแผ่นดินใหญ่กับเกาะเชจู อีกทั้งยังมีเที่ยวบินเช่าเหมาลำอีกจำนวนหนึ่ง การร่วมมือกับ บริษัท ทรู เวิลด์ ทราเวล จำกัด ในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่นักท่องเที่ยวชาวไทยจะได้รับประสบการณ์การเดินทางและบริการที่ดีบนเครื่องบินโบอิ้ง 737 ซึ่งสายการบินเชจูแอร์มั่นใจว่าจะสร้างความประทับใจให้ผู้เดินทางทุกท่านอย่างแน่นอน

Thai One Mall เปิดตัวหมอนยางพารา “รอยัลออร์คิด”

alivesonline.com : Thai One Mall ในเครือ ไทยเจียระไนกรุ๊ป รุกตลาดสุขภาพ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ หมอนยางพารา “รอยัลออร์คิด” วางขายในร้านสะดวกซื้อ “เซเว่นอีเลฟเว่น” เป็นแห่งแรก หลังประสบความสำเร็จ ผ่านร้านค้าออนไลน์ “Thai One Mall” บนแพลต์ฟอร์ม Alibaba  โดยปัจจุบันมียอดสมาชิกมากกว่า 3 แสนราย และมียอดช้อปกว่า 1 หมื่นรายต่อวัน  พร้อมดึง อุ้ม อิษยา ฮอสุวรรณ นักแสดงนำ “ฉลาด เกมส์ โกง” เป็นพรีเซ็นเตอร์  มุ่งเจาะกลุ่มคนเมืองรักสุขภาพ และ ใส่ใจการนอนที่มีคุณภาพ ตั้งเป้ายอดขายปีละ 5 หมื่นใบ หรือประมาณกว่า 100 ล้านบาท   

นางสาวหลุ่ย แซ่กั๊ว ประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเจียระไนกรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า “Thai One Mall เป็นบริษัทในเครือ ไทยเจียระไนกรุ๊ป โดยสนใจรุกธุรกิจด้านสุขภาพ ในฐานะผู้จัดจำหน่ายหมอนยางพารา “รอยัลออร์คิด” [Royal Orchid] และประสบความสำเร็จอย่างดีผ่าน  Thai one Mall  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเว็บ Alibaba ที่เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ชรายใหญ่ที่สุด  มียอดสมาชิกจำนวนกว่า 3 แสนราย และมีผู้เข้ามาช้อปปิ้งจำนวนมากกว่า 1 หมื่นรายต่อวัน ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา  มียอดขายสูงถึงกว่า 50 ล้านบาท  อีกทั้ง หมอนยางพารา “รอยัลออร์คิด” ยังได้วางจำหน่ายในประเทศจีน โดยเปิดช้อป “รอยัลออร์คิด” อย่างเป็นางการ ในวันที่ 11.11.2018  ในเมืองซัวเถา ปรากฏว่า ลูกค้าชาวจีน ให้ความสนใจสั่งจองสินค้ากันอย่างล้นหลาม ดังนั้น ไทยวันมอลล์ จึงสนใจนำผลิตภัณฑ์หมอนยางพารา “รอยัลออร์คิด” เข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทย โดยจะวางจำหน่ายที่ร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น เป็นแห่งแรก ทั้งนี้ มั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าชาวไทย ชาวไทยเชื้อสายจีน รวมไปถึง คนจีนที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย พร้อมตั้งเป้ายอดขาย 5 หมื่นใบต่อปี หรือประมาณกว่า 100 ล้านบาท”

ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่ให้ความใส่ใจสุขภาพและการดูแลร่างกายมากขึ้น ซึ่งการนอนหลับพักผ่อน คือ ส่วนสำคัญต่อการดูแลสุขภาพให้ดี  การนำหมอนยางพารา “รอยัลออร์คิด”  มาเปิดตลาดในประเทศไทย ก็เพราะเป็นหมอนยางพารา ที่ผลิตจากยางพาราธรรมชาติ 100% มีคุณสมบัติ ช่วยลดอาการโรคภูมิแพ้ เพราะมีคุณสมบัติป้องกันไรฝุ่น และยังช่วยลดอาการปวดคอ อาการปวดหลัง เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคออฟฟิชซินโดรม  การจับมือกับร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น เพื่อเป็นช่องทางในการจัดจำหน่าย จะช่วยให้การกระจายสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้สะดวกมากขึ้น ทั้งนี้ หมอนยางพารา “รอยัลออร์คิด” จะจำหน่ายใน ราคา 2,400 บาท โดยมีวางจำหน่ายที่ “เซเว่นอีเลฟเว่น” ทั่วประเทศ ในกรุงเทพ อาทิ สาขาอัมรินทร์พลาซ่า  สาขาลิโด้  สาขาใบหยกสกาย (ราชปรารภ 3)  ส่วนเชียงใหม่ อาทิ สาขานิมมานเหมินทร์ และ สาขาสามเหลี่ยมองค์พระ เป็นต้น รวมถึงที่ บริษัท ไทยวันมอลล์ จำกัด

ประเทศไทย นับเป็นแหล่งผลิตยางพาราที่ดีที่สุดในโลก โดยน้ำยางพาราสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง หนึ่งในนั้นก็คือ หมอนยางพารา  ซึ่งชาวไทยและชาวจีนให้ความสนใจอย่างมาก เมื่อชาวจีนมาเที่ยวประเทศไทย จึงกลาย “ไอเท็ม” ที่ต้องช้อปกลับบ้าน ด้วยเหตุนี้ ไทยวันมอลล์ จึงต้องการสร้างแบรนด์ “รอยัลออร์คิด” ให้เป็นสินค้าคุณภาพสูง ที่ผ่านการรับรองจาก Thailand trusted quality  การันตีโดย LGA สถาบัน eco INSTITUT จากประเทศเยอรมัน ว่าผลิตจากยางพาราธรรมชาติ 100% และไร้สารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ  พร้อมผลักดันให้ “รอยัลออร์คิด” กลายเป็นสินค้าที่จะช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิต พร้อมกับผลักดันสินค้าไทยให้ก้าวไปสู่ตลาดโลกอีกด้วย

ไทยวันมอลล์ มีประสบการณ์เชี่ยวชาญในการทำตลาดและรู้ถึงความต้องการของผู้บริโภค โดยการนำผลิตภัณฑ์ หมอนยางพารา  “รอยัล ออร์คิด” ภายใต้แนวคิด “บริการซื่อสัตย์   คัดสรรสินค้าดี..มีคุณภาพ  ส่งตรงอย่างไร้พรมแดน” มั่นใจว่าจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะเพิ่มสินค้าใหม่ ๆ เข้าไปให้หลากหลายยิ่งขึ้น รวมถึงสินค้าแบรนด์ของเราเอง 2 แบรนด์ ซึ่งหนึ่งแบรนด์ก็คือ รอยัลออร์คิด และอีกแบรนด์จะเปิดตัวในเดือนกรกฎาคมนี้  ซึ่งคาดหวังว่าจะสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านบาท สำหรับ หมอนยางพารา “รอยัลออร์คิด” วางใจให้ อุ้ม อิษยา ฮอสุวรรณ นักแสดงนำ “ฉลาด เกมส์ โกง” ภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากและทำรายได้อย่างสูงในประเทศจีน มาทำหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ สำหรับผู้สนใจ สามารถช้อปได้แล้วที่ร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น ใกล้บ้าน หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.thaionemall.com

“กลุ่มเมืองสนุก” โหมโปรโมทพื้นที่ กระตุ้นรายได้ 1.2 หมื่นล้าน

alivesonline.com : “สกลนคร-นครพนม-มุกดาหาร” จัดงาน “ท่องเที่ยวเมืองสนุก ณ สุขสยาม” ตามรอยอารยธรรมลุ่มน้ำโขง ชูจุดเด่น “ธรรมะ ธรรมชาติ และวัฒนธรรม” มั่นใจศักยภาพและความพร้อมด้านการคมนาคม หวังเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวเชื่อมโยงลาว เวียดนาม พม่า จีนตอนใต้ คาดภายใน 5 ปี นักท่องเที่ยวทะลักปีละ 4 ล้านคน สร้างเม็ดเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท

นายชยันต์ ศิริมาศ ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เปิดเผยว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเริ่มให้ความสำคัญกับสถานที่ท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีพื้นที่ติดกับแม่น้ำโขงซึ่งกำลังได้รับความนิยมและถือเป็นจุดหมายปลายทางทางด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 หรือ “กลุ่มจังหวัดสนุก” ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดสกลนคร จังหวัดนครพนม และจังหวัดมุกดาหาร ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนปีละประมาณ 2 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 6 พันล้านบาท คาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 4 ล้านคน สร้างรายได้ 1.2 หมื่นล้านบาท ภายใน 5 ปี

สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินทางมายังกลุ่มจังหวัดสนุกสามารถเดินทางได้ทั้งทางรถยนต์โดยใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 9 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีท่าอากาศยานถึง 2 แห่งคือ ท่าอากาศยานนครพนมซึ่งเป็นท่าอากาศยานศุลกากร สามารถรองรับเที่ยวบินแบบเช่าเหมาลำได้โดยมีความพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ศุลกากรและตำรวจตรวจคนเข้าเมือง โดยขณะนี้ภาครัฐและเอกชนกำลังเร่งผลักดันให้เป็นท่าอากาศยานนานาชาติเพื่อรองรับการเติบโตทางการบินและเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงไปสู่เวียดนามและจีนตอนใต้ นอกจากนี้ยังมีท่าอากาศยานสกลนครซึ่งกำลังเร่งผลักดันให้เป็นท่าอากาศยานศุลกากรต่อไป

ขณะเดียวกันกลุุ่มจังหวัดสนุกยังมีสะพานมิตรภาพไทย-ลาวถึง 2 แห่งคือ สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 2 (มุกดาหาร – สะหวันเขต) ถือเป็นสะพานระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) เชื่อมโยงไปยัง สปป.ลาวที่มีศักยภาพด้านการค้าสูงมีมูลค่าการค้าผ่านสะพานแห่งนี้ประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อปี ส่วนอีกแห่งหนึ่งคือสะพานมิตรภาพไทย-ลาว 3 (นครพนม-คำม่วน) เชื่อมต่อเข้าสู่แขวงคำม่วน สปป.ลาว ซึ่งเป็นแขวงที่มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ที่สุด ตั้งอยู่บนระเบียงเศรษฐกิจใหม่ หนานหนิง-สิงคโปร์ ถือเป็นสะพานที่มีมูลค่าการค้าสูงที่สุดมากกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี

นายชยันต์ จากศักยภาพและความพร้อมดังกล่าว “กลุ่มจังหวัดสนุก” จึงต้องการสร้างการรับรู้ไปยังนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปในวงกว้าง เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชื่อมโยงต่อไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ สปป.ลาว เวียดนาม พม่า และจีนตอนใต้ จึงได้ร่วมกันจัดงาน “ท่องเที่ยวเมืองสนุก ณ สุขสยาม” ระหว่างวันที่ 2-6 ก.ค.62 ตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 น  ณ เมืองสุขสยาม ณ ไอคอนสยาม กรุงเทพฯ ภายใต้โครงการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดสนุกตามรอยอารยธรรมลุ่มน้ำโขง โดยเน้นจุดเด่น 3 ด้านคือ “ธรรมะ ธรรมชาติ และวัฒนธรรม” สู่สากล เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดสนุกให้เป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรม ภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพานและริมแม่น้ำโขง วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ อาทิ ไทญ้อ ผู้ไท ไทโส้ ไทกะเลิง ไทข่า ไทแสก ไทลาว คนไทยเชื้อสายจีน และคนไทยเชื้อสายเวียดนาม ซึ่งมีวิถีชีวิตที่งดงาม วัฒนธรรม ประเพณีที่หลากหลายบนวิถีแห่งลุ่มน้ำโขง โดยนำมาจัดแสดงเพื่อให้ชาวกรุงและนักท่องเที่ยวไทยและต่างประเทศได้สัมผัสครบทุกประสบการณ์

สำหรับงาน “ท่องเที่ยวเมืองสนุก ณ สุขสยาม” มีการจัดแสดงศิลปวัฒธรรมอัตลักษณ์ของ “กลุ่มจังหวัดสนุก” รวมทั้งคัดสรรผลิตภัณฑ์โอทอปที่โดดเด่นจากภูมิปัญญาท้องถิ่นไทยมาให้ชาวเมืองได้ ชม ชอป กันอย่างจุใจ อาทิ เนื้อโคขุนมุกดาหาร, ผ้าหมักโคลน, งานฝีมือจากต้นกก, ผ้าย้อมมูลควาย, ข้าวฮางงอก มาจำหน่ายในราคาย่อมเยารวมกว่า 20 บูธ โดยคาดว่าการจัดงานครั้งนี้จะสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวได้รู้จัก “กลุ่มจังหวัดสนุก” ไม่น้อยกว่า 5 หมื่นคน

นายชยันต์ กล่าวด้วยว่า ภายในงานยังได้มีการจัดมหกรรมโคเนื้อโคขุนหนองสูง มุกดาหาร สนับสนุนโดยสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดมุกดาหาร และมีการจัดแสดงนิทรรศการ และการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งการสาธิตการปรุงเมนูเนื้อโคขุนมุกดาหารจากเชฟมืออาชีพ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการขยายตลาดเนื้อโคขุนคุณภาพพรีเมียมของประเทศไทย สร้างการรับรู้การเลี้ยงโคขุนและการผลิตเนื้อโคขุนคุณภาพ ซึ่งจังหวัดมุกดาหาร มีสมาชิกเลี้ยงโคขุนที่เพียงพอต่อการขยายการตลาด ตลอดจนเนื้อโคขุนคุณภาพและแปรรูปผลิตภัณฑ์ รวมทั้งจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับการพัฒนาโคขุนแก่บุคคลทั่วไปที่เข้าชมงาน เพื่อให้ผู้เข้าชมงาน นักวิจัย นักวิชาการ ผู้ประกอบการ นักธุรกิจ ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนแนวความคิดด้านการเลี้ยงโคเนื้อโคขุน เกิดการเจรจาทางการค้าทั้งในระดับภูมิภาค ประชาคมอาเซียน และระดับสากล อันจะส่งผลให้เกิดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับโคเนื้อโคขุนครบวงจร ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการ ประชาชน และผู้บริโภคถึงความปลอดภัยจากโคเนื้อโคขุน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของจังหวัดมุกดาหารรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกด้วยและร่วมกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลตลอดงาน

nor

 

 

 

อพท.น่าน “เมืองเก่ามีชีวิต” ย้ำความสำเร็จแหล่งท่องเที่ยวเชิงอัตลักษณ์และผลิตภัณฑ์คุณภาพ

alivesonline.com : องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท.พื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่าน สนับสนุนการท่องเที่ยวชุมชนของจังหวัดน่านให้ก้าวไปข้างหน้าอีกขั้น ชูชุมชนบ่อสวก ชุมชนตำบลในเวียง แหล่งท่องเที่ยวเชิงอัตลักษณ์ พร้อมตอกย้ำความสำเร็จของผลิตภัณฑ์คุณภาพด้วยดีไซน์อันโดดเด่นของวัตถุดิบต่าง ๆ อันมีอัตลักษณ์เฉพาะของชุมชนต่าง ๆ ในจังหวัดน่าน สู่ของฝากอันทรงคุณค่าที่ได้รับการยอมรับจากนักท่องเที่ยว

ดร.ชูวิทย์ มิตรชอบ รองผู้อำนวยการ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท.กล่าวว่า อพท. มีหน้าที่ส่งเสริมพัฒนาพื้นที่ชุมชนเฉพาะพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งที่ คณะรัฐมนตรี กำหนดให้เป็นพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยพื้นที่เหล่านี้ถูกกำหนดโดยเกณฑ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก ซึ่งเกณฑ์นี้ถูกกำหนดโดย สภาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก ที่เป็นองค์กรชำนาญพิเศษของสหประชาชาติ

ขณะที่ชุมชนที่จะก้าวไปสู้การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนได้ก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจในแหล่งพื้นที่และอัตลักษณ์ชุมชนของตนเองและต้องเป็นเจ้าของแหล่งท่องเที่ยวตัวจริง โดยที่ อพท. ได้กำหนดหลักเกณฑ์การท่องเที่ยวที่เน้นย้ำว่า “โดยชุมชน” หมายถึงการให้ชุมชนลุกขึ้นมาวางกฎเกณฑ์ การบริหารจัด การรับผลประโยชน์ด้วยตัวเอง โดย อพท. มีเกณฑ์ให้พี่น้องในชุมชนนำเอากลไกการพัฒนาไปใช้ที่เรียกว่า CBT Thailand ซึ่งเป็นเครื่องมือการพัฒนา “การท่องเที่ยวโดยชุมชนอย่างยั่งยืน” ให้ชุมชนในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา ในรูปแบบการทำงานผ่านภาคีเครือข่ายทั้งหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ในพื้นที่นั้น ๆ และมีตัวแทนจากชมรมเครือข่ายส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนในพื้นที่พิเศษ (ชคพ.) ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้นำชุมชนจากชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน ที่ อพท. พัฒนาขึ้นมาเข้าร่วมในการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ชุมชนต่าง ๆ ซึ่งเกณฑ์นี้ได้รับการรับรองโดย สภาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนโลก ว่า มีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่าเกณฑ์มาตรฐานสากลที่เป็นความภาคภูมิใจของพี่น้องชุมชนที่อยู่ในประเทศไทยที่ทำการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

ด้าน นายสุขสันต์ เพ็งดิษฐ์ ผู้จัดการสำนักงานพื้นที่พิเศษ 6 กล่าวว่า องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท.6 ได้ให้การสนับสนุนการท่องเที่ยวชุมชนของจังหวัดน่านให้ก้าวไปข้างหน้าอีกขั้น โดยนำผลิตภัณฑ์คุณภาพของชุมชนต่าง ๆ ในจังหวัดน่าน เช่น ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนตำบลในเวียง – บ้านหนองเต่า ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนตำบลบ่อสวก ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนตำบลม่วงตึ๊ด ชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนตำบลนาซาว และชมรมที่พักในจังหวัดน่าน ในเขตพื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่านและผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานพื้นที่พิเศษเมืองเก่าน่าน มาจัดแสดงในงานไทยเที่ยวไทย ครั้งที่ 51เมื่อวันที่ 27-30 มิ.ย.ที่ผ่านมา ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

อพท.6 ตอกย้ำความสำเร็จของผลิตภัณฑ์คุณภาพด้วยดีไซน์อันโดดเด่นของวัตถุดิบต่าง ๆ อันมีอัตลักษณ์เฉพาะของชุมชนต่าง ๆ ในจังหวัดน่าน สู่ของฝากอันทรงคุณค่าที่ได้รับการยอมรับจากนักท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างรวดเร็ว โดยมีองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยงอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท.6 ให้การสนับสนุน ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึงการเข้าถึงช่องทางการจัดจำหน่าย เพื่อเป็นการสนับสนุนชุมชนในจังหวัดน่านนั่นเองให้มีสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าตามแบบฉบับวัฒนธรรมท้องถิ่นชาวน่าน สร้างรายได้ให้กับชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้

“เออเบิ้ลฯ” ชูจุดเด่นแบรนด์ ATTITUDE

alivesonline.com : “เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้” ผุด 2 โครงการใหม่ รุกพื้นที่สุขุมวิทตอนปลาย และเสนานิคม ลุยต่อหลังใกล้ปิดยอด  ATTITUDE BU #creativespacecondominium ที่สร้างปรากฏการณ์ เปิดโลกพร้อมแนวคิดใหม่ สำหรับการสร้างพื้นที่อยู่อาศัยอย่างสร้างสรรค์

นายสมภพ วาณิชเสนี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนวราบและแนวสูง เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนสิงหาคม 2562 บริษัทฯ พร้อมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม 2 แห่งใหม่ภายใต้ชื่อ  “ATTITUDE Lasalle” (แอททิจูด ลาซาล) และ “ATTITUDE Phahol-Sena” (แอททิจูด พหลฯ-เสนาฯ) ซึ่งถือเป็นโครงการลำดับที่ 4 และ 5 ของบริษัทฯ ภายใต้แบรนด์ “ATTITUDE”

โครงการ “ATTITUDE” แต่ละแห่งจะมีความแตกต่างและลักษณะเฉพาะเพื่อให้สอดคล้องในแต่ละสถานที่ตั้งของโครงการ เช่น ATTITUDE BU (แอททิจูด บียู) ซึ่งตั้งตรงข้าม มหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าหลักซึ่งเป็นนักศึกษาและวัยทำงานตอนต้นซึ่งถือเป็นวัยสร้างสรรค์และมีพลัง จึงเน้นจุดเด่นด้านการออกแบบและการใช้งาน พร้อมจัดพื้นที่เฉพาะที่จะสามารถช่วยในการกระตุ้นและสร้างแรงบันดาลใจ จึงได้ผลตอบรับดีจากทั้งนักลุงทุนและนักศึกษาคนรุ่นใหม่

ในส่วนของการพัฒนาโครงการ ATTITUDE Phahol-Sena (แอททิจูด พหลฯ-เสนาฯ) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานี เสนานิคม เพียง 750 เมตรเท่านั้น ถือเป็นโครงการระดับพรีเมียมทั้งรูปลักษณ์ภายนอกและโทนการตบแต่งภายในที่ตอบรับกับความเป็นเมืองและศูนย์กลางการเดินทาง พร้อมด้วยมุมส่วนตัวและบรรยากาศเพื่อการผ่อนคลาย เพื่อช่วยสร้างสมดุลให้ผู้พักอาศัย

ขณะที่ โครงการ  “ATTITUDE Lasalle” (แอททิจูด ลาซาล) จะเน้นการออกแบบที่มีความจัดจ้านเพื่อตอบสนองความต้องการกลุ่มผู้พักอาศัยในยุคมิลเลนเนียลและวัยทำงานตอนต้นเป็นหลักซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าที่เริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและมีบทบาทสำคัญต่อภาวะเศรษฐกิจในพื้นที่บริเวณถนนสุขุมวิทตอนปลายซึ่งคาดว่าจะเป็นย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (The New Central Business District : CBD) ในอนาคตอันใกล้

ทั้งโครงการ “ATTITUDE Lasalle” และโครงการ “ATTITUDE Phahol-Sena” (แอททิจูด พหลฯ-เสนาฯ) เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น ดีไซน์แตกต่าง ครบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกใกล้รถไฟฟ้า พร้อมแนวคิดการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ในการสร้าง ATTITUDE ใหม่ ๆ ให้กับการใช้ชีวิตเมือง

นายสมภพ กล่าวเพิ่มเติมว่า พื้นที่ช่วงถนนสุขุมวิทตอนปลายถือเป็นทำเทที่มีความน่าสนใจและมีโครงการต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมายเพื่อรองรับการขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจที่เริ่มกระจายตัวออกจากกรุงเทพฯ ดังจะเห็นได้จากการเป็นที่ตั้งของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ โรงพยาบาล โรงเรียนนานาชาติ ร้านอาหาร และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดตัวโครงการที่ตอบโจทย์ชิวิตคนเมืองรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็น  “ทรู ดิจิทัล พาร์ค” (true digital park) ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลแห่งแรกของไทยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และโครงการ “ซัมเมอร์ ลาซาล” (Summer Lasalle) ซึ่งถือเป็นโครงการมิกซ์ยูส และอาคารสำนักงานโลว์ไรส์ บนพื้นที่กว่า 61 ไร่ และมีพื้นที่สีเขียวกว่า 25 ไร่ ถือเป็นสิ่งบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนถึงการพัฒนาโครงการเพื่อตอบสนองและรองรับความต้องการของคนรุ่นใหม่

ทั้งนี้ บริษัทฯ กำหนดจัดงานเปิดตัวโครงการรอบพิเศษเร็ว ๆ นี้ โดยผู้สนใจสามารถลงทะเบียนได้ที่ http://attitudecondo.com/phahol-sena/ , http://attitudecondo.com/lasalle/ เพื่อรับสิทธิ์พิเศษได้แล้วตั้งแต่วันนี้ สำหรับ ATTITUDE BU ถือเป็นโอกาสสุดท้ายของนักลุงทุน ก่อนดำเนินก่อสร้างโครงการพร้อมเข้าอยู่อาศัยในปี 2563 โดยยังจะมีโปรโมชันเฟอร์นิเจอร์แพ็คเกจแบบครบเซ็ต เพื่อฉลองยอดขายปิดโครงการ ตลอดเดือนกรกฎาคม ศกนี้

 

PHOTO FAIR 2019 ชวนสัมผัสความมหัศจรรย์แห่งโลกของภาพถ่าย 27 พ.ย.- 1 ธ.ค.62

alivesonline.com : สมาคมธุรกิจการถ่ายภาพ จัดงานมหกรรมการถ่ายภาพครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี “PHOTO FAIR 2019” ชูแนวคิด “Share Your Wonder แชร์ความมหัศจรรย์แห่งโลกของภาพถ่าย” หวังช่วยกระตุ้นตลาดกล้องดิจิทัลและอุปกรณ์ฯ ให้กลับมาคึกคัก ปลุกกระแสการถ่ายภาพเอาใจคนรุ่นใหม่ที่สนในเรื่องกล้อง พร้อมพบสินค้าและโปรโมชันแรง ๆ จากแบรนด์ดังกว่า 150 บูธ ระหว่างวันที่ 27 พ.ย.- 1 ธ.ค.62 ณ ไบเทค บางนา

นางณริภา ศรีสว่างวัฒน์ นายกสมาคมธุรกิจการถ่ายภาพ ประธานจัดงานโฟโต้แฟร์ “PHOTO FAIR 2019” เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้เตรียมความพร้อมในทุก ๆ ด้านสำหรับการจัดงานแสดงเทคโนโลยีทางการถ่ายภาพ  ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้นับเป็นครั้งที่ 30 ที่สมาคมฯ ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการถ่ายภาพ แสดงให้เห็นวิวัฒนาการของผู้ผลิตที่คิดค้นอุปกรณ์ใหม่ ๆ ที่ทันสมัยยิ่งขึ้นต่อวงการถ่ายภาพให้มาพบกัน โดยปีนี้สมาคมฯ มุ่งเน้นให้กลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่สนใจเรื่องกล้องและอุปกรณ์การถ่ายภาพต่าง ๆ ทั้งด้านสื่อออนไลน์และสื่อ ออฟไลน์ได้มาสัมผัสความมหัศจรรย์แห่งการถ่ายภาพในแบบฉบับที่ไม่เหมือนใคร

การจัดงานปีนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Share Your Wonder แชร์ความมหัศจรรย์แห่งโลกของภาพถ่าย” เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสเทคโนโลยีและกิจกรรมที่ร่วมกับพันธมิตรในการนำสินค้าและอุปกรณ์การถ่ายภาพมาจัดแสดงภายในงาน โดยหวังให้งานในครั้งนี้เป็นมากกว่างานกล้องทั่ว ๆ ไป และเชื่อว่าจะเป็นอีกงานที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศให้เติบโตยิ่งขึ้น

สำหรับไฮไลท์งานในปีนี้ที่คาดว่าจะช่วยดึงดูดให้มีผู้เข้าชมงานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโปรโมชันพิเศษทั้งจากร้านค้าและสมาคมเพิ่มเติมให้ในการซื้อหาอุปกรณ์ถ่ายภาพ พร้อมร่วมสนุกชิงรางวัล รถยนต์ กล้องถ่ายรูป นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมงานสัมมนาเกี่ยวกับการถ่ายภาพ ช่างภาพชื่อดังในสายงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพบุคคล การถ่ายภาพสินค้า อาหาร โฆษณาต่าง ๆ มีให้ได้ศึกษาเพิ่มเติมความรู้ และเทคนิคเพื่อไปปรับใช้ในการถ่ายภาพของคุณให้มีความมหัศจรรย์มากยิ่งขึ้น รวมถึงการประมูลอุปกรณ์ถ่ายภาพชุดพิเศษ ในราคาเริ่มต้นสุดพิเศษ

“ภายในงานยังมีอีกหนึ่งกิจกรรมที่พลาดไม่ได้คือการประกวดคลิปวิดีโองาน PHOTO FAIR 2019 โดยเชิญชวนนิสิต นักศึกษา และบุคคลทั่วไป ส่งผลงานเข้าประกวด เพื่อชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1 แสนบาท พร้อมประกาศนียบัตร โดยมีเงื่อนไขง่าย ๆ คือคลิปวิดีโอที่ส่งเข้าประกวดนั้นจะต้องมีคำว่า “โฟโต้แฟร์ 2019 ไบเทค บางนา วันที่ 27 พ.ย.-1 ธ.ค.2019” ปรากฏในคลิปวิดีโอโดยไม่จำกัดเทคนิคและรูปแบบการนำเสนอ มีความยาว 4-8 นาที ส่งผลงานได้ตั้งแต่วันที่ 29 ก.ค.- 29 ก.ย.62 และจะเริ่มนับยอดไลก์จากแฟนเพจสมาคมธุรกิจการถ่ายภาพ โดยจะมอบรางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดในงาน PHOTO FAIR 2019 ที่ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค  บางนา”

นางณริภา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันผู้บริโภคนิยมใช้สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมเทคโนโลยีกล้องคมชัดสูงซึ่งต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมกล้องถ่ายรูปดิจิทัลพอสมควร แต่ตลาดกล้องดิจิทัลยังคงมีการเติบโตเพราะจะเห็นได้จากการเปิดตัวกล้องรุ่นใหม่ของค่ายดัง ๆ ที่มุ่งเน้นในเรื่องนวัตกรรมเพื่อมาตอบสนองความต้องการของคนหลังเลนส์ หรือช่างภาพมืออาชีพซึ่งมีไลฟ์สไตล์ชอบแบกกล้อง แบกเลนส์ โดยเน้นในเรื่องของประสิทธิภาพ สามารถถ่ายรูปได้หลากหลาย หรือคนในยุคดิจิทัลที่ชื่นชอบการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะการถ่ายภาพโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย การโพสต์สินค้าขายทางออนไลน์ รวมถึงกลุ่มบล็อกเกอร์ที่นิยมออกเดินทางเพื่อถ่ายรูปสถานที่ท่องเที่ยว ถ่ายรูปการรีวิวอาหาร หรือการรีวิวสินค้า ต่างก็ยังคงมีความต้องการในการใช้กล้องคุณภาพสูง ขณะเดียวกันกล้องบางรุ่นก็มาพร้อมสีสันสดใส มีฟังก์ชั่นที่หลากหลาย และสามารถถ่ายภาพเซลฟีได้ ซึ่งช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทำให้ตลาดกล้องดิจิทัลยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

พบกับโปรโมชั่นสุดพิเศษในงานจากพันธมิตรที่มาออกงานกว่า 150 บูธ และจากสมาคมธุรกิจการถ่ายภาพที่เตรียมโปรโมชั่นเสริมไว้นับล้านบาท ที่สำคัญเข้าชมฟรีตลอดการจัดงาน ห้ามพลาด! “PHOTO FAIR 2019”  พบกันระหว่างวันที่ 27 พฤศจิกายน -1 ธันวาคม 2562 เวลา 10.00-21.00 น. ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา สามารถเข้าชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ FB : @PhotoFairThailand

“เครือมัณดาวีต์ กรุ๊ป” จัดแคมเปญสุดพิเศษ “ไทยเที่ยวไทยครั้งที่ 51”

alivesonline.com : บริษัท เว็บ สวัสดี จำกัด (มหาชน) และ “เครือมัณดาวีต์ กรุ๊ป” ร่วมกับบัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพทุกประเภท จัดกิจกรรมสุดพิเศษภายในงาน “ไทยเที่ยวไทยครั้งที่ 51” อาทิ ตั๋วเครื่องบิน 499บาท เปิดครั้งแรกและครั้งเดียวเฉพาะในงาน, แพ็คเกจที่จำหน่ายครั้งแรกในราคา 1,888 บาท พักกินเที่ยวไม่เคยมีมาก่อนในรอบ 20 ปี, ลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ที่มาร่วมงานแจกกระเป๋าเดินทาง แจกตั๋วเครื่องบินแจกทองมีมูลค่ารวมมากกว่า 10 ล้านบาท พร้อมกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลอีกมากมาย อาทิ แพ็คเกจญี่ปุ่นฟรี แพ็คเกจเที่ยวต่างประเทศฟรี แพ็คเกจรับเงินคืนและแพ็คเกจอื่น ๆ ภายในงาน ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 มิถุนายน 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานกรรมการบริหารสูงสุด บริษัท เว็บ สวัสดี จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือมัณดาวีต์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจมานาน 20 ปี จนปัจจุบัน มีบริษัทในเครือ 15 บริษัท 1 สมาคม มีพนักงานมากกว่า 500 คน ได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากกลุ่มลูกค้ามาตลอด ทำให้ ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า30 ล้านราย

สำหรับธุรกิจในเครือมัณดาวีต์ กรุ๊ป มีดังนี้ Mandawei co.,Ltd เป็นบริษัทให้การดูแลการค้าระหว่างไทย-จีน และคู่ค้าของบริษัทในเครือรวมถึงบริษัทสมาชิกสมาคมฯทั้งหมด, บริษัท มัณดาวีต์ทัวร์ จำกัด เป็นบริษัททัวร์รายแรกของโลกที่ทำทัวร์ในรูปแบบแพ็คเกจที่สามารถซื้อได้ในร้านสะดวกซื้อ ราคาถูกและมีคุณภาพ, บริษัท เว็บ สวัสดี จำกัด (มหาชน) บริการจองห้องพักโรงแรมผ่านออนไลน์ และเป็นบริษัทในไทยที่เป็น บมจ., บริษัท เอส-แพลนเนต จำกัด ให้บริการด้านพัฒนาซอฟแวร์ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือและเป็นที่ปรึกษาด้านโซเชียลมีเดีย, บริษัท มัณดาวีต์ รีสอร์ท แอนด์ สปา จำกัด ให้บริการด้านโรงแรมในรูปแบบพูลวิลล่าแห่งแรกและแห่งเดียวในอ่าวนางโดยมีที่พักเหมาะสำหรับครอบครัว

MWT Marketing Pte. Ltd ดำเนินการเที่ยวกับต่อยอดธุรกิจการ่วมทุน ช่องทางการตลาด การระดมทุนการเงิน การหากำไรให้ธุรกิจในเครือทั้งหมด, บริษัท เอ็มวี เทรดดิ้ง คอเปอร์เรชั่น จำกัด ประกอบกิจการด้านการซื้อ-ขาย ทั่วประเทศ รวมทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง, บริษัท อ่าวนาง ซีวีว คอนโด จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ คอนโดมีเนียม รวมถึงรวบรวมอสังหาริมทรัพย์ทั่วประเทศไทย, บริษัท จิรากานา จำกัด ให้บริการด้านคมนาคมในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งทางเรือและบริการรถตู้ นำเที่ยวทัวร์ทะเล เรือเหมาลำ กรุ๊ปสัมมนาและศึกษาดูงาน

บริษัท อ่าวนาง ซีวีว รอยัลโฮเทล จำกัด ทำธุรกิจด้านการโรงแรม ดีไซน์โดดเด่นและทันสมัย มีห้องพักหลากหลายรูปแบบพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน, บริษัท อินทิเกรทเต็ด ซิสเต็ม ซอฟท์แวร์ จำกัด ทำธุรกิจทางด้านไอทีให้คำแนะนำออกแบบพัฒนาซอฟต์แวร์และเป็นที่ปรึกษาการวางระบบบริหารงานด้านต่าง ๆ, บริษัท การบิน สวัสดี จำกัด บริการจองตั๋วเครื่องบิน ร่วมมือกับสายการบินชั้นนำต่าง ๆ ในประเทศไทย และกำลังวางแผนพัฒนางานสายการบิน

2NCLINIC เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและการบริการเป็นมืออาชีพ เรื่องการดูแลความสวยความงามและให้บริการต่าง ๆ, บริษัท นทีทองธาร จำกัด ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และการดำเนินการบริหารสินทรัพย์แบบครบวงจร, บริษัท สวัสดี ดอทคอม จำกัด ดำเนินการเกี่ยวกับการบริการด้านการเชื่อมต่อระบบการค้าแบบ OTA การรับบุ๊คกิ้ง การจองห้องพัก, สมาคมธุรกิจบริการและผลิตภัณฑ์ผสมผสาน เป็นการรวมกลุ่มจากหลากหลายอาชีพเพื่อเป็นตัวแทนพัฒนาธุรกิจเอสเอ็มอีสู่ความเป็นเลิศ

แคมเปญสุดพิเศษนี้เป็นการมอบสิทธิประโยชน์ทางลูกค้าที่สร้างความแตกต่างจากที่อื่น และจะช่วยสร้างแบรนด์ในเครือเว็บสวัสดีจำกัดมหาชน และบริษัทในเครือมัณดาวีต์กรุ๊ป (15 บริษัท 1 สมาคม) ให้เป็นผู้นำทางด้านการให้บริการท่องเที่ยวที่ครองใจนักเดินทางทั้งในและต่างประเทศ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.prasitjeawkok.com และดูรายละเอียดแพ็คเกจทัวร์ได้ที่ www.mandaweetour.com    

 

“ทีเส็บ” เน้นทำงานร่วมท้องถิ่น ชูพัทยา “มหานครแห่งไมซ์ภาคตะวันออก”

alivesonline.com : “ทีเส็บ” ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ตามแผนยุทธศาสตร์ EEC ของรัฐบาล ร่วมทำงานกับเมืองพัทยา – สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้เมืองพัทยาเป็น “มหานครแห่งไมซ์ภาคตะวันออก” เต็มรูปแบบ เตรียมจัดตั้งสถาบันไมซ์แห่งอาเซียน ควบคู่สำนักงานสาขาทีเส็บแห่งแรกในพัทยา

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา “ทีเส็บ” มีนโยบายการทำงานเชิงรุกเพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์โดยเน้นการทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในระดับภูมิภาคมากขึ้น โดยล่าสุดร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) และเมืองพัทยา ในการผลักดันแนวทางการพัฒนา “เมืองไมซ์พัทยา” หรือ “PATTAYA MICE City” ให้ยกระดับขึ้นเป็น “อีอีซีมหานครแห่งไมซ์” หรือ “EEC MICETROPOLIS” เพื่อเป็นจุดศูนย์กลางขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ของภาคตะวันออกภายใต้ยุทธศาสตร์หลักคือ การส่งเสริมภาพลักษณ์ “พัทยาเมืองใหม่” หรือ “Neo Pattaya” เพื่อพลิกโฉมเมืองพัทยาในฐานะมหานครแห่งไมซ์ อันเป็นเมืองที่เป็นหัวใจของพื้นที่ EEC โดยเมืองพัทยามุ่งเน้นการพัฒนาครบวงจรทั้งด้าน เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม พร้อมส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบของประชาชนทุกภาคส่วนสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเมืองแห่งไมซ์ต้นแบบอย่างยั่งยืน

การดำเนินงานร่วมกันครั้งนี้เป็นการบูรณาการทำงานเต็มรูปแบบทั้งด้านการพัฒนาและการส่งเสริมตลาดไมซ์ ร่วมจัดทำแผนดึงการจัดงานประชุมนานาชาติ งานประชุมวิชาชีพ งานแสดงสินค้า งานเมกะอีเว้นท์ ตลอดจนงานระดับโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมนโยบาย 4.0 ของรัฐบาล เพื่อสร้างเวทีการทำธุรกิจและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีส่งเสริมการขยายตัวของทุกอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศไทยในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เช่น งานทางด้าน Airshow, งาน PATA Destination Marketing Forum 2019 เป็นต้น การร่วมส่งเสริมการตลาดไมซ์เมืองพัทยาในงานเทรดโชว์ของอุตสาหกรรมไมซ์ในต่างประเทศร่วมกัน เช่น ประเทศเยอรมนี อเมริกา สเปน เป็นต้น

นายจิรุตถ์ กล่าวอีกว่า พัทยาเป็นเมืองจุดยุทธศาสตร์สำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ภาคตะวันออก ด้วยความเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน และธุรกิจบริการ ทั้งยังมีที่พักโรงแรมและศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ที่เหมาะแก่การจัดประชุมและงานแสดงสินค้านานาชาติ รวมถึงมีนักเดินทางกลุ่มไมซ์เดินทางสูงสุดเป็นอันดับ 3 รองจากกรุงเทพฯ และภูเก็ต อีกทั้งยังเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีความหลากหลาย ทันสมัย มีชื่อเสียงระดับโลก ตลอดจนมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างต่อเนื่อง

โครงการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ของรัฐบาล นับเป็นเมกะโปรเจกต์ของประเทศไทยในการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ทั้งการขยายสนามบินอู่ตะเภาและโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่เชื่อมต่อระบบการคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ครอบคลุมพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ถือเป็นปัจจัยสนับสนุนหลักในการผลักดันการพัฒนาธุรกิจไมซ์ของเมืองพัทยาในฐานะไมซ์ซิตี้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางไมซ์ภาคตะวันออกที่จะเชื่อมต่อการพัฒนาไมซ์ในพื้นที่ทั้งหมด กระจายความเจริญและรายได้สู่ชุมชนในภูมิภาค ตอบโจทย์ทั้งแผนยุทธศาสตร์ไมซ์ 20 ปี รวมถึงยุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศอีกด้วย

นายจิรุตถ์ กล่าวด้วยว่า ในปีงบประมาณ 2563 “ทีเส็บ” ยังเตรียมเปิดตัวโครงการบูรณาการส่งเสริมธุรกิจไมซ์ในพื้นที่ EEC ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เพื่อพัฒนาเส้นทางไมซ์ใหม่รองรับการเพิ่มกลุ่มนักธุรกิจผู้เข้าร่วมงานไมซ์ในเขตพื้นที่ EEC ทั้งในรูปแบบการพัฒนาเส้นทางการจัดกิจกรรมก่อน หรือหลังการประชุม การจัดอินเซนทิฟให้กลุ่มนักธุรกิจ และกิจกรรมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม โดยพัฒนาต่อยอดจากโครงการเส้นทางไมซ์ใหม่ผ่าน 7 มุมมอง หรือ 7 MICE Magnificent Themes มุ่งเน้นจัดกิจกรรมไมซ์ในสถานที่และพื้นที่ของชุมชนในเมืองพัทยา เช่น วิสาหกิจชุมชนบ้านตะเคียนเตี้ย, ชุมชนนาเกลือ โดยใช้งบประมาณพัฒนาโครงการร่วมกันในปี 2562 กว่า 6.5 ล้านบาท

“จากแคมเปญส่งเสริมการตลาดไมซ์ประเทศไทยปี 2562 หรือ Thailand : REDEFINE Your Business Events ทีเส็บ ยังเตรียมพลิกโฉมเมืองพัทยาให้เป็นมหานครแห่งไมซ์เต็มรูปแบบ ทั้งด้านการส่งเสริมการตลาด ตลอดจนการพัฒนามาตรฐานสถานที่ บุคลากรด้านไมซ์เพื่อรองรับการขยายตัวของการจัดงานเชิงธุรกิจ ส่งเสริมให้มีการเรียนการสอนด้านไมซ์ในสถาบันอุดมศึกษาและสถาบันอาชีวะศึกษา การจัดตั้งสถาบันไมซ์แห่งอาเซียน หรือ ASEAN MICE Institute เพื่อให้ EEC เป็นศูนย์กลางด้านการพัฒนาศักยภาพธุรกิจไมซ์ของภูมิภาค และขับเคลื่อนให้ไทยเป็นศูนย์กลางจัดงานเชิงธุรกิจในอาเซียน”

ขณะเดียวกัน “ทีเส็บ” กำลังศึกษาสถานการณ์ตลาดและความพร้อมของการพัฒนาไมซ์ในพื้นที่ EEC เพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ในการก่อสร้างศูนย์ประชุมนานาชาติ รวมถึงการจัดทำไมซ์โมเดลเพื่อการพัฒนาไมซ์รูปแบบพิเศษเฉพาะในพื้นที่ EEC (MICE Model) เนื่องจากมีการกำหนดให้ EEC เป็นเขตส่งเสริมการลงทุนของอุตสาหกรรมไมซ์ และเป็นเขตผ่อนปรนกฎหมายตลอดจนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไมซ์เพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งเสริมการจัดงาน ทั้งการประชุมและงานแสดงสินค้าในพื้นที่ รวมถึงสิทธิประโยชน์เพื่อสร้างแรงจูงใจแก่ผู้จัดงานและนักเดินทางธุรกิจเป้าหมายทั้งในและต่างประเทศ

“ในส่วนของเมืองพัทยาได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการพัฒนาธุรกิจไมซ์ โดย ทีเส็บ ได้ร่วมกับเมืองพัทยาเพื่อหารือแนวทางจัดตั้งสำนักงานสาขาของทีเส็บในเมืองพัทยา และเป็นศูนย์ประสานงานขับเคลื่อนไมซ์ในภาคตะวันออกอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาและขับเคลื่อนธุรกิจไมซ์ในพื้นที่เมืองพัทยาและ EEC อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง” นายจิรุตถ์ กล่าวในตอนท้าย

อนึ่ง ในปี 2561 เมืองพัทยาทำรายได้จากอุตสาหกรรมไมซ์ เป็นมูลค่า 16,064 ล้านบาท มีนักเดินทางไมซ์ต่างชาติ จำนวน 169,629 คน และชาวไทย จำนวน 1,789,966 คน

 

“เต็ดตรา แพ้ค” ฉลองครอบรอบ 10 ปี โครงการหลังคาเขียวฯ ปี 63

alivesonline.com : “เต็ดตรา แพ้ค” ผู้นำเสนอโซลูชั่นการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์อาหารชั้นนำของโลก ลงนามข้อตกลงความเข้าใจเพื่อขยายเวลาการดำเนินงานโครงการ “หลังคาเขียวเพื่อมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก” เป็นระยะเวลาอีก 3 ปี เพื่อดำเนินการจัดเก็บและรีไซเคิลกล่องเครื่องดื่มที่ใช้แล้ว เพื่อนำมาผลิตเป็นแผ่นหลังคาสำหรับก่อสร้างบ้านและที่พักพิงของผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติและชุมชนที่ประสบความเดือดร้อนทั่วประเทศไทย

พิธีลงนามครั้งนี้ ทำให้โครงการฯ ซึ่งเดิมมีกำหนดสิ้นสุดในเดือนมิถุนายน 2562 สามารถดำเนินงานต่อเนื่องจากเดือนกรกฎาคม 2562 ไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2565 และเป็นการเริ่มต้นดำเนินงานที่จะก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 ในปี 2563

บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวโครงการ “หลังคาเขียวเพื่อมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก” เมื่อเดือนมิถุนายน 2553 โดยความร่วมมือกับมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด โดยมีรายการโทรทัศน์ “ทีวี 360องศา” พันธมิตรรายที่ 4 เข้าร่วมโครงการในปี 2558 โดยมี ศูนย์รีไซเคิลกล่องเครื่องดื่ม โดย บริษัท ไฟเบอร์พัฒน์ จำกัด และ กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อมในสังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเครือข่ายการทำงานของมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก และพันธมิตรอื่น ๆ ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของโครงการมาโดยตลอด

โครงการ “หลังคาเขียวเพื่อมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก” มีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการกล่องเครื่องดื่มใช้แล้วในประเทศไทย ทั้งยังสนับสนุนความมุ่งมั่นของ “เต็ดตรา แพ้ค” ในเป้าหมายด้านความยั่งยืน ผ่านการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างองค์กรทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อการสรรค์สร้างสิ่งแวดล้อมและสังคมให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการรีไซเคิลและสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อแนวคิดด้านความยั่งยืนในประเทศไทย

ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ รองประธานกรรมการ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย กล่าวว่า เนื่องด้วยมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย มีภารกิจในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในหลายพื้นที่ของประเทศ โครงการ “หลังคาเขียวเพื่อมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก”จึงถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีในการแสดงให้เห็นว่าทุกคนสามารถร่วมสนับสนุนภารกิจสำคัญนี้ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องของเราให้สามารถก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากไปได้ ด้วยความพยายามร่วมกันของผู้คนในสังคมในการเก็บกล่องเครื่องดื่มใช้แล้วเพื่อนำไปรีไซเคิล ถือเป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนสามารถทำได้เพื่อช่วยกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ชีวิตของผู้อื่น การเข้าร่วมโครงการนี้จึงถือเป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีและความรับผิดชอบของเรา

ด้าน นายเบิร์ท ยาน โพสท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เต็ดตรา แพ้ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เต็ดตรา แพ้ค” รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สานต่อโครงการ “หลังคาเขียวเพื่อมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก” ซึ่งนับเป็นการดำเนินงานโครงการปีที่ 9 และถือเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้ร่วมกับมูลนิธิฯ และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการอันยิ่งใหญ่นี้

“ความพยายามของเราได้ช่วยเปลี่ยนกล่องเครื่องดื่มที่ใช้แล้วเกือบ 200 ล้านกล่องให้กลายเป็นแผ่นหลังคามากกว่า 6 หมื่นแผ่น ทั้งยังสามารถช่วยเหลือผู้ที่ประสบความเดือดร้อนได้หลายพันคน นอกจากนี้ เรายังจัดกิจกรรมให้ความรู้ นิทรรศการ เวิร์กชอป รวมทั้งกิจกรรมอันเป็นประโยชน์อื่น ๆ ให้หลายๆ หน่วยงาน เพื่อส่งเสริมให้คนไทยเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและช่วยเหลือชุมชนที่ประสบความเดือนร้อน โดยโครงการนี้ได้รับความสนใจจากสาธารณชนเป็นอย่างมาก นอกเหนือจากพันธมิตรของโครงการแล้ว เราขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามามีส่วนร่วม โดยเฉพาะลูกค้าของเราที่ช่วยส่งกล่องเครื่องดื่มใช้แล้วมาให้ ทั้ง ยังช่วยรณรงค์ให้พนักงานและลูกค้าของบริษัท ร่วมกันสนับสนุนโครงการหลังคาเขียวฯ อีกทางหนึ่ง”

นางวิภาดา ดวงรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี กล่าวเสริมว่า โครงการ “หลังคาเขียวเพื่อมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก” ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในบรรดาโครงการทั้งหมดที่เราได้มีส่วนร่วม จึงรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรหลักของโครงการนี้ในการตั้งจุดรวบรวมกล่องเครื่องดื่มใช้แล้วภายในห้างของเราทั่วประเทศ โดยปีนี้วางเป้าหมายรับกล่องเครื่องดื่มใช้แล้วจำนวน 30 ล้านกล่อง เพื่อส่งมอบกล่องเหล่านั้นไปยังศูนย์กระจายสินค้าที่วังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อรอการจัดเก็บโดย บริษัท ไฟเบอร์พัฒน์ จำกัด ต่อไป

“เรารู้สึกได้ว่าโครงการนี้ได้สร้างความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างเราซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกกับบรรดาลูกค้าของเรา ร่วมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อเป็นพันธมิตรร่วมกัน เพื่อร่วมแรงร่วมใจสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้สังคมด้วยกันอย่างแท้จริง โดย บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์จะอยู่เคียงข้างคนไทยในทุกช่วงชีวิต เพราะเราเป็นห้างคนไทย หัวใจของเราคือลูกค้า”

ด้าน นายธนินวัฒน์ พัฒนวีรคุณ พิธีกรรายการโทรทัศน์ “ทีวี 360 องศา” กล่าวเสริมว่า โครงการนี้มิใช่เพียงการเปลี่ยนกล่องเครื่องดื่มใช้แล้วให้เป็นแผ่นหลังคาเท่านั้น หากยังเป็นการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและแนวคิด ถือเป็นการสร้างอุปนิสัยใหม่ เพิ่มความตระหนักรู้และความรับผิดชอบ เพราะการเรียนรู้การทิ้งกล่องเครื่องดื่มใช้แล้วอย่างถูกต้อง ด้วยวิธี ‘พับแบนและพับเล็ก’ ถือเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ และเราจำเป็นต้องทำให้ผู้คนเรียนรู้ถึงสิ่งนี้มากขึ้น ทีวี 360องศา รู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมส่งเสริมโครงการนี้ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ โดยนำเสนอผ่านในหลายรายการของเรา ทั้งสถานีรักษ์โลก คิดใสไทยแลนด์ และอื่น ๆ”

ผู้สนใจสามารถร่วมบริจาคกล่องเครื่องดื่มใช้แล้วให้โครงการ “หลังคาเขียวเพื่อมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก” ได้ที่จุดรับกล่องในห้างค้าปลีกบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ มากกว่า 140 สาขาทั่วประเทศ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.tetrapak.com/th/thaigreenroof และ www.facebook.com/thaigreenroof เพื่อสมัครเป็น “อาสาหลังคาเขียว” หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ ศูนย์ข้อมูลโครงการฯ ที่ โทร.0 2747 8881

สี่องค์กรรัฐ-เอกชนผุด “นวัตวิถีไมซ์” ขับเคลื่อนรายได้สู่ชุมชน

alivesonline.com : กรมการพัฒนาชุมชน ทีเส็บมช.สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) ร่วมยกระดับชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีเข้าสู่ตลาดไมซ์คัดเลือก 8 ชุมชนต้นแบบในภาคเหนือตอนบนเพื่อพัฒนาและทำการตลาด เพิ่มมูลค่า และประสบการณ์ให้กลุ่มประชุมและสัมมนา เสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชนไปสู่ตลาดต่างประเทศในอนาคต

นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน (พช.) กระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กรมการพัฒนาชุม กระทรวงมหาดไทย ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) หรือ “TICA” เพื่อส่งเสริมชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี สู่อุตสาหกรรมไมซ์ โดยทั้ง 4 หน่วยงานจะร่วมกันทำงานบ่มเพาะ ต่อยอดชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีทั่วประเทศ ให้มีความพร้อมในการเข้าสู่อุตสาหกรรมไมซ์ สนองนโยบายภาครัฐในการพัฒนาอัตลักษณ์ท้องถิ่น เศรษฐกิจสร้างสรรค์และการใช้นวัตกรรมมาเป็นเครื่องมือสร้างจุดขายของชุมชน เพื่อเป็นส่วนสำคัญร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ของไทย

การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือครั้งนี้จะเป็นการยกระดับชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี และสินค้า OTOP ผ่านกระบวนการบ่มเพาะ ต่อยอด โดยใช้หลักการตลาดนำการผลิต/การพัฒนา โดยบูรณาการความร่วมมือและความเชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) จาก “ทีเส็บ” และ “TICA” โดยมีศูนย์ความเป็นเลิศด้านไมซ์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นสื่อกลาง จึงนับเป็นการทำงานร่วมกับภาคส่วนที่สำคัญของห่วงโซ่บริการไมซ์ พร้อมกำหนดดำเนินการ (นำร่อง) ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 (จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และแม่ฮ่องสอน) โดย กรมการพัฒนาชุมชน ได้คัดเลือกชุมชนที่มีศักยภาพและความพร้อมจำนวน 8 หมู่บ้าน/ชุมชน เป็นพื้นที่ดำเนินการในปีแรก และพร้อมขยายความร่วมมือไปยังภูมิภาค/กลุ่มจังหวัดอื่นๆ ต่อไปภายหน้า ประกอบด้วย

  1. จังหวัดลำพูน ได้แก่ บ้านแพะ อำเภอบ้านธิ และ บ้านดอนหลวง อำเภอป่าซาง
  2. จังหวัดลำปาง ได้แก่ ชุมชนท่ามะโอ อำเภอเมืองลำปาง และ บ้านแม่แจ๋ม อำเภอเมืองปาน
  3. จังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ บ้านโป่งกวาว อำเภอสะเมิง และ บ้านป่าตาล อำเภอสันกำแพง
  4. จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้แก่ บ้านละอูบ อำเภอแม่ลาน้อย และ บ้านป่าปุ๊ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” กล่าวว่า “ทีเส็บ” ต้องการขยายตลาดไมซ์ไปสู่ภูมิภาค จึงได้จัดตั้งหน่วยผู้เชี่ยวชาญเชิงพื้นที่ขึ้นเพื่อขยายผลความสำเร็จจากโครงการ “ไมซ์ ซิตี้” และเล็งเห็นว่าภาคีที่สำคัญของการทำงานภูมิภาค คือ กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีเครือข่ายระดับชุมชนทั่วประเทศ ซึ่ง “ทีเส็บ” เห็นศักยภาพของชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี และสินค้า OTOP จึงพิจารณาส่งเสริม และขยายการตลาด ทั้งในส่วนการเพิ่มลูกค้าไมซ์ไปจัดกิจกรรมในชุมชน และนำสินค้า OTOP รวมถึงผลผลิตการเกษตรในท้องถิ่นมาสู่กลุ่มลูกค้างานประชุม ทั้งในรูปแบบสินค้าที่ระลึก อาหาร เครื่องดื่ม และของใช้ในกิจกรรมไมซ์

“ทีเส็บ ได้พัฒนาช่องทางการตลาดออนไลน์ไว้รองรับในชื่อ MICE Marketplace ที่จะเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลสินค้าและชุมชนของ กรมการพัฒนาชุมชน ได้ทันที โครงการความร่วมมือนี้จึงนับเป็นการรวบรวมความเชี่ยวชาญของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และสถานศึกษามาร่วมกันต่อยอดศักยภาพสินค้าและบริการชุมชน ท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี ขยายโอกาสทางการค้าและการตลาด ผ่านการเข้าร่วมงานประชุมและแสดงสินค้า รวมถึงเตรียมความพร้อมในการเจรจาธุรกิจ หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับไมซ์ในระดับพื้นที่”

ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไพรัช กาญจนการุณ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า คณะฯ ได้มีการจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านไมซ์ ภายใต้สังกัดคณะเศรษฐศาสตร์ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ในพื้นที่ภาคเหนือ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นไมซ์ซิตี้หนึ่งในห้าของประเทศไทย โดยศูนย์ความเป็นเลิศด้านไมซ์ มีประสบการณ์การพัฒนาสินค้าและบริการไมซ์เพื่อตอบโจทย์ตลาดไมซ์คุณภาพ ครั้งนี้ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านไมซ์ จะได้ประยุกต์ความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ด้านการออกแบบ การจัดการข้อมูล และอื่น ๆ มาใช้เชิงพาณิชย์นับเป็นการขยายผลองค์ความรู้ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ไปสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ด้วย

นายสุเมธ สุทัศน์ ณ อยุธยา นายกสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) หรือ “TICA” ผู้แทนฝั่งเอกชนยืนยันถึงความพร้อมของการเชื่อมโยงชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี เพื่อลูกค้าไมซ์ ว่า ปัจจุบันลูกค้าไมซ์ต้องการได้รับประสบการณ์การจัดกิจกรรมในพื้นที่ระดับชุมชน รวมถึงการนำประเพณีวัฒนธรรมของประเทศไทยมาเป็นกิจกรรมสาธิตในระหว่างงานประชุม ความร่วมมือนี้จึงเป็นการเพิ่มเสน่ห์ไทยให้งานไมซ์ได้อย่างโดดเด่น โดย TICA ซึ่งเป็นสมาคมของผู้ให้บริการด้านไมซ์ ทั้งบริษัทที่จัดงาน โรงแรม และศูนย์ประชุม พร้อมให้ความร่วมมือกับทุกฝ่าย ตั้งแต่ต้นน้ำในการบ่มเพาะให้ความเข้าใจ เตรียมความพร้อมชุมชน ไปจนถึงการเชื่อมโยงให้สมาชิกพาลูกค้าไปจัดกิจกรรมไมซ์เน้นการขายแบบสร้างสรรค์ประสบการณ์ร่วมกับคนในชุมชน

ผลสำเร็จของการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ จะช่วยยกระดับการท่องเที่ยวคุณภาพกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ได้แก่ กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมไมซ์ เปิดตลาดชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถีไปสู่ตลาดสินค้าและบริการสร้างสรรค์มูลค่าสูง และ ภาคีทั้ง 4 หน่วยงาน เชื่อมั่นว่าจะเกิดการจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) สร้างมูลค่าเพิ่มในตลาดการค้าอีกไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการกระจายรายได้ไปสู่เศรษฐกิจรากหญ้า จากมูลค่าตลาดไมซ์ของประเทศไทยอยู่ที่ 212,924 ล้านบาท โดยมีนักเดินทางกลุ่มไมซ์ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศรวมทั้งสิ้น 34,267,307 คน จำแนกเป็นนักเดินทางกลุ่มไมซ์จากต่างประเทศจำนวน 1,255,985 คน ก่อให้เกิดรายได้ 95,623 ล้านบาท และนักเดินทางกลุ่มไมซ์ในประเทศจำนวน 33,011,322 คน ก่อให้เกิดรายได้ 117,301 ล้านบาท