New Issues » “ทีเส็บ” โชว์แนวคิดตั้งสำนักงานภูมิภาค

“ทีเส็บ” โชว์แนวคิดตั้งสำนักงานภูมิภาค

21 กุมภาพันธ์ 2019
0


alivesonline.com :
ยก “หาดใหญ่ พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา” ใช้อุตสาหกรรมไมซ์พัฒนาพื้นที่และสร้างรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน “ทีเส็บ” เตรียมแผนจัดตั้งสำนักงานสาขาภูมิภาค เร่งทำงานและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ในระยะยาว พร้อมผลักดัน “8 ไฮไลท์” โครงการไมซ์เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย เผยผลประกอบการไตรมาสแรกประจำปีงบประมาณ 62 (ต.ค.-ธ.ค.61) มีจำนวนนักเดินทางไมซ์ในและต่างประเทศรวมกว่า 6
,653,524 คน สร้างรายได้กว่า 42,525 ล้านบาท

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า การดำเนินงานของ “ทีเส็บ” ในช่วงที่ผ่านมายึดหลักตามนโยบายรัฐบาลในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของการพัฒนาชุมชนและกระจายรายได้สู่ภูมิภาคซึ่งใช้อุตสาหกรรมไมซ์เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาทั้งบุคลากรและเมืองสำคัญ ๆ หลายแห่งจนประสบความสำเร็จอย่างดีนอกเหนือจากไมซ์ซิตี้ทั้ง 5 แห่งคือ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ และขอนแก่น

อย่างไรก็ตาม “ทีเส็บ” ยังไม่มีแผนประกาศไมซ์ซิตี้เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีองค์ประกอบหลาย ๆ ด้านที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะในเรื่องของศักยภาพพื้นที่และงบประมาณการก่อสร้างศูนย์ประชุมและจัดแสดงนิทรรศการซึ่งอาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ หรือคุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว แต่ในแง่ของการพัฒนาชุมชนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันโดยมีอุตสาหกรรมไมซ์เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและรายได้อย่างยั่งยืนซึ่งพบว่าหลายแห่งมีพัฒนาการที่เด่นชัดเมื่อเทียบกับอดีตที่ผ่านมา เช่น หาดใหญ่ พิษณุโลก อุดรธานี นครราชสีมา เป็นต้น

“ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทีเส็บ ยังมีการทำงานร่วมกับหลาย ๆ หน่วยงานในภูมิภาคต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เช่น กรมส่งเสริมสหกรณ์ สถาบันการศึกษา และชุมชนต่าง ๆ จึงมีแนวคิดที่จะสร้างการรับรู้และผลักดันเรื่องอุตสาหกรรมไมซ์ให้กระจายในวงกว้างมากขึ้น โดยเตรียมจัดตั้งสำนักงานสาขาทีเส็บในภูมิภาคต่าง ๆ พร้อมแต่งตั้งผู้บริหารในระดับผู้อำนวยการสำนักงาน เทียบเท่าหัวหน้ากลุ่มจังหวัด โดยเบื้องต้นอาจจะยังประจำการ ณ สำนักงานส่วนกลาง แต่จะมีการทำงานและประสานกับภูมิภาคต่างอย่างใกล้ชิด เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ในระยะยาวต่อไป ส่วนจะเริ่มจัดตั้งสำนักงานในพื้นที่ใดบ้างนั้นคงต้องศึกษารายละเอียดต่าง ๆ อีกครั้งหนึ่ง”

เชื่อมโยงการพัฒนาไมซ์ในทุกระดับ

นายจิรุตถ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2562 ทีเส็บยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ตามยุทธศาสตร์ 20 ปีของรัฐบาลที่สอดคล้องกับการดำเนินงาน 2 ยุทธศาสตร์ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 2 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน และยุทธศาสตร์ที่ 6 ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลางบริหารงานไมซ์แบบบูรณาการอย่างเท่าเทียมและโปร่งใส โดยมียุทธศาสตร์ชาติเป็นเป้าหมายและเชื่อมโยงการพัฒนาไมซ์ในทุกระดับกระจายไมซ์สู่ภูมิภาคทั่วทุกพื้นที่ วางยุทธศาสตร์ด้านพื้นที่ในเมืองหลักไมซ์ซิตี้ และกระจายไมซ์สู่เมืองรองทั่วประเทศ

การดำเนินงานตามแผนงานดังกล่าวเป็นการตอบโจทย์ด้วย 8 ไฮไลท์โครงการไมซ์เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ 1.พัฒนา 25 เส้นทางไมซ์ใน 5 เมืองไมซ์ซิตี้ และกระจายสู่เมืองรองอีก 5 เมือง รวมพัฒนาเส้นทางไมซ์ไม่ต่ำกว่า 50 เส้นทาง ร่วมกับสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. และผู้ประกอบการสถานที่จัดงานทั่วประเทศ 2.พัฒนาการศึกษาไมซ์ทั่วประเทศ ภายใต้โครงการเครือข่ายการศึกษาไมซ์ ร่วมกับสถาบันการศึกษาหลักใน 5 ภูมิภาค ได้แก่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และวิทยาลัยดุสิตธานี

3.พัฒนาโมเดลและแผนงานหลักไมซ์ซิตี้ 5 เมือง ร่วมกับจังหวัด หน่วยงานภาครัฐ และผู้ประกอบการภาคเอกชน 4.โครงการไมซ์เพื่อชุมชน ร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ ขยายความร่วมมือกับสหกรณ์จาก 30 แห่ง ให้เป็น 100 แห่ง ส่งเสริมให้สหกรณ์เป็นสถานที่จัดประชุมสัมมนา และเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกลุ่มองค์กรภาครัฐและเอกชนร่วมทำกิจกรรมไมซ์สร้างเศรษฐกิจกระจายรายได้ให้กับชุมชน 5.โครงการแข่งขันโปรโมทไมซ์ภูมิภาค ร่วมกับ สถาบันการศึกษาของผู้บริหารระดับสูงจากทุกภาคส่วน หน่วยงานพันธมิตรจากภาครัฐ เอกชนและกิจการเพื่อสังคม ตลอดจนเครือข่ายมหาวิทยาลัย

6.โครงการส่งเสริมการตลาดเพิ่มจำนวนงานไมซ์ภายใต้อุตสาหกรรมเป้าหมาย 10 อุตสาหกรรมของรัฐบาล ร่วมกับภาครัฐและเอกชน รวมถึงไทยทีมอุตสาหกรรมไมซ์ทั้งในและต่างประเทศ เช่น สถานทูต ททท. สมาคม สมาพันธ์ หอการค้า สายการบิน เช่น การบินไทย บางกอกแอร์เวย์ เป็นต้น 7.           โครงการพัฒนาข้อมูลอัจฉริยะและนวัตกรรมไมซ์ ร่วมกับภาครัฐและเอกชน เช่น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สนช. และสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย เป็นต้น 8.โครงการประชุมรับฟังการส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยคุณธรรมและความโปร่งใสของทีเส็บ ร่วมกับภาคเอกชนอุตสาหกรรมไมซ์

สรุปผลประกอบการไตรมาสแรก ปีงบประมาณ 62

นายจิรุตถ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรกประจำปีงบประมาณ 2562 (ต.ค.-ธ.ค.61) มีจำนวนนักเดินทางไมซ์ในและต่างประเทศรวมกว่า 6,653,524 คน สร้างรายได้กว่า 42,525 ล้านบาท โดยในส่วนของตลาดไมซ์ในประเทศ มีนักเดินทางกลุ่มไมซ์ในประเทศเดินทาง จำนวน 6,412,117 ราย ก่อให้เกิดรายได้ 24,494 ล้านบาท ส่วนจังหวัดที่มีนักเดินทางไมซ์ในประเทศสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต และขอนแก่น

ขณะที่ตลาดต่างประเทศมีจำนวนนักเดินทางกลุ่มไมซ์เดินทางเข้ามายังประเทศไทย 241,407 ราย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 2.48 ของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เดินทางมายังประเทศไทยทั้งหมด สร้างรายได้ให้ประเทศไทยรวม 18,031 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายสูงสุด 3 อันดับแรกคือ ค่าที่พัก ค่าอาหารและเครื่องดื่ม และค่าซื้อสินค้าและของที่ระลึก

กลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนนักเดินต่างประเทศขยายตัวอย่างน่าสนใจคือ การจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ (Exhibitions) ขยายตัวร้อยละ 60.66 อันเป็นผลจากทั้งปัจจัยภายนอกประเทศ โดยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดี และความเชื่อมั่นของนักเดินทางกลุ่มไมซ์ยังอยู่ในเกณฑ์ดีจากการเร่งทำการตลาดของหน่วยงานภาครัฐและการดำเนินการกระตุ้นการเดินทางของภาคเอกชน มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrival (VOA) ที่เริ่มมีผลเมื่อวันที่ 15 พ.ย.61 ซึ่งเอื้อต่อการเดินทางมาประเทศไทยของกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญ อาทิ จีน อินเดีย มาเลเซีย เป็นต้น รวมถึงบรรยากาศภายในประเทศที่เอื้อต่อการเดินทางการเปิดเส้นทางการบินจากประเทศในกลุ่มอาเซียนมาไทยมากขึ้น และความสามารถบริหารจัดการของสายการบินและสนามบินที่ส่งผลให้ท่าอากาศยานหลักสามารถรองรับนักเดินทางได้ดีขึ้นด้วย

จากข้อมูลพบว่านักเดินทางกลุ่มไมซ์จากต่างประเทศสูงสุด 5 อันดับ ล้วนเป็นนักเดินทางธุรกิจจากเอเชีย ได้แก่ จีน 85,498 ราย ลาว 29,547 ราย มาเลเซีย 21,352 ราย อินโดนีเซีย 21,051 ราย และญี่ปุ่น 19,205 ราย ซึ่งนักเดินทางไมซ์จากภูมิภาคเอเชียมีความสำคัญหรือมีสัดส่วนสูงที่สุดของกิจกรรมไมซ์นานาชาติทุกประเภทที่จัดในประเทศไทย เหตุผลสำคัญคือ เทรนด์โลกด้านการเดินทางเป็นการเดินทางระยะสั้นภายในภูมิภาค ประเทศเพื่อนบ้านใช้เวลาเดินทางมาไทยน้อยกว่าประเทศในภูมิภาคอื่น ๆ และมาตรการของรัฐบาลในการส่งเสริมการขาย อาทิ การยกเลิกค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา เป็นต้น

ด้านจำนวนการจัดงานไมซ์นานาชาติในประเทศไทยมีทั้งสิ้น 275 งาน จำแนกเป็นการประชุมสัมมนา (Meetings) 37 งาน การจัดงานอินเซนทิฟ หรือการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (Incentives) 153 งาน การประชุมนานาชาติ (Conventions) 16 งาน และการจัดงานแสดงสินค้า (Exhibitions) 19 งาน โดยการจัดอินเซนทิฟให้กับพนักงานขององค์กร มีจำนวนงานสูงสุดมากกว่าครึ่งหนึ่งของการจัดงานทั้งหมด

สำหรับการจัดกิจกรรมไมซ์ในประเทศไทยของต่างชาตินั้นนับได้ว่า ภาคกลางเป็นสถานที่สำคัญที่สุดสำหรับการจัดงานไมซ์นานาชาติทุกประเภท โดยมีการจัดงานคิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 82.18 โดยเฉพาะที่กรุงเทพฯ และเมืองพัทยา จ.ชลบุรี เพราะมีศูนย์ประชุม โรงแรมสำหรับการประชุม หรือการจัดแสดงสินค้าหรือนิทรรศการที่มีขนาดใหญ่และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วนและได้มาตรฐานสากล ซึ่งหลายแห่งได้รับการรับรอง Thailand MICE Venue Standard (TMVS) มีห้องประชุมสัมมนาหลายขนาดที่เหมาะสมสำหรับการจัดประชุมทุกขนาดและทุกระดับ รวมถึงความสะดวกด้านการเดินทาง ตลอดจนกิจกรรมในการพักผ่อนหย่อนใจภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจการประชุม รองลงมาเป็นภาคใต้ที่มีสัดส่วนร้อยละ 9.09 และภาคเหนือ ร้อยละ 6.18

โชว์แผนพัฒนาไมซ์ตามนโยบายรัฐบาล

นายจิรุตถ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงผลงานเด่นในการส่งเสริมการตลาดและพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ตามนโยบายรัฐบาลในไตรมาสแรกภายใต้ 3 เป้าหมายยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ การสร้างรายได้ เช่น 1.การสนับสนุนการจัดงาน และประมูลสิทธิงานไมซ์ต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย (Event Support/Subsidy and Bidding) ทั้งสิ้นจำนวน 119 งาน โดยสนับสนุนงานเด่น เช่น การประชุมสัมมนาของกลุ่มอินเซนทิฟ ประเทศจีน 2018 Sunhope Thailand Incentive Group นำนักธุรกิจขายตรงของจีนมาร่วมกว่า 1 หมื่นคน การประชุมนานาชาติ BNI Global Convention 2018 ของสมาชิกจากทั่วโลกกว่า 4 พันคน โดยตลอด 30 ปีที่ผ่านมางานประชุมนี้จัดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา แต่ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงานเป็นประเทศแรก เพราะศักยภาพของประเทศและนักธุรกิจไทย รวมถึงงานแสดงสินค้าเทคโนโลยีและการประชุมพลังงานเพื่ออนาคตแห่งเอเชีย Future Energy Asia 2018 ที่มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 8 พันคน

2.การกระจายรายได้สู่ภูมิภาค เช่น การสนับสนุนการจัดงาน ยกระดับงาน และสร้างงานไมซ์ในประเทศไทย (Event Support/Subsidy and New Event) ทั้งสิ้นจำนวน 9 งาน เช่น การสนับสนุนการจัดประชุมวิชาการสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ครั้งที่ 33 และการประชุมสามัญประจำปี 2561 ของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย จ.ชลบุรี การยกระดับงานเทศกาล “สีสันแห่งดอยตุง” เพื่อกำหนดตำแหน่งยุทธศาสตร์ไมซ์ซิตี้จังหวัดเชียงราย ในฐานะเมืองแห่งการเรียนรู้ด้านการบริการจัดการเป็นเลิศ ศูนย์รวมโครงการหลวงของภาคเหนือ และการสร้างงานแสดงสินค้าใหม่งานข้าวหอมมะลิโลก RICE Expo 2018 จ. ร้อยเอ็ด รวมถึงการขยายการส่งเสริมตลาดไมซ์ในประเทศและขยายตลาดในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS/CLMV/SEZ) จำนวน 8 งาน เช่น การจัดประชุมสัมมนาของบริษัทประกัน Prudential ประเทศเวียดนาม และการจัดประชุมสัมมนาของผู้ผลิตสินค้าปุ๋ย Armo Fertilizer ประเทศเมียนมาร์ เป็นต้น

3.การพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยนวัตกรรม เช่น การจัดประชุมมาตรฐานสถานที่จัดงานอาเซียนครั้งที่ 7 โดยมีผู้แทนจากสมาชิกอาเซียนเข้าร่วม 7 ประเทศ การจัดสัมมนาด้านข้อมูลและนวัตกรรมไมซ์ MICE Intelligence and Innovation Conference สร้างความรู้ความเข้าใจและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และนวัตกรรมไมซ์ และการอำนวยความสะดวกการเข้าเมืองของนักเดินทางไมซ์เข้าสู่ประเทศไทยจำนวนถึง 45 งาน (MICE Lane) เป็นต้น

นายจิรุตถ์ กล่าวในตอนท้ายว่า ภายใต้แผนการดำเนินงานและโครงการหลักในปี 2562 คาดว่าประเทศไทยจะมีโอกาสต้อนรับนักเดินทางกลุ่มไมซ์ รวมทั้งสิ้นประมาณ 35,982,000 คน และสามารถสร้างรายได้ให้ประเทศได้ประมาณ 221,500 ล้านบาท แบ่งเป็นนักเดินทางกลุ่มไมซ์ต่างประเทศประมาณ 1,320,000 คน สร้างรายได้ให้ประเทศได้ 100,500 ล้านบาท นักเดินทางกลุ่มไมซ์ในประเทศประมาณ 34,662,000 คน สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศ 121,000 ล้านบาท