New Issues » “ช้อป โกลบอล” จับมือ “คลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย” รุกตลาดโลก

“ช้อป โกลบอล” จับมือ “คลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย” รุกตลาดโลก

17 กุมภาพันธ์ 2019
0

alivesonline.com : ช้อป โกลบอลในเครือสหพัฒน์ จับมือ คลัสเตอร์เครื่องสำอางไทยภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลไทย ผนึกกำลังพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการให้มีขีดความสามารถด้านการผลิตสินค้าเครื่องสำอางไทยสู่ความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น พร้อมรุกตลาดเครื่องสำอางไทยสู่ตลาดโลก ผ่านช่องทางทีวีชอปปิ้ง หวังกระจายสินค้าสู่มือผู้บริโภค หลังครองแชมป์อันดับ 1 ตลาดเครื่องสำอางในอาเซียน และอันดับ 3 ในเอเชีย ด้วยยอดมูลค่ารวมทางเศรษฐกิจมากถึงเกือบ 3 แสนล้านบาท

นายนาโอฮิซะ ยากิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2556 โดยความร่วมมือระหว่าง เครือสหพัฒน์ กับ บริษัท สุมิตโตโม่ คอร์ปเปอเรชั่น (Sumitomo Corporation)ของญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นช่องชอปปิงทีวีอันดับหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นที่มีการออกอากาศครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าออนไลน์ผ่านทีวีชอปปิงในนาม “ชอป ชาแนล” (SHOP Channel) ช่อง PSI 45 และ 445 ช่อง True visions HD 52 ช่อง G-MM Z 69 และ 102 ล่าสุดได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือร่วมกันกับ “กลุ่มคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย” (Thai Cosmetic Cluster) ภายใต้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ เป็นสักขีพยาน

“ชอป ชาแนล” มี 7 สิ่งสำคัญในการเลือกสินค้าเพื่อลูกค้าคือ 1.หายาก 2.มีจำกัด 3.มีคุณสมบัติเฉพาะ 4.ราคาสมเหตุสมผล 5.มีเรื่องราว 6.มีเอกลักษณ์ และ 7. มีคุณค่า ทั้งยังมีสินค้าที่น่าสนใจอีกมากมายในประเทศไทยที่คนไทยบางคนอาจจะยังไม่รู้จัก รวมถึงสินค้าในกลุ่มของเอสเอ็มอีที่มีคุณสมบัติครบตรงตาม 7 สิ่งที่สำคัญที่ได้กล่าวไป ผู้ประกอบการจะต้องเล่าเรื่องว่าทำไมถึงอยากจะพัฒนาสินค้าของคุณเอง หรือจุดเด่นสินค้าของคุณคืออะไร และจุดไหนที่ยากที่สุดสำหรับคุณในการทำสินค้าของตัวเอง เป็นต้น ในขณะที่ศูนย์กลางของเราคือทีวี การจะเข้าถึงจุดสำคัญของการตลาดในปัจจุบันได้ตรงเป้าหมายที่สุดจึงอยู่ที่การเตรียมการหรือการหาสินค้าจากผู้ประกอบการรายย่อยที่เชื่อมต่อระหว่างคนดูโดยตรงเพื่อเป็นเสียงไปถึงผู้ประกอบการนั้น ๆ

“ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ตลาดโลกเปิดมากขึ้นและการใช้ชีวิตของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้า หรือค้นหาข้อมูลของสินค้าได้จากหลายช่องทาง รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยต้องเผชิญกับคู่แข่ง หรือการแข่งขันของผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ภายใต้ของการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับลูกค้าและถือเป็นกุญแจสำคัญที่สุดของการทำธุรกิจในช่วงเวลานี้คือสินค้า” นายนาโอฮิซะ กล่าวในตอนท้าย

ด้าน นายสรโชติ อำพันวงษ์ ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ช้อป โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดเครื่องสำอางไทยมีมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านบาท โดยประเทศไทยคือผู้ส่งออกเครื่องสำอางอันดับ 1 ในอาเซียน ปัจจุบันมีผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องสำอางในไทยมากกว่า 1 หมื่นราย โดยเครื่องสำอางยังถือเป็นอุตสาหกรรมที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญไม่แพ้อุสาหกรรมอื่น ๆ ของประเทศ โดยที่ผ่านมา กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ให้การสนับสนุนรวบรวมผู้ประกอบการในประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำเข้าด้วยกันคือ วัตถุดิบ โรงงาน แบรนด์สินค้า และผู้จัดจำหน่าย มาจัดตั้งเป็น “กลุ่มคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย” เพื่อพัฒนาสนับสนุนผู้ประกอบการในทุกมิติ

บริษัท ช้อบ โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท สุมิตโตโม่ คอร์ปเปอเรชั่น เจ้าของธุรกิจทีวีชอปปิ้งอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นกับเครือสหพัฒน์ บริษัทผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของไทย มีนโยบายให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการขายสินค้าคุณภาพให้กับลูกค้าผ่านช่องทางทีวีผสมผสานแบบ “ออม-นิ แชนแนล” (Om-ni Channel) โดยเน้นสินค้าใน 4 กลุ่มหลัก คือ 1.เครื่องประดับ 2.แฟชั่น 3.สุขภาพความงาม และ 4.เครื่องใช้/เครื่องไฟฟ้าในบ้าน ด้วยเครือข่ายช่องทางการขาย การประชาสัมพันธ์ และฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นที่มาของความร่วมมือ ระหว่าง บริษัทฯ กับกลุ่มคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย เพื่อร่วมพัฒนาและเป็นช่องทางในการนำเสนอสินค้าคุณภาพของผู้ประกอบการสู่ลูกค้าในช่องทางต่าง ๆ รวมถึงโอกาสการไปเปิดตลาดในประเทศญี่ปุ่น และความร่วมมือด้านอื่น ๆ ในอนาคต

นางลักษณ์สุภา ประภาวัติ ประธานคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทย ภายใต้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า อุตสาหกรรมเครื่องสำอางเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย เนื่องจากมีความได้เปรียบในด้านวัตถุดิบและความชำนาญด้านคุณภาพ โดยปัจจุบันเครื่องสำอางเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากประชากรโลกส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและความงาม ส่งผลให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางมีมูลค่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ซึ่งได้แก่ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม ผลิตภัณฑ์สำหรับใบหน้า ผลิตภัณฑ์สำหรับร่างกาย เครื่องหอม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มีมูลค่ารวมทางเศรษฐกิจมากถึงเกือบ 3 แสนล้านบาท แบ่งเป็นตลาดในประเทศประมาณ 60% และตลาดส่งออก 40% โดยภาพรวมประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเครื่องสำอางอันดับ 3 ของเอเชีย รองจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ อีกทั้งยังเป็นอันดับ 1 ของตลาดเครื่องสำอางในอาเซียน เนื่องจากอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยมีความได้เปรียบในด้านวัตถุดิบ ความชำนาญ และคุณภาพ

ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยมีสัดส่วนการขยายตัวในด้านการส่งออกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดส่งออกที่สำคัญ เช่น ประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีมูลค่าการลงทุนสูงขึ้นทุกปี โดยประเทศไทยยังมีมูลค่าการส่งออกเครื่องสำอางเป็นที่ 1 ในอาเซียนโดยครองส่วนแบ่งตลาดถึงร้อยละ 40 จากสถิติในปี 2560 ขณะที่ผู้ประกอบการของกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยที่จดทะเบียน มีจำนวนประมาณ 2 พัน ราย แบ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องสำอางธุรกิจขนาดเล็ก 68% ผู้ผลิตเครื่องสำอางขนาดกลาง 29% ผู้ผลิตเครื่องสำอางขนาดใหญ่ 3% นอกจากนี้ยังมีซัปพลายเชนที่เกี่ยวข้องกับหลายอุตสาหกรรม เช่น สมุนไพร เคมีอาหาร สิ่งพิมพ์ บรรจุภัณฑ์ที่ทำจากแก้ว และพลาสติก เป็นต้น

สำหรับกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างการรวมกลุ่มทางอุตสาหกรรมของผู้ประกอบการเอสอ็มอีที่รวมผู้ประกอบการต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำเข้าด้วยกัน สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจแบบรวมกลุ่ม โดยจะเน้นได้จากทิศทางการเติบโตที่มีอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมที่แทบไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อ และจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุว่า อุตสาหกรรมเครื่องสำอางยังถือเป็น 1 ใน 4 อุตสาหกรรมที่มีดัชนีความเชื่อมั่นและอุปสงค์จากทั้งในและต่างประเทศในอัตราที่สูง

ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมากลุ่มคลัสเตอร์เครื่องสำอางไทยได้สร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ตลอดจนการสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรู้และงานวิจัย รวมทั้งการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้สนใจเกี่ยวกับเครื่องสำอาง เพื่อก่อให้เกิดการต่อยอดการพัฒนานวัตกรรมและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ พร้อมทั้งการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือในทุกระดับห่วงโซ่อุปทานที่สามารถบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลทางอุตสาหกรรม เพื่อจะส่งให้การประกอบธุรกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์กระแสความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้สอดคล้องกับนโยบายประเทศไทย 4.0 เพื่อที่จะสามารถสร้างการแข่งขันกับประเทศชั้นนำของโลกที่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางพัฒนารุดหน้าอย่างรวดเร็ว

“นอกเหนือจากการรวมกลุ่มและสร้างเครือข่ายสู่การเป็นกลุ่มคลัสเตอร์อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยแล้ว ปัจจุบันยังมีการพัฒนาและรวมกลุ่มกับประเทศต่าง ๆ สู่การเป็นหนึ่งในสมาชิกคลัสเตอร์เครื่องสำอางโลก หรือ Cosmetic Valley โดยถือเป็นคลัสเตอร์อุตสาหกรรมแรกของไทยที่ได้เข้าสู่ในระดับนานาชาติ นับเป็นสัญญาณที่ดีที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางไทยเกิดการเชื่อมโยงและพัฒนาไปในทิศทางเดี่ยวกันกับประเทศชั้นนำด้านอุตสาหกรรมดังกล่าว” นางลักษณ์สุภา กล่าวในตอนท้าย