New Issues » “แสนสิริ” กางแผนปั้นยอดขายโครงการแนวราบ 4.5 พันล้านบาท

“แสนสิริ” กางแผนปั้นยอดขายโครงการแนวราบ 4.5 พันล้านบาท

11 เมษายน 2020
0

alivesonline.com : “แสนสิริ” เผยแผนโครงการแนวราบปี 63 ปั้นแบรนด์ “สิริ เพลส–อณาสิริ–สราญสิริ” เจาะกลุ่มเรียลดีมานต์ และคนที่อยากมีบ้านหลังแรก พร้อมรักษาความเป็นผู้นำในแบรนด์ระดับบนด้วยแบรนด์ “บุราสิริ” และ “เศรษฐสิริ” รับกลุ่ม New Demand ชี้เป้าทำเลศักยภาพโครงการแนวราบ “กรุงเทพกรีฑา–วัชรพล–รามอินทรา” เดินหน้าลุย 4 โครงการบ้านเดี่ยวคุณภาพ มั่นใจทำยอดขายแนวราบไตรมาสสองเข้าเป้า 4.5 พันล้านบาท พร้อมยอดขายรวม 8.5 พันล้านบาท

นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากความสำเร็จในการสร้างยอดขายที่สูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จนก้าวเป็นผู้นำอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสแรก ด้วยยอดขาย 1.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็นยอดขายจากกลุ่มโครงการแนวราบถึงกว่า 4.8 พันล้านบาท หรือ 44% ของยอดขายที่ทำได้ในไตรมาสแรก สะท้อนความสำเร็จจากการได้รับความเชื่อมั่นจากลูกค้าจนส่งผลให้เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน ทั้งยังส่งผลให้สามารถปิดการขายโครงการบ้านเดี่ยวในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มูลค่าโครงการรวม 1.02 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการสราญสิริ ติวานนท์–แจ้งวัฒนะ, โครงการนาราสิริ โทเพียรี่, โครงการนาราสิริ พุทธมณฑล สาย 1, โครงการนาราสิริ บางนา, โครงการสราญสิริ เกาะแก้ว และโครงการบุราสิริ เกาะแก้ว ภูเก็ต เป็นต้น

สำหรับในไตรมาส 2 บริษัทฯ ได้เตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบในปี 2563 จำนวนทั้งสิ้น 12 โครงการ มูลค่ารวม 1.52 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่ารวม 8.6 พันล้านบาท และทาวน์โฮมและมิกซ์โปรเจกต์อีก 6 โครงการ มูลค่ารวม 6.6 พันล้านบาท โดยยังคงยึดมั่นพันธกิจในการเป็นผู้นำตลาดแนวราบใน 3 ปี ภายใต้กลยุทธ์พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพครอบคลุมความต้องการที่หลากหลาย ทั้งการโฟกัสในตลาดกลุ่มใหญ่ที่มีดีมานต์ (Mass Market) ด้วยการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ สิริ เพลส, อณาสิริ และสราญสิริ เจาะกลุ่มเรียล ดีมานต์ และคนที่อยากมีบ้านหลังแรก

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังพร้อมรักษาความเป็นผู้นำในแบรนด์ระดับบน อาทิ บุราสิริ และเศรษฐสิริ เพื่อรับกลุ่ม New Demand จากกลุ่มลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมโครงการที่ต้องการมีบ้านใหม่เพื่อแยกครอบครัว หรือต้องการบ้านที่มีพื้นที่กว้างขี้น ซึ่งเป็นผลจากไลฟ์สไตล์ในรูปแบบ Social Distancing นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดตัวบ้านรูปแบบใหม่ รวมทั้งโครงการในแนวคิดใหม่ในปีนี้ 2563 เพื่อรองรับความต้องการที่ตอบโจทย์ของลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้นอีกด้วย

นายอาณัติ กล่าวอีกว่า ภาพรวมตลาดบ้านเดี่ยว ในปี 2562 มีจำนวนยูนิตเปิดขายในตลาด 2.1 หมื่นยูนิต ขณะที่มีความต้องการ 1.18 หมื่นยูนิต ซึ่งเห็นได้ว่าซัปพลายมีจำนวนน้อยลง ขณะที่ดีมานด์ยังสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ Absorption Rate อยู่ที่ 56% สูงกว่า 3 ปีก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่ายังมีดีมานต์ความต้องการที่สามารถตอบโจทย์และตั้งอยู่ในทำเลที่ลูกค้าต้องการได้ ขณะเดียวกันความต้องการบ้านเดี่ยวในระดับราคา 10-20 ล้านบาท ยังเพิ่มขึ้นสูงสุดในปี 2562 ถึง 7% เมื่อเทียบกับปี 2561 โดยบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านขายดีที่สุด

ในปี 2563 “แสนสิริ” จึงรุกเปิดแบรนด์ “สิริ เพลส” ที่อยู่ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท รวมทั้งแบรนด์เศรษฐสิริ, บุราสิริ และสราญสิริ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยระดับราคา 10–20 ล้านบาท นอกจากนี้ปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมาจากการที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.25% เป็น 1% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดตั้งแต่เคยมีมา นับเป็นการกระตุ้นการลงทุนที่ส่งผลบวกต่อตลาดอสังหาฯ ทั้งกับผู้พัฒนาโครงการและผู้ซื้อ เพราะทำให้ผู้พัฒนาโครงการมีต้นทุนในการพัฒนาโครงการที่ถูกลง และยังเป็นการลดต้นทุนในการกู้ของผู้ซื้ออสังหา ทำให้มีกำลังในการซื้อมากขึ้น รวมถึงความผันผวนของตลาดหุ้น ซึ่งนับเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้คนมองหาการลงทุนในรูปแบบอื่นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าและปลอดภัยกว่าในระยะยาว ซึ่งการลงทุนในอสังหาฯ ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

ชี้เป้าทำเลศักยภาพ “กรุงเทพกรีฑา – รามอินทรา – วัชรพล”

นายอาณัติ กล่าวอีกว่า แบรนด์เศรษฐสิริและบุราสิริ ระดับราคา 8–20 ล้านบาท จะเป็นแบรนด์ที่สร้างยอดขายได้ดีในปี 2563 จากการที่กลุ่มลูกค้าระดับบนได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจน้อย รวมทั้งยังมีทั้ง Real Demand และ New Demand ที่กำลังมองหาบ้านที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่เพื่อการอยู่อาศัยเองและขยับขยายครอบครัวอีกเป็นจำนวนมาก โดยทำเลที่เป็นที่นิยมของกลุ่มลูกค้าระดับบน ได้แก่ โซนกรุงเทพกรีฑา- รามอินทรา- วัชรพล ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพสำหรับลูกค้าระดับบนคาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีจากการตั้งอยู่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) และมีปัจจัยบวกสนับสนุนทั้งในด้านคมนาคมและขนส่งสาธารณะ ใกล้ทางด่วนเชื่อมต่อการเดินทางทุกเส้นทาง แวดล้อมด้วยสถานศึกษา โรงพยาบาลและแหล่งไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของทุกวัย

“สิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าทำเลนี้ได้รับความนิยมในการอยู่อาศัยคือ ราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซนรามอินทราและวัชรพลที่ราคาเพิ่มขึ้นจาก 8.8 หมื่นบาทต่อตารางวา ในปี 2558 เป็น 1.275 แสนบาทต่อตารางวา ในปี 2562 หรือเติบโตขึ้นถึง 70% ภายในระยะเวลา 5 ปี ส่วนโซนกรุงเทพกรีฑาก็มีดีมานด์สูงขึ้นต่อเนื่อง เพราะเป็นทำเลที่ใกล้ CBD ที่สุด พิสูจน์ได้จากการปิดการขายโครงการเศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา 1 มูลค่าโครงการ 3.6 พันล้านบาท ทำให้เชื่อมั่นว่ายังความต้องการอีกมาก จึงได้เปิดตัวโครงการเศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา 2 ขึ้นเพื่อรองรับดีมานด์ใหม่ต่อเนื่อง”

นายอาณัติ กล่าวด้วยว่า ในสถานการณ์ปัจจุบันอาจจะส่งผลกระทบต่อยอดขายของบางโครงการบ้าง แต่สำหรับ “แสนสิริ” ยังคงมียอดขายและยอดเยี่ยมชมโครงการต่อเนื่อง รวมทั้งสามารถทำการขายได้ดี ดังจะเห็นได้จากยอดขายที่เกินเป้าหมายในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งเชื่อว่าในไตรมาส 2 จะมีการตอบรับดีเช่นกัน ด้วยคุณภาพสินค้า ทำเล และโปรโมชันที่พัฒนามาจากความต้องการของลูกค้า

สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวที่ตอบรับดีมานต์ความต้องการในทำเลนี้ ได้แก่ โครงการ “เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา 2” มูลค่าโครงการ 3.5 พันล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพที่แวดล้อมด้วยระบบคมนาคมที่สะดวกสบาย สามารถเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ได้ง่ายดาย ใกล้กับทางด่วนศรีบูรพาเพียง 2 กม. ใกล้รถไฟฟ้าสายสีส้มซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 เพียง 2.3 กม. ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลืองซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2563 เพียง 4 กม. ทั้งยังเชื่อมต่อด้วยถนนสายสำคัญต่าง ๆ เข้าสู่เมือง อาทิ ถนนศรีนครินทร์–ร่มเกล้า, ถนนกรุงเทพกรีฑา, ถนนพระรามเก้า–มอเตอร์เวย์, ถนนพัฒนาการ และถนนหัวหมาก ฯลฯ นอกจากนี้ยังแวดล้อมด้วยสังคมคุณภาพที่ประกอบไปด้วยโรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ไบรท์ตัน คอลเลจ กรุงเทพ ซึ่งอยู่ใกล้เพียง 900 ม. โรงพยาบาลชั้นนำ อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ และการเปิดตัวคอมมูนิตี้มอลล์ในอนาคตที่จะมาเติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตและผนึกกำลังเพื่อพัฒนาทำเลสู่การเป็นเมืองเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีที่สุด โดยโครงการได้รับการตอบรับที่ดีจนส่งผลให้ปิดการขายโครงการในเฟสแรก มูลค่า 570 ล้านบาท และเปิดการขายในเฟสที่ 2 ต่อเนื่อง

โครงการ “เศรษฐสิริ พหล-วัชรพล” มูลค่าโครงการ 3.7 พันล้านบาท เพียง 5.5 กิโลเมตร ถึงรถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ส่วนต่อขยาย (หมอชิต-คูคต) สถานีสายหยุด ที่สามารถวิ่งตรงเข้าใจกลางเมืองได้ ทั้งสยาม ชิดลม ทองหล่อ โดยไม่ต้องสลับสายรถไฟฟ้า ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2563 โครงการตั้งอยู่บนถนนเทพรักษ์ ซึ่งเป็นถนนตัดใหม่ที่เชื่อมสู่ถนนพหลโยธิน ทำให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองสะดวก นอกจากนี้ยังเชื่อมต่อถนนหลักอีก 2 เส้นคือ ถนนวัชรพลและถนนรามอินทรา ซึ่งมีความคึกคักในการเป็นย่านที่อยู่อาศัยและแหล่งรวมคอมมูนิตี้ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังตั้งอยู่ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ทำให้การเดินทางสะดวกอีกด้วย

โครงการ “บุราสิริ วัชรพล” มูลค่าโครงการ 3.4 พันล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลวัชรพลซึ่งเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมมากว่า 10 ปี โดย “แสนสิริ” นับเป็นผู้บุกเบิกพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวในทำเลนี้ด้วยการเปิดตัวโครงการ “นาราสิริ วัชรพล” ที่เป็นบ้านเดี่ยวโครงการแรกของ “แสนสิริ” นับเป็นทำเลที่มีการเติบโตมากที่สุดอีกหนึ่งทำเลและมีความคึกคักด้านการแข่งขันสูงจากเป็นทำเลทองของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกตอนเหนือ จากความสะดวกในการเดินทางที่สามารถเดินทางเข้า-ออกเมืองได้ง่าย

โครงการ “บุราสิริ วัชรพล” ยังตั้งอยู่ใกล้กับถนน สุขาภิบาล 5 ที่รายล้อมไปด้วยทางพิเศษ อาทิ ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ และยังอยู่ใกล้เคียงกับวงแหวนรอบนอกกาญจนาภิเษก ที่สามารถเดินทางไปยังพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ ได้ โครงการยังตั้งอยู่ใกล้ กับสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (หมอชิต-คูคต) สถานีสายหยุดและสถานีรามอินทรา 31 ที่กำหนดเปิดให้บริการในปี 2563

โครงการ “บุราสิริ ปัญญาอินทรา” มูลค่าโครงการ 3.5 พันล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเลย่านปัญญาอินทรา ซึ่ง “แสนสิริ” นับเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรก ๆ ที่เริ่มต้นพัฒนาโครงการในย่านดังกล่าวจนประสบความสำเร็จ ตั้งแต่โครงการเศรษฐสิริ รามอินทรา, โครงการสราญสิริ รามอินทรา, โครงการฮาบิเทีย ปัญญาอินทรา และโครงการพร้อมพัฒน์ ไพร์ม เป็นต้น เนื่องจากโซนที่อยู่อาศัยในย่านดังกล่าวเป็นทำเลที่มีศักยภาพใกล้กับจุดเชื่อมต่อสู่ถนนสายหลัก ทั้งรามอินทรา, พระราม 9, วงแหวนตะวันออก, เกษตร-นวมินทร์, เสรีไทย, วิภาวดี-รังสิต และทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ มีศูนย์การค้ารายล้อมทั้งแฟชั่นไอส์แลนด์, เซ็นทรัล รามอินทรา, เดอะ พรอเมนาด จากการตอบรับที่ดีจึงส่งผลให้มียอดขายโครงการนี้ไปแล้วถึง 70%

นายอาณัติ กล่าวด้วยว่า จากความเข้าใจถึงสถานการณ์ปัจจุบันและความเข้าใจใน Customer Insight บริษัทฯ ยังได้เปิดตัวแคมเปญในช่วงไตรมาส 2  “แสนสิริผ่อนให้ สูงสุดถึง 24 เดือน” เพื่อช่วยให้ลูกค้ามีบ้านง่าย ไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนที่อยู่อาศัย สบายใจได้นานตลอดระเวลา 2 ปี และสามารถนำเงินไปใช้จ่ายอื่นได้ เพราะแสนสิริผ่อนให้ ทั้งต้น ทั้งดอก นานสูงสุด 24 เดือน ครอบคลุมถึง 62 โครงการพร้อมอยู่ ทั่วประเทศ พร้อมรับข้อเสนอดี ๆ อีกมากมาย อาทิ ฟรีค่าส่วนกลางนานสูงสุด 1 ปีพร้อมรับ Give Voucher สูงสุด 1 แสนบาท สำหรับโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม และฟรีค่าส่วนกลางนาน 2 ปี สำหรับคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่จาก “แสนสิริ”

“แสนสิริ” ยังได้เตรียมพร้อมรับมือ COVID-19 อยู่เสมอ โดยได้ผนึก “พลัส พร็อพเพอร์ตี้” วางมาตรการเน้นย้ำความปลอดภัยและสุขอนามัยของลูกบ้าน ลูกค้า พนักงานและพันธมิตร ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญ โดยชูแนวทาง “Sansiri Care เพราะเราห่วงใย” เตรียมความพร้อมในการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยยกระดับ 3 มาตรการแบบเต็มขั้น ได้แก่ มาตรการการป้องกัน การดูแล และการรับมือ ครอบคลุมทั้งในด้านความสะอาด, การอำนวยความสะดวกและเตรียมพร้อมรับมือ พร้อมจัดตั้งทีมงานศึกษา และติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัยทั้งในโครงการและในทุกสำนักงานขาย เพราะความปลอดภัยของลูกบ้าน และลูกค้าที่มาเยี่ยมชมโครงการเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญสูงสุด

“ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา และกลยุทธ์ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มเรียลดีมานต์ รวมถึงการเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน ทั้งในด้านคุณภาพ ดีไซน์ รวมถึงการบริการหรือ Sansiri Service จากการมอบบริการที่ดีที่สุดทั้งก่อนและหลังการขาย รวมถึง LIV-24 ที่ดูแลความปลอดภัยส่งตรงจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง มาตรฐานแสนสิริที่พร้อมดูแลทุกจุดในโครงการ พร้อมพริวิเล็จมากมายจากแสนสิริ แฟมิลี่ ทำให้เชื่อมั่นว่า บริษัทฯ จะสามารถสร้างยอดขายในช่วงไตรมาสที่สองได้ถึง 8.5 พันล้านบาทตามที่วางไว้ แบ่งเป็นยอดขายโครงการแนวราบ 4.5 พันล้านบาท และยอดขายโครงการคอนโดมิเนียม 4 พันล้านบาท” นายอาณัติ กล่าวในที่สุด