“ธัญญาพาร์ค” ชวนชอปคืนภาษี

ศูนย์การค้า “ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์” จัดกิจกรรม “ชอปคืนภาษี” เอาใจนักชอปย่านศรีนครินทร์และพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมขานรับนโยบายภาครัฐ ยกคาราวานสินค้าเพื่อการกีฬาและสินค้าโอทอป (OTOP) กว่า 100 รายการ จัดโปรโมชั่นพิเศษลดสูงสุด 50% พร้อมนำใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2562

เริ่มต้นที่ “สินค้าเพื่อการกีฬา” พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษจากร้านค้าต่างๆ มากมาย อย่าง Grand Sport ศูนย์รวมอุปกรณ์กีฬา จัดโปรโมชั่นสุดพิเศษทั้งสโตร์ อาทิ เสื้อออกกำลังกาย กระเป๋า รองเท้าวิ่ง รองเท้าฟุตบอล และสินค้ากีฬาทุกประเภทจากหลากหลายแบรนด์ดัง UGO Bike ศูนย์รวมจักรยานและอุปกรณ์จักรยานแบบครบวงจร มอบส่วนลดสูงสุด 50% สำหรับการชอปสินค้าภายในร้าน อาทิ จักรยานทรงตัวสำหรับเด็ก, จักรยานแบบพับ, จักรยานสำหรับปั่นในเมือง, จักรยานสำหรับปั่นท่องเที่ยว, จักรยานเสือภูเขา และอุปกรณ์ด้านการปั่นจักรยาน ไม่ว่าจะเป็น อานจักรยาน กระเป๋า หมวก ขวดน้ำ เสื้อ เป็นต้น รวมถึง Rudy Project ร้านอุปกรณ์จักรยานแบบครบครัน มอบส่วนลดสูงสุดถึง 50%

ปิดท้ายด้วย “สินค้าโอทอป” จาก OTOP TOWN แหล่งรวมสินค้าขึ้นชื่อของแต่ละตำบลจากภูมิปัญญาชาวไทย ตั้งแต่ภาคเหนือจรดภาคใต้กับส่วนลดสูงสุด  20% อาทิ “เรือใบไม้สักจำลอง” ของดีจังหวัดชลบุรี “น้ำมันหอมระเหยประจำธาตุเกิด” จากจังหวัดสิงห์บุรี “พระพุทธรูปมองตาม” จากจังหวัดสระแก้ว เป็นต้น

นักชอปที่สนใจสามารถมาเลือกชมพร้อมชอปได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2562 ที่ ศูนย์การค้า “ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์” สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0 2108 6080 หรือติดตามรายละเอียดได้ที่ www.facebook.com/thanyapark  และ Line : @thanyaparknews

 

 

ปัญหาคอร์รัปชันไทย อุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

วชิรวัฒน์ บานชื่น และ พงศกร ศรีสกาวกุล

Economic Intelligence Center (EIC)

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

สถานการณ์คอร์รัปชันของไทยในช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมาปรับแย่ลง ดัชนีมาตรฐานการควบคุมคอร์รัปชัน (Control of corruption index : CCI) ที่จัดทำโดย World Bank บ่งชี้ว่าในปี 2560 ไทยได้คะแนน -0.39 (อยู่อันดับที่ 120 จากทั้งหมด 209 ประเทศ) ปรับตัวแย่ลงจากปี 2539 ที่ไทยได้ -0.36 คะแนน (อยู่อันดับที่ 103 จากทั้งหมด 187 ประเทศ) ซึ่งดัชนี CCI มีค่าอยู่ระหว่าง -2.5 ถึง 2.5 โดยคะแนนที่ติดลบนั้นบ่งชี้ถึงมาตรฐานการควบคุมคอร์รัปชันไทยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก

นอกจากนี้ การจัดอันดับโดยองค์กร Transparency International ยังพบว่า ภาพลักษณ์ด้านคอร์รัปชันของไทยก็ปรับแย่ลงเช่นกัน โดยในปี 2561 ไทยได้ 36 คะแนน (อยู่อันดับที่ 99 จากทั้งหมด 180 ประเทศ) ลดลงจากในปี 2555 ที่ไทยได้ 37 คะแนน (อยู่อันดับที่ 90 จากทั้งหมด 175 ประเทศ) ซึ่งคะแนนมีค่าอยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 โดยคะแนนยิ่งสูงหมายถึงประเทศนั้นมีคอร์รัปชันต่ำ

ปัญหาด้านคอร์รัปชันส่งผลเสียต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำในประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทยได้หลายช่องทาง ทั้งรายได้ภาครัฐที่ลดลง การใช้จ่ายภาครัฐที่ด้อยประสิทธิภาพ การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนที่ทำได้ยากขึ้นและการลดแรงจูงใจของการลงทุนภาคเอกชนโดยเฉพาะในด้านงานวิจัยนวัตกรรม

จากงานศึกษาของ IMF เดือนเมษายน 2562 พบว่าประเทศที่มี GDP per Capita สูงมักเป็นประเทศที่มีคอร์รัปชันต่ำ สอดคล้องกับงานวิจัยส่วนใหญ่ที่พบว่าคอร์รัปชันส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ดังนั้นการลดปัญหาคอร์รัปชันจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญข้อหนึ่งในการพัฒนาไปสู่ประเทศรายได้สูง

จากประเด็นดังกล่าว EIC มองว่าปัญหาคอร์รัปชันส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ 3 ช่องทาง คือ

1) คอร์รัปชันทำให้รายได้ของภาครัฐน้อยลง ส่วนหนึ่งมาจากการติดสินบนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีทำให้ภาครัฐเก็บภาษีได้น้อย และทำให้ประชาชนไม่มีแรงจูงใจในการจ่ายภาษีเต็มตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย โดยการศึกษาของ IMF พบว่า ประเทศที่คอร์รัปชันต่ำจะมีรายได้ภาครัฐสูงกว่าประเทศที่มีคอร์รัปชันสูงเฉลี่ยประมาณ 2.8-4.5% ของ GDP ซึ่งรายได้ภาครัฐที่ลดลงทำให้มีเม็ดเงินลงทุนน้อยลงสำหรับโครงสร้างพื้นฐานและสวัสดิการสังคมที่มีคุณภาพ จึงส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและเพิ่มความเหลื่อมล้ำในระยะยาว

2) คอร์รัปชันลดประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ โดย IMF พบอีกว่าประเทศที่คอร์รัปชันสูงมักมีการใช้จ่ายภาครัฐต่อหนึ่งโครงการสูงกว่าประเทศที่มีคอร์รัปชันต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยโครงการที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และพลังงาน มีความเสี่ยงที่จะมีการติดสินบนมากที่สุด และยังพบว่าการคอร์รัปชันส่งผลให้การดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจย่ำแย่ลงทั้งในแง่ของผลกำไรและประสิทธิภาพการดำเนินงาน นอกจากนี้ การดำเนินงานภาครัฐที่ไม่มีประสิทธิภาพยังทำให้คุณภาพการศึกษาด้อยลง สะท้อนจากคะแนนผลสอบนานาชาติที่ต่ำ โดยในกรณีของไทย ผลสอบ PISA ในปี 2558 อยู่เพียงอันดับที่ 55 จาก 72 ประเทศ แม้จะมีการจัดสรรงบเพื่อการศึกษาค่อนข้างมากก็ตาม

3) คอร์รัปชันเป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจและการลงทุน เพราะมักก่อให้เกิดการผูกขาดผ่านการกีดกันผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาในตลาดและทำให้ภาคเอกชนไม่มีแรงจูงใจในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ เพราะการสร้าง Connection ผ่านการคอร์รัปชันทำได้ง่ายกว่า โดยผลสำรวจของ World Economic Forum พบว่า ปัญหาคอร์รัปชันเป็น 1 ใน 5 อุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจในกลุ่มประเทศอาเซียนรวมถึงไทย ทำให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจสูงขึ้นและบั่นทอนความเชื่อมั่นในการลงทุน นอกจากนี้ OECD ยังพบอีกว่า คอร์รัปชันทำให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญด้วย

แนวทางการลดปัญหาคอร์รัปชันนั้นสามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับธรรมาภิบาลภาครัฐ การเพิ่มความโปร่งใสด้านข้อมูล ซึ่งช่วยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบมากขึ้น และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่

เมื่อพิจารณากรณีศึกษาในต่างประเทศและบริบทของไทยพบว่า การลดปัญหาคอร์รัปชันสามารถทำได้ ดังนี้

1) ยกระดับธรรมาภิบาลของภาครัฐ เพิ่มความชัดเจนและลดความซับซ้อนของกรอบกฎหมาย เพื่อลดการใช้ดุลยพินิจ (Discretion) ตลอดจนบังคับใช้กฎหมายที่ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมอย่างจริงจัง นอกจากนี้ การบริหารรัฐวิสาหกิจควรเป็นไปอย่างมืออาชีพและไม่ถูกแทรกแซงทางการเมือง ตัวอย่างการยกระดับธรรมาภิบาลของภาครัฐในต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น Public Governance, Performance and Accountability Act ของออสเตรเลียที่ออกมาในปี 2556 ได้ให้อำนาจ Accountable Authority เป็นผู้ควบคุมการทำงานหน่วยงานรัฐให้มีประสิทธิภาพ และมีระบบประเมินความเสี่ยงการปฏิบัติงานที่ชัดเจน ทำให้ภาครัฐมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

2) เพิ่มความโปร่งใสด้านข้อมูลและให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ โดยให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลรายรับ/รายจ่าย และรายละเอียดโครงการของภาครัฐในทุกระดับ โดยเฉพาะกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง อีกทั้งปรับปรุงกฎหมายที่ลดทอนสิทธิเสรีภาพในการตรวจสอบของประชาชนและสื่อมวลชน โดย IADB (2561) พบว่าการให้ประชาชนติดตามความคืบหน้าโครงการรัฐได้จะช่วยเพิ่มการร้องเรียนการคอร์รัปชัน และทำให้โครงการมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น

3) ใช้เทคโนโลยีร่วมสร้างระบบการตรวจสอบ เช่น สร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ Crowdsourcing เพื่อให้ประชาชนรายงานการคอร์รัปชันได้ง่ายและในต้นทุนที่ต่ำ ใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี และท้ายสุดอาจประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain สำหรับบันทึกข้อมูลภาครัฐ เช่น การออกโฉนดที่ดิน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบิดเบือนและติดตามข้อมูลได้ง่าย.

ทุกภาคส่วนร่วมชี้ชะตา “กัญชาไทย” อุตสาหกรรมแห่งอนาคต !

alivesonline.com : ลั่นกลองรบและจบลงไปแล้วอย่างสวยงามสำหรับ “Greenovation Cannabis Conference” งานประชุมวิชาการด้านกัญชาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จัดโดยสถาบันกรีนโนเวชั่น (Greenovation Institute) ซึ่งเปิดพื้นที่แห่งการแลกเปลี่ยนความคิดและความรู้ครั้งยิ่งใหญ่นับตั้งแต่เคยเกิดขึ้นในเมืองไทย

การประชุมครั้งนี้มีผู้เชี่ยวชาญจากทุกสาขา ตั้งแต่ผู้ขับเคลื่อนนโยบายจากภาครัฐ ผู้ลงทุนทำธุรกิจภาคเอกชน จนถึงนักวิชาการด้านกฎหมาย วิทยาศาสตร์ แพทยศาสตร์ สังคมศาสตร์ เกษตรศาสตร์ และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวของกับกัญชา โดยภายในงานมีประเด็นที่น่าสนใจติดตาม เพื่อเปิดสายตาให้ได้จับจ้องมองหาโอกาสใน “อุตสาหกรรมกัญชาไทย” อย่างมากมาย

“กัญชา” ต้นแบบการบริหารจัดการพืชเศรษฐกิจยุคใหม่

พลเดช อนันชัย ผู้อำนวยการสถาบันกรีนโนเวชั่น ในฐานะผู้จัดการประชุมครั้งนี้ กล่าวถึงเป้าหมายและภารกิจของการกำเนิดสถาบันว่า สถาบันกรีนโนเวชั่น มีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยส่งเสริมให้อุตสาหกรรมกัญชาพัฒนาประเทศไทยได้จริง ๆ ผ่านการทำงานใน 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายวิชาการ (Academics) ซึ่งมุ่งมั่นเผยแพร่ความรู้เชิงวิชาการผ่านการจัดงานประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Conference) และจัดทำหลักสูตรระดับประกาศนียบัตร (Certificate) และปริญญาโท-เอก (High Degree) ด้านกัญชาทางการแพทย์ร่วมกับสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อให้คนไทยทุกภาคส่วนได้เข้าใจและเข้าถึงอุตสาหกรรมนี้

นอกจากนั้นยังมีฝ่ายบ่มเพาะธุรกิจ (Incubator) ที่จะมีบริการให้คำปรึกษา (Consulting) กับองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนและการจัดการศูนย์วิจัย (Research Center) ของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้สามารถให้บริการเช่าห้องทดลอง เช่น ห้องทดลองเพาะปลูก (Co-Farming Space) และห้องทดลองสกัด (Co-Extracting Space) เพื่อให้นักวิทยาศาสตร์สามารถทำงานวิจัยได้โดยไม่ต้องใช้งบประมาณสูง และฝ่ายกองทุนเงินร่วมลงทุน (Venture Capital Fund) ซึ่งจะช่วยบริหารเงินจากนักลงทุนให้อุตสาหกรรมนี้ได้งอกเงยและเติบโตอย่างยั่งยืน

1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ที่แคลิฟอร์เนีย

นิรันดร์ ประวิทย์ธนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอวา แอดไวเซอรี่ ฮ่องกง จำกัด (AVA Advisory) ผู้พัฒนานวัตกรรมแพลตฟอร์มด้านการลงทุน กล่าวว่า รายงานปี 2561 อุตสาหกรรมกัญชาที่แคลิฟอร์เนียมีมูลค่าสูงถึง 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มเติบโตเป็นเท่าตัวในปีนี้ โดยเทรนด์จะที่เกิดขึ้นในเมืองไทยน่าจะมีความคล้ายคลึงกัน โดยในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาของการลงทุน ซึ่งธุรกิจที่น่าสนใจคือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกให้ได้วัตถุดิบกับธุรกิจด้านการวิจัยไบโอเทคซึ่งสามารถก้าวสู่การเป็นเจ้าของสิทธิบัตรนวัตกรรมที่มีอำนาจในการกุมราคาสินค้า ส่วนธุรกิจข้างเคียงที่ได้อานิสงส์ ได้แก่ ธุรกิจเหล้า เบียร์ และบุหรี่ ที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิต ซึ่งมีแนวโน้มที่จะนำสารสกัดไปใช้เป็นรายแรก ๆ เช่นเดียวกับธุรกิจสุขภาพที่จะนำไปใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ

สำคัญกว่าเปลี่ยนกฎหมายคือ เปลี่ยนวัฒนธรรมการใช้กัญชา

ทนายความตฤณ แก่นหิรัญ กรรมการบริหาร กลุ่มสำนักงานกฎหมายอเบอร์ ให้มุมมองเชิงกฎหมายต่อกัญชาอยู่ภายใต้ยาเสพติดให้โทษปี 2522 ว่า ไม่เพียงแค่ตัวกฎหมายเท่านั้นที่ต้องมีการแก้ไขเพื่อรองรับกัญชาที่จะก้าวสู่พืชเศรษฐกิจนี้ แต่ความรู้ความเข้าใจต่างหากที่เป็นสิ่งแรกที่เราต้องให้ความสำคัญ เราต้องเปลี่ยนสิ่งนี้ก่อน กฎหมายถึงจะเปลี่ยนตามเรา กัญชาก็เหมือนยา เราต้องใช้ให้พอดี หากเราใช้มากไปก็เปรียบเสมือนการใช้ยาเกินขนาด กฎหมายก็เช่นกัน หากว่าเราเร่งมากเกินไปก็จะทำให้เกิดช่องโหว่ทั้งกับผู้ใช้และตัวผู้ออกกฎหมายเอง แต่การปิดกั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ควร เพราะฉะนั้น เราจึงต้องให้ความรู้ ความเข้าใจให้มันถูกต้อง ให้คนรู้ว่ากัญชามีประโยชน์ทางการแพทย์แค่ไหนมากกว่า

สังคมปลอดภัยลึก…ถึงระดับ DNA

ผศ.ดร. ศรีเมฆ ชาวโพงพาง ผู้เชี่ยวชาญเทคนิคอาวุโส ธนาคารทรัพยากรธรรมชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า องค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีด้านพันธุศาสตร์ปัจจุบันสามารถเติมสารพันธุกรรมบางอย่างลงไปได้ลึกถึงระดับดีเอ็นเอ โดยไม่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ เพื่อสร้างเอกลักษณ์เฉพาะให้กัญชาของแต่ละแหล่งผลิต ในกรณีที่มีการปลูกโดยไม่ได้รับอนุญาต สามารถตรวจสอบกลับไปยังแหล่งต้นกำเนิดของกัญชาแต่ละต้นว่ามาจากแหล่งใดซึ่งจะช่วยให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างความปลอดภัยให้กับสังคมยิ่งขึ้น

“กัญชา” ในยาแผนไทย รักษาโรคได้จริง

นายแพทย์ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้พูดถึง “กัญชารักษาโรค แนวทางการวิจัยพัฒนาและทดลองใช้กัญชาในการรักษาผู้ป่วยในประเทศไทย” ว่า ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 ระบุให้กัญชาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยได้ โดยอนุญาตให้ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยสามารถยื่นขอใบอนุญาตได้ จึงได้ทำการศึกษาค้นคว้าการใช้ประโยชน์จากกัญชามากขึ้น เพื่อนำมาพัฒนาและนำมาเป็นส่วนประกอบในยาแผนไทย และได้กล่าวถึงตำรับยาโอสถพระนารายณ์ ตำรับยาแผนโบราณที่มีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีสรรพคุณ แก้อาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นผิดปกติ อัมพฤกษ์ อัมพาตและนำมาพัฒนาและใช้ประโยชน์ได้จริงในปัจจุบัน เนื่องจากกัญชามีสรรพคุณหลายอย่างในการรักษาโรคและมีส่วนช่วยในการรักษาอาการปวดเมื่อยได้

กัญชาพัฒนาประเทศกับจุดยืนนักการเมืองรุ่นใหม่

ไฮไลท์สำคัญของการประชุมในครั้งนี้ คือวงเสวนาพิเศษที่ได้รับเกียรติจากบรรดานักการเมืองรุ่นใหม่ ได้ขึ้นมาแสดงจุดยืนทางวิสัยทัศน์ส่วนตัวต่อกัญชา โดย ดร.ปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พืชพรรณที่จะเลือกมาส่งเสริมให้พี่น้องเกษตรกรเพาะปลูกให้ได้ดีและมีความอยู่ดีกินดี จำเป็นจะต้องเลือกสรรและทำการศึกษาเกี่ยวกับพืชชนิดนั้น ๆ ให้ได้อย่างครบถ้วนทุกมิติทั้งข้อดีข้อเสีย ในกรณีของกัญชานับเป็นต้นแบบของพืชเกษตรยุคใหม่ที่สามารถยกระดับไปสู่การเกิดศูนย์วิจัยเฉพาะทางในระดับภูมิภาคและระดับโลกได้ ให้ประเทศไทยได้เป็นผู้กำหนดมาตรฐานในระดับนานาชาติ ส่วนนี้จะเป็นจุดสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมกัญชาไทยเกิดความยั่งยืน รายได้ที่ยั่งยืนแก่พี่น้องชาวไทยที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้

เท่าภิพภ ลิ้มจิตรกร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ควรศึกษาว่าเมื่อมีการปลดล็อกกฎหมายกัญชาแล้วจะมีผลต่อสังคมอย่างไร นำเอาวิธีการแซนด์บ็อกซ์  (Sand Box) มาใช้ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง อำเภอ หรือจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง เพื่อดูว่าเมื่อเกิดการบังคับใช้กฎหมายแล้ว จะส่งผลอย่างไรต่อพื้นที่นั้น ๆ เช่น มีอาชญากรรม หรือการทำผิดกฎหมายเพิ่มขึ้น หรือลดลง รายได้ต่อหัวของประชากรเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ก่อนที่จะมีการประกาศใช้กฎหมายอย่างถ้วนหน้าทั่วประเทศ ซึ่งสิ่งที่ต้องระวังคือกฎหมายต้องไม่เอื้อประโยชน์ให้ใครคนใดคนหนึ่ง ธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง นอกเหนือจากผลักดันให้เกิดประโยชน์ทางการแพทย์แล้ว การใช้กัญชาเชิงสันทนาการก็น่าสนใจ แต่ต้องมีการควบคุมและการบังคับใช้กฎหมายที่เฉียบขาด

สื่อร่วมสร้างสรรค์วัฒนธรรมแห่งความจริง

ดร.อภิวัฒน์ จ่าตา ผู้อำนวยการสำนักข่าว Ganja TV กล่าวว่า กัญชาเป็นพืชที่อยู่คู่ไทยมานานแล้ว เป็นพืชที่คนไทยมีความคุ้นเคยและมีหลากหลายพันธุ์ขึ้นอยู่ตามแหล่งกำเนิด ทั้งที่ก่อนหน้าปี 2522 ก็มีการนำมาปรุงร่วมกับตำรับยา ก่อนที่จะมีการออกกฎหมายเพื่อควบคุมเสียอีก เรื่องสันทนาการเป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ซึ่งกัญชาแท้จริงแล้วสามารถรักษาโรคได้มากมายกว่าที่เราคิด ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สกัดได้เป็นทั้งยารักษาโรค รวมไปถึงยาบำรุง ถ้าเราสามารถนำกัญชามาสกัดเป็นยาได้อย่างถูกกฎหมาย ประเทศไทยจะสามารถรักษาคนเจ็บป่วยได้อีกมากเลยทีเดียว

“ในฐานะที่เป็นอดีตสื่อมวลชนด้านการเกษตร และทำสื่อที่เจาะประเด็นเรื่องกัญชาโดยเฉพาะ คงต้องบอกว่าวันนี้บทบาทของสื่อมวลชนสำคัญมาก โดยเฉพาะกับการสร้างวัฒนธรรมการนำเสนอข้อมูลอย่างรอบด้าน ให้ข้อเท็จจริง ทั้งคุณ ทั้งโทษ ไม่ใช่เอาแต่นำเสนอให้กัญชาดูเป็นผู้ร้ายหรือพระเอกอย่างใดอย่างหนึ่งเสียทีเดียว

อนึ่ง การประชุมวิชาการครั้งนี้เกิดขึ้นภายหลังการเปิดเผยโดย พล.ต. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2562 ว่า คณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชา ตามที่ กระทรวงสาธารณสุข เสนอ และให้ส่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นจากกระทรวงอื่น ๆ

นับเป็นการส่งสัญญาณจากภาครัฐที่น่าจับตามองต่อ “กัญชา” พืชที่เป็นทั้งความหวังและความกังวลจากหลายฝ่าย หลังประเทศไทยได้ก้าวสู่การเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่มีการปลดล็อกกฎหมายเกี่ยวกับกัญชา.

 

ฟัง ! เชฟไทยแนะข้อคิดปรับใช้กับร้านอาหารไทยในต่างแดน

alivesonline.com : ทุกวันนี้อาหารไทยเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติอย่างมาก มีนักท่องเที่ยวหลายต่อหลายคนที่เดินทางมาเที่ยวเมืองไทยเพราะอยากลิ้มรสอาหารไทย ขณะเดียวกันก็มีจำนวนไม่น้อยที่เสาะแสวงหาร้านอาหารไทยในต่างแดน ทำให้ปัจจุบันมีร้านอาหารไทยเป็นจำนวนมากเปิดให้บริการในนานาประเทศทั่วโลกเป็นจำนวนมาก

เมื่อเร็วๆ นี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดโครงการส่งเสริมและพัฒนาร้านอาหารไทยที่ได้รับ ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT Premium และ Thai SELECT ซึ่งมีอยู่ถึง 1,418 แห่ง โดยมีตัวแทนจากร้านอาหารไทยที่ได้รับ ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จำนวน 20 ร้าน 27 ราย จาก 15 ประเทศ เดินทางมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ค้นหาแรงบันดาลใจและวัตถุดิบใหม่ ๆ กลับไปพัฒนาร้านอาหารของตัวเอง

หนึ่งในกิจกรรมที่น่าสนใจคือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเชฟเจ้าของร้านอาหารไทยที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่นและมีชื่อเสียงในแวดวงอาหารของไทยในปัจจุบัน

เชฟก้อง – ก้องวุฒิ ชัยวงศ์ขจร เจ้าของร้าน โลคุส เนทีฟ ฟู้ด แลป (Locus Native Food Lab) จังหวัดเชียงราย เล่าว่า

“อาหารเกิดจากความผูกพันของประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และบุคคล ซึ่งเราได้รับการถ่ายทอดวิธีการทำกันมามากแล้ว แต่ไม่ค่อยได้รับการถ่ายทอดความเข้าใจในหลักการณ์และเหตุผลว่าเพราะอะไรถึงเกิดเมนูนี้ แท้จริงแล้วประวัติศาสตร์จะทำให้คนเกิดความผูกพันกับอาหาร ส่วนใหญ่อาหารถูกใช้เป็นเครื่องมือ เป็นตัวสร้างรายได้ แต่ขาดความรัก เมื่อไม่เข้าใจก็จะไม่เกิดความสัมพันธ์ระหว่างคนกับอาหาร เชฟ หรือคนทำอาหารควรเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดก่อนลงมือทำ รู้ถึงเหตุผลและที่มาที่ไป อาทิ เมนูต้มยำถูกทำขึ้นมาเพื่อเป็นยาแก้หวัดแต่น้อยคนที่จะทราบ ทุกวันนี้เน้นแต่ใส่เครื่องกันเต็มที่ให้ได้รสชาติจัดจ้านที่สุด แต่หากเปลี่ยนวิธีคิดทำอย่างเข้าใจว่าต้มยำทำเพื่อแก้หวัด เพียงเท่านี้กลิ่นก็มาแล้ว หากเราเข้าใจว่าทำอาหารเพื่ออะไร วัตถุประสงค์ของการใส่วัตถุดิบแต่ละครั้งก็จะไม่เหมือนกัน มี Passion เกิดขึ้น มี Relationship เกิดขึ้นกับอาหาร ถูกถ่ายทอดให้คนรับประทานได้เข้าใจและรับรู้ไปด้วยย่อมเกิดผลอะไรบางอย่างหลังจากอาหารมื้อนั้น แต่อย่างไรก็ตามคนทำอาหาร หรือเจ้าของร้านควรจะต้องศึกษาเรื่องราวมาอย่างถูกต้องและถ่ายทอดอย่างถูกต้องด้วยเช่นกัน”

เชฟหนุ่ม-วีระวัฒน์ ตริยเสนวรรธน์ เจ้าของร้าน ซาหมวยแอนด์ซันส์ (Samuay and sons) จังหวัดอุดรธานี ให้ข้อคิดกับผู้ประกอบการว่า

“บางครั้งการทำอาหารไทยต้องคำนึงถึงรสมือมากกว่าตลาด เพราะที่เป็นปัญหาทุกวันนี้และไม่เคยแก้ได้เลยคือ อาหารไทยในแต่ละประเทศรสชาติไม่เหมือนกันจนไม่รู้ว่ารสชาติไทยแท้เป็นอย่างไร ร้านไปปรับให้เข้ากับธรรมชาติของผู้คนในแต่ละประเทศมากเกินไป ทั้งที่จริงแล้ว รสชาติ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม เผ็ด ควรมีครบ รสเผ็ดอาจจะลดได้ แต่รสอื่น ๆ ไม่ควรลด ไม่เช่นนั้นเอกลักษณ์และความเป็นไทยจะหายไป ที่ร้านซามวยแอนด์ซันส์มีลูกค้าต่างชาติมารับประทานประจำ และทุกคนก็ชอบรสชาติดั้งเดิมที่อาหารควรเป็น เราไม่อยากเสียความเป็นตัวตนใด ๆ ของความเป็นอาหารท้องถิ่นไปเลย ทุก ๆ อย่างมีทางไป เพียงแค่ต้องคิดให้เยอะ หาทางให้เจอในการนำเสนอรสชาติเหล่านี้เพื่อให้สากลยอมรับให้ได้ อาหารบางอย่างสิ่งแวดล้อมก็พาไปจนทำให้คิดไปว่านี่คืออาหารไทย แต่จริงมันมีมิติที่มากกว่านั้น ผู้ประกอบการในต่างประเทศควรตีโจทย์ตรงนี้ให้ได้ อาทิ มีร้านหนึ่งที่โปแลนด์ชื่อหมอลำ คอนเซ็ปต์คืออาหารสตรีท ฟู้ด อีสานและเหนือ ซึ่งนำเสนอออกมาได้ดี เดี๋ยวนี้มีร้านอาหารไทยไปเปิดในประเทศที่ไม่คาดคิดมากขึ้นเพราะการเดินทางง่ายขึ้น อาหารไทยไม่จำเป็นต้องไปกระจุกอยู่ที่ใดที่หนึ่งแล้ว โจทย์สำคัญคือทำอย่างไรที่จะนำเสนอรสมือเพื่อสื่อสารถึงความเป็นไทยแท้ออกมาให้ได้มากที่สุด”

เชฟกิตติ วิเศษภูติ Executive Chef จากร้าน NIAGARA’S FINEST THAI ซึ่งมีอยู่กว่า 32 สาขาในประเทศแคนาดา แชร์ประสบการณ์ของการทำงาน 20 ปี ว่า

“ประเด็นแรกที่ต้องคำนึงถึงคือ ทำเล สิ่งที่ไม่ควรทำเลยคือการไปเปิดร้านอาหารในสถานที่เดียวกัน เมืองเดียวกัน ไปแชร์ตลาดกันเอง ยังมีหลายเมืองที่ไม่มีร้านอาหารไทย เจ้าของร้านควรเปลี่ยนความคิดที่ว่าเห็นใครทำแล้วดีที่นี่ก็จะไปทำบ้าง เพราะจะทำให้ร้านอาหารอยู่ไม่ได้ในระยะยาว ในตลาดยังมีชาวจีน ชาวเวียดนามซึ่งพร้อมด้านกำลังเงินที่เปิดร้านอาหารไทยแข่งกับคนไทยอยู่ ประเด็นที่สองคือการลงทุนด้านบุคลากร นอกจากระดับผู้จัดการที่ต้องเป็นคนที่ดูแลร้านได้เมื่อเจ้าของไม่อยู่แล้ว ยังต้องหาวิธีพัฒนาระดับเจ้าหน้าที่ ร้านอาหารไทยจะเจอปัญหาเทิร์นโอเวอร์ของคนอยู่บ่อย ๆ เราต้องมีความรู้และความสามารถมากพอที่จะฝึกคนในท้องที่ขึ้นมาเพื่อลดปัญหาเรื่องคน ประเด็นสุดท้ายคือเรื่องภาษาที่คนไทยเกิดปัญหาบ่อยครั้งเพราะสื่อสารกับชาวต่างชาติไม่เข้าใจ”

‘วรัญญา ขออาพัด’ เจ้าของร้าน ไทย เนรมิต (Thai Naramit) ประเทศออสเตรเลีย เล่าถึงเอกลักษณ์ของร้านที่ทำให้มีลูกค้าประจำมาว่า 8 ปีว่า

“เน้นอาหารที่มีรสชาติต้นฉบับเหมือนที่อยู่ในไทย เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เคยมาเที่ยวประเทศไทยแล้วและต้องการลิ้มรสชาติแบบนั้นอีก โดยใช้ฝีมือของเชฟชาวไทยที่แต่งงานกับชาวออสซี่และอาศัยอยู่ที่นั่นเลยเพื่อลดปัญหาเรื่องการเปลี่ยนเชฟบ่อย อาหารส่วนใหญ่จะมีตั้งแต่เมนูสตรีท ฟู้ดยอดนิยม อาหารไทยเด่น ๆ ในแต่ละภาค ไม่ว่าจะเป็นตำถาด ผัดหอยลาย สะตอผัดกุ้ง จนถึงอาหารขึ้นชื่อของประเทศ จากระยะเวลา 8 ปีที่เปิดร้านอาหาร มี 70% ที่เป็นลูกค้าประจำ และทุกคนจะทราบว่าเจ้าของร้านจะเดินทางกลับประเทศไทยทุกสามเดือนเพื่อค้นหาเมนู หรือวัตถุดิบใหม่ ๆ จนกลายเป็นการเฝ้ารอที่จะพบกับเมนูเหล่านั้น นอกจากนี้สิ่งสำคัญคือการลงทุนกับการทำโซเชียลมีเดียซึ่งเป็นช่องทางที่ช่วยสร้างการรับรู้ได้อย่างมาก จนทุกวันนี้นอกจากการจำหน่ายให้กับลูกค้าที่มาทานที่ร้านแล้ว ยังมียอดออเดอร์จากการโทรสั่งผ่านอูเบอร์อย่างต่อเนื่องด้วย”

‘ชิชญา คิช’ เจ้าของร้าน ต้มยำ (Tom Yam) 3 สาขาใน 3 เมืองของประเทศฮังการี เล่าถึงการขยายสาขาว่า

“พิจารณาจากทำเลและกลุ่มลูกค้าที่อยู่บริเวณนั้นเป็นหลัก โดยร้านที่ตั้งอยู่ย่านออฟฟิศก็จะเน้นบริการแบบสั่งกลับบ้าน หรือ Take Away ร้านที่อยู่ย่านชานเมืองซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของคนวัยเกษียณจะเน้นการนั่งรับประทานในบรรยากาศดี ช่วยรับรองคนที่ไม่ต้องการขับรถเข้าเมือง ส่วนการมาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ได้ข้อคิดสำคัญคือเรื่องการลงทุนด้านบุคลากร หรือ Right People ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องเอากลับไปเป็นการบ้าน เพราะจากประสบการณ์ของร้านอื่น ๆ นั้นพบว่าการลงทุนด้านบุคคลากรจะช่วยควบคุมเรื่องต้นทุนได้เป็นอย่างดี เช่น การจ้างคนทำซอสฝีมือดี 1 คนเพื่อทำจากร้านเดียวและส่งต่อไปยังร้านสาขา นอกจากควบคุมต้นทุนได้แล้วยังทำให้ได้รสชาติอาหารที่คงที่ไม่ผิดเพี้ยนด้วย”

จึงถือได้ว่ากิจกรรมที่เกิดขึ้นโดย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการได้ค้นหาวัตถุดิบใหม่ ๆ ค้นพบแรงบันดาลใจจากบุคคล สถานที่ สิ่งแวดล้อมที่ได้ศึกษาตลอดทั้งทริปแล้ว ยังทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ของผู้ที่ประกอบอาชีพเดียวกัน ประสบปัญหาเหมือนกัน ที่สำคัญคือเป็นการสร้างเครือข่ายและความเข้มแข็งของกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารไทยในต่างประเทศที่ได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เพื่อให้ร้านอาหารไทยได้เติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน.

‘วิทยากร มณีเนตร’ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้านการส่งเสริม ร้านอาหารไทยในต่างประเทศ

ผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน THAIFEX – World of Food Asia 2019 และคูหานิทรรศการ Thai SELECTพร้อมชมการสาธิตทำอาหารจาก อาจารย์วันดี ณ สงขลา

ผู้ประกอบการชมการสาธิตปรุงอาหารไทย โดย เชฟเดวิด ทอมป์สัน ณ ร้านอาหารซัมเดย์ เอฟเวอรี่เดย์

‘วิทยากร มณีเนตร’ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และ ‘ณัฐิยา สุจินดา’ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม ร่วมถ่ายภาพกับคณะผู้ประกอบการที่เดินทางมาร่วมกิจกรรม

“ทีเส็บ” เจาะตลาดไมซ์เมืองรองอินเดีย


alivesonline.com :
“ทีเส็บ”
เดินสายจัดโรดโชว์เจาะตลาดไมซ์เมืองรองในอินเดีย ตั้งเป้าดึงกลุ่มประชุมและอินเซนทีฟเข้าไทย หวังปูฐานสร้างเครือข่ายกับผู้แทนบริษัท พร้อมเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจระยะยาว คาดเพิ่มนักเดินทางไมซ์กว่า 1.3 หมื่นคน พร้อมรายได้กว่า 1 พันล้านบาท

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า “ทีเส็บ” เล็งเห็นถึงความสำคัญของตลาดไมซ์จากอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดไมซ์ที่มีจำนวนนักเดินทางสูงสุดเป็นอันดับ 2 รองจากจีน เป็นตลาดศักยภาพสูงทั้งในด้านของขนาดประชากรและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จึงได้ร่วมกับผู้ประกอบการไมซ์ไทยเดินทางไปจัดงานโรดโชว์ส่งเสริมตลาดประชุม (Meetings) และอินเซนทิฟ (Incentives) ขยายตลาดสู่เมืองรองของอินเดีย โดยจัดโรดโชว์ขึ้น 2 รอบในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมา

สำหรับการจัดงานครั้งแรกจัดขึ้นที่เมืองไฮเดอราบัดและเมืองชัยปุระ ในฐานะเมืองใหญ่ที่มีความพร้อมด้านตัวแทนบริษัทจัดการเดินทางด้านไมซ์ อีกทั้งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มสูงด้านการส่งออกพนักงานเดินทางประชุมและจัดอินเซนทิฟในประเทศไทย ส่วนครั้งที่สองเดินทางไปยังเมืองกัลกัตตาและเมืองลัคเนา ซึ่งเป็นเมืองรองที่มีนักเดินทางไมซ์ขนาดเล็ก แต่มีกลุ่มบริษัทตัวแทนการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูงต่อการพัฒนาเป็นบริษัทตัวแทนการเดินทางด้านไมซ์ต่อไปในอนาคต โดย “ทีเส็บ” เล็งเห็นว่าการปูพื้นฐานสร้างเครือข่ายกับผู้แทนบริษัทดังกล่าวในเมืองรอง เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำธุรกิจกับชาวอินเดียเป็นอย่างมาก

ส่วนผลจากการจัดกิจกรรมโรดโชว์ทั้งสองครั้งนี้ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยประมาณการว่าจะสามารถนำการจัดงานประชุมและอินเซนทีฟจากอินเดียเข้ามาได้รวมทั้งสิ้น 63 งาน คิดเป็นจำนวนนักเดินทางไมซ์มากกว่า 1.3 หมื่นคน สร้างรายได้กว่า 1 พันล้านบาท

 

ตลาดแรงงานไทยประสบวิกฤตบุคลากรไอทีสวนตลาดโตก้าวกระโดด

alivesonline.com : กลุ่มบริษัทซีดีจี ผู้ให้บริการด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศแบบครบวงจร แก่องค์กรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน เร่งดำเนินโครงการ iCODER ปีที่ 8 เพื่อบ่มเพาะโปรแกรมเมอร์มืออาชีพสู่ตลาดแรงงงาน หลังพบปัญหาประเทศไทยกำลังประสบปัญหาขาดบุคลากรไอที จากผลสำรวจการเติบโตของตลาดไอทีทั่วโลกของไอดีซี ปี 61-65 เติบโต 25.8% ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย ภายในปี 65 เติบโต 61% ของจีดีพี

นายนาถ ลิ่วเจริญ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ซีดีจี เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยกำลังประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรด้านไอทีเป็นอย่างมาก โดยจากข้อมูลผลสำรวจการเติบโตของตลาดไอทีทั่วโลกของไอดีซี จากปี 2561–2565 คาดว่าจะมีการเติบโตถึง 25.8% เงินลงทุนในเทคโนโลยีจะถูกนำไปใช้กับเทคโนโลยีพื้นฐานอย่าง Cloud, Mobile, Social and Big Data/ Analytics ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย ภายในปี 2565 เติบโต 61% ของจีดีพีทั้งประเทศ ซึ่งเกิดจากการผลักดันให้มีการใช้จ่ายด้านไอที ประมาณ 2,293,488 ล้านบาท ส่งผลให้อัตราการจ้างงานด้านไอทีเติบโตควบคู่ไปด้วย จึงเป็นที่มาของปัญหาการขาดแคลนบุคลากรของตลาดไอทีในปัจจุบัน

ทักษะด้านไอทีและดิจิทัลมีส่วนสำคัญต่อการนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้กับระบบการทำงานเพื่อการยกระดับประสิทธิภาพธุรกิจ ความต้องการบุคลากรด้านไอทีจึงมีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและยังเป็นอาชีพที่ขาดแคลนในตลาดแรงงานอย่างมาก ในสหรัฐอเมริกาพบการจ้างงานในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับสายงานไอทีมีแนวโน้มโตขึ้น 13% จากปี 2559-2569 เพิ่มขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยของทุกอาชีพ ความต้องการของตลาดแรงงานสำหรับสายงานไอทีจะมุ่งเน้นไปที่ Cloud Computing, Big Data, Information Security โดยคาดว่าในปี 2566 ทั่วโลกจะเผชิญกับปัญหาขาดแคลนบุคลากรไอทีกว่า 2 ล้านตำแหน่ง

“การทรานฟอร์มองค์กรเป็นสิ่งที่หลายหน่วยงานกำลังทำอยู่ในปัจจุบัน สิ่งสำคัญคือทักษะของบุคคลในองค์กรที่จำเป็นต้องถูกพัฒนาให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง โดยจากรายงานของ World Economic Forum: The Future of Jobs Report 2018 นั้นเปิดเผยว่า ในภาพรวมแล้วประมาณ 49% ของการฝึกงานของนิสิตนักศึกษาเกิดขึ้นภายในองค์กร จึงเป็นโอกาสที่ดีที่นักศึกษาจะได้เรียนรู้จากการทำงานจริงและจากผู้เชี่ยวชาญในสายงานนั้น ๆ เพื่อเพิ่มทักษะก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคต”

นายนาถ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านตลาดแรงงานไทยยังพบผลสำรวจของ JobThai ไตรมาสแรกของปี 2562 ตำแหน่งงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และไอที เป็น 1 ใน 3 ของประเภทงานที่ต้องการและเป็นแรงงานเติบโตมากที่สุด จากปัญหาดังกล่าว ซีดีจี ได้ดำเนินโครงการ iCODER เพื่อบ่มเพาะโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ มุ่งสนับสนุนเส้นทางการเรียนรู้ด้านไอที โดยดำเนินโคงการมาแล้วเป็นปีที่ 8 มีนิสิตและนักศึกษาสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการแล้วทั้งสิ้น 1,359 คน และได้ส่งบุคลากรไอทีคุณภาพกว่า 10% เข้าสู่ตลาดแรงงานแล้ว โดยตั้งเป้าปั้นบัณฑิตใหม่เป็นโปรแกรมเมอร์มืออาชีพเพิ่ม 50-100 คนต่อปี

ภาครัฐและเอกชนไทยให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาขาดแคลนบุคลากรไอที โดยกลุ่มบริษัทซีดีจี ได้เดินหน้าโครงการ iCODER ซึ่งเป็นโครงการบ่มเพาะโปรแกรมเมอร์มืออาชีพ สำหรับนิสิต นักศึกษา ทั่วประเทศที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 3 และ 4 ในสาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ หรืออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเขียนโปรแกรมมาตั้งแต่ปี 2555 ด้วยจุดประสงค์มุ่งให้โอกาสทางการศึกษาทางด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์กับนักศึกษาที่สนใจประกอบอาชีพโปรแกรมเมอร์ รวมทั้งมุ่งพัฒนาบุคลากรทางด้านการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้มีศักยภาพในการประกอบอาชีพ โดยพิจารณาคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมและผ่านเกณฑ์ที่บริษัทฯ กำหนด เพื่อเป็นพนักงานของบริษัท ซีดีจี ซิสเต็มส์ จำกัด บริษัทในกลุ่มซีดีจี

โครงการ iCODER ยังเน้นพัฒนาโปรแกรมเมอร์ฝีมือดีออกสู่ตลาด เพื่อแก้ปัญหาโปรแกรมเมอร์หายาก การพัฒนาโปรแกรมเมอร์จากนิสิต นักศึกษาที่กำลังจะจบการศึกษาและจะเข้าสู่ตลาดแรงงานให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด จะเป็นผลดีในการทำงานที่ประหยัดเวลาการเริ่มต้นเรียนรู้ในหน่วยงาน สามารถพร้อมลงมือปฏิบัติงานเมื่อเข้าทำงานในองค์กร และสร้างสรรค์ผลงานได้ดีเยี่ยม โดยในปีที่ 8 เป้าของโครงการคือต้องการนักศึกษาสมัครเข้าร่วมโครงการจำนวนไม่ต่ำกว่า 300 คน และต้องการ นักศึกษาเข้าอบรมจำนวน 50-60 คน ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมรายเอียดโครงการได้ที่ Official website: https://icoder.cdg.co.th/

“ซีดีจี พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร หนึ่งในความท้าทายต่อการผลักดันประเทศไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อให้บุคลากรด้านไอทีที่มีประสิทธิภาพเพียงพอและตรงกับความต้องการของตลาดอย่างแท้จริง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ตลอดจนยกระดับเศรษฐกิจประเทศให้ก้าวทัดเทียมนานาประเทศ” นายนาถ กล่าวในตอนท้าย

 

วีซ่า ผนึก LINE Pay สร้างฟินเทคโซลูชั่นและบัตรชำระเงินดิจิทัลสำหรับอนาคต

alivesonline.com : “วีซ่า” ผู้นำด้านระบบการชำระเงินระดับโลก ร่วมกับ “ไลน์ คอร์เปอเรชั่น” (LINE Corporation) ผู้ให้บริการด้านฟินเทค (FinTech) และดิจิตอลวอลเลท (Digital Wallet) บนแอปพลิเคชันไลน์ ประกาศความร่วมมือทางธุรกิจเพื่อสร้างประสบการณ์รูปแบบใหม่ด้านบริการทางการเงินบนแอพพลิเคชั่นให้แก่ผู้บริโภคและร้านค้านับล้านทั่วโลก

ทั้งสองบริษัทประกาศที่จะร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

  • การใช้จ่ายของผู้บริโภคในชีวิตประจำวัน : สำหรับผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน LINE กว่า 187 ล้านรายทั่วโลกจะสามารถสมัครบัตรวีซ่าในรูปแบบดิจิทัลได้ผ่านแอปฯ โดยตรง ซึ่งในอนาคตจะสามารถเพิ่มบัตรวีซ่าที่ถืออยู่เข้าไปยังดิจิตอลวอลเลท เพื่อสร้างประสบการณ์ด้านการชำระเงินแบบไร้รอยต่อบนสมาร์ทโฟน นอกจากนั้นทั้งสองบริษัทจะร่วมกันต่อยอดโครงการเสริมสร้างความสัมพันธ์ (Loyalty Program) ต่าง ๆ สำหรับลูกค้า สิทธิประโยชน์ และโซลูชั่นการชำระเงินสำหรับการเดินทางในต่างประเทศ
  • โซลูชั่นสำหรับร้านค้า : ผู้ใช้บริการ LINE Pay จะสามารถใช้บริการชำระเงินในเครือข่ายร้านค้าของวีซ่าที่มีอยู่กว่า 54 ล้านร้านค้าทั่วโลก ไปพร้อมกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ และบริการและจาก LINE Pay อีกด้วย โดยผู้บริโภคจะสามารถตรวจการทำธุรกรรมได้ผ่านดิจิตอลวอลเลทของ LINE Pay ถึงแม้ว่าในบางสถานที่จะไม่รับบริการชำระผ่าน LINE Pay โดยตรง นอกจากนี้ วีซ่า และ LINE Pay ยังจะร่วมมือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ร้านค้าเพื่อรองรับการชำระเงินผ่าน LINE Pay และ ดิจิตอลวอลเลทของ LINE Pay เพื่อขยายเครือข่ายการชำระเงินระหว่างกันทั่วโลก
  • การบริการฟินเทค : LINE Pay และ วีซ่า จะร่วมพัฒนาประสบการณ์รูปแบบใหม่บนบล็อกเชน (Blockchain) เพื่อรองรับการชำระเงินระหว่างหน่วยงานธุรกิจ (B2B) การชำระเงินแบบข้ามพรมแดน และการทำธุรกรรมการเงินทางเลือก
  • การตลาด : วีซ่า และ LINE Pay จะร่วมผลักดันแคมเปญทางการตลาดและโปรโมชันต่าง ๆ ทั้งในช่วงก่อนและหลังการจัดงานโอลิมปิกที่จะถึงนี้ เพื่อช่วยผลักดันให้ประเทศญี่ปุ่นเป็นสังคมไร้เงินสด

แอปพลิเคชันส่งข้อความ (Messaging Applications) เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดดิจิตอลคอมเมิร์ซ เนื่องจากผู้บริโภคใช้เวลาส่วนใหญ่กับแอปพลิเคชันเหล่านี้ ซึ่งการผนวกบริการการชำระเงินเข้ากับแอปพลิเคชันจะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ประสงค์จะใช้งานเพียงแอปพลิเคชันเดียวในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การโอนเงิน การซื้อสินค้าออนไลน์ การจ่ายบิล การจองที่พัก หรือแม้กระทั่งการสั่งอาหาร ดังนั้นความร่วมมือกันระหว่าง LINE และ วีซ่า จะตอบโจทย์และสร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อสำหรับผู้ใช้งานหลายล้านราย ทั้งยังช่วยผลักดันให้เกิดการขยายตัวของการชำระเงินแบบเปิด และการทำงานระหว่างหน่วยงานในระดับโลก

สำหรับความร่วมมือกันในครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดความสัมพันธ์ระหว่าง วีซ่า และ LINE Pay ซึ่งรวมถึงความร่วมมือในการออกบัตร LINE Pay วีซ่าในประเทศไต้หวัน และในช่วงปลายปี 2019 ในประเทศญี่ปุ่น

‘คริส คลาร์ก’ ประธานบริหารวีซ่า ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า โปรแกรมที่ทำร่วมกันเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในไต้หวันกว่า 2.3 ล้านรายในปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่เติบโตเร็วที่สุดระดับโลก และเรายินดีที่ได้ขยายโซลูชั่นนี้ไปยังตลาดอื่น ๆ ทั่วโลก นอกจากนั้น เรายังประทับใจในขีดความสามารถและความนิยมของ LINE และยินดีที่ได้ร่วมมือเพื่อผลักดันการเติบโตของระบบการชำระเงินแบบเปิดทั่วโลก โดยเราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะสร้างประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนในเครือข่ายของเราไม่ว่าจะเป็น ผู้บริโภค ร้านค้า และ ธนาคารผู้ออกบัตร และรับบัตร เป็นต้น

ด้าน ‘ยงซู โก’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE Pay และ LINE Fintech Company กล่าวว่า LINE Pay เป็นมากกว่ารูปแบบการชำระเงิน ในขณะที่เราก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสด LINE Pay จะเข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่าให้แก่พันธมิตรทางธุรกิจและผู้ใช้งาน LINE ทั่วโลก นอกจากนั้น ผู้ใช้ LINE Pay จะสามารถใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมและเครือข่ายระดับโลกของวีซ่าได้อีกด้วย”

ในขณะที่รูปแบบการชำระเงินขยายตัวจากบัตรพลาสติกแบบดั้งเดิมเข้าสู่การชำระเงินผ่านสมาร์ทโฟน อุปกรณ์เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและการชำระเงินรูปแบบดิจิทัลอื่น ๆ วีซ่าได้ทำงานร่วมกับพันธมิตรทั่วโลกเพื่อเพิ่มประสบการณ์การชำระเงินใหม่ให้แก่ผู้บริโภคผ่านบัตรในรูปแบบดิจิตอล และขยายเครือข่ายสร้างพันธมิตรกับผู้เล่นใหม่ ๆ รวมถึงโปรแกรม “วีซ่า ฟินเทค ฟาสแทรค” (Visa Fintech Fast-track programme) ที่เปิดโอกาสให้พันธมิตรเข้าร่วมพัฒนาบริการใหม่ ๆ บนเครือข่ายการชำระเงินของวีซ่า

 

“โฮมโปร” ดีเดย์ 1 ก.ค. 62 งดแจกถุง 100% พร้อมกันทั่วประเทศ

alivesonline.com : “โฮมโปร” ดีเดย์ 1 ก.ค. 62 งดแจกถุงพลาสติก 100% พร้อมกันทุกสาขาทั่วประเทศ ในแคมเปญ “No plastic Bags” พร้อมกระตุ้นให้ใช้ถุงผ้า หลังประสบความสำเร็จก่อนหน้านี้ในโครงการงดแจกถุงในทุกวันที่ 4 ,14 และ 24 ของทุกเดือน พร้อมแจกแต้มโฮมการ์ดเฉลี่ยถึงเดือนละ 2.4 ล้านแต้ม หรือมีลูกค้าที่เลือกไม่รับถุงพลาสติกมากกว่า 10,000 คน/เดือน หากลูกค้าต้องการรับถุงพลาสติกจ่าย 1 บาทต่อ 1 ใบ เพื่อเป็นส่วนในการลดมลภาวะ และลดปัญหาโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้น

นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมถือเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกประเทศทั่วโลกหันมาใส่ใจมากขึ้น โดยเฉพาะขยะพลาสติกที่ย่อยสลายได้ยาก ในขณะที่ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ปล่อยขยะพลาสติกลงทะเลมากที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก ด้วยปริมาณขยะพลาสติกกว่า 2 ล้านตันต่อปี หรือประมาณ 2 แสนล้านใบ

จากสถานการณ์ดังกล่าว “โฮมโปร” ในฐานะผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านอย่างครบวงจร มีความตระหนักถึงบทบาทในการช่วยบรรเทาปัญหาขยะและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงเดินหน้าประกาศเจตนารมณ์เพื่อยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคม ตอบสนองต่อนโยบายภาครัฐ ด้วยการรณรงค์งดแจกถุงพลาสติก และงดให้คะแนนโฮมการ์ด 100% พร้อมกันทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคได้ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เริ่มตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป ผ่านแคมเปญ “No plastic Bags”

ในช่วงที่ผ่านมา “โฮมโปร” ได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากการประกาศรณรงค์งดแจกถุงพลาสติกใน“โครงการ No Bag” งดใช้ถุงพลาสติกตลอดเดือนกรกฏาคม เมื่อปี 2559 และงดแจกถุงต่อเนื่องในทุกวันที่ 4 ,14 และ 24 ของทุกเดือน เพื่อลดการสร้างขยะ และลดการผลิตถุงพลาสติกที่จะสร้างมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม หากลูกค้าสมาชิกโฮมการ์ดปฏิเสธการรับถุงพลาสติก จะได้รับคะแนนสะสม 10 คะแนน ตั้งแต่บาทแรกที่ใช้จ่ายใน “โฮมโปร” โดยตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบันสามารถลดการใช้ถุงได้กว่า 2 ล้านใบต่อปี และมอบแต้มโฮมการ์ดเฉลี่ยถึงเดือนละ 2.4 ล้านคะแนน หรือมีลูกค้าที่เลือกไม่รับถุงพลาสติกมากกว่า 10,000 คน/เดือนส่วนแคมเปญ “No plastic Bags” ในครั้งนี้คาดว่าจะลดการใช้ถุงพลาสติกได้ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านใบต่อปี

“การรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป สิ่งสำคัญคือเราต้องเริ่มต้นจากตัวเอง แล้วส่งต่อแนวคิดนี้ไปถึงคนอื่น ๆ ใกล้ตัว โฮมโปร ปลูกฝังแนวคิดเรื่องสิ่งแวดล้อมให้พนักงานทุกคน เพื่อให้ภายในองค์กรไร้ถุงพลาสติก ก้าวต่อไปเราจะพยายามรณรงค์ให้ลูกค้าครอบครัวโฮมโปรเห็นความสำคัญของการลดใช้ถุงพลาสติกมากขึ้น และพนักงานโฮมโปรทุกคนก็จะเดินไปพร้อมๆ กับลูกค้า สู่เป้าหมายสุดท้ายคือการงดใช้ถุงพลาสติกใน โฮมโปร ให้ได้ครบทั้ง 100%” นางสาวสิริวรรณ กล่าวในตอนท้าย

ชี้เป้า 5 ร้านหมูทอดชื่อดัง สั่งผ่าน GET FOOD ค่าส่งเริ่ม 10 บาทเท่านั้น !

alivesonline.com : จะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย ข้าวเหนียวหมูทอดก็ยังเป็นเมนูคลาสสิกสำหรับทุกเพศทุกวัย เพราะตอบโจทย์ทั้งเรื่องความอร่อย และความสะดวก “เก็ท” (GET) แอปพลิเคชันที่ให้บริการส่งอาหาร เรียกรถ และรับส่งพัสดุจึงเอาใจ “สายกิน” ขอชี้เป้า 5 ร้านหมูทอดในกรุงเทพฯ ที่หากยังไม่เคยลองถือว่า “พลาดสุด ๆ” เพราะทั้งกรอบนอก นุ่มใน แถมข้าวเหนียวยังนึ่งสุกพอดี นุ่มหนึบเข้ากันเป็นที่สุด จะสั่งเดลิเวอรี่มาเป็นมื้อเช้าในชั่วโมงเร่งรีบ หรือมื้อบ่ายแก้ง่วงก็สะดวก เพราะไม่ต้องลำบากหาที่จอดรถ หรือต่อคิวเอง แถมค่าส่งยังเริ่มต้นแค่ 10 บาทเท่านั้นเอง !

1.มูมมามข้าวเหนียวหมูทอด
ร้านข้าวเหนียวหมูทอดเจ้าประจำของชาวสาทรและสีลมที่หอมจนปฏิเสธไม่ได้ตั้งแต่เปิดกล่อง โดยมีทีเด็ดเป็นหมูกรอบ ที่กรุบกรอบกำลังพอดี ส่วนข้างในก็นุ่มละลายในปากพร้อมอีกหนึ่ง ไฮไลท์คือข้าวเหนียวดำที่หอมเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ เมนูข้าวเหนียว ไก่ทอดสไปซี่ของ “ร้านมูมมาม” ก็แซ่บไม่เป็นรองใคร เรียกว่าสั่งร้านเดียวตอบโจทย์ทั้งออฟฟิศ จะชอบหมูทอดไก่ทอด หรือหมูกรอบก็ฟิน

2.หมูทอดเจ๊จง
ร้านข้าวหมูทอดในตำนานย่านพระราม 4 ซึ่งเป็นร้านโปรดของใครต่อใครหลายคนเพราะนอกจาก หมูทอดจะรสชาติเด็ดดวง ยังมีเมนูอื่น ๆ อีกมากมายที่อร่อยถูกปาก โดยเฉพาะผัดเผ็ดที่เครื่องแกง เข้มข้นถึงใจ ที่สำคัญทางร้านยังใจดีขยันตักขยันเติมเพราะอยากให้ลูกค้าอิ่มท้องในราคาสบาย กระเป๋า ถ้าอยากแวะไปชิมหมูทอดด้วยตนเองที่หน้า “ร้านเจ๊จง” อย่าลืมเตรียมใจและเผื่อเวลาต่อคิว เพราะร้านนี้แฟนคลับเขาเหนียวแน่นจริงๆ

3.ข้าวหมูทอดอร่อยมาก 20 บาท
ร้านหมูทอดย่านสี่แยกบ้านแขกที่แค่ความแหวกแนวและชัดเจนของชื่อร้านก็มีชัยไปกว่าครึ่ง นอกจากข้าวหมูทอดจะอร่อยสมชื่อราคาก็เป็นมิตรจนไม่ต้องคิดมากหากอยากจะสั่งเพิ่มอีกสัก จานแถมยังมีน้ำซุปมาซดให้ชุ่มคอ จุดเด่นของทางร้านคือแม้ว่าหมูทอดทุกรายการจะสุกกรอบ นอก นุ่มใน แต่ก็แห้งไร้น้ำมันเยิ้มยิ่งราดด้วยพริกน้ำปลาสูตรเฉพาะของทางร้านที่หอมทั้งน้ำปลา และพริกขี้หนูซอยก็ยิ่งฟิน

4.ข้าวหมูทอดเฮียวงศ์
ข้าวหมูทอดเจ้าโปรดของชาวฝั่งธนฯ ที่หน้าร้านมักมีคิวยาวไม่ขาดสายเพราะมัดใจทั้งลูกค้า เจ้าประจำ และดึงดูดใครที่บังเอิญผ่านมาด้วยการทอดหมูโชว์หน้าร้าน กลิ่นหมูทอดใหม่ ๆ กับ ข้าวสวยที่หุงสุกร้อน ๆ หอมยั่วยวนใจตั้งแต่ปากซอยไปจนท้ายซอย ถ้าอยากเพิ่มพลังอย่าลืมสั่งไข่ต้มยางมะตูมสักลูก รับรองอิ่มอร่อยพร้อมลุยงานต่อ


5.หมูทอดวรภา
อีกหนึ่งร้านหมูทอดที่ฮิตจนมีสาขาอยู่หลายย่านดังของกรุงเทพฯ หมูทอดหมักจนเข้าเนื้อเพิ่ง ขึ้นจากกะทะใหม่ ๆ กับข้าวเหนียวนุ่มหนึบร้อน ๆ อร่อยจนลืมตัว รู้อีกทีหมดจาน เดินผ่านกี่ทีก็ปฏิเสธไม่ได้

สั่งหมูทอดพร้อมข้าวเหนียวร้อน ๆ มาฟินได้ง่าย ๆ ผ่าน GET FOOD เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน GET จาก App Store และ Play Store และลงทะเบียนเพื่อใช้งาน พร้อมเพลินกับร้านอาหารคาวหวานอีกเพียบ.

“THE ADDRESS สยาม – ราชเทวี” เผยโฉมสุนทรียะการใช้ชีวิตอันทรงคุณค่า

(จากซ้ายไปขวา) วาริธร กันท์ไพบูลย์, พลอยวารินทร์ ทรงปกรณ์, รติรส ภู่วิภาดาวัฒน์, วารีนิธิ กันท์ไพบูลย์, รุจจิ์ จุลชาต, ฟา เบเนเดทตี้, อรวรรณ อิงคสิทธิ์, ศีกัญญา ศักดิเดช, ภาณุพันธ์, ญาณินท์ วีระไวทยะ, สรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง, อัครรัฐ วรรณรัตน์, พลอย ปิ่นแสง, พัชทรี ภักดีบุตร, มล. ทรงลักษณ์ สวัสดิวัตน์, พุทธพงษ์ เพียรเจริญ, จริยดี สเป็นเซอร์ และเจย์ สเป็นเซอร์

alivesonline.com : บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง รังสรรค์ “The Address สยาม – ราชเทวี” เรสซิเดนซ์ระดับเพรสทีจ–ลักซ์ ให้เป็นพื้นที่จัดแสดงนิทรรศการคอลเลกชั่นเครื่องใช้แบบสยามและเครื่องประดับที่ผสมผสานสองวัฒนธรรมอันล้ำค่า หาชมได้ยาก เพื่อบอกเล่า “สุนทรียะ – ความละเมียดละไม และเรื่องราวอันทรงคุณค่า” ของวิถีชีวิตเหล่าชนชั้นสูงในอดีต

การจัดนิทรรศการครั้งนี้ยังมีการถ่ายทอดเบื้องหลังแนวคิดการออกแบบ “The Address สยาม – ราชเทวี” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “CRAFTED FOR ELITES” สร้างสรรค์ทุกองค์ประกอบเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตอันโดดเด่น เปี่ยมไปด้วยคุณภาพทั้งด้านการออกแบบ การตกแต่งที่ถูกคัดสรรมาจากแหล่งที่ดีที่สุดทั่วโลกและโลเคชั่นกลางใจเมืองซึ่งเป็นที่ปรารถนา พร้อมส่งมอบสุนทรียะแห่งการพักอาศัยที่สมบูรณ์แบบทุกตารางนิ้ว โดยคอลเลกชั่นเครื่องใช้และเครื่องประดับแบบสยามอันล้ำค่าที่นำมาจัดแสดงเป็นของที่ตกทอดมาหลายยุค หลายสมัย อาทิ พระเข็มกลัดพระบรมสาทิสลักษณ์พระพันปีหลวง ฟาแบร์เช พระธำมรงค์ พระบรมสาทิสลักษณ์พระพุทธเจ้าหลวงประดับเพชร เครื่องใช้เนื้อนากเครื่องบ่งบอกฐานะของผู้ใช้ในสังคมไทยมาแต่สมัยรัชการที่ 5 เป็นต้น พร้อมเผยเรื่องราวอันทรงคุณค่าและความภาคภูมิใจของผู้ครอบครอง ภายในนิทรรศการ “Haute Living of Siam”

‘สรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง’ Director of Brand Strategy บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความตั้งใจในการจัดนิทรรศการ “Haute Living of Siam” ว่า แบรนด์ The Address ถือเป็นแบรนด์ระดับตำนานที่สร้างชื่อเสียงให้แก่เอพีมายาวนาน โดยเอกลักษณ์ความโดดเด่นของแบรนด์นี้อยู่ที่ การออกแบบที่ผสมผสานระหว่างเสน่ห์แบบไทยและตะวันตกอย่างลงตัว วัสดุทุกชิ้นคัดสรรจากแหล่งที่ดีที่สุดจากทั่วทุกมุมโลก และทำเลที่ตั้งที่มากด้วยมูลค่าและคุณค่าใจกลางเมือง โดยเฉพาะการกลับมาครั้งนี้ของ “The Address สยาม – ราชเทวี” ภายใต้แนวคิด “CRAFTED FOR ELITES” เอพีได้รังสรรค์เรสซิเดนซ์ที่บ่งบอกวิถีชีวิตและสุนทรียะแบบเหนือระดับ บนที่ดินผืนงามย่านราชเทวี อันเป็นย่านที่มีความรุ่มรวยของเรื่องราวที่เล่าขานจากอดีตจนถึงปัจจุบันและเพื่อการเป็นการเฉลิมฉลองสุนทรียะ ความละเมียดละไมและเรื่องราวอันทรงคุณค่าของวิถีชีวิตชนชั้นสูงในอดีต จึงเป็นแรงบันดาลใจในการจัดงานนิทรรศการ “Haute Living of Siam” เพื่อถ่ายทอดถึงวิถีการใช้ชีวิตอันเป็นเอกลักษณ์ผ่านการจัดแสดงคอลเลกชั่นเครื่องใช้แบบสยามและเครื่องประดับที่ผสมผสานสองวัฒนธรรม ของสะสมเก่าแก่หาดูได้ยากที่แสดงถึงความมั่งคั่ง ความละเมียดละไม รสนิยม และเรื่องราวอันทรงคุณค่าของผู้ที่ได้ถือครองในอดีต มาจัดแสดงที่เรสซิเดนซ์ The Address โดยได้รับเกียรติการเหล่าเซเลบริตี้นักสะสมแถวหน้าของเมืองไทยที่หลงใหลในความละเมียดละไมและความรุ่มรวยของเรื่องราวที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น เข้าร่วมงานมากมาย อาทิ ม.ล. ทรงลักษณ์ สวัสดิวัตน์ คุณอรวรรณ อิงคสิทธิ์ คุณศีกัญญา ศักดิเดช ภาณุพันธ์ คุณอัครรัฐ วรรณรัตน์ และคุณฟา เบเนเดทตี้ เป็นต้น

‘สรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง’ Director of Brand Strategy บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) และ ‘พัชทรี ภักดีบุตร’ ผู้ก่อตั้งแบรนด์เครื่องหอม ชื่อดัง ERB (เอิบ)

อีกหนึ่งสุนทรียะความอภิรมย์ที่ขับให้นิทรรศการ “Haute Living of Siam” ในวันนี้ดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น ได้แก่ กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวภายในเรสซิเดนซ์ ‘พัชทรี ภักดีบุตร’ ผู้ก่อตั้งแบรนด์เครื่องหอม ชื่อดัง ERB (เอิบ) กล่าวว่า

“สุนทรียะแห่งการใช้ชีวิตระดับ Prestige – Lux หรือวิถีชีวิตแบบเหนือระดับ จะขาดไปไม่ได้เลยกับเรื่องของกลิ่นหอมซึ่งจากคอนเซ็ปต์และทำเลที่ตั้งของเรสซิเดนซ์ The Address นับว่าเป็นการผสมผสานกันระหว่างความรุ่มรวยของเรื่องราวในอดีตและการใช้ชีวิตแบบสมัยใหม่ได้อย่างกลมกลืน ERB จึงตั้งใจรังสรรค์กลิ่นหอมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ The Address เพื่อสื่อสารออกมาให้เห็นถึงความตั้งใจของเอพีในแต่ละขั้นตอนของการรังสรรค์ที่อยู่อาศัยแห่งนี้ จึงทำให้เกิดเป็นกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากไม้หอมมะลิและเบอร์กามอท ผสมผสานระหว่างความเป็น heritage และโมเดิร์นเข้าด้วยกันอย่างลงตัว”

แขกผู้มีเกียรติที่หลงใหลในความปราณีตของเครื่องใช้แบบสยามไปจนถึงเครื่องประดับที่ผสมผสานสองวัฒนธรรม กล่าวถึงความประทับใจในการร่วมชมนิทรรศการ Haute Living of Siam และความงดงามของเรสซิเดนซ์ “The Address สยาม – ราชเทวี” และมุมมองต่อของสะสมทั้งในด้าน “มูลค่า และคุณค่า” ไว้ดังนี้

‘บูบี – วารีนิธิ กันท์ไพบูลย์’ กล่าวว่า ของสะสมเหล่านี้ล้วนมีประวัติและที่มาที่แตกต่าง โดยเฉพาะความประณีตของงานมือที่รังสรรค์ให้งานแต่ละชิ้นล้วนโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์และมีคุณค่าในตัวของมันเอง ยิ่งเวลาผ่านไปคุณค่าก็ยิ่งจะเพิ่มขึ้น เพราะเรื่องราวต่าง ๆ จะทำให้ของนั้นมีคุณค่า และเมื่อได้ทราบถึงเรื่องราวความเป็นมาของสิ่งที่ถูกนำมาโชว์ในวันนี้ ยิ่งทำให้ประทับใจในสุนทรียะการใช้ชีวิตที่ละเมียดละไมในวิถีแบบไทยไปอีกขั้น เช่นเดียวกับ “The Address สยาม – ราชเทวี” ที่รังสรรค์ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ผสมผสานเสน่ห์ของวิถีไทยเข้ากับการใช้ชีวิตในบริบทสมัยใหม่ได้อย่างกลมกล่อม ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมกลมกลืนกับการตกแต่งภายในและอุปกรณ์การตกแต่งทุกชิ้นที่เลือกสรรจากแหล่งผลิตที่ดีที่สุด โดยเฉพาะการตั้งอยู่ในทำเลที่มากคุณค่าและมูลค่าอย่างย่านราชเทวี ก็ยิ่งเพิ่มคุณค่ามากยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับตนเองรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสมาชื่นชมของที่มีคุณค่าทั้งทางประวัติศาสตร์ และความงามในวันนี้

‘ณินท์ – ญาณินท์ วีระไวทยะ’ กล่าวว่า สำหรับตนเองรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสมาชื่นชมของที่มีคุณค่าทั้งเรื่องราว สุนทรียะวิถีการใช้ชีวิตของสตรีชาววังในอดีตและเสน่ห์ความประณีตของงานฝืมือที่ได้นำมาจัดแสดงในวันนี้ ของทุกชิ้นผสมผสานและถูกจัดวางเข้าด้วยกันจนทำให้ THE ADDRESS เป็นตัวแทนที่สามารถส่งต่อเรื่องราวข้ามยุคข้ามสมัยได้อย่างทรงพลัง เมื่อกล่าวถึงของแต่ละชิ้นแล้ว ทุกชิ้นต่างมีคุณค่าสูง เนื่องด้วยความเก่าแก่ของตัววัตถุชิ้นนั้น ๆ แต่เรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ได้ครอบครองของ แต่ละชิ้นที่ถูกจัดแสดงในวันนี้นั้นมีเพียงหนึ่งเดียวที่เปรียบเสมือนคุณค่าที่ไม่สามารถประเมินได้

‘ฝน – รติรส ภู่วิภาดาวัฒน์’ กล่าวว่า การใช้ชีวิตแบบ Prestige – Lux คือการใช้ชีวิตที่บ่งบอกถึงรสนิยมอันเป็นอัตลักษณ์ของผู้อยู่อาศัย เพื่อชื่นชมความสวยงาม ดื่มด่ำสุนทรียะที่รายล้อมอยู่รอบตัว รู้สึกประทับใจมากที่ได้มาชมและรับรู้เรื่องราวความประณีตของเครื่องใช้แบบสยามในวันนี้ หากจะให้พูดถึงเรื่องมูลค่า แน่นอนว่าแต่ละชิ้นมีมูลค่าสูง แต่หากกล่าวถึงคุณค่า เราก็คงไม่สามารถประเมินได้ เพราะคุณค่า คือเรื่องราวต่าง ๆ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของวัตถุแต่ละชิ้น บางชิ้นอาจมีคูณค่าสำหรับคนหนึ่ง แต่ไร้ค่าสำหรับอีกคนหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ของขวัญพระราชทานที่ได้รับวันแต่งงานมีคุณค่าทางใจต่อเรามาก แต่หากตกไปอยู่ในมือของอีกคนหนึ่งเขาอาจจะไม่เห็นค่าของมันเลยก็ได้ เพราะคนอื่นไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งเปรียบเสมือนที่อยู่อาศัยของเรา มันคือรสนิยมของเรา เรื่องราวของเรา ตัวแทนที่บ่งบอกความเป็นตัวตนเราอย่างแท้จริง

สัมผัสนิยามใหม่แห่งสุนทรียะการใช้ชีวิตอันทรงคุณค่า ทั้งความละเมียดละไมในการออกแบบ การตกแต่งที่ถูกคัดสรรมาจากแหล่งที่ดีที่สุดทั่วโลก เพื่อให้มั่นใจว่า “THE ADDRESS” ได้สร้างสรรค์บริบทใหม่ของการส่งมอบสุนทรียะการใช้ชีวิตเหนือระดับบนที่ดินมากคุณค่าและมูลค่าที่ “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” ตามแนวคิด “Living the Prestige – Crafted for Elites” อย่างแท้จริง.

ศีกัญญา ศักดิเดช ภาณุพันธ์

อรวรรณ อิงคสิทธิ์

ฟา เบเนเดทตี้

อัครรัฐ วรรณรัตน์

พลอย ปิ่นแสง

ม.ล.ทรงลักษณ์ สวัสดิวัตน์

(จากซ้ายไปขวา) ฟา เบเนเดทตี้, อัครรัฐ วรรณรัตน์, สรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง, จริยดี สเป็นเซอร์ และเจย์ สเป็นเซอร์