alivesonline.com : “ยูโรมอนิเตอร์” ระบุ ตลาดเครื่องฟอกอากาศไทยเติบโตสูงสุดในอาเซียนด้วยมูลค่า 2.8 พันล้านบาท ทิ้งห่าง มาเลเซีย อันดับ 2 ที่มีมูลค่าเพียง 1.2 พันล้านบาท แจงเหตุการณ์เติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะ “มลพิษ” เพิ่มสูงขึ้นจากการก่อสร้าง การพัฒนาประเทศ และจำนวนรถยนต์ที่มากขึ้น โดยเฉพาะปัญหา “ฝุ่น PM2.5” ส่งผลให้ “แสงชัยแอร์ควอลิตี้” ผู้นำเข้าเครื่องฟอกอากาศเกรดพรีเมียม Blueair จากสวีเดน ทำยอดขายปี 62 โตพรวด 300% จาก 3 พันเครื่อง เป็น 1 หมื่นเครื่อง ส่วนปี 63 คาดเติบโตตามปรกติประมาณ 20-30%
นายวรเทพ อัศวนิเวศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสงชัยแอร์ควอลิตี้ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเครื่องฟอกอากาศ แบรนด์ Blueair (บลูแอร์) จากประเทศสวีเดน เปิดเผยว่า บริษัท แสงชัยแอร์ควอลิตี้ จำกัด เป็นหนึ่งในบริษัทเครือของ “แสงชัยกรุ๊ป” ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องปรับอากาศ เครื่องทำความเย็น สายไฟฟ้า สินค้ากึ่งอุตสาหกรรม และอื่น ๆ มาเป็นเวลานานกว่า 40 ปี มียอดขายรวมในปี 2562 ประมาณ 3 พันล้านบาท โดยเริ่มทำการตลาดเครื่องฟอกอากาศ Blueair เมื่อปี 2545 เนื่องจากเห็นว่าเป็นสินค้าคุณภาพดี มีอัตราการฟอกสูงที่สุดตามมาตรฐานสากล และมีดีไซน์ที่สวยเรียบแบบสแกนดิเนเวีย จนมีวางจำหน่ายทั่วโลกกว่า 60 ประเทศ
ปัจจัยและเหตุผลที่บริษัทฯ ทำตลาดเครื่องฟอกอากาศในประเทศไทย เพราะเห็นแนวโน้มของปัญหามลพิษในประเทศไทยและประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เริ่มเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปี โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ต้องเผชิญปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้คนที่ออกนอกบ้านจำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพ ในขณะที่ผู้ที่อยู่ในบ้านก็จำเป็นต้องได้รับอากาศบริสุทธิ์เช่นกัน เครื่องฟอกอากาศที่ดีและมีคุณภาพสูงจึงเริ่มเป็นสินค้าที่มีความสำคัญมากขึ้นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็ก
ทางด้าน นายบุญฤทธิ์ ฉันสุวรรณ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แสงชัยแอร์ควอลิตี้ จำกัด กล่าวเสริมว่า จากข้อมูลของ “ยูโรมอนิเตอร์” ระบุว่า ตลาดเครื่องฟอกอากาศในประเทศไทย มีมูลค่า 91 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.8 พันล้านบาท มีการเติบโตปีละประมาณ 50% สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน รองลงมาคือประเทศมาเลเซีย มีมูลค่า 41.2 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1.2 พันล้านบาท อินโดนีเซีย มีมูลค่า 34.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1 พันล้านบาท และฟิลิปปินส์ มีมูลค่า 16.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 500 ล้านบาท
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ตลาดเครื่องฟอกอากาศในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามีการเติบโตอย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดดเกือบเท่าตัว อันเนื่องมาจากภาวะมลพิษเพิ่มสูงขึ้นจากการก่อสร้าง การพัฒนาประเทศ และจำนวนรถยนต์ที่มากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องฝุ่น PM2.5 เกินระดับความปลอดภัยในหลาย ๆ พื้นที่ ส่งผลให้ในปี 2562 บริษัทฯ มียอดขายเติบโตจากปี 2561 ถึง 300% หรือประมาณ 1 หมื่นเครื่อง คิดเป็นมูลค่าประมาณ 200 ล้านบาท จากปรกติที่จำหน่ายปีละประมาณ 3 พันเครื่อง ส่วนในปี 2563 คาดว่าจะมีการเติบโตตามอัตราปรกติคือประมาณ 20-30% ใกล้เคียงกับตลาดรวม
“เครื่องฟอกอากาศ ถือเป็นสินค้าที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตผู้บริโภคซึ่งมีการเติบโตและแข่งขันรุนแรงมาก จาก 5 ปีก่อนที่ตลาดมีมูลค่าประมาณ 800-900 ล้านบาท จึงทำให้มักจะมีผู้เล่นใหม่ ๆ เข้าและออกจากตลาดหมุนเวียนอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสินค้าและการยอมรับของผู้บริโภคเป็นสำคัญ โดยปัจจุบันในประเทศไทยมีสินค้าประมาณ 10 แบรนด์ ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีนในตลาดล่าง-กลางด้วยระดับราคา 3-4 พันบาท ประมาณ 90% ขณะที่ Blueair ถือเป็นแบรนด์ระดับพรีเมียมจากยุโรปเพียงรายเดียวที่ทำตลาดระดับราคา 3-8 หมื่นบาท เน้นทำตลาด B2B 80% และ B2C รวมทั้งหน่วยงานรัฐ 20%”
นายบุญฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีช่องทางการทำตลาดที่หลากหลาย ได้แก่ ช่องทางโมเดิร์นเทรด 25 จุดขายในห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ คือ เซ็นทรัล, เดอะมอลล์ ,สยามพารากอน, เอ็มโพเรียม, พาวเวอร์บาย และบุญถาวร นอกจากนี้ยังจำหน่ายโดยตรงกับหน่วยงานและองค์กรขนาดใหญ่ เช่น โรงพยาบาล ธนาคาร และบริษัททั่วไป รวมถึงการใช้ช่องทางออนไลน์ผ่านลาซาด้า, ชอปปี้ และเซ็นทรัลออนไลน์ โดยในปีที่ผ่านมาพบว่าการจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์มีสัดส่วนประมาณ 8%
“เนื่องจากตลาดเครื่องฟอกอากาศยังมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก บริษัทฯ จึงใช้งบประมาณการตลาดประมาณ 10% ของยอดขายในการสร้างการรับรู้ผ่านการจัดกิจกรรมและอีเวนต์ต่าง ๆ รวมถึงประชาสัมพันธ์และให้ความรู้ผ่านโซเชียลมีเดียของบริษัทฯ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงซึ่งส่วนใหญ่มีการศึกษาและรายได้สูง พร้อมที่จะลงทุนมากขึ้นในการเลือกซื้อสินค้าเพื่อคุณภาพชีวิต เพราะปัจจุบันใช้เวลาพักอาศัยในบ้านมากขึ้น แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศยังไม่ดีมากนักก็ตาม”
นายบุญฤทธิ์ กล่าวด้วยว่า Blueair เป็นแบรนด์เดียวในโลกที่บริษัทแม่ในประเทศสวีเดนไม่ผลิตสินค้าอื่นเลย เพราะยึดมั่นในเรื่องการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ได้รับรางวัลด้านคุณภาพอย่างมากมาย โดยได้รับการรับรองจากสถาบันทดสอบเครื่องฟอกอากาศที่น่าเชื่อถือที่สุดของโลกคือ AHAM (Associatioin of Home Appliance Manafacture) ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในช่วงกลางปี 2563 จะเปิดตัวสินค้าใหม่อีก 2 ซีรีส์ รวม 5 เอสเคยู ซึ่งจะมีการจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยพร้อมกันด้วย
ปัจจุบัน เครื่องฟอกอากาศ Blueair มีจำหน่ายในประเทศไทยทั้งหมด 4 ซีรีส์ รวม 14 เอสเคยู คือ
1.รุ่น Blu เน้นความเรียบง่าย ไม่ต้องการความยุ่งยากใด ๆ ในการใช้งาน สั่งการใช้งานด้วยการกดปุ่มเพียงครั้งเดียว ราคาเริ่มต้น 1 หมื่นขึ้นไป มีทั้งหมด 2 เอสเคยู
2.รุ่น Classic เน้นการใช้งานในห้องขนาด 26 ตร.ม., 40 ตร.ม.และ 72 ตร.ม. มีฟังก์ชันเชื่อมต่อไว-ไฟบ้าน เพื่อสั่งการใช้งานผ่านแอปพลิเคชัน Blueair friend บนสมาร์ทโฟน โดยมีเซ็นเซอร์ในตัวเพื่อตรวจจับค่าฝุ่น Pm2.5 ว่ามีปริมาณเท่าใด พร้อมแสดงผลเป็นตัวเลขและแบบกราฟ สามารถดูย้อนหลังได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบเทคโนโลยี ทำให้มีความสะดวกสบายมากขึ้น ราคาเริ่มต้น 2 หมื่นบาทขึ้นไป มีทั้งหมด 6 เอสเคยู
3.รุ่น Sense+ เน้นดีไซน์ที่สวยหรู โดดเด่น สามารถใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์สำหรับตกแต่งห้องได้ พร้อมเทคโนโลยีสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนเพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ราคาเริ่มต้น 2 หมื่นบาทขึ้นไป มีทั้งหมด 4 เอสเคยู
4.รุ่น Pro เน้นการใช้งานในสำนักงาน หรือบ้านที่เน้นฟังก์ชันการใช้งานที่ง่ายแต่ประสิทธิภาพสูง ครอบคลุมพื้นที่ถึง 100 ตร.ม. มี 2 รุ่น คือ Pro M และ Pro L ราคาเริ่มต้น 3-8 หมื่นบาท