New Issues » “ออลล์ อินสไปร์ฯ” กางแผนธุรกิจปี 62 ประกาศเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai

“ออลล์ อินสไปร์ฯ” กางแผนธุรกิจปี 62 ประกาศเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai

18 มีนาคม 2019
0

alivesonline.com : “ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์” เดินหน้าเปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 18,250 ล้านบาท เผยรายได้รวมปีที่ผ่านมา 2,343 ล้านบาท พร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ mai เพื่อเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก จำนวน 150 ล้านหุ้น มุ่งใช้เป็นเงินทุนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ วางเป้าหมายก้าวสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ

นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2561 มีรายได้รวม 2,343 ล้านบาท มาจากธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 1,978 ล้านบาท ธุรกิจนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์ มูลค่า 204 ล้านบาท และรายได้อื่น มูลค่า 160.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 84%, 9% และ 7% ตามลำดับ โดยยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) จำนวน 11 โครงการ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2561 มูลค่าประมาณ 6,354 ล้านบาท

ในปี 2562 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 18,250 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรส์ (High Rise) จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ ทำเลทองหล่อ 12 ทองหล่อ 16 และโครงการ “อิมเพรสชั่น เอกมัย” โครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (Low Rise) จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ ทำเลลาดพร้าว-สุทธิสาร 20 มิถุนาแยก 5 และลาซาล 83

ขณะที่ไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทฯ เปิดขายไปแล้ว 2 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ 1 โครงการที่ทำการตลาดต่อเนื่องมาจากปีก่อนคือ โครงการทาวน์โฮม 3 ชั้น “เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว–นวมินทร์” เฟส1 จำนวน 199 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 890 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวรวม 2 เฟสมีทั้งหมด 308 ยูนิต มูลค่ารวม 1,391 ล้านบาท ส่วนโครงการไฮไรส์คอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ “อิมเพรสชั่น เอกมัย” ซึ่งเป็นโครงการลักซ์ชัวรี เรสสิเดนท์ เน้นกลุ่มลูกค้าระดับบน จำนวน 380 ยูนิต มูลค่าโครงการทั้งสิ้น 4,800 ล้านบาท โดยร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่นคือ “ฮูซิเออร์ส โฮลดิ้งส์” (Hoosiers Holdings) และ “คิวชู เรลเวย์ คัมปะนี” (Kyushu Railway Company)

 

 

นายธนากร กล่าวอีกว่า สำหรับทิศทางและนโยบายการดำเนินงานซึ่งเป็นกลยุทธ์ขององค์กร บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บนพื้นที่ศักยภาพที่มีความโดดเด่นในด้านทำเลที่ตั้ง และบริเวณพื้นที่แนวระบบขนส่งมวลชนหลักของกรุงเทพฯ เช่น BTS, MRT เป็นต้น นอกจากนี้ยังเน้นการออกแบบที่ทันสมัยและเป็นเอกลักษณ์ เน้นฟังก์ชั่นการใช้งาน พื้นที่ใช้สอย พื้นที่ส่วนกลางและสิ่งแวดล้อมที่ดี มุ่งเน้นการอยู่อาศัยได้จริง ในราคาที่จับต้องได้

“สำหรับการเปิดโครงการใหม่ ๆ ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในเซกเมนต์ต่าง ๆ จะแบ่งเป็นกลุ่มลูกค้าวัยทำงาน ระดับรายได้ต่อเดือนประมาณ 2.5-5 หมื่นบาทต่อเดือน และกลุ่มลูกค้าประเภท Dual Income, No Kids หรือ DINKs ภายใต้แบรนด์ The Excel หรือกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ระดับกลางถึงกลางบน ระดับรายได้ประมาณ 4–8 หมื่นบาทต่อเดือน ภายใต้แบรนด์ RISE หรือกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ระดับกลางถึงกลางบน ระดับรายได้ประมาณ 4 หมื่นบาทถึง 1 แสนบาทต่อเดือน ภายใต้แบรนด์ The Vision หรือกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ระดับสูง ประมาณ 1.5 แสนบาทต่อเดือนขึ้นไป ภายใต้แบรนด์ Impression”

นายธนากรกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นร้อยละ 26.79 ของจํานวนหุ้นหลัง IPO โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนแล้ว โดยมีทุนจดทะเบียนจำนวน 560 ล้านบาท และมีทุนที่ออกและชำระเต็มมูลค่าแล้วจำนวน 410 ล้านบาท หรือคิดเป็น 410 ล้านหุ้น โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินระดมทุนที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งนี้ เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในหลายพื้นที่ที่มีศักยภาพ ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานในอนาคต

“บริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ที่เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้ถือหุ้น คู่ค้า พนักงาน เป็นต้น โดยการเสนอขาย IPO ครั้งนี้จะทำให้บริษัทฯ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากตลาดทุนและตลาดเงินสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ๆ ในอนาคต ตามนโยบายของบริษัทฯ ที่จะไม่หยุดยั้งที่จะขยายธุรกิจเพื่อสร้างผลการดำเนินงานให้มีความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งจะมุ่งสร้างผลตอบแทนให้คุ้มค่าให้ที่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนที่ให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นในบริษัทฯ”

ด้าน บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน ในการนำหุ้น บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กล่าวว่า ภายหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้อนุญาตแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชน ของ ALL เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างกำหนดกรอบระยะเวลาการนำเสนอข้อมูลนักลงทุน (โรดโชว์) ทั้งกลุ่มนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไป ก่อนที่จะมีการกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 26.79 ของจำนวนหุ้นหลัง IPO

ทั้งนี้ หากพิจารณาจากจุดแข็งของ ALL จะเห็นได้ว่า กลุ่มบริษัทประกอบธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยหลากหลายประเภทเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise และ High Rise ภายใต้แบรนด์ “ดิ เอ็กเซล”, “ไรส์” และ “อิมเพรสชั่น” และทาวน์โฮม ภายใต้แบรนด์ “เดอะ วิชั่น” โดยเป็นโครงการที่พัฒนาโดยกลุ่มบริษัทเองและภายใต้กิจการร่วมค้าอีก 3 บริษัท คือ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ – ฮูซิเออร์ สุขุมวิท 50 จำกัด (ALL Hoosiers) เพื่อพัฒนาโครงการ “The Excel Hideaway Sukhumvit 50” ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise บริษัท เอเอชเจ เอกมัย จำกัด (AHJ Ekkamai) เพื่อพัฒนาโครงการ “Impression Ekkamai” ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมแบบ High Rise และบริษัท เอจี ทองหล่อ 12 จำกัด (AG Thonglor) เพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียมแบบ High Rise ย่านทองหล่อ

นอกจากนี้ ALL ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ธุรกิจให้บริการเป็นตัวแทนและนายหน้าในการขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับตลาดต่างประเทศ ดำเนินงานภายใต้ บริษัท ไทย ดี เรียลเอสเตท จำกัด (Thai D) ธุรกิจลงทุนและซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างแล้วเสร็จภายใต้ชื่อ “Rise Venture” ดำเนินงานภายใต้บริษัท ไรส์ เอสเตท จำกัด และธุรกิจให้บริการบริหารจัดการนิติบุคคลอาคารชุด ดำเนินงานภายใต้บริษัท ออลล์ พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส จำกัด (ALL Prop)

เมื่อพิจารณาผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2559 – 2561 นั้น ALL มีรายได้รวมและกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวม จำนวน 420 ล้านบาท, 714  ล้านบาท และ 2,343 ล้านบาท ตามลำดับ และในช่วงเวลาเดียวกันกลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ จำนวน 11 ล้านบาท, 81 ล้านบาท และ 343  ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งจากอัตราการเติบโตของบริษัทฯ แสดงถึงสถานะทางการเงินและการเติบโตของบริษัทฯ ที่แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด