New Issues » ตลาดอิฐมวลเบารับอานิสงส์โครงการเมกะโปรเจกต์

ตลาดอิฐมวลเบารับอานิสงส์โครงการเมกะโปรเจกต์

6 ธันวาคม 2019
0

alivesonline.com : “สมาร์ทคอนกรีต” คาดยอดขายปี 62 โตกว่าเป้า 10% มองตลาดอิฐมวลเบาในประเทศโค้งสุดท้ายของปียังคงโตต่อเนื่อง จากความต้องการคุณภาพสินค้าอิฐมวลเบา-บล็อกมวลเบาตกแต่งที่ได้มาตรฐานและประหยัดพลังงาน ชูกลยุทธ์ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย เจาะกลุ่มลูกค้าสถาปนิก ผู้รับเหมารายย่อย โมเดิร์นเทรด ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง พร้อมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมเดินหน้าเพิ่มพันธมิตรตลาดต่างประเทศ ขยายฐานลูกค้ากลุ่ม CLMV          

 

นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ SMART ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานกั้นผนังอาคาร เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบาในประเทศในช่วงโค้งสุดท้ายปี 2562 มีทิศทางที่ดีและคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2562 จะสามารถเติบโตมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 10-14% จากเดิมตั้งเป้ารายได้ 400 ล้านบาท เติบโต 10 %ทั้งนี้ มีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ EEC ผลักดันให้เกิดการลงทุนก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม โรงงาน โครงการเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่ของภาครัฐ อาทิ งานก่อสร้างอาคารสถานีรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และโครงการก่อสร้างภาคเอกชนเริ่มทยอยลงทุนในโครงการใหม่ ๆ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากความเชื่อมั่นของกลุ่มลูกค้าที่ให้ความสำคัญในการใช้วัสดุอิฐมวลเบาที่ได้มาตรฐานและประหยัดพลังงาน ส่งผลให้ปริมาณการใช้งานและความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-อิฐมวลเบา ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงราคาจำหน่ายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย

“สำหรับการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ ผลักดันสินค้าผ่านช่องทางการจำหน่ายให้หลากหลายมากขึ้น อาทิ โมเดิร์นเทรด ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง และเพิ่มตัวแทนจำหน่าย ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง จึงสามารถกระจายสินค้าเข้าสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั่วประเทศ พร้อมกับการทำการตลาดเชิงรุก แนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จักรวมถึงการขยายฐานลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง”

นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการทำตลาดผลิตภัณฑ์ใหม่ “อิฐมวลเบาประเภทตกแต่ง” มากขึ้น เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้า ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์ O2O (Online to Offline) กระตุ้นการสร้างยอดขายให้เติบโตและสร้างการรับรู้กับลูกค้าในวงกว้างผ่านสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีและมีคำสั่งซื้อจากโครงการในภาคตะวันออก กลุ่มลูกค้าสถาปนิก และผู้รับเหมารายย่อยมากขึ้น โดยสัดส่วนรายได้งานภาครัฐ 30% และภาคเอกชน 70%

นายรังสี กล่าวในตอนท้ายว่า สำหรับการขยายตลาดกลุ่มประเทศ CLMV บริษัทฯ มีการส่งสินค้าไปจำหน่ายในประเทศกัมพูชาและสปป.ลาว เพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยมีกระแสตอบรับที่ดีและมีออเดอร์สั่งซื้อสินค้าต่อเนื่องจากตัวแทนจำหน่ายในประเทศดังกล่าว อีกทั้งบริษัทฯ ยังสามารถรักษาสัดส่วนรายได้จากยอดขายต่างประเทศในปี 2562 อยู่ที่ 2% บริษัทฯ จึงยังคงเดินหน้าเจรจาหาพันธมิตรเป็นตัวแทนจำหน่ายเพื่อขยายตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV อย่างต่อเนื่อง