อ.ส.ค.หั่นราคานม “ไทย-เดนมาร์ค” 25% ให้หน่วยงานราชการ

alivesonline.com : “มนัญญา” ระดมทุกหน่วยงานสังกัดกระทรวงเกษตรฯ งัดมาตรการสู้วิกฤติ COVID-19 สั่งด่วนให้ อ.ส.ค. หั่นราคาผลิตภัณฑ์ “นมไทย-เดนมาร์ค” 25% สำหรับหน่วยราชการทั่วประเทศไทย เพื่อส่งเสริมสุขภาพของประชาชนชาวไทยและเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมให้สามารถจำหน่ายผลผลิตได้ตามปกติ

นายสุชาติ จริยาเลิศศักดิ์ รองผู้อำนวยการ ทำการแทน ผู้อำนวยการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เปิดเผยว่า ในการประชุมหาแนวทางมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจาก ไวรัส COVID-19 ตามมาตรการเร่งด่วนของรัฐบาล โดยมี นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานในการประชุมเมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่ประชุมมีมติให้ อ.ส.ค. นำผลิตภัณฑ์นมยูเอชที “ไทย-เดนมาร์ค” ขนาด 200 มิลลิลิตร ทุกรสชาติจำหน่ายให้หน่วยงานราชการทุกจังหวัดในราคาพิเศษถูกกว่าท้องตลาดประมาณ 25% โดยแต่ละหน่วยงานสามารถสั่งซื้อได้ตั้งแต่บัดนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2563

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้แสดงความเป็นห่วงอย่างมากต่อเกษตรกรไทยที่ทำอาชีพการเลี้ยงโคนม รวมถึงพี่น้องประชาชนชาวไทยในสถานการณ์การระบาดของ ไวรัส COVID-19 จึงได้มีการมอบนโยบายให้แต่ละหน่วยงานที่เป็นผู้กำกับดูแล โดยเร่งหามาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ประชาชนและหน่วยงานราชการที่ได้รับผลกระทบต่อวิกฤติดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เนื่องจากวิกฤติดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เป็นเหตุให้ประชาชนประสบปัญหาต่าง ๆ และมีกำลังซื้อสินค้าอุปโภคและบริโภคลดลง ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพประชาชนและช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมให้สามารถจำหน่ายผลผลิตได้ตามปกติ จึงได้มอบหมายให้ อ.ส.ค.นำเสนอผลิตภัณฑ์นมยูเอชที “ไทย-เดนมาร์ค” จำหน่ายให้กับหน่วยงานราชการทุกจังหวัดในราคาพิเศษ โดย อ.ส.ค. ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 7 เมษายน 2563 เรียนท่านปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอความอนุเคราะห์แจ้งเวียนผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ให้การสนับสนุนโครงการดังกล่าวแล้ว

นายสุชาติ ยังกล่าวอีกว่า นอกจากมาตรการดังกล่าวแล้ว ตนยังสั่งการด่วนให้ อ.ส.ค. ทำกิจกรรม Big Cleaning Day ในสำนักงาน อ.ส.ค. กรุงเทพฯ เพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 โดยได้รับความอนุเคราะห์จาก นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ ส่งทีมเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจในการนำน้ำยามาฉีดพ่นเพื่อฆ่าเชื้อโรค COVID-19 รอบพื้นที่อาคารสำนักงานของ อ.ส.ค. กรุงเทพฯ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ที่มีความจำเป็นต้องมาติดต่อราชการ รวมถึงพนักงาน ลูกจ้างของ อ.ส.ค. ที่ต้องมาปฏิบัติงาน ณ สำนักงาน อ.ส.ค. กรุงเทพฯ โดยในทุกสำนักงานของ อส.ค. ยังได้มีการตั้งจุดคัดกรองการวัดอุณหภูมิร่างกายก่อนเข้าพื้นที่ของ อ.ส.ค. อย่างเคร่งครัดอีกด้วย

“Cosmoprof CBE ASEAN 2020” จัดตามกำหนดเดิม

alivesonline.com : “Informa Markets” ผู้จัดงานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามระดับโลก “Cosmoprof CBE ASEAN 2020 (CCA 2020)” มั่นใจสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายในไม่ช้า ยืนยันยังจัดงานตามกำหนดการเดิม ระหว่างวันที่ 17–19 กันยายน 2563 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี มุ่งชูศักยภาพประเทศไทยในฐานะผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์เสริมความงามรายใหญ่

 

นายสรรชาย นุ่มบุญนำ รองกรรมการผู้จัดการ อินฟอร์มา มาร์เก็ต ประเทศไทย เผยว่า Cosmoprof CBE ASEAN 2020 หรืองาน CCA 2020 ถือเป็นงานจัดแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามระดับโลก ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยความร่วมมือของ BolognaFiere ผู้จัดงาน Cosmoprof, Informa Markets และ China Beauty Expo (CBE) โดยจุดประสงค์หลักของการจัดงานคือการเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจความงามของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เติบโตขึ้นต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นในประเทศบรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม โดยงานนี้จะรองรับผู้แสดงสินค้ากว่า 800 ราย บนพื้นที่จัดแสดงกว่า 2.5 หมื่นตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่เฉพาะสำหรับแบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามและพื้นที่สำหรับสินค้าที่มีอุปสงค์-อุปทานได้อย่างชัดเจน

สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือได้ว่าเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความหลากหลายของประชากรกว่า 650 ล้านคน โดยเฉพาะการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้รับประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้าที่เอื้อต่อการเคลื่อนย้ายสินค้าและบริการ รวมถึงการลงทุนและการโยกย้ายของผู้คนในประเทศสมาชิกโดยเสรี ปัจจัยเหล่านี้ ทำให้ประเทศสมาชิกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นพื้นที่สำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจเอเชียอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ตลาดเครื่องสำอางนับเป็นหนึ่งในธุรกิจที่สำคัญของภูมิภาค โดยคาดการณ์ว่าในปี 2563 จะมีการลงทุนในตลาดเครื่องสำอางสูงถึง 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

สำหรับงาน Cosmoprof CBE ASEAN 2020 จะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งกลุ่มผู้จัดงานได้หารือกันถึงสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ โดยกลุ่มผู้จัดงานเชื่อมั่นว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะคลี่คลายลงก่อนวันงาน จึงได้ข้อสรุปว่างาน CCA 2020 จะจัดตามกำหนดการณ์เดิมคือ ตั้งแต่วันที่ 17–19 กันยายน 2563 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยยังคงได้รับการสนับสนุนจากองค์กรชั้นนำของประเทศ อย่าง สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) และ สมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย

“อุตสาหกรรมความงามในประเทศไทย มีโรงงานการผลิตมากกว่า 760 แห่ง และได้รับการยอมรับอย่างสูงในเรื่องคุณภาพที่ยอดเยี่ยมของเครื่องสำอางไทย ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์เสริมความงามรายใหญ่ ในประเทศจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ทำให้การันตีได้ว่า งาน Cosmoprof CBE ASEAN 2020 ครั้งนี้ จะมีความพร้อมครอบคลุมทุกด้านอย่างแน่นอน” นายสรรชาย กล่าวในตอนท้าย

ด้าน นางเกศมณี เลิศกิจจา ประธานชมรมอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง, ประธาน Cluster Health & Beauty สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย กล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางแห่งประเทศไทย มีการร่วมมือกับ Informa Markets มาตั้งแต่ปี 2557 เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจความงามในประเทศไทย ซึ่งทั้งสององค์กรเชื่อมั่นว่าการเปิดตัวงาน Cosmoprof CBE ASEAN 2020 ครั้งนี้ จะช่วยเชื่อมโยงประเทศไทยกับประเทศอื่น ๆ ให้เข้าใจตลาดความงามไทยอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น และในฐานะองค์กรหลักที่สนับสนุนทุกอุตสาหกรรมในประเทศไทย เรายินดีที่จะสนับสนุนงาน CCA 2020 ด้วยทรัพยากรในประเทศอย่างเต็มที่ ซึ่งรวมถึงการช่วยเหลือในการวางแผน ดูแลการร่วมงานของผู้ประกอบการความงามในประเทศไทย และจัดมาตรการดูแลด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดอีกด้วย”

กลุ่มผู้จัดงาน Cosmoprof CBE ASEAN 2020 ได้มีการเตรียมความพร้อมของงาน จากกิจกรรมโรดโชว์ รวมถึงการส่งสารประชาสัมพันธ์ไปยังผู้ประกอบการความงามทั่วเอเชีย ในชื่อกิจกรรม “Cosmoprof CBE ASEAN On the Road” ซึ่งมีการเผยแพร่ข่าวสาร และเชิญให้สื่อมวลชน บริษัท และผู้ผลิตจากประเทศเพื่อนบ้าน มาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ โดยกิจกรรมจัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2563 ที่ผ่านมา ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลี โดยมี Mr.Kyuchul Choi ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าการลงทุน (KOTRA), สำนักงานส่งเสริมการค้าการลงทุน (KOTRA) ประเทศเกาหลีใต้ เข้าร่วมกิจกรรมด้วย ล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2563 กลุ่มผู้จัดงาน ยังได้เชิญให้สื่อมวลชนและผู้แสดงสินค้าที่ได้รับเลือก มาเข้าร่วมรับฟังการนำเสนอเกี่ยวกับความคิดริเริ่มหลักของงานในครั้งนี้ด้วย

สำหรับบุคคลทั่วไปที่สนใจเข้าร่วมงาน และผู้ประกอบการความงามที่สนใจจัดแสดงสินค้าความงาม ในงานแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามระดับโลก “Cosmoprof CBE ASEAN 2020 (CCA 2020)” สามารถติดตามข้อมูลงานเพิ่มเติมได้ที่ www.cosmoprofcbeasean.com

[ชมคลิป] “หมอชนะ” แอปฯ ระวังภัย COVID-19

alivesonline.com : เปิดใช้งานแล้วตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2563 เป็นต้นไป สำหรับแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” ระบบเก็บข้อมูลการเดินทางของประชาชน เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบและประเมินระดับความเสี่ยงในการติดเชื้อ COVID-19 จากสถานที่ต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ในการวิเคราะห์ระดับความเสี่ยงในการติดเชื้อของประชาชนที่เข้ารับการรักษาพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ เสริมมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ให้มีประสิทธิภาพและวัดผลได้ โดยคนไทยทุกคนสามารถลดการระบาดได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยวิธีง่าย ๆ เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “หมอชนะ” และเช็คอินด้วยแอปฯ นี้เมื่อเข้าสู่อาคารสถานที่ต่าง ๆ

แอปฯ “หมอชนะ” เป็นผลลัพธ์ของการผนึกกำลังระหว่าง “ทีมพัฒนาร่วมประชาชน เอกชนและภาครัฐ” นำโดยกลุ่มผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อิสระ ภายใต้ชื่อ Code for Public และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ และการวิเคราะห์ข้อมูลภายใต้ชื่อ “กลุ่มช่วยกัน” ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสถาบันการศึกษา เครือข่ายโรงพยาบาลและองค์กรสาธารณสุข หน่วยงานภาครัฐ และองค์กรธุรกิจจำนวนมาก เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยมหิดล มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยบูรพา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงสาธารณสุข สถาบันส่งเสริมการวิเคราะห์และบริหารข้อมูลขนาดใหญ่ภาครัฐ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) บมจ. กสท โทรคมนาคม บมจ. ทีโอที บจก. ไปรษณีย์ไทย โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โรงพยาบาลวชิรพยาบาล โรงพยาบาลภูมิพล สภากาชาดไทย ตลอดจนองค์กรเอกชนจากหลากอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านการสื่อสารโทรคมนาคม ได้แก่ Dtac AIS และ True ด้านการเงินธนาคาร ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ด้านเทคโนโลยี ได้แก่ บมจ. เอ็ม เอฟ อี ซี บจก. Blockfint บจก. Cleverse บจก. ทรูเวฟ (ประเทศไทย) บจก. Invitrace บจก. เอเทน เทคโนโลยีส์ (ไทยแลนด์) บจก. NODSTAR Longdo Map ด้านพลังงาน ได้แก่ บมจ. พลังงานบริสุทธิ์ ด้านยานยนต์ โลจิสติกส์และก่อสร้าง ได้แก่ บจก. เจแปนคาร์ แอดแซสเซอรี่ แอนด์ พาร์ท บจก. ฮอนด้า ประเทศไทย บจก. เค.คอนเนค เวิลด์ไวด์ (ประเทศไทย) บจก. โกลบเทค ด้านบริการสื่อสารและบันเทิง ได้แก่ บมจ. เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ Rabbit Digital Group Likehouse บจก. แมด อะไรดี ร่วมด้วยสื่อมวลชนและกลุ่มพลังอิสระเพื่อสังคม ได้แก่ บมจ. มติชน บมจ. เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป สำนักข่าวอิศรา หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ สมาคมปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย และมูลนิธิสะพานบุญ เป็นต้น

ตัวแทนทีมพัฒนาร่วมประชาชน เอกชนและภาครัฐ

ดร.อนุชิต อนุชิตานุกูล, นายสุทธิพงศ์ กนกากร และ ผศ.ดร.ณัฐวุฒิ หนูไพโรจน์ ตัวแทน “ทีมพัฒนาร่วมประชาชน เอกชนและภาครัฐ” ผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน กล่าวถึงที่มาของการพัฒนาแอปฯ “หมอชนะ” ว่า ตลอดช่วงเวลา 2–3 เดือนที่ผ่านมา คนไทยทุกคนได้เห็นถึงความเสียสละของบุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงทำงานอยู่ด่านหน้า ต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องทิ้งบ้านทิ้งครอบครัวมาทำงานเพื่อชาติอย่างโดดเดี่ยว พวกเราอาสาสมัครจากทั้งภาครัฐและเอกชน จึงช่วยระดมทักษะความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล หรือทรัพยากรต่าง ๆ ที่แต่ละคนมี มาสร้างเป็นแอปฯ “หมอชนะ” ที่เราเชื่อว่าจะทำให้ทัพหน้าทางการแพทย์ของเราสามารถสู้รบกับโรคนี้ได้ดีขึ้น

“ปัญหาหนึ่งที่เราพบว่าเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน และคุกคามชีวิตบุคลากรทางการแพทย์อย่างมาก คือการปกปิดข้อมูลของประชาชนในกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ COVID-19 ซึ่งหลายครั้งทำให้แพทย์และพยาบาลต้องหยุดการทำงานทีละเป็นกลุ่มใหญ่เพื่อกักตัวเองหรือแม้กระทั่งล้มป่วย เมื่อพบในภายหลังว่าผู้มารับบริการติดเชื้อ COVID-19 แอปฯ หมอชนะ จะแก้ปัญหานี้ โดยอาศัยเทคโนโลยี GPS และ Bluetooth ติดตามตำแหน่งของผู้ใช้แอปและแสดงให้เห็นว่าผู้ใช้แอปฯ ได้ผ่านพื้นที่ที่เป็นพื้นที่เสี่ยงมาหรือไม่ ทำให้เมื่อผู้มารับบริการทางการแพทย์แสดงข้อมูลในแอปฯ บุคลากรทางการแพทย์ก็จะสามารถจัดลำดับความเร่งด่วนและวางมาตรการในการรักษา หรือส่งตรวจได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ นอกจากนั้น สำหรับผู้ใช้แอปฯ ทั่วไปที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ก็สามารถตรวจดูแอปฯ เพื่อประเมินได้ว่าพื้นที่ใดเป็นพื้นที่เสี่ยง แล้วปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางหรือบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม ซึ่งย่อมจะทำให้ทุกคนสามารถเว้นระยะห่างทางสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย”

แอปฯ “หมอชนะ” ได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่ายและมุ่งประสิทธิผลในการคัดกรองความเสี่ยง โดยไม่ให้กระทบต่อสิทธิเสรีภาพและข้อมูลส่วนบุคคล ดังนั้น การลงทะเบียนใช้แอปฯ จึงเป็นแบบไม่ระบุตัวตน (Anonymous) ยิ่งกว่านั้น คณะรวมอาสาสมัครยังได้ร่วมกับ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล จัดตั้งกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบกระบวนการจัดการข้อมูลให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 โดยเมื่อผ่านวิกฤติการณ์ COVID-19 แล้ว ข้อมูลทั้งหมดจะถูกทำลายทิ้งทันที อีกทั้งการโค้ดแอปฯ ยังมีลักษณะเป็น “โอเพ่นซอร์ส” (Open Source) เพื่อให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และง่ายต่อการส่งต่อไปยังระบบอื่น ๆ เพื่อขยายผลต่อไปอีกด้วย

ทั้งนี้ หัวใจการทำงานของแอปฯ อยู่ที่การรายงานผลเป็นค่าสีต่าง ๆ ตามระดับความเสี่ยง แบ่งเป็น

  • สีเขียว สำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยงต่ำมาก ซึ่งเป็นคนที่ไม่มีอาการ ไม่มีประวัติไปต่างประเทศ หรือใกล้ชิดผู้มีความเสี่ยงในช่วง 14 วันที่ผ่านมา
  • สีเหลือง สำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยงน้อย ซึ่งอาจจะมีอาการไข้หวัด แต่ไม่มีประวัติไปต่างประเทศ หรือใกล้ชิดผู้มีความเสี่ยงในช่วง 14 วันที่ผ่านมา
  • สีส้ม สำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยง เพราะเป็นคนที่มีประวัติไปต่างประเทศ หรือใกล้ชิดผู้มีความเสี่ยงในช่วง 14 วันที่ผ่านมา แต่ไม่แสดงอาการ หรือมีอาการไม่เด่นชัด คนในกลุ่มนี้ต้องกักตัวอยู่กับบ้านจนครบ 14 วัน พร้อมทั้งเฝ้าระวัง ถ้ามีอาการควรรีบไปโรงพยาบาลทันที
  • สีแดง สำหรับบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงมาก เพราะทั้งมีอาการ และมีประวัติไปต่างประเทศ หรือใกล้ชิดผู้มีความเสี่ยงในช่วง 14 วันที่ผ่านมา จะต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที

นอกจากนี้ ในอนาคตเมื่อมีฐานข้อมูลเพียงพอ ค่าสียังมีการเปลี่ยนแปลงอัพเดตแบบเรียลไทม์ตามข้อมูลการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ ทำให้ทุกครั้งที่มีการพบผู้ติดเชื้อรายใหม่และระบบพบว่าผู้ใช้งานมีประวัติการเดินทางเข้าใกล้ผู้ติดเชื้อรายใหม่นั้นในช่วงที่ผ่านมา แอปฯ จะเตือนผู้ใช้งานให้รับรู้ถึงความเสี่ยงที่เปลี่ยนไปด้วยค่าสีใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่ความระมัดระวังและการปรับพฤติกรรมของผู้ใช้ได้อย่างดีขึ้น

ด้วยเหตุนี้ แอปฯ “หมอชนะ” จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชนทุกคน และภาคธุรกิจ

  • ช่วยแพทย์ แอปฯ ทำหน้าที่ติดตามข้อมูลการเดินทางและการเช็คอินในสถานที่ต่าง ๆ ของประชาชนผู้ใช้แอปฯ และแสดงระดับความเสี่ยงของบุคคลนั้นได้แบบอัตโนมัติและเรียลไทม์ โดยหากพบว่าผู้ใช้แอปฯ ที่มาขอรับบริการทางการแพทย์มีความเสี่ยงสูง แพทย์ก็จะสามารถป้องกันตนเองได้อย่างพอเพียง อีกทั้งจัดลำดับความเร่งด่วนและวางมาตรการในการรักษา หรือส่งตรวจบุคคลผู้นั้นได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของบุคลากรทางการแพทย์ และทำให้ภาครัฐสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ช่วยประชาชน ผู้ใช้แอปฯ “หมอชนะ” จะมีช่องทางรับรู้ข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อของประเทศที่ถูกต้อง ครบถ้วน และอัปเดตที่สุด ผ่านการตรวจสอบค่าสีความเสี่ยงของตนเอง นอกจากนั้น แอปฯ ยังช่วยแสดงวิธีการปฏิบัติตนที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงของผู้ใช้งานแต่ละคน และในอนาคตจะมีการแจ้งเตือนหากพบผู้ป่วยรายใหม่ที่เคยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับผู้ใช้แอปฯ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งที่ผ่านมาอีกด้วย
  • ช่วยภาคธุรกิจ ผู้ใช้แอปฯ “หมอชนะ” ที่เป็นผู้ประกอบการต่าง ๆ ไม่ว่าห้างร้าน โรงงาน สถานที่ หรือธุรกิจใด ๆ จะสามารถขอตรวจสอบความเสี่ยงของลูกค้า หรือพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และวางมาตรการบริหารจัดการได้อย่างเหมาะสม ซึ่งย่อมจะช่วยให้การทำมาค้าขาย หรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติได้รวดเร็วกว่าเดิม

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงการเปิดใช้แอปฯ “หมอชนะ” ว่า ในวิกฤติการณ์นี้ เราทุกคนมีหน้าที่ต้องดูแลตัวเอง ดูแลสังคม และช่วยสนับสนุนคุณหมอนักรบแถวหน้าให้นำประเทศของเราพ้นภัย COVID-19 ไปให้ได้ แอปฯ “หมอชนะ” นับเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง เพราะเป็นการรวมตัวเฉพาะกิจที่มีการสนับสนุนการทำงานของแพทย์ให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุดเป็นเป้าหมายร่วม เราหวังว่าประชาชนทุกคนจะร่วมกับเราในภารกิจนี้ ด้วยการช่วยกันใช้แอปฯ “หมอชนะ” กันอย่างกว้างขวาง

นายแพทย์ไผท สิงห์คำ แพทย์ระบาดวิทยาภาคสนาม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปกติเราจะเน้นการต้องดูแลตัวเอง เช่น การล้างมือ ใส่หน้ากากอนามัย หรือหลีกเลี่ยงการไปจุดที่แออัด เพื่อป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อ COVID-19 รวมถึงโรคหวัดอื่น ๆ แต่ในชีวิตประจำวัน เราอาจจะมีความจำเป็นต้องไปทำงาน หรือไปธุระนอกบ้าน ซึ่งอาจสัมผัสผู้ป่วยโดยไม่รู้ตัว การมีเครื่องมือบางอย่างที่จะทำให้เรารับรู้สถานะความเสี่ยงของตนเองได้ รวมถึงเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดต่อได้รวดเร็ว เพื่อนำผู้ที่เสี่ยงต่อการป่วยโรค COVID-19 ไปสู่กระบวนการรักษาได้รวดเร็ว จะช่วยให้การป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น  ทำให้สังคมโดยรวมมีความปลอดภัยมากขึ้น

ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงขอความร่วมมือประชาชนผู้ใช้สมาร์ทโฟน สร้างสุขนิสัยใหม่ที่จะเอาชนะ COVID-19 ได้ด้วยการช่วยกันดาวน์โหลดและใช้งานแอปฯ “หมอชนะ” อย่างต่อเนื่อง รวมถึงขอให้เจ้าของอาคาร สถานที่ ผู้ประกอบการร้านค้า ช่วยสนับสนุนข้อมูลที่จะทำให้แอปฯ เกิดประสิทธิผลสูงสุด ด้วยการ “เช็คอิน” ผู้มาเข้าใช้บริการยังสถานที่ของตนเอง ไม่ว่าจะด้วยการให้พนักงานของร้านสแกน QR code ของผู้มาใช้บริการ หรือให้ประชาชนสแกน QR code ของร้านค้า รวมทั้งเชิญชวนพนักงาน คู่ค้า และเครือข่ายของตนให้มาร่วมใช้แอปฯ นี้กันอย่างแพร่หลายที่สุด โดยขณะนี้ กำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนดำเนินงานประสานงานกับผู้ประกอบการธุรกิจ ร้านค้าต่าง ๆ

ดาวน์โหลดแอปฯ “หมอชนะ” ทั้งบนระบบ iOS และ Android ได้ทาง QR Code

“ไบโอฟาร์ม” ห่วงใย “นักรบแห่งพงไพร” ส่งมอบยาและเจลล้างมือ

alivesonline.com : เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ คนกลุ่มเล็ก ๆ ที่ถูกขนานนามว่า “นักรบแห่งพงไพร” ซึ่งถูกยกย่องให้เป็น “ผู้ปิดทองหลังพระ” ที่ทำหน้าที่ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติเพื่อคนไทยทุกคน ซึ่งคำเหล่านี้ไม่ได้เป็นการกล่าวเกินความจริง แต่เป็นการอธิบายถึง งานแห่งชีวิตของพวกเขาเหล่านี้ที่มาพร้อมกับหน้าที่และความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ในการดูแลผืนป่าอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่อันดับ 3 ของประเทศให้อุดมสมบูรณ์มากที่สุด

แม้วันนี้อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศต่างหยุดพักในการทำหน้าที่เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจให้นักท่องเที่ยว เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าจะหยุดลงตามไปด้วย เพราะการปฏิบัติหน้าที่ในแต่ละวันนั้นยากที่จะคาดเดาได้ว่าจะต้องพบกับสิ่งใดบ้าง บางครั้งอาจจะต้องเผชิญกับขบวนการลักลอบตัดไม้และล่าสัตว์ หรือบางครั้งต้องเสี่ยงกับโรคภัยไข้เจ็บสารพัด หรือแม้แต่ภัยธรรมชาติและความดุร้ายของสัตว์ป่าที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ศรุต พิรักษา” หรือ “ต๋อย” ผู้ช่วยหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ฝ่ายอนุรักษ์ทรัพยากร อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เล่าถึงสถานการณ์และการทำงานของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าหลังมีคำสั่งปิดอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศจากการระบาดของ COVID-19 ว่า หลังจากที่อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศประกาศปิดตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา อาจจะเป็นข่าวร้ายของผู้รักการท่องเที่ยวที่ต้องการใกล้ชิดและศึกษาธรรมชาติ แต่ถือว่าเป็นความจำเป็นในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งหากมองอีกมุมหนึ่งนี่ถือเป็นครั้งแรกของป่าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และป่าอุทยานแห่งชาติทั่วประเทศที่จะได้หยุดพักผ่อนอย่างเต็มที่ ปราศจากการรบกวน ถือเป็นการให้เวลาแก่ธรรมชาติได้ฟื้นฟูตัวเองอย่างแท้จริง

ย้อนกลับไปเมื่อ ปี 2506 หรือประมาณ 61 ปี มาแล้วที่ป่าเขาใหญ่ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ จวบจนถึงวันนี้ป่าเขาใหญ่ไม่เคยได้หยุดพักในการต้อนรับนักท่องเที่ยวเลย แม้พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นป่าอนุรักษ์ไม่ใช่เส้นทางท่องเที่ยว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมาเยือนของนักท่องเที่ยวเฉลี่ยปีละ 1.5 ล้านคน ย่อมมีผลกระทบต่อธรรมชาติและสัตว์ป่าไม่มากก็น้อย เพราะในเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาตินั้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเหยียบย่ำไปบนพื้นดินและพืชผิวดิน ทำให้เกิดการเสียหาย ล้มตาย หรือไม่เจริญเติบโต ส่วนผลกระทบต่อสัตว์ป่าก็เป็นการรบกวนวิถีชีวิตตามธรรมชาติ สร้างความหวาดระแวงจากกลิ่นและเสียงของมนุษย์ ทำให้การหากินและพฤติกรรมของสัตว์ผิดไปจากธรรมชาติ เพราะนักท่องเที่ยวบางคนฝ่าฝืนกฎข้อบังคับของอุทยานฯ อาทิ ทิ้งขยะไม่ถูกที่ ให้อาหารสัตว์ป่า ขับรถเร็วเกินกำหนด เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุให้สัตว์ป่าได้รับอันตรายบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต

ด้านการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ในเวลานี้ทุกคนยังคงทำงานกันเหมือนภาวะปกติ เพราะงานพิทักษ์ป่าไม่มีวันหยุด งานที่รับผิดชอบครอบคลุมในหลายมิติ ทั้งป้องกัน ปราบปราม งานด้านการศึกษาวิจัย และสร้างมวลชน โดยส่วนที่หนักสุดและเป็นงานหลักของเจ้าหน้าที่คือ การตรวจลาดตระเวน เนื่องจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีขนาดพื้นที่ 2,168 ตารางกิโลเมตร หรือ 1,355,396 ไร่ แต่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ที่รับผิดชอบมีประมาณ 460  คน ในจำนวนดังกล่าวมีเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าที่ต้องลาดตระเวน ป้องกันและปราบปราม เพียง 250 คน แบ่งหน้าที่กันเป็นส่วนกลาง 5 ชุด หมุนเวียนกันเข้าป่า และรอบแนวเขตป่าอีก 23 ชุด ทำงานร่วมกันตลอด 24 ชั่วโมง

หากมองแค่จำนวนอย่างเดียวอาจดูเหมือนมาก แต่เมื่อเทียบกับขนาดพื้นที่รับผิดชอบแล้วถือว่าไม่เพียงพอ เพราะเฉลี่ยแล้วเจ้าหน้าที่ 1 คน ต้องดูแลพื้นที่ป่ามากถึง 5 พันไร่!

การออกลาดตระเวนแต่ละครั้ง เจ้าหน้าที่ต้องแบกสัมภาระ อาวุธ และอุปกรณ์ยังชีพน้ำหนักถึง 15-25 กิโลกรัม การปฏิบัติหน้าที่เป็นระยะเวลานานหลายปี สิ่งที่ตามมาคืออาการเจ็บหลัง ปวดเมื่อย หรือบางคนเจ็บหนักถึงขั้นเรื้อรัง หลังเสีย จนต้องย้ายไปปฏิบัติหน้าที่อื่นแทน

“ยา” จึงถือเป็นสิ่งสำคัญมากเมื่อเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในป่า โดยยาที่เตรียมไปส่วนใหญ่จะเป็นยาที่ครอบคลุมการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นได้บ่อย อาทิ ยาแก้ปวดลดไข้ ยาบรรเทาอาการปวดเมื่อยคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้แพ้ ยาแก้ผื่นคัน รวมไปถึงเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการปฐมพยาบาลเมื่อได้รับบาดเจ็บ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมียาสำหรับคนที่มีโรคประจำตัว ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ทุกครั้งจะมีการตรวจสุขภาพของเจ้าหน้าที่ก่อน หากคนไหนสุขภาพไม่ดี ไม่พร้อมก็จะไม่อนุญาตให้เข้าร่วมปฏิบัติหน้าที่

แม้เจ้าหน้าที่ฯ จะต้องทำงานหนัก แต่ทุกคนก็ยินดีและพร้อมที่จะทำหน้าที่ดูแลทรัพยากรป่าไม้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ บริษัท ไบโอฟาร์ม เคมิคัลส์ จำกัด เล็งเห็นความสำคัญของ “ผู้พิทักษ์ป่า” จึงสนับสนุนตู้ยา เติมยาและเวชภัณฑ์ พร้อมให้ความรู้เรื่องการดูแลรักษาสุขภาพให้กับประชาชนรวมไปถึงเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการ 45 ปี  ไบโอฟาร์มเพื่อชุมชน เติมยา เติมความห่วงใย”

ด้าน “เภสัชกรปริญญา เปาทอง” ผู้อำนวยการฝ่ายประสานงานองค์กร บริษัท ไบโอฟาร์ม เคมิคัลส์ จำกัด กล่าวถึง การมอบยาและเวชภัณฑ์เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ในการลาดตระเวนของเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าและหน่วยปฐมพยาบาลนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ครั้งนี้ว่า เป็นกิจกรรมที่ “ไบโอฟาร์ม”ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากการมอบยาและเวชภัณฑ์ต่าง ๆ แล้ว ยังได้มอบแอลกอฮอล์เจลสำหรับล้างมือจาก คณะเภสัชศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เจ้าหน้าที่ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรค COVID-19 ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ โดยหวังจะสร้างขวัญกำลังใจให้แก่เจ้าหน้าที่ให้มีพลังกายพลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องผืนป่าและทรัพยากรธรรมชาติของเราให้คงอยู่ตลอดไป.

เช็กลิสต์คุณเข้าข่ายเป็น “ออฟฟิศซินโดรม” หรือไม่ ?

alivesonline.com : ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวขึ้นเรื่อย ๆ และสถานการณ์การระบาดของโรค COVID -19 ก็ยังคงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน หลาย ๆ หน่วยงานต่างก็พร้อมใจลดความเสี่ยงด้วยการให้พนักงาน Work From Home “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ซึ่งแม้เราจะไม่ได้เข้าไปนั่งทำงานในออฟฟิศ แต่ก็อย่าละเลยความเสี่ยงในการนั่งทำงานที่บ้าน เพราะหากปฏิบัติตนไม่ถูกต้อง ก็อาจจะส่งผลให้เราป่วยเป็น “โรคออฟฟิศซินโดรม” ได้โดยไม่รู้ตัว

“ออฟฟิศซินโดรม” ไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจส่งผลให้เกิดอาการปวดเรื้อรัง กระทบต่อประสิทธิภาพและความสุขในการทำงานได้ ในเรื่องนี้ นายแพทย์เฉลิมพล ชีวีวัฒน์ เเพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ประจำศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า “ออฟฟิศซินโดรม” เป็นกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด พบได้บ่อยในผู้ที่นั่งทำงานในออฟฟิศ เกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นท่าทางการทำงาน ท่านั่งทำงาน การวางมือ ข้อศอกบนโต๊ะทำงานที่ไม่ถูกต้อง การใช้ข้อมือซ้ำ ๆ ทำให้เกิดการอักเสบของเอ็นบริเวณข้อมือ หรือพังผืดเส้นประสาทบริเวณข้อมือ รวมไปถึงการจัดสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น ลักษณะโต๊ะทำงาน หน้าจอคอมพิวเตอร์ แสงสว่างในห้องทำงาน เป็นต้น

อาการบ่งชี้เสี่ยงเป็นออฟฟิศซินโดรม

อาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด โดยเฉพาะบริเวณคอ บ่า สะบัก การอักเสบของเส้นเอ็นบริเวณข้อศอก ข้อมือ นิ้วมือ เช่น การอักเสบของเอ็นโค่นนิ้วโป้ง นิ้วล็อก การกดทับปลายประสาท ทำให้เกิดอาการชา รวมถึงอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ

เช็กลิสต์คุณเข้าข่ายป่วยออฟฟิศซินโดรมหรือไม่

มีแบบประเมินตนเองอย่างง่าย ๆ เพื่อดูความเสี่ยงว่าเข้าเกณฑ์ออฟฟิศซินโดรมหรือไม่

  • คุณเป็นคนที่นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวันหรือไม่?
  • ระหว่างทำงาน คุณมักจะรู้สึกปวดเมื่อยบริเวณต้นคอ ไหล่ หลัง เอว อยู่เสมอหรือไม่?
  • ระหว่างทำงาน คุณรู้สึกปวดเมื่อยจนบางครั้งต้องกินยาแก้ปวด หรือไปนวดเพื่อให้หายปวดหรือไม่?
  • คุณรู้สึกตาพร่ามัว อ่านหน้าจอไม่ชัด ระหว่างทำงานเป็นบางครั้งหรือไม่?

หากคำตอบส่วนใหญ่คือ “ใช่”  แสดงว่าคุณเริ่มมีความเสี่ยงกับโรคนี้ เบื้องต้นควรรีบปรับพฤติกรรม หรือ ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว

Man is touching his back because it aches

ปรับท่าทาง จัดสิ่งแวดล้อมให้ดี สร้างสุขในการทำงาน

ปรับท่าทางในการทำงานให้ถูกต้อง ด้วยการนั่งหลังตรง ฝ่าเท้าสองข้างแนบสนิทพื้น ไหล่ผ่อนคลาย ศอก สะโพก และเข่า งอประมาณ 90 องศา ข้อมือควรอยู่ในท่าตรง ไม่กระดก หรืองอมากเกินไป ในระหว่างทำงานควรมีการยืดกล้ามเนื้อ พักสายตาอย่างน้อยทุกชั่วโมง

ปรับสิ่งแวดล้อมและอุปกรณ์ในการทำงานที่เหมาะสม โต๊ะทำงานควรมีลิ้นชักแยกไว้วางคีย์บอร์ด เก้าอี้นั่งต้องมั่นคง ปรับระดับสูงต่ำได้ จอคอมพิวเตอร์ขอบบนจออยู่ระดับสายตา

ในเบื้องต้นหากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและจัดสิ่งแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสมแล้ว ยังคงมีอาการปวดรุนแรงอยู่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยแยกโรคและพิจารณาการรักษาที่เหมาะสม หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคออฟฟิศซินโดรม หรือเรื่องสุขภาพอื่น ๆ สามารถขอคำปรึกษาจาก ทีมแพทย์โรงพยาบาลในเครือบริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัด ได้ทั้ง 9 แห่ง ใน 8 จังหวัด ได้แก่ โรงพยาบาล พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ  จังหวัดสมุทรปราการ  โรงพยาบาลพริ้นซ์ ปากน้ำโพ 1  และโรงพยาบาล พริ้นซ์ ปากน้ำโพ 2จังหวัดนครสวรรค์  โรงพยาบาลพริ้นซ์ อุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี  โรงพยาบาลพิษณุเวช จังหวัดพิษณุโลก โรงพยาบาลพิษณุเวช อุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์   โรงพยาบาลพิษณุเวช พิจิตร จังหวัดพิจิตร โรงพยาบาลศิริเวชลำพูน จังหวัดลำพูน และโรงพยาบาลวิรัชศิลป์ จังหวัดชุมพร

ติดตามสาระดี ๆ เกี่ยวกับการแพทย์ได้ที่เฟซบุ๊ก : Principal Healthcare Company

“โฮมโปร” ส่งทีม Home Service “ล้างแอร์ ฆ่าเชื้อโรค” เพียง 549 บาท

alivesonline.com : โฮมโปร ส่งทีมเซอร์วิสดูแลลูกค้าถึงหน้าบ้าน จัดการแอร์สะอาดไร้เชื้อโรค เพื่ออากาศดีไกล COVID-19 กับ โฮมโปร ล้างแอร์ ฆ่าเชื้อโร บริการสุดพิเศษ เฉพาะหน้าร้อนนี้ ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 เมษายน 2563 ทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศในบ้านได้อย่างมั่นใจ ด้วยทีมช่างมืออาชีพจาก Home Service ล้างด้วยกรรมวิธี 14 ขั้นตอน พร้อมฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ช่วยให้เครื่องปรับอากาศทุกเครื่อง สะอาดทุกซอกมุม ปลอดภัยจากเชื้อโรค ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ประหยัดไฟ เย็นสบายยาวนาน เติมเต็มอากาศบริสุทธิ์ตลอดหน้าร้อน รับประกันคุณภาพ 3 เดือนเต็ม ในราคาพิเศษ เพียง 549 บาท (ต่อเครื่อง) พร้อมรับประกันความสะอาด ปลอดภัย จากทีมช่าง Home Service กับมาตรการป้องกันไวรัส COVID19 “ดูแลและป้องกันตนเองก่อนคือความรับผิดชอบต่อลูกค้าและสังคม” ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ใส่ถุงมือ และใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ เช็ดทำความสะอาดเครื่องมือทุกชนิด ก่อนล้างแอร์เครื่องต่อไป มั่นใจได้ 100% ผู้สนใจสอบถาม สั่งซื้อ จองคิว ได้ที่ LINE: @HomeProService FB : Home Service by HomePro และ Call Center โทร.1284

“กรุงไทย” ชูแคมเปญ ฟรี! ค่าธรรมเนียมโอนเงินไปต่างประเทศ

alivesonline.com : ธนาคารกรุงไทย ขานรับนโยบายรัฐ ลดเสี่ยง เลี่ยง COVID-19 ชูแคมเปญโอนเงินไปต่างประเทศง่าย ๆ ได้จากที่บ้าน ผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT และ www.ktbnetbank.com ฟรี! ค่าธรรมเนียมโอน Charge Ben (จากปกติ 300 บาท) เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระให้ลูกค้า โดยไม่ต้องเดินทางมาที่สาขา ตั้งวันนี้จนถึงวันที่ 31 พ.ค.63

เงื่อนไข

  1. โปรโมชั่นฟรีค่าธรรมเนียมโอนเงินต่างประเทศขาออก เพียงเลือก “ผู้รับโอน” เป็นผู้จ่ายค่าธรรมเนียมธนาคารต่างประเทศ ใน Krungthai NEXT และ www.ktbnetbank.com เท่านั้น
  2. ระยะเวลาโปรโมชันเริ่มตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563
  3. ไม่จำกัดสกุลเงิน ไม่จำกัดจำนวนเงินโอนขั้นต่ำต่อครั้งในการโอน ไม่จำกัดจำนวนรายการต่อลูกค้า ทั้งนี้ลูกค้าสามารถโอนเงินออกไปต่างประเทศสูงสุดได้ไม่เกิน 500,000 บาทต่อวัน
  4. กรณีเลือกผู้โอน (Transferor) เป็นเป็นผู้รับภาระค่าธรรมเนียมจ่ายไม่ร่วมในโปรโมชันนี้
  5. ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโปรโมชั่นโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
  6. หากมีกรณีพิพาทคำตัดสินของธนาคารถือเป็นที่สิ้นสุด

สอบถามรายละเอียดแคมเปญเพิ่มเติม งานผลิตภัณฑ์ต่างประเทศเพื่อรายย่อย ทีม Retail Payment Solution คุณธีรวัจน์ โทร.0 2208 8800 ต่อ 6383

“แม็คโคร – Hero” แจกฟรีถุงซิปอเนกประสงค์ “เก็บหน้ากากอนามัย และเจลล้างมือ”

นายยุทธนา เพียงสุนทร รองผู้อำนวยการ ฝ่ายบริหารสินค้าอุปโภค บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) และนางสาวอารี วชระพันธ์ ผู้จัดการทั่วไปแม็คโครสาขาศรีนครินทร์ ร่วมกับ นายทวี จุลศักดิ์ศรีสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท คิงส์แพ็คอินดัสเตรียล จำกัด ภายใต้แบรนด์ “Hero” และนายปณชัย สาวนะชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการพาณิชย์ในประเทศและ CLMV ร่วมป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อ COVID-19 แจกถุงซิปอเนกประสงค์ 2 ชั้น ป้องกันน้ำ ความชื้น ฝุ่น และแสง UV รุ่น Hero Variety Double Zip Bag จำนวน 300,000 แพ็ค ให้แก่กลุ่มลูกค้าผู้สูงวัย ท่านละ 1 แพ็ค ฟรี (แพ็คละ 3 ชิ้น) เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ 2563 เพื่อใช้สำหรับเก็บอุปกรณ์สำคัญในการป้องกันเชื้อ COVID-19 เช่น หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ แอลกอลฮอล์ ตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน 2563 เป็นต้นไป จนกว่าของจะหมด ระหว่างเวลา 06.00 – 08.00 น. ณ แม็คโคร ทุกสาขาทั่วประเทศ

“วาโก้ มอบหน้ากากผ้า” ให้ชุมชนรอบบริษัท

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง และหน้ากากอนามัยทุกชนิดมีราคาค่อนข้างสูงและหาซื้อได้ยาก บริษัท ไทยวาโก้ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทจากโครงการประชารัฐเครือสหพัฒน์ จึงได้มอบหน้ากากให้กับชุมชนรอบบริษัท ได้แก่ ชุมชนวัดอินทร์บรรจง, ชุมชนโรงเจ, ชุมชนศาลเจ้าแดง, ชุมชนเจริญกรุง 89, ชุมชนร่วมใจพัฒนา, ชุมชนตลาดเก่าวัดพระยาไกร, ชุมชนโรงแก้ว, ชุมชนหลังวัดเรืองยศสุทธาราม และชุมชนบริเวณด้านหน้าบริษัทฯ รวมไปถึงสำนักงานเขตบางคอแหลม และสถานีตำรวจวัดพระยาไกร  ทั้งสิ้น 1,500 ชิ้น เพื่อร่วมรณรงค์ให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย เพื่อความปลอดภัยและสุขอนามัยที่ดีของส่วนรวม

EPP มอบแผ่นพลาสติกใส ให้ “วู้ดดี้ มิลินทจินดา” จัดทำ Face Shield

นายธนาวัฒน์ วิทูรปกรณ์ (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด หรือ EPP ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์พลาสติก บริษัทย่อยของ บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม มอบแผ่นพลาสติกใส ผลิตจากพลาสติก PET ขนาด A4 หนา 300 ไมครอน จำนวน 30,000 ชิ้น ให้แก่ “วู้ดดี้ – วุฒิธร มิลินทจินดา” (ซ้าย) พิธีกรชื่อดัง สำหรับนำไปจัดทำกระจังป้องกันใบหน้า หรือ Face Shield เพื่อส่งต่อให้บุคลากรทางการแพทย์ ใช้เป็นอุปกรณ์เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันการรับเชื้อไวรัส ณ สำนักงาน บริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด ถ.บางนา-ตราด กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้