alivesonline.com : SMART โชว์ผลประกอบการ ครึ่งปีแรกกวาดรายได้รวม 217.261 ล้านบาท เตรียมจดทะเบียนเพิ่มทุนจาก SMART-W2 จำนวน 92 ล้านหุ้น เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต มองครึ่งปีหลังวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาเติบโตดี เหตุนโยบายโครงการภาครัฐหนุน EEC งานโครงการอสังหาฯ ทยอยลงทุนเพิ่ม เดินหน้าขยายฐานลูกค้ารายย่อย ผู้รับเหมา สถาปนิกทั่วประเทศ พร้อมขยายช่องทางจำหน่ายผ่านโมเดิร์นเทรด ชูกลยุทธ์ O2O เผยตลาดต่างประเทศไปได้ดีมียอดสั่งซื้อต่อเนื่องทั้งสปป.ลาว กัมพูชา
นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีตจำกัด (มหาชน) หรือ SMART ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานกั้นผนังอาคาร เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2562 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 110.063 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 86.598 ล้านบาท จำนวน 23.465 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 27.10% มีกำไรสุทธิ 5.714 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 10.353 ล้านบาท จำนวน 16.067 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 155.19%
ส่วนผลประกอบการครึ่งแรกปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวม 217.261 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 175.045 ล้านบาท จำนวน 42.216 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.12% และมีกำไรสุทธิ 8.431 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 18.411 ล้านบาท จำนวน 26.842 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 145.79%
ผลประกอบการของบริษัทฯ มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจโครงการเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่ของภาครัฐ รวมทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชนเริ่มมีการลงทุนเพิ่ม ทำให้ปริมาณการใช้งานวัสดุอิฐมวลเบาและอิฐมวลเบาประเภทตกแต่งเพิ่มขึ้น อีกทั้งราคาจำหน่ายอิฐมวลเบาปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 35.01 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 16.17% หรือเพิ่มขึ้น 31.531 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 906.04% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 3.480 ล้านบาท
นายรังสี กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ ได้เสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทรุ่นที่ 2 (SMART-W2) มีการออกหุ้นสามัญใหม่จำนวน 92,000,048 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 460,000,240 บาทเป็น 552,000,288 บาท สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร พัฒนาผลิตภัณฑ์ พัฒนาระบบงานต่าง ๆ เช่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการผลิต ระบบบริหารคลังสินค้า และระบบจัดส่งสินค้า ซื้อแหล่งวัตถุดิบ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งในการแข่งขันและรองรับคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทำให้มั่นใจว่าจะมีโอกาสเติบโตอีกมากในอนาคต โดยเฉพาะงานส่งออกในประเทศเพื่อนบ้าน
ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาในประเทศมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยจากความต้องการวัสดุก่อสร้างนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EEC การลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่ งานก่อสร้างอาคารสถานีรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ที่เริ่มดำเนินโครงการต่อเนื่อง และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทยอยลงทุนในโครงการใหม่มากขึ้น อาทิ งานอาคารสูง ห้างสรรพสินค้า และที่พักอาศัยแนวราบ ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาปรับตัวดีขึ้น
“ปัจจุบันบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าแผนขยายฐานลูกค้ารายย่อย ผู้ออกแบบ และผู้รับเหมาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยมีการกระจายผลิตภัณฑ์ผ่านร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำในทุกภูมิภาค ซึ่งปัจจุบันมีวางจำหน่ายในไทวัสดุจำนวน 48 สาขา โกลบอลเฮ้าส์ 17 สาขา อีกทั้งยังมุ่งเน้นการใช้กลยุทธ์ O2O หรือ Online to Offline สร้างการรับรู้กับลูกค้าในวงกว้างผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย เพื่อกระตุ้นการสร้างยอดขายให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปด้วย โดยที่ผ่านมาได้ตอบรับที่ดีมากส่งผลให้มีคำสั่งซื้อจากกลุ่มลูกค้ารายย่อยทั่วประเทศ”
นายรังสี กล่าวอีกว่า ส่วนตลาดในกลุ่มประเทศ AEC บริษัทฯ ได้เน้นตลาดประเทศ สปป.ลาวมากขึ้น โดยมีแผนเพิ่มตัวแทนจำหน่ายให้ครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ เนื่องจากความต้องการใช้งานในสปป.ลาวมีการขยายตัวค่อนข้างมาก ปัจจุบันมีออเดอร์สินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนตลาดในประเทศกัมพูชา ยังเติบโตดีมีปริมาณคำสั่งซื้อต่อเนื่อง คาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2-3 %
“บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าทำการตลาดเชิงรุก แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จักและผลักดันสินค้าผ่านทุกช่องทางการจำหน่าย โดยในส่วนของโครงการภาครัฐ-เอกชนขนาดใหญ่ก็ยังเดินหน้าทำตลาดต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่” นายรังสี กล่าวในที่สุด