New Issues » EPG โชว์งบ Q1 ปี 61/62 รับรายได้กว่า 2.6 พันล้านบาท

EPG โชว์งบ Q1 ปี 61/62 รับรายได้กว่า 2.6 พันล้านบาท

8 กันยายน 2018
0

alivesonline.com : EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก มั่นใจปัจจัยบวกหนุนเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว เผยช่วงไตรมาสแรก ปี 61/62 รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10% พร้อมกำไรสุทธิ 305 ล้านบาท เดินหน้าขับเคลื่อน 4 ธุรกิจหลัก หวังยอดขายเพิ่มขึ้น

10-15%

รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยว่า จากข้อมูลบทวิเคราะห์เศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังของหลายสำนักมองว่าการค้าโลกขยายตัว อัตราการว่างงานต่ำ ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น เป็นปัจจัยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แม้จะมีความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ และมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกา ส่วนเศรษฐกิจในประเทศมีภาวะการส่งออกเติบโตที่ดี มีการปรับเพิ่มประมาณการยอดผลิตรถยนต์จาก 3% เป็น 5% ขณะที่รายได้ครัวเรือนเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นแต่ยังคงต้องนำไปชำระหนี้จึงเป็นอุปสรรคต่อการใช้จ่าย

สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 61/62 (เม.ย.61–มิ.ย.61) บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 2,623 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 2,382 ล้านบาท จำนวน 241 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 10% ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 305 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 287 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 6% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 29% ซึ่งบริษัทฯ สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ในส่วนของธุรกิจ EPG ซึ่งทำธุรกิจในตลาดโลก ตระหนักถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อการดำเนินงานในภาพรวม จึงใช้กลยุทธ์ในการขยายตลาดต่างประเทศและมุ่งเน้นพัฒนาสินค้านวัตกรรมสร้าง New S-Curve รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตสินค้าเพื่อลดต้นทุน โดยแนวโน้มธุรกิจของ EPG ต่อจากนี้ยังคงขับเคลื่อนด้วย 4 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น 2.ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ 3.ธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก และ 4.ธุรกิจร่วมทุน ทั้งนี้หากธุรกิจในกลุ่มใดชะลอตัวยังมีกลุ่มอื่น ๆ สนับสนุน โดยในปี 2561 ตั้งเป้าหมายรายได้จากการขายเติบโตประมาณ 10-15%

รศ.ดร.เฉลียว กล่าวอีกว่า สำหรับธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มีปัจจัยส่งเสริมการเติบโตจากตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น มีความต้องการใช้งานผลิตภัณฑ์ Aeroflex สูงขึ้นต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ได้ลงทุนปรับปรุงไลน์การผลิตในสหรัฐอเมริกา โดยใช้เครื่องจักรอัตโนมัติความเร็วสูง เนื่องจากเห็นโอกาสการเติบโตในสหรัฐอเมริกาจากความต้องการใช้สินค้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงต้องการลดค่าใช้จ่ายในกระบวนการผลิต และจะทยอยปรับปรุงไลน์การผลิตใหม่เพิ่มเติมในระยะเวลา 2-3 ปีข้างหน้า ขณะที่ในสำหรับประเทศไทยได้ลงทุนขยายโรงงานใหม่คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี 2562

ส่วนธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ภายใต้แบรนด์ Aeroklas ยังเติบโตได้ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประเภทพื้นปูกระบะ (Bed Liner) หลังคาครอบกระบะ (Canopy) และบันไดข้างรถกระบะ (Sidestep) ที่มีความต้องการใช้สูงขึ้นตามการขยายตัวของตลาดรถยนต์

แบรนด์ Aeroklas ยังได้นำผลิตภัณฑ์พื้นปูกระบะ (Bed Liner) ไปขยายตลาดในต่างประเทศ ทั้งในประเทศมาเลเซีย และจีน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีแผนนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์บันไดข้างรถกระบะ (Side Step) ซึ่งออกแบบใหม่ให้กับบริษัทรถยนต์ 2.ผลิตภัณฑ์เดิมของ Aeroklas แต่ออกรุ่นใหม่ ๆ เพิ่มเติม 3. E-Z Up and down ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้การเปิดปิดท้ายรถกระบะง่ายขึ้นเมื่อเปิดจะไม่กระแทกและเมื่อปิดสามารถผ่อนแรง 4. ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ทยอยออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง

ส่วน TJM Products Pty.Ltd (TJM) และ Flexiglass Challenge Pty.Ltd (Flexiglass) ซึ่งเป็นช่องทางจัดจำหน่ายที่สำคัญของ Aeroklas มีการขยายตลาดในประเทศออสเตรเลียอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบัน TJM มีสาขา (Corporate Store) ในประเทศออสเตรเลีย 3 แห่ง ตั้งอยู่ที่ Perth 2 แห่ง และ Brisbane 1 แห่ง ทำให้มีร้านค้าภายใต้แบรนด์ TJM จำนวน 64 แห่ง ในขณะที่ Flexiglass มีสาขา (Corporate Store) 5 แห่ง และช่องทางการจัดจำหน่ายกว่า 100 แห่ง ในประเทศออสเตรเลีย

รศ.ดร.เฉลียว ยังกล่าวถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP ว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา EPP ลงทุนเพิ่มกำลังการผลิตโดยใช้เครื่องจักรอัตโนมัติความเร็วสูง จึงทำให้ปัจจุบันมีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ อีกทั้ง EPP ได้รับการรับรองมาตรฐานความสะอาด ความปลอดภัยทางด้านอาหารจากองค์กรชั้นนำหลายแห่งทั่วโลก จึงได้นำจุดแข็งเหล่านี้มาใช้เป็นเครื่องมือผลักดันธุรกิจ โดยใช้ประโยชน์จากเครื่องจักรให้ได้ประสิทธิภาพสูงขึ้น และเริ่มรุกตลาดส่งออกและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น เพื่อลดการพึ่งพิงตลาดค้าปลีกที่ยังฟื้นตัวได้ช้า รวมถึงเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ โดยภายในปีนี้จะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ประมาณ 4-5 กลุ่มผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์อาหาร (Food Packaging) แบบใหม่จำนวนมาก