New Issues » “สยามพิวรรธน์” โชว์โมเดลลงทุนรับรายได้ 5 หมื่นล้านใน 5 ปี

“สยามพิวรรธน์” โชว์โมเดลลงทุนรับรายได้ 5 หมื่นล้านใน 5 ปี

14 มีนาคม 2019
0

 

alivesonline.com : “สยามพิวรรธน์” กางแผนการลงทุน 5 ปี เล็งพื้นที่กรุงเทพฯ ขนาด 100 ไร่ ผุดโครงการขนาดยักษ์ พร้อมสร้างแบรนด์ใหม่สร้างอาณาจักร Retail&Destination คาดสรุปรายละเอียด ก.ย.-ต.ค.62 ก่อนเปิดเอาต์เล็ทขนาดใหญ่ “Siam Premium Outlet” บนพื้นที่ 150 ไร่ ริมถนนมอเตอร์เวย์ เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ ในช่วงเดือน ธ.ค.62 เผยแผนซื้ออาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจดิจิทัล รวมถึงธุรกิจด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ ๆ เสริมศักยภาพ หวังเพิ่มรายได้ 1-1.5 เท่าตัวจากปัจจุบัน 2.55 หมื่นล้านบาท

นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ เจ้าของและผู้บริหารโครงการค้าปลีกระดับโลก ได้แก่ “สยาม พารากอน”, “สยามเซ็นเตอร์”, “สยามดิสคัฟเวอรี่” และหนึ่งในพันธมิตรเจ้าของ “ไอคอนสยาม” เปิดเผยว่า ปัจจุบัน “กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์” มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 4.5 หมื่นล้านบาท โดยในปี 2561 มีรายได้รวม 2.55 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้นจากปี 2561 ประมาณ 23% ส่วนในปี 2562 คาดว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 12-15% โดยมีรายได้จาก “ไอคอนสยาม” เป็นส่วนหลักที่จะช่วยเพิ่มการเติบโตถึง 42% หลังจากที่จะเปิดให้บริการครบรอบหนึ่งปีในปี 2562

ตามแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี (2562-2566) ของ “กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์” มีแผนขยายโครงการลงทุนขนาดใหญ่บนพื้นที่ขั้นต่ำ 50 ไร่ขึ้นไปในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ พร้อมเตรียมงบประมาณการลงทุนอย่างน้อย 7 หมื่นล้านบาท โดยมีเป้าหมายว่าจะทำให้มีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 1-1.5 เท่าจากปัจจุบัน หรือคิดเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท

นางชฎาทิพ กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการค้าปลีกและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายย่อยและรายใหญ่ในประเทศไทยต่างมีบทบาทในการลงทุนโครงการต่าง ๆ จนประสบความสำเร็จและส่งผลให้ประเทศไทยได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นจุดหมายปลายทางด้านค้าปลีกเอ็นเตอร์เทนเมนต์และไลฟ์สไตล์ ดังนั้น “กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์” จึงจำเป็นต้องคิดนอกกรอบและลงมือทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนโดยใช้นวัตกรรมและความแปลกใหม่ที่เป็นเลิศเพื่อสร้างความสำเร็จต่อเนื่องไปในอนาคต

“กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ต้องเตรียมความพร้อมที่จะเผชิญความท้าทายระดับโลกจากผู้เล่นรายใหญ่อื่น ๆ จากทั่วโลกทั้งในส่วนที่เป็นพันธมิตรและคู่แข่ง ดังนั้นทุกรายละเอียดและองค์ประกอบของโครงการของเราในอนาคตจึงย่อมถูกจับตามองบนเวทีโลก นั่นหมายความว่าทุกการตัดสินใจของกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์จะต้องอยู่ในบริบทระดับโลก มีเป้าหมายระดับโลก และเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกเสมอ”

นางชฎาทิพ กล่าวอีกว่า โครงการลงทุนของ “กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์” จะต้องเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางระดับแลนด์มาร์คที่ดึงดูดผู้มาเยือนจากทั้งในภูมิภาคและทั่วทุกมุมโลก รวมถึงนักลงทุนจากต่างประเทศ พร้อมกับทำให้พวกเขาเหล่านั้นร่วมมือกับเราในการสร้างสรรค์ธุรกิจค้าปลีกรูปแบบใหม่ ๆ และนำโครงการออกไปสร้างในต่างประเทศโดยใช้รูปแบบค้าปลีกไทย ความคิดไทย และความเป็นไทยด้วยฝีมือคนไทยเป็นแกนหลักในการพัฒนาโครงการในประเทศอื่น ๆ ด้วย

ในส่วนของ “กลุ่มสยามพิวรรธน์” เริ่มมีการเดินหน้าโครงการต่าง ๆ แล้ว เริ่มตั้งแต่การร่วมมือกับ “ไซม่อน พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป” บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านค้าปลีกอันดับหนึ่งของโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ในการเปิดเอาต์เล็ทขนาดใหญ่ภายใต้ชื่อ “Siam Premium Outlet” บนพื้นที่ 150 ไร่ ริมถนนมอเตอร์เวย์ เขตลาดกระบัง กรุงเทพฯ ในช่วงเดือน ธ.ค.62 ก่อนที่จะขยายไปยังต่างจังหวัดอีก 2 แห่ง

“ขณะเดียวกันในระหว่างนี้กำลังอยู่ในช่วงเจรจากับพันธมิตรอีกนับสิบรายในการเนรมิตโครงการยักษ์เพื่อพัฒนาเป็น Retail Destination ภายใต้แบรนด์ใหม่อย่างน้อย 2 แบรนด์ พร้อมต่อยอดการพัฒนาศูนย์จัดการประชุมเพื่อรองรับอุตสาหกรรมไมซ์โดยเฉพาะหลังจากที่ประสบความสำเร็จมาแล้วจากการจัดงานหลาย ๆ งานในช่วงที่ผ่านมา โดยขณะนี้มีพื้นที่เป้าหมาย 3 จุดใหญ่คือ กรุงเทพฯ ตอนเหนือ กรุงเทพฯ ตอนกลาง และกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก แต่ละแห่งมีขนาด 100 ไร่ขึ้นไป โดยคาดว่าในช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค.62 จะพร้อมประกาศอย่างเป็นทางการ”

นางชฎาทิพ กล่าวด้วยว่า ในส่วนของตลาดต่างประเทศนั้น ปัจจุบัน “กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์” ซึ่งได้เข้าไปให้บริการเป็นที่ปรึกษาโครงการต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะในเวียดนาม กัมพูชา และเมียนมาร์ โดยในส่วนของโครงการลงทุนในต่างประเทศเริ่มมีนักลงทุนต่างชาติเสนอให้ร่วมลงทุนแล้ว แต่กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษารายละเอียดซึ่งหาก “กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์” ตัดสินใจร่วมลงทุนด้วย โครงการบางแห่งอาจเริ่มมีการก่อสร้างก่อนในประเทศไทย แต่คาดว่าโครงการในประเทศไทยจะแล้วเสร็จก่อน

“กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ยังมีความสนใจในการขยายธุรกิจค้าปลีก การลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในธุรกิจอื่นที่จะช่วยสนับสนุนธุรกิจหลักเพื่อเสริมศักยภาพให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น เช่น การซื้ออาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจดิจิทัล รวมถึงธุรกิจด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ ๆ”

นางชฎาทิพ กล่าวอีกว่า ในปี 2562 “กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์” จะเปิดตัวระบบสารสนเทศทางการตลาด (Marketing Intelligence System) ที่ได้พัฒนามานานกว่า 5 ปีด้วยงบประมาณ 500 ล้านบาท พร้อมกับปรับระบบโครงสร้างนวัตกรรมเทคโนโลยี (IT Infrastructure) และการบริหารจัดการข้อมูล (Data Management) ทั้งหมด โดยใช้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่จาก 4 ศูนย์การค้ามาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อให้ตอบรับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังจะขยายช่องทางค้าปลีกยังตลาดออนไลน์ โดยจะมีการนำสินค้ามาจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ อี-คอมเมิร์ซ และเอส-คอมเมิร์ซ (ช่องทางซื้อขายทางโซเชียลมีเดีย) เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าต่างจังหวัดและต่างประเทศ

“จากข้อมูลปัจจุบันพบว่า สยาม พารากอน, สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติรวมกันวันละประมาณ 2-2.5 แสนคน มีผู้ถือบัตรสมาชิกต่าง ๆ ประมาณ 7-8 ล้านคน ขณะที่ชาวต่างประเทศมีความถี่ในในการเดินทางมาชอปปิ้ง 2-3 ครั้งต่อปี โดยพบว่าลูกค้ากลุ่ม CLMV มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับชาวอินโดนีเซียและฮ่องกง ส่วน ไอคอนสยาม มีนักท่องเที่ยววันละ 1.2-1.5 แสนคน ส่วนใหญ่เป็นคนไทย 65-70% ต่างชาติ 30-35% โดยคนไทยส่วนใหญ่ 80% เป็นคนพื้นที่ฝั่งธนบุรี นอกนั้นเป็นคนฝั่งพระนครและจังหวัดใกล้เคียง เช่น นครปฐม สมุทรสาคร ราชบุรี โดยพบว่าร้านค้าแต่ละแห่งมียอดขายจากลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นถึง 50% แสดงให้เห็นว่า ไอคอนสยาม ประสบความสำเร็จในแง่การสร้างฐานลูกค้าใหม่ให้ได้รับประสบการณ์การจับจ่ายใช้สอยที่แปลกใหม่”

 

นางชฎาทิพ ยังกล่าวถึง แผนยุทธศาสตร์ 5 ปีของ “กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์” ว่ามีเป้าหมายสู่การเป็น “ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์” (Creative Economy) โดยเป็นผู้บุกเบิกแนวคิดใหม่ ๆ ด้วยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมที่ล้ำสมัยที่จะผนึกกำลังคนไทยทุกระดับได้ชูความสามารถเพื่อสร้างคุณค่าและประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่านอย่างยั่งยืนซึ่งจะเป็นปรากฏการณ์เหนือความคาดหมายบนเวทีระดับโลก

“ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาธุรกิจของสยามพิวรรธน์มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจาก 15 บริษัทเป็น 46 บริษัทในปี 2561 โดยในปี 2562 ได้ตั้งเป้าในการขยายธุรกิจภายใต้บริษัทลูกอีก 4-5 บริษัทใหญ่ อาทิ การจัดตั้ง บริษัท สยามอัลไลแอนซ์ แมเนจเม้นท์ จำกัด ต่อยอดความเชี่ยวชาญจากการบริหาร Royal Paragon Hall เพื่อรับบริหารจัดการศูนย์การประชุมและศูนย์แสดงนิทรรศการใหม่ ๆ อาทิ TRUE ICON HALL และลงทุนในการสร้างศูนย์ประชุมสำหรับการจัดงานต่าง ๆ รวมถึงการการจัดแสดงคอนเสิร์ตในทำเลใหม่ การเดินหน้าให้บริการกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดอย่างครบวงจรของ บริษัท ซูพรีโม่ จำกัด ที่สร้างประสบการณ์ระดับโลกเหนือความคาดหมายมาแล้วมากมาย อาทิ การจัดงาน Amazing Thailand Countdown ที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเมื่อปลายปี 2561 นอกจากนี้ยังมีธุรกิจให้คำปรึกษาและบริการเกี่ยวกับการจัดการอาคารของ บริษัท สยามโปรเฟสชั่นแนล แมเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งได้ให้บริการแก่บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาแล้วหลายราย ซึ่งบริษัทในเครือเหล่านี้จะเดินหน้าให้บริการทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง”

นางชฎาทิพ กล่าวในตอนท้ายด้วยว่า หากรัฐบาลชุดใหม่มีเสถียรภาพ สามารถกำหนดนโยบายต่างประเทศอย่างชัดเจน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กลุ่มนักลงทุนต่างชาติตัดสินใจย้ายฐานการผลิต หรือสำนักงานใหญ่มายังประเทศไทยได้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงสร้างความเท่าเทียมในมิติต่าง ๆ แล้ว โอกาสที่ประเทศไทยจะรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มประเทศอาเซียนย่อมมีความเป็นได้สูง