แต่คนส่วนใหญ่มักไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าตนเองนั้นแพ้อะไร อีกทั้งด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในยุคปัจจุบันก็อาจเป็นอีกปัจจัยเร่งที่ทำให้เกิดความรุนแรงของ “โรคลมพิษ” ได้เช่นกัน ดังนั้นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโรคลมพิษอย่างถูกต้อง จึงเป็นสิ่งที่คนไทยไม่ควรละเลยเป็นอย่างยิ่ง เพราะโรคดังกล่าวอาจเกิดขึ้นกับคุณ หรือคนใกล้ชิดก็เป็นได้
ศ. พญ. กนกวลัย กุลทนันทน์ ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า วันที่ 1 ตุลาคม ของทุก ๆ ปี เป็น “วันโรคลมพิษโลก” โรงพยาบาลศิริราชจึงได้สานต่อจัดกิจกรรม “ศิริราชห่วงใย ชวนใส่ใจโรคลมพิษ ครั้งที่ 4” เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญของโรคลมพิษ ซึ่งถึงแม้จะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็มีผลกระทบอย่างมากต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วย รวมไปถึงการเข้าถึงการบำบัดรักษาที่เหมาะสม โดยผู้ป่วยจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้และประสบการณ์ในการรักษา
ภายในงานได้มีกลุ่มผู้ป่วย บุคคลทั่วไป และบุคลากรทางแพทย์เข้าร่วมงานจำนวนกว่า 100 คน และมีสถานีที่จัดขึ้นมาเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความรู้เกี่ยวกับโรคลมพิษ จำนวน 4 สถานี ประกอบด้วย สถานีที่ 1 – ยาที่ใช้การรักษาโรคลมพิษ สถานีที่ 2 – แบบประเมินอาการผู้ป่วยโรคลมพิษ สถานีที่ 3 และ 4 – การทดสอบผื่นลมพิษจากการสาเหตุทางกายภาพ โดยทุกสถานีได้เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานได้รู้จักและทดลองทดสอบจริงกับอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อการวินิจฉัย ทั้งยังสามารถสอบถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้อย่างใกล้ชิดตลอดงานอีกด้วย
โรคลมพิษ (Urticaria) เป็นโรคที่คนทุกเพศทุกวัยสามารถเป็นได้ เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อตัวกระตุ้น ผิวหนังจะมีลักษณะเป็นผื่นหรือปื้นนูนแดง ไม่มีขุย มีขนาดตั้งแต่ 0.5-10 ซม. มักกระจายตามร่างกายอย่างรวดเร็วและทำให้ผู้ป่วยมีอาการคันตามบริเวณที่มีผื่นขึ้น โดยทั่วไปแต่ละผื่นจะอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง แล้วผื่นนั้นก็จะราบไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ แต่ก็สามารถมีผื่นใหม่ขึ้นที่อื่น ๆ ได้ ผื่นเกิดจากการที่ร่างกายปล่อยสาร “ฮีสตามีน” (Histamine) และสารอื่น ๆ ผู้ป่วยบางรายอาจมีริมฝีปากบวม ตาบวม ร่วมด้วย รายที่เป็นรุนแรงอาจมีอาการปวดท้อง แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก หอบหืด เป็นลมจากความดันโลหิตต่ำได้ แต่ก็พบน้อยมาก
ทั้งนี้ สามารถแบ่งชนิดของโรคลมพิษเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ “โรคลมพิษเฉียบพลัน” (Acute Urticaria) ผื่นลมพิษที่จะเกิดขึ้นตามร่างกายในระยะเวลาติดต่อกันไม่เกิน 6 สัปดาห์ และ “โรคลมพิษเรื้อรัง” (Chronic Urticaria) ผื่นลมพิษที่จะมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ อย่างต่อเนื่องนานเกินกว่า 6 สัปดาห์ขึ้นไป
โรคลมพิษมักจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีความกังวลต่อการดำเนินชีวิตตลอดเวลา สิ่งที่ควรปฏิบัติหากรู้ว่าตนเองนั้นเป็นโรคลมพิษ เพื่อบรรเทาและป้องกันลมพิษได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังช่วยให้การวินิจฉัยของแพทย์สามารถทำได้ง่ายขึ้น ดังเช่น
1.หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้เกิดลมพิษตามแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
2.ต้องนำยาต้านฮิสตามีนติดตัวไว้เสมอ เมื่อเกิดอาการจะใช้ได้ทันที
3.ทำจิตใจให้สบาย ไม่เครียด
4.ไม่แกะเกาผิวหนัง เพราะอาจทำให้เกิดผิวหนังอักเสบจากการเกา
5.รับประทานยาตามแพทย์สั่ง หากยาทำให้เกิดอาการง่วงซึม จนรบกวนการทำงานควรบอกแพทย์เพื่อเปลี่ยนยา
ศ.พญ.กนกวลัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ผื่นลมพิษในผู้ป่วยบางราย แม้ว่าแพทย์จะพยายามตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียดแล้ว แต่ก็อาจหาสาเหตุที่ชัดเจนไม่พบซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าความรู้ทางการแพทย์ปัจจุบันยังไม่มากพอที่จะอธิบายหาสาเหตุได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม แนะนำว่าผู้ป่วยโรคลมพิษควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ ซึ่งหากพบสาเหตุที่ก่อให้เกิดลมพิษและหลีกเลี่ยงหรือรักษาสาเหตุนั้นได้ จะทำให้โรคลมพิษสงบลงหรือหายขาดได้.