New Issues » “โคคา” พลิกโฉมสาขาเซ็นทรัลเวิลด์เจาะกลุ่ม 18+

“โคคา” พลิกโฉมสาขาเซ็นทรัลเวิลด์เจาะกลุ่ม 18+

25 พฤศจิกายน 2018
0

นายพิทยา พันธุ์เพ็ญโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท โคคา โฮลดิ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

alivesonline.com : สุกี้ “โคคา” จัดงบฯ 15 ล้านบาท รีโนเวทสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ครั้งใหญ่ในรอบ 61 ปี หวังขยายฐานลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น 18-25 ปี เพิ่มจากกลุ่มลูกค้าเก่า ก่อนเดินหน้าปรับสาขาสยามสแควร์และสุขุมวิท 39 ด้วยแนวคิดเดียวกัน พร้อมขยายสาขาใหม่ออกชานเมืองอย่างน้อย 2 แห่ง เผยปี 61 ทำยอดขายได้ 450-500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 6% มั่นใจสถานการณ์ทางการเมืองมีเสถียรภาพส่งผลปี 62 เศรษฐกิจดีขึ้นช่วยกระตุ้นยอดขายเพิ่มขึ้น 10%

นายพิทยา พันธุ์เพ็ญโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท โคคา โฮลดิ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้บริหารร้านอาหารและสุกี้ภายใต้แบรนด์ “โคคา” เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจร้านอาหารในเครือ “โคคา” มีทั้งหมด 67 สาขาใน 12 ประเทศทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น จีน เป็นต้น โดยในไทยมีทั้งสิ้น 16 สาขา ภายใต้ 4 แบรนด์หลักคือ 1.ร้านสุกี้และอาหาร “โคคา” 9 สาขา ซึ่งมีแบรนด์ย่อยคือ “china white” สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งไม่ได้จำหน่ายสุกี้ เพราะเน้นจำหน่ายอาหารไทยและจีนในบรรยากาศย่านเยาวราช 2.ร้านอาหารไทย “mango tree” 5 สาขา รวมแบรนด์ย่อยอื่น ๆ เช่น “mango tree Bistro bar” เป็นต้น 3.ร้านอาหารฝรั่ง “FRENCH st.” 1 สาขา 4.ร้านอาหารไทย-จีน-ฝรั่ง “ROYAL PAVILION” 1 สาขา

สำหรับร้านอาหาร “ROYAL PAVILION” ถือเป็นแบรนด์ล่าสุดที่มีโอกาสเติบโตสูงในการทำตลาดกลุ่มผู้หญิงที่มีกำลังซื้อสูง แต่ไม่ชอบใช้บริการร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า หรือคอมมูนิตี้มอลล์ เพราะต้องประสบกับปัญหาที่จอดรถไม่เพียงพอ “ROYAL PAVILION” จึงเน้นทำเลสนามกอล์ฟเป็นหลัก เนื่องจากเห็นว่าเป็นสถานที่ที่มีความกว้างขวาง สะดวก และมีความปลอดภัยสูง ขณะเดียวกันสนามกอล์ฟส่วนมากยังมีร้านอาหารคุณภาพไม่มากนัก โดยเบื้องต้นได้เปิดให้บริการแล้วที่ สนามกอล์ฟราชกรีฑาสโมสร ถ.อังรีดูนังต์ กรุงเทพฯ จากนั้นจะเริ่มทำตลาดอย่างจริงจังในปี 2562 แต่ยังไม่มีแผนว่าจะขยายกี่แห่ง

นายพิทยา กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้แบรนด์ “โคคา” เป็นที่จดจำของผู้บริโภคในฐานะแบรนด์ของคนไทยที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานนับร้อยปี ดังเช่นที่หลาย ๆ แบรนด์ในยุโรปประสบความสำเร็จมาแล้ว เพราะปัจจุบันร้านสุกี้และอาหาร “โคคา” ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานถึง 61 ปี จนเริ่มมีการพัฒนาในหลาย ๆ ด้าน เช่น การใช้พื้นที่ประมาณ 10 ไร่ภายในบริเวณโรงงานที่ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 20 ไร่ พัฒนาเป็น “โคคา บูทีค ฟาร์ม” ฟาร์มเกษตรอินทรีย์แบบวิถีดั้งเดิมที่คนรุ่นปู่ย่าตายายเคยทำการเพาะปลูกพืชผักบางชนิดที่ใช้เป็นส่วนผสม (Ingredient) ของน้ำจิ้มสุกี้ เช่น พริก ผักกวางตุ้ง และอื่น ๆ รวมทั้งข้าว โดยหลังจากที่เริ่มโครงการมาประมาณหนึ่งปีสามารถให้ผลผลิตได้ประมาณ 30% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 80% ภายใน 2-3 ปี

ด้าน นางสาวนัฐธารี พันธุ์เพ็ญโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ (COO) บริษัท โคคา โฮลดิ้ง อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวเสริมว่า ล่าสุด บริษัทฯ ใช้งบประมาณ 15 ล้านบาทในการปรับปรุงสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ บนพื้นที่ 250 ตร.ม. ให้มีความแตกต่างและพลิกโฉมจากที่เคยเป็นมาตลอด 61 ปี โดยใช้แนวคิด “การมีส่วนร่วมในการรักษ์โลกอย่างยั่งยืน” ( COCA Sustainability) โดยเน้นบรรยากาศ (Mood and Tone) ของร้านเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 18-25 ปี เพิ่มขึ้นจากฐานลูกค้าเก่าซึ่งส่วนใหญ่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยหลังจากนี้จะเริ่มใช้แนวคิดนี้ในการปรับปรุงสาขาอื่น ๆ ต่อไปภายใต้งบประมาณสาขาละ 10-15 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2562 เตรียมแผนปรับปรุงอย่างน้อย 2 สาขาคือสยามสแควร์ และสุขุมวิท 39 ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม

 

“ในส่วนของรายการอาหารซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 50 รายการนั้น เราไม่มีแผนที่จะเพิ่มรายการใหม่ ๆ ให้มากขึ้น เพราะเกรงว่าลูกค้าเก่าจะรับการเปลี่ยนแปลงไม่ทัน เราจึงเน้นนโยบายรักษาคุณภาพ รสชาติ วัตถุดิบที่ใช้ในการปรุง รวมถึงยังมีเชฟใหญ่ประจำทุกสาขา เพื่อรักษาเอกลักษณ์ว่าเราเป็นร้านอาหารที่ให้ความสำคัญในด้านการประกอบอาหาร ไม่ใช่การปรุงอาหาร โดยปัจจุบันมีการแบ่งประเภทรายการอาหาร 3 ส่วนคือ อาหารดั้งเดิมสูตรโบราณ มีสัดส่วนประมาณ 20% อาหารดัดแปลงจากรายการอาหารเก่าให้มีความเหมาะสมและหลากหลายเหมาะแก่ผู้รักสุขภาพ สัดส่วนประมาณ 10% และสุกี้ สัดส่วนประมาณ 70% โดยรายได้หลักยังคงมาจากสุกี้ ประมาณ 65-70%”

“ในส่วนของยอดขายในประเทศไทยคาดว่าในปี 2561 จะมีรายได้ประมาณ 450-500 ล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 6% โดยคาดว่าเมื่อสิ้นปี 2562 อัตราการเติบโตจะเพิ่มขึ้นเป็น 10% ขณะที่ยอดขายในต่างประเทศมีสัดส่วนที่สูงกว่ามาก เนื่องจากมีปัจจัยและองค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน เช่น อัตราค่าแลกเปลี่ยน เป็นต้น โดยมี “mango tree” เป็นแบรนด์หลักในการทำตลาดโดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นซึ่งได้รับความนิยมสูงมาก”

นางสาวนัฐธารี กล่าวด้วยว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถทำยอดขายได้เพิ่มสูงขึ้นในปี 2562 เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มมีเสถียรภาพ โดยคาดว่าหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปแล้วจะมีบรรยากาศเอื้อต่อการลงทุนและส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น ประกอบกับแผนการลงทุนของบริษัทฯ ที่เตรียมขยายสาขา “โคคา” เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 แห่ง ใช้งบประมาณสาขาละประมาณ 10 ล้านบาท พร้อมลดขนาดพื้นที่จากที่เคยใช้ประมาณ 300 ตร.ม. เหลือเพียง 100-120 ตร.ม. เพื่อปรับให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ไม่ต้องการห้อง VIP เหมือนอดีตที่ผ่านมา โดยมีแผนขยายสาขาไปยังแถบชานเมืองเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น เช่น ถ.ราชพฤกษ์ ถ.พระราม 2 เป็นต้น