“มั่นคงฯ” เสิร์ฟโปรโมชัน เริ่มต้นจองเพียง 2,020 บาท

“มั่นคงเคหะการ” ฉลองรับเทศกาลแห่งความสุข จัดแคมเปญ “หนูไม่อั้น…รับคืนครึ่งล้าน” พร้อมมอบโปรโมชันสุดพิเศษ ส่วนลดมูลค่าสูงสุดกว่า 800,000 บาท พร้อมของแถมอีกมากมาย ถึงวันที่ 31 มกราคม 2563

เปิดศักราชรับปีหนูทอง บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย เพื่อเช่าและเพื่อการบริการ ตอบโจทย์ชีวิตคนรุ่นใหม่ จัดเสิร์ฟโปรโมชั่นพิเศษ “หนูไม่อั้น…รับคืนครึ่งล้าน” ยกทัพ “บ้านเดี่ยว” “บ้านแฝด” และ “ทาวน์โฮม ไซส์ XL” ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2.49-6.99 บาท บนทำเลศักยภาพ อาทิ ชวนชื่น ไพร์ม วิลล์ กรุงเทพ–ปทุมธานี, ชวนชื่น ไพร์ม วิลเลจ บางนา, ชวนชื่น ทาวน์ ชัยพฤกษ์–แจ้งวัฒนะ, ชวนชื่น ทาวน์ วิลเลจ บางนา, ชวนชื่น ทาวน์ บางใหญ่, ชวนชื่น ทาวน์ ราชพฤกษ์ 345, ชวนชื่น ทาวน์ รังสิต-คลอง 1, ชวนชื่น พาร์ค อ่อนนุช-วงแหวน และ ชวนชื่น ซิตี้ วัชรพล-รามอินทรา เป็นต้น

พิเศษจองเพียง 2,020 บาท ! รับส่วนลดสูงสุดถึง 800,000 บาท และของแถมอีกมากมาย อาทิ ฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า 5 รายการ, ฟรีค่าบริการสาธารณะ 3 ปีแรก, ฟรีค่าประกันมิเตอร์น้ำ-ไฟ, ฟรีสัญญาณกันขโมย (เงื่อนไขโปรโมชั่นอาจแตกต่างกันในแต่ละโครงการ) ตั้งแต่วันนี้ – 31 มกราคม 2563 เท่านั้น!

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.mk.co.th หรือ facebook.com/munkongfamily หรือ โทร.1622

“สตาร์มาร์ค” รับโล่ประกาศเกียรติคุณ

นางสาววีก้า ณัฐปภัสร์ ศรีสกุลภิญโญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด เป็นผู้แทนเข้ารับโล่ประกาศเกียรติคุณ ในฐานะผู้ประกอบการที่ให้การสนับสนุนสมาคมเครือข่ายที่ปรึกษาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมเป็นอย่างดีมาโดยตลอด ภายในงานมอบประกาศนียบัตรผู้สำเร็จการศึกษาหลักสูตรวิชาชีพที่ปรึกษาธุรกิจ (วปธ.) ประจำปีการศึกษา 2562 โดยได้รับเกียรติจาก ท่านอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรีในรัชกาลที่ ๙ เป็นผู้มอบ เมื่อเร็ว ๆ นี้

“ลาซาด้า-ฮาสโบร” บริจาคของเล่นวันเด็ก’63

นางสาวภารดี สินธวณรงค์ (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด บริษัท ลาซาด้า จำกัด (ประเทศไทย) ร่วมกับ นางสาวไปรยา จุนวิเทศ (ซ้ายสุด) ผู้จัดการฝ่ายเทรดมาร์เกตติ้ง บริษัท ฮาสโบร (ประเทศไทย) จำกัด และนายคมวิทย์ วิเชียรลักษณ์ (ขวาสุด) ผู้จัดการฝ่ายการเงิน บริษัท ฮาสโบร (ประเทศไทย) จำกัด บริจาคของเล่นกว่า 400 ชิ้น จากกิจกรรมปันน้ำใจให้น้อง ในแคมเปญ “Lazada 12.12 แกรนด์เซลล์” ส่งท้ายปีที่ผ่านมา แก่ นายชัยรัตน์ มิดชิด (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้จัดการฝ่าย CSR มูลนิธิบ้านนกขมิ้น เนื่องในวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2563 ณ มูลนิธิบ้านนกขมิ้น องค์กรที่ให้การช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสทั่วประเทศไทย

 

“พริ้นซิเพิล แคปิตอล” ขยายธุรกิจลงใต้

ดร.สาธิต วิทยากร (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC ผู้ดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลและธุรกิจเพื่อสุขภาพภายใต้บริษัท พริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ จำกัด ลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับ นายสิรวุฒิ วิรัชศิลป์ (ที่ 2 จากขวา) กรรมการบริษัท โรงพยาบาลวิรัชศิลป์ จำกัด เพื่อร่วมดำเนินธุรกิจโรงพยาบาล ภายใต้เครือพริ้นซิเพิล โดยมีเป้าหมายดูแลสุขภาพและพัฒนาบริการด้านการแพทย์แก่ประชาชนในจังหวัดชุมพรและจังหวัดใกล้เคียง โดยพิธีลงนามจัดขึ้น ณ อาคาร BBC เอกมัย เมื่อเร็ว ๆ นี้

“พรูเด็นเชียล ประเทศไทย” จัดงานสัมมนา

บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) นำโดย นายวิชัย ชีวศรีรุ่งเรือง (ที่ 3 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานช่องทางตัวแทน “พรูเด็นเชียล ประเทศไทย” จัดงานสัมมนาครั้งยิ่งใหญ่ภายใต้หัวข้อ WE DO “Value beyond Wealth Forum by Prudential 2019” เพื่อแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับทางเลือกใหม่ในการลงทุนเพื่อการลดหย่อนภาษีและมรดก ผ่านประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit-Linked) โดยผู้เข้าร่วมฟังสัมมนาในครั้งนี้จะได้รับความรู้ที่เป็นประโยชน์อย่างมากเกี่ยวกับการลงทุน ผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนคือ นายอธิป กีรติพิชญ์ (ที่ 3 จากซ้าย) นักลงทุนหุ้นประเภท VI หรือการลงทุนในหุ้นเติบโต (Growth Investment) พร้อมนายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ (ที่ 2 จากซ้าย) รองประธาน ฝ่ายการลงทุน พรูเด็นเชียล ประเทศไทย ณ โรงแรม เลอ เมอริเดียน กรุงเทพมหานคร

“สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง” จำกัด รับรางวัลหุ้นยั่งยืน

บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPI รับรางวัล “Thailand Sustainability Investment” (THSI) หรือรางวัลหุ้นยั่งยืน ประจำปี 2562 โดย นายวรยศ ทองตัน (ที่3 จากขวา) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานลงทุนและยุทธศาสตร์องค์กร เป็นผู้แทนบริษัทฯ เข้ารับมอบโล่รางวัลในงาน SET Awards 2019 ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับวารสารการเงินธนาคาร เมื่อเร็ว ๆ นี้

PPS คว้างานที่ปรึกษาคุมงานศูนย์ราชการ

นายประสงค์ ธาราไชย ประธานกรรมการ บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS พร้อมด้วย ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ นายวรเดช เปี่ยมสุวรรณ กรรมการบริหาร/เลขานุการ ลงนามสัญญากับ บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ในการเป็นที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างโครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 โซน C ตามมาตรฐานอาคารประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดย PPS ร่วมกับกลุ่มที่ปรึกษา SPC Consortium ประกอบด้วยบริษัท สโตนเฮ้นจ์อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท คอนซัลแทนท์ ออฟ เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการดูแลควบคุมการก่อสร้าง ณ ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อเร็ว ๆ นี้

“ซุปเปอร์พาร์ค” ฉลองเทศกาลวันเด็ก ซื้อบัตรผู้ใหญ่ 1 ใบ พาเด็กเข้าฟรี 1 คน!

ซุปเปอร์พาร์ค สวนสนุกในร่มซึ่งรวบรวมกิจกรรมที่ปลอดภัยและสนุกสนานไว้อย่างครบครันมากที่สุดจากประเทศฟินแลนด์ ร่วมฉลองช่วงเวลาแห่งความสุขและพลานามัยที่แข็งแรงในเทศกาล “วันเด็กแห่งชาติ” จัดโปรโมชัน “SuperPark’s Super Children’s Day gift” ระหว่างวันที่ 9–12 มกราคม 2563 เวลา 10.00–21.00 น. ณ ซุปเปอร์พาร์ค ชั้น 6 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม มอบความคุ้มค่าสูงสุดเมื่อผู้ปกครองซื้อบัตร 1 ใบ รับบัตรเด็กเพื่อพาบุตรหลานเข้าใช้บริการได้ฟรี 1 คน! (สงวนสิทธิ์เฉพาะเมื่อซื้อบัตรที่หน้าเคาน์เตอร์เท่านั้น)

“ซุปเปอร์พาร์ค” ขอชวนท่านมาสร้างสรรค์ช่วงเวลาอันน่าประทับใจกับบุตรหลานกับฐานเครื่องเล่นและกิจกรรมสุดล้ำมากกว่า 25 ชนิดบนพื้นที่กว่า 4,000 ตารางเมตร ด้วยโซน The Adventure Area, The Game Arena และ The Freestyle Hall ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อมอบความสนุกสนาน เสริมสร้างทักษะ และมอบพลานามัยที่ดีแก่เด็ก ๆ โดยผู้ปกครองสามารถมั่นใจได้ว่าบุตรหลานจะเล่นสนุกอย่างปลอดภัยได้ตลอดทั้งวัน ภายใต้การดูแลของทีมงานมืออาชีพของสวนสนุกในร่มบนมาตรฐานระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไทยแห่งนี้

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.facebook.com/superparkth/

เงื่อนไขการรับโปรโมชัน

– สงวนสิทธิ์โปรโมชันเฉพาะเมื่อซื้อบัตรที่หน้าเคาน์เตอร์เท่านั้น

– ลูกค้าเด็กที่จะใช้โปรโมชันต้องแสดงบัตรประชาชน หรือหนังสือเดินทางเพื่อยืนยันอายุ

 เงื่อนไขและข้อกำหนด

– โปรโมชันบัตรฟรีสำหรับเด็กที่มีอายุ 3-15 ปี (เด็กอายุต่ำกว่า 3 ปีเข้าฟรี)

– ผู้ใหญ่ที่ซื้อบัตรโปรโมชันต้องมีอายุ 18 ปีขึ้นไป

– โปรโมชันสงวนสิทธิ์สำหรับคนไทยและชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในประเทศไทย (ทั้งเพื่ออยู่อาศัยและทำงาน)

– โปรโมชันไม่รวมค่าบริการถุงเท้ากันลื่น

– โปรโมชันไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรแกรมส่งเสริมการขายอื่น ๆ

[ชมคลิป] รัฐอัดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก 1.44 หมื่นล้านบาท

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล (ขวา) รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง และนายนที ขลิบทอง (ซ้าย) ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.)

alivesonline.com : สมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ 79,598 แห่งทั่วประเทศ เฮรับมติ ครม. เห็นชอบ “โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” และ “โครงการพักชำระหนี้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนชนเมืองตามความสมัครใจ” ในกรอบวงเงิน 14,491.4 ล้านบาท ฟาก สทบ. เตรียมเร่งอนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินการได้ภายในเดือน ม.ค.63 ย้ำกองทุนหมู่บ้านฯ เป็นพลังขับเคลื่อนประเทศสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ มั่นใจโครงการพักชำระหนี้ไม่กระทบสภาพคล่องกองทุนฯ เหตุพักชำระหนี้เฉพาะเงินต้น แต่สมาชิกยังต้องจ่ายดอกเบี้ยตามปรกติ

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก คณะรัฐมนตรี จึงมีมติเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 เห็นชอบและรับทราบตามที่ สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) เสนอ ใน 2 เรื่องสำคัญคือ โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน และโครงการพักชำระหนี้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนชนเมืองตามความสมัครใจ ภายในกรอบวงเงิน 14,491.4 ล้านบาท โดยในส่วนของ โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ให้ สทบ. พิจารณาใช้จ่ายงบประมาณของ กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) กองทุนละ 2 แสนบาท โดยพิจารณาจากโครงการที่ได้เคยมีมติอนุมัติไว้ซึ่งได้ดำเนินการบรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และ/หรือโครงการที่มีผลการปฏิบัติงานล่าช้า ไม่เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในช่วงปี 2559-2561

ส่วน โครงการพักชำระหนี้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนชนเมืองตามความสมัครใจ ถือเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นเพื่อช่วยแก้ปัญหาสภาพคล่องและปัญหาหนี้นอกระบบให้สมาชิก กทบ. โดยกำหนดกฎเกณฑ์ผู้มีสิทธิ์ได้รับการพักชำระหนี้คือ 1.เป็นสมาชิกกองทุนหมู่บ้าน หรือกองทุนชุมชนเมือง 2.เป็นผู้มีประวัติการชำระหนี้ดี มีความประสงค์เข้าร่วมโครงการเพื่อลดภาระชำระเงินต้น โดยยังคงชำระดอกเบี้ยตามปรกติ เพื่อนำเงินดอกเบี้ยไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการสวัสดิการ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ของชุมชน 3.หากสมาชิกรายใดมีเหตุสุดวิสัยไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนดโดยสุจริตอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัย ให้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้าน หรือกองทุนชุมชนเมือง เป็นผู้ตัดสินใจอนุมัติว่าจะสมาชิกได้รับสิทธิ์หรือไม่ 4.ผู้เข้าร่วมโครงการต้องมีการจัดทำแผนออมเงิน แผนการฟื้นฟูศักยภาพการประกอบอาชีพเดิม หรือเสริม รวมถึงแผนการทำธุรกิจต่าง ๆ เช่น การประกอบอาชีพ การเปลี่ยนรูปแบบการผลิต เพื่อเป็นการส่งเสริมเรื่องการออมเงินและสร้างรายได้ในอนาคตให้แก่สมาชิก

นายกอบศักดิ์ กล่าวด้วยว่า รัฐบาลต้องการให้ประชาชนมีความเข้มแข็ง สามารถยืนหยัดด้วยตัวเองได้ และขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังจะเห็นตัวอย่างได้จากหลาย ๆ ชุมชน เช่น ชุมชนดงขี้เหล็ก จ.ปราจีนบุรี ซึ่งชาวบ้านมีการติดป้ายเป็นชุมชนจัดการตนเอง หรือชุมชนวังไทร อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช สามารถดำเนินงานโรงงานแปรรูปยางพารา ร้านค้าชุมชน สวัสดิการชุมชน แม้แต่ฟิตเนสชุมชน เป็นต้น

“การอนุมัติเงินไปยังกองทุนหมู่บ้านละ 2 แสนบาทหลังจาก ครม.มีมติเห็นชอบแล้ว กองทุนหมู่บ้าน จะพิจารณาการนำเงินไปสร้างความเข้มแข็งในรูปแบบต่าง ๆ ต่อไป โดยให้ชุมชนคิดและตัดสินใจเองว่าจะดำเนินงานในโครงการใดเพื่อประโยชน์สูงสุดของชุมชนและส่งสภาพคล่องไปยังชุมชนนั้น ๆ เพื่อให้ชุมชนมีการสร้างงาน พัฒนาพื้นที่ และเพิ่มความเข้มแข็งให้ชุมชนในลักษณะต่าง ๆ เช่น ร้านค้าชุมชน ท่องเที่ยวชุมชน โรงเพาะชำกล้าไม้ชุมชน และอื่น ๆ โดยมีความหวังว่าการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยที่สำคัญในขั้นต่อไปคือการพลิกผืนไทยโดยอาศัยชุมชนและกองทุนหมู่บ้านที่มียาวนาน 19 ปีเป็นผู้ขับเคลื่อน”

ด้าน นายนที ขลิบทอง ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันทั่วประเทศมี กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (กทบ.) 79,598 แห่งในทุกชุมชน มีสมาชิกรวมกว่า 13 ล้านคน แบ่งเป็นเครือข่ายภาค 4 ภูมิภาค เครือข่ายจังหวัด 76 จังหวัด (รวมกรุงเทพฯ) เครือข่ายอำเภอ 928 อำเภอ เครือข่ายตำบล 7,410 ตำบล โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาสามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มมากกว่า 2 แสนโครงการ ภายใต้วงเงิน 8 พันล้านบาท สร้างเงินหมุนเวียนในชุมชน 4 หมื่นล้านบาท สร้างการจ้างงานเพิ่ม 1.6 ล้านคน

สำหรับ โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามที่ คณะรัฐมนตรี เห็นชอบนั้น หลังจากที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ ลงนามภายในสัปดาห์นี้เพื่อประกาศรายละเอียดในราชกิจจานุเบกษา จะมีการตั้งคณะอนุกรรมการรองรับการพิจารณาโครงการ พร้อมกับการร่วมมือกับสถาบันราชภัฏ และสถาบันการศึกษาทั่วประเทศในการออกแบบโครงการส่งเสริมตามความเหมาะสมในแต่ละหมู่บ้าน หลังจากนั้นจึงจะเริ่มมีการอนุมัติงบประมาณเพื่อให้ชุมชนนำเงินไปใช้ประโยชน์ในโครงการต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้มีเงินหมุนเวียนในชุมชนซึ่งเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานรากตามนโยบายของรัฐบาล โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือนมกราคม ศกนี้

ส่วน โครงการพักชำระหนี้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนชนเมืองตามความสมัครใจ นั้น ปัจจุบัน กทบ. มีเงินหมุนเวียนประมาณ 1.7 แสนล้านบาท คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ์พักชำระหนี้ประมาณร้อยละ 50 หรือกระทบต่อเงินหมุนเวียนประมาณ 8-9 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่ส่งผลต่อสภาพคล่องของ กทบ. แต่อย่างใด เพราะระเบียบกำหนดให้พักชำระหนี้ที่เป็นเงินต้นในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี แต่ให้ส่งเฉพาะดอกเบี้ย เพื่อให้กองทุนฯ สามารถนำรายได้จากดอกเบี้ยมาใช้บริหารจัดการกองทุน รวมถึงจัดสวัสดิการต่าง ๆ ให้สมาชิกกองทุนหมู่บ้าน หรือกองทุนชุมชนเมือง รวมถึงประชาชนในหมู่บ้านและชุมชน ในขณะที่สมาชิกที่มีประวัติชำระหนี้ดีตรงตามเวลาอาจได้รับมาตรการส่งเสริมด้านการลดภาษี และอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างกำลังใจต่อไป

“สิ่งที่คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านฯ กังวลคือ เมื่อพักชำระหนี้แล้วจะทำอย่างไรให้สมาชิกเกิดสภาพคล่องและพ้นภาระหนี้ได้ จึงอยากให้สมาชิกคำนึงถึงโครงการใหม่ที่จะที่เกิดขึ้นขอให้เชื่อมโยงกับโครงการเก่าที่ได้ดำเนินการไว้ หรือถ้าเป็นโครงการใหม่ ต้องสามารถดำเนินการไปได้ด้วยดีและสนับสนุนซึ่งกันและกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกันได้ เช่น สนับสนุนการปลูกต้นไม้ในโครงการกองทุนต้นไม้ร่วมพัฒนา ด้วยการทำโรงเพาะชำกล้าไม้ สมาชิกที่มีปัญหาหนี้สินที่เข้าร่วมโครงการก็จะมีกระบวนการออมเงินผ่านต้นไม้ได้อย่างเห็นผลในอนาคต เป็นต้น” นายนที กล่าวในที่สุด

โอกาสและความเสี่ยงของ “โครงการมิกซ์ ยูส”

ภัทรพล ยุทธศักดิ์นุกูล
Economic Intelligence Center (EIC)
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

alivesonline.com : โครงการมิกซ์ยูส (Mix Used) เป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ในภาวะที่เศรษฐกิจมีความผันผวนสูง เนื่องจากเป็นการเพิ่มช่องทางในการสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอและยังช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง รวมถึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ที่ดิน หรือพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทำเลที่ที่ดินมีราคาแพง

โครงการมิกซ์ยูสในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มเปิดตัวโครงการมากขึ้นกว่าในอดีตซึ่งอาจส่งผลให้เกิดภาวะอุปทานส่วนเกินในตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจพาณิชย์ให้เช่า โดยในอีก 3 ปีข้างหน้าที่คาดว่าจะมีพื้นที่โครงการมิกซ์ยูส ในส่วนที่เป็นพื้นที่พาณิชย์ให้เช่ารวมกัน 9 แสนตารางเมตร หรือประมาณ 40% ของอุปทานใหม่ในช่วงเดียวกัน โดยเฉพาะพื้นที่ย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD : Central Business District) ซึ่งมีอุปทานอสังหาริมทรัพย์เดิมที่มีรูปแบบคล้ายคลึงและกระจุกตัวอยู่มาก นำไปสู่แนวโน้มการแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่จะรุนแรงมากขึ้น

การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสจำนวนมาก ไม่เพียงแต่จะต้องแข่งขันกันเองเท่านั้น แต่ยังเป็นความท้าทายสำคัญต่อโครงการที่มีรูปแบบการใช้งานเพียงแบบเดียว (Single Use) เช่น อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และโรงแรมที่อยู่รอบข้างโครงการมิกซ์ยูสที่อาจได้รับผลกระทบ ผู้พัฒนาโครงการ Single Use จึงอาจต้องปรับลดราคา/ค่าเช่าลง รวมถึงชะลอการเปิดตัวโครงการ หรือปรับปรุงพื้นที่โครงการเพื่อดึงดูดผู้เช่า หรือผู้ใช้บริการเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้

ภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนและชะลอตัวอาจกดดันอุปสงค์เช่าพื้นที่ธุรกิจพาณิชย์ให้เช่า (Commercial Real Estate) ซึ่งประกอบด้วยพื้นที่สำนักงานให้เช่าและพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า รวมถึงต้นทุนที่ดินที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะที่ดินในพื้นที่ศักยภาพ เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายหันมาสนใจการพัฒนาโครงการมิกซ์ ยูส จากจุดเด่นสำคัญ 2 ประการ ได้แก่

1.ช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาอสังหาริมทรัพย์ รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งและเป็นการเพิ่มความหลากหลายของช่องทางในการสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ (Recurring Income) เมื่อเกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจ หรือธุรกิจจะช่วยบรรเทาผลกระทบไม่ให้รุนแรงมากนัก เนื่องจากมีช่องทางสร้างรายได้อื่น เช่น ในภาวะที่นักท่องเที่ยวชะลอตัวส่งผลให้รายได้จากผู้เช่าพื้นที่ค้าปลีกและโรงแรมลดลง โครงการมิกซ์ยูสยังคงมีพื้นที่สำนักงานให้เช่าเป็นแหล่งรายได้อื่นที่ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวของนักท่องเที่ยวอยู่ ต่างกับโครงการค้าปลีกเพียงอย่างเดียวที่อาจได้รับผลกระทบมากกว่า

2.ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ที่ดินและการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากที่ดินที่อยู่ในทำเลที่ดีโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีศักยภาพซึ่งปัจจุบันเหลืออยู่ไม่มากนัก อีกทั้งยังมีราคาสูง ดังนั้น การผสมผสานแต่ละการใช้งานของอสังหาริมทรัพย์ ให้มีความเข้ากันได้ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยอาจมีพื้นที่บางส่วนของโครงการที่การใช้งานหลายส่วนสามารถใช้งานร่วมกันได้

อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอุปทานจากโครงการมิกซ์ ยูส ในช่วงปี 2563-2566 อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่กดดันให้การแข่งขันมีความรุนแรงมากขึ้นและนำมาสู่ความเสี่ยงอุปทานส่วนเกินในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พาณิชย์ให้เช่าในกรุงเทพฯ โดยจะมีพื้นที่มิกซ์ยูสเปิดดำเนินการเพิ่มขึ้น 9 แสนตารางเมตร หรือประมาณ 40% ของอุปทานใหม่ของธุรกิจพาณิชย์ให้เช่าในกรุงเทพฯ ประมาณ 2 ล้านตารางเมตรในช่วงปี 2563-2566 โดยคาดว่าอุปสงค์ใหม่ต่อธุรกิจพาณิชย์ให้เช่าในกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาเดียวกันจะมีเพียงประมาณ 1 ล้านตารางเมตรเท่านั้น ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงจากภาวะอุปทานส่วนเกินจากการขยายตัวดังกล่าว โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีโครงการมิกซ์ยูสที่จะเข้าสู่ตลาด

ทั้งนี้ จากข้อมูล 14 โครงการที่ถูกเลือกเพื่อทำการศึกษาเบื้องต้น พบว่าอุปทานใหม่จากโครงการมิกซ์ยูสส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ย่านศูนย์กลางธุรกิจซึ่งเป็นบริเวณที่เป็นใจกลางย่านธุรกิจในกรุงเทพฯ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 64% เช่น สีลม-สาธร สุขุมวิทตอนต้น (ซอย 1-41) เพชรบุรี ส่วนพื้นที่ Non CBD คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 36% เช่น พื้นที่บางซื่อ บางนา-ตราด ศรีนครินทร์ แจ้งวัฒนะ นอกจากนี้ หากพิจารณาตามรูปแบบอสังหาริมทรัพย์ จะพบว่าจากพื้นที่โครงการมิกซ์ยูสทั้งหมด จะมีพื้นที่ค้าปลีกเป็นสัดส่วนถึง 22% รองลงมาคือพื้นที่สำนักงานซึ่งเป็นสัดส่วนประมาณ 19% ดังนั้นไม่เพียงผู้พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสเท่านั้นที่ต้องระมัดระวังความเสี่ยงอุปทานส่วนเกิน แต่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ฯพาณิชย์ให้เช่าที่อยู่รอบข้างโครงการมิกซ์ยูสก็อาจเผชิญกับผลกระทบจากความเสี่ยงดังกล่าวด้วยเช่นกัน

หากพิจารณาธุรกิจพาณิชย์ให้เช่ายังคงเติบโตต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยการเติบโตของธุรกิจพื้นที่สำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ มีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากค่าเช่าที่มีการปรับตัวขึ้น ขณะที่พื้นที่ค้าปลีกเติบโตจากการขยายตัวของพื้นที่ปล่อยเช่าที่เพิ่มขึ้น จากการวิเคราะห์ข้อมูลของ CBRE พบว่า ภาพรวมธุรกิจพื้นที่สำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ ระหว่างปี 2557-2561 มูลค่าตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณ 8% ต่อปีจนในปี 2561 ตลาดมีมูลค่าถึง 8 หมื่นล้านบาท โดยการเติบโตของมูลค่าตลาดมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากอัตราค่าเช่าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องประมาณ 6% ต่อปี ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นผลมาจากพื้นที่สำนักงานที่ถูกเช่าเพิ่ม (New Occupied Space) ในแต่ละปีสูงกว่าพื้นที่อุปทานใหม่ (New Supply) ในส่วนของธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในกรุงเทพฯ

ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มูลค่าตลาดรวมเติบโต 4% ต่อปีทำให้ในปี 2561 ตลาดมีมูลค่าถึง 9 หมื่นล้านบาท โดยการเติบโตหลักมาจากการขยายตัวต่อเนื่องของพื้นที่ปล่อยเช่าในอัตรา 4% ต่อปีในช่วงเวลาเดียวกัน ขณะที่ราคาค่าเช่าของพื้นที่ค้าปลีกในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างทรงตัว แม้ว่าธุรกิจพื้นที่สำนักงานให้เช่าในกรุงเทพฯ ยังคงมีอัตราการปล่อยเช่าและราคาค่าเช่าที่เติบโตได้ดี แต่แนวโน้มการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในอีก 3-4 ปีข้างหน้าโดยเฉพาะโครงการมิกซ์ ยูส อาจส่งผลให้ผู้ประกอบการพื้นที่สำนักงานให้เช่าต้องเผชิญกับความเสี่ยงของภาวะอุปทานส่วนเกิน

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาภาพรวมของตลาด พบว่า มีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยในอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีอุปทานเข้าสู่ตลาดประมาณ 1.3 ล้านตารางเมตร หรือคิดเป็นสัดส่วน 14% ของอุปทานในปัจจุบัน โดยเป็นอุปทานจากโครงการมิกซ์ยูสถึง 4 แสนตารางเมตร ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงที่แนวโน้มของอุปทานใหม่จะเข้าสู่ตลาดมากกว่าการมีอุปสงค์ใหม่ นำไปสู่ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) ในอนาคตซึ่งคาดว่าอัตราการปล่อยเช่า (Occupancy Rate) อาจทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2556 อัตราการปล่อยเช่ามีโอกาสลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปีที่ระดับ 86-87% เทียบกับ 93% ในปี 2561 และ 92% ในปี 2562 ขณะที่อัตราการเพิ่มขึ้นของราคาค่าเช่ามีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง โดยในช่วงปี 2563-256 6 อัตราค่าเช่าจะขยายตัวเฉลี่ยเพียงปีละ 1% ชะลอตัวลงจาก 4% ในปี 2562 และเฉลี่ยปีละ 6% ในช่วงปี 2557-2561

สำหรับธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าในกรุงเทพฯ ยังต้องเผชิญกับความต้องการพื้นที่ค้าปลีกที่ชะลอตัวลงซึ่งมาจากผลกระทบของการขยายตัวของธุรกิจค้าปลีกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ทำให้มีโอกาสที่อัตราการปล่อยเช่ามีแนวโน้มลดลง นำไปสู่การแข่งขันที่อาจรุนแรงขึ้น และการเติบโตของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซยังส่งผลให้อุปสงค์ต่อพื้นที่ค้าปลีกมีแนวโน้มชะลอตัวลง โดยแนวโน้มธุรกิจค้าปลีกชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ ทั้งการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวไทยและนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเติบโตในอัตราชะลอลง

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของธุรกิจค้าปลีกจากการเติบโตของธุรกิจอี-คอมเมิรซ์ ส่งผลให้อุปสงค์ต่อพื้นที่ค้าปลีกมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากกลุ่มร้านค้าต่าง ๆ ที่เป็นผู้เช่าพื้นที่ค้าปลีกซึ่งมีทางเลือกในการจำหน่ายสินค้าเพิ่มมากขึ้น ทั้งแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลซ เช่น Lazada และ Shopee โซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์ของผู้ประกอบการเอง ส่งผลให้อุปสงค์ต่อพื้นที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม ยังมีแนวโน้มการเติบโตของ O2O (Online to Offline) ที่ช่วยสนับสนุนความต้องการพื้นที่ค้าปลีกอยู่บ้าง เช่น Multi-Brand Store ซึ่งเป็นการที่ร้านค้าออนไลน์ที่อยู่บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ รวมกลุ่มกันเพื่อเช่าพื้นที่ค้าปลีกและตั้งร้านค้าออฟไลน์ขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าแฟชั่นและสินค้าความงาม ซึ่งจะช่วยลดทอนผลกระทบจากกระแสอี-คอมเมิร์ซลงได้บ้าง

ทั้งสองปัจจัยข้างต้นส่งผลให้การขยายสาขา หรือร้านค้าใหม่ชะลอตัวลง ทำให้อุปสงค์ต่อพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าชะลอตัวลง กดดันให้รายได้ค่าเช่าของพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าขยายตัวในระดับต่ำจากค่าเช่าแบบคงที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ยากจากอัตราการปล่อยเช่าที่ลดลง โดยคาดว่าในช่วงปี 2562-2566 จะมีอุปทานใหม่ของพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าอยู่ที่1.7 แสนตารางเมตรต่อปี ซึ่งเป็นพื้นที่ในโครงการมิกซ์ยูสประมาณ 50% ของอุปทานใหม่ทั้งหมด ขณะที่อุปสงค์ใหม่มีอยู่เพียงปีละ 1.4 แสนตารางเมตร ชะลอตัวลงจากช่วงปี 2557-2561 ที่มีอุปสงค์ใหม่อยู่ที่2.6 แสนตารางเมตรต่อปี จึงส่งผลให้อัตราการปล่อยเช่าจะมีแนวโน้มปรับตัวลงอยู่ที่เฉลี่ย 94% ในอีก 4 ปีข้างหน้าจาก 97% ในปี 2560 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มจัดเก็บข้อมูลในปี 2549 นอกจากนี้ ยอดขายของธุรกิจค้าปลีกชะลอตัวลงกดดันให้ค่าเช่าในส่วนของค่าเช่าแบบแบ่งสัดส่วนยอดขายขยายตัวชะลอลง โดยภาพรวมแล้วคาดว่าราคาค่าเช่าพื้นที่ค้าปลีกยังคงมีแนวโน้มทรงตัว หรือขยายตัวต่ำต่อไปในอีก 3-4 ปีข้างหน้า

อุปทานพื้นที่มิกซ์ยูสที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต นอกจากจะนำไปสู่การแข่งขันระหว่างกันที่มากขึ้นแล้ว ยังส่งผลกระทบกับโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่รอบข้างด้วยซึ่งมีทั้งผลกระทบด้านบวกและด้านลบ ผลกระทบของโครงการมิกซ์ยูสที่มีต่อพื้นที่โดยรอบนั้นจะแตกต่างกันไปโดยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้าน เช่น ขนาดของโครงการ พื้นที่รอบข้าง อสังหาริมทรัพย์ ภายในโครงการ และความสำเร็จของโครงการเป็นสำคัญ

  • ผลกระทบด้านบวกต่อตลาดพื้นที่พาณิชย์ให้เช่าโดยรวม

โครงการมิกซ์ยูสบางโครงการอาจส่งผลบวกต่อโครงการอื่น ๆ ในพื้นที่รอบข้าง โดยเฉพาะในกรณีที่การใช้งานหลักของโครงการมิกซ์ยูสไม่ตรงกับโครงการอื่น ๆ โดยรอบพื้นที่และตั้งอยู่ในพื้นที่นอกใจกลางเมือง หรือพื้นที่ Non CBD ที่มีการแข่งขันอยู่ในระดับต่ำ มีความเป็นไปได้สูงที่โครงการโดยรอบจะได้รับผลดีจากการเปิดโครงการมิกซ์ ยูส ทั้งนี้ ในงานแถลงข่าว The Celebrations of Glory ได้มีการเปิดเผยว่า หลังจากดำเนินโครงการ ICONSIAM มาเป็นระยะเวลา 1 ปี ส่งผลให้ธุรกิจริมแม่น้ำเจ้าพระยา เช่น แหล่งท่องเที่ยว ภัตตาคาร ร้านอาหารรอบข้าง เติบโตกว่า 20% หรือโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ระหว่างปี 2560-2562 ที่ตั้งอยู่ใกล้โครงการมียอดขายเฉลี่ยสูงถึง 95% อีกทั้งยังทำให้อัตราการเข้าพักโรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น โดยในกลุ่มโรงแรม 5 ดาวอัตราการเข้าพักเพิ่มสูงขึ้นเป็น 85-90% หรือโครงการ Bangkok Mall ที่มีขนาดของโครงการกว่า 1.2 ล้านตารางเมตร ทำให้โครงการ Bangkok Mall อาจกลายเป็นแลนด์มาร์คใหม่บนพื้นที่ย่านบางนา เนื่องจากในเฟสแรกของโครงการพื้นที่ใช้งานหลักของโครงการเป็นพื้นที่ค้าปลีกและสันทนาการ ซึ่งเหมาะกับการใช้เวลากับครอบครัว จึงอาจมีผลบวกต่อโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่รอบข้าง อย่างเช่น โครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ หรือคอนโดมิเนียม

  • ผลกระทบด้านลบต่อตลาดพื้นที่พาณิชย์ให้เช่า

1.ผู้พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสอาจต้องเผชิญกับความท้าทายจากระยะเวลาในการคืนทุนที่ยาวนานขึ้น ในภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงและอุปสงค์ที่ชะลอตัวลงตามเศรษฐกิจ ประกอบกับการขยายตัวของอุปทานโครงการมิกซ์ยูสจำนวนมากทำให้การแข่งขันมีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้การพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสที่มีการลงทุนขนาดใหญ่ใช้ระยะเวลาในการคืนทุนยาวนานขึ้น

2.ผู้พัฒนาของโครงการ Single Use เผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น กระทบต่อรายได้ในระยะข้างหน้า จากแนวโน้มการเปิดดำเนินการของโครงการมิกซ์ยูสที่มีมากขึ้นในอีก 3-4 ปีข้างหน้า จะส่งผลให้ผู้พัฒนาของโครงการ Single Use ในพื้นที่รอบข้างต้องเผชิญการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากในอดีต เช่น

  • ในพื้นที่พระราม 4 และรอบข้างที่มีโครงการมิกซ์ยูสเตรียมเปิดดำเนินการจำนวนมาก อาทิ One Bangkok, Dusit Central Park จะส่งผลกระทบต่ออาคารสำนักงานดั้งเดิมบนถนนพระราม 4 สาธร และสีลมที่อัตราการปล่อยเช่าอาจปรับตัวลดลงจากปริมาณอุปทานใหม่ที่มีเข้ามาแข่งขันมากขึ้นจากโครงการมิกซ์ ยูส ขณะเดียวกันอาคารสำนักงานที่อยู่ในพื้นที่เชื่อมต่อ CBD ที่เคยได้อานิสงค์จากอุปทานที่มีจำกัดของช่วง 3-4 ปี ที่ผ่านมา แต่หลังจากที่หลายโครงการมิกซ์ยูสใน CBD เริ่มเปิดใช้บริการ อานิสงค์ดังกล่าวที่เคยได้รับอาจหมดไป เนื่องจากโครงการมิกซ์ยูสใหม่จะตอบสนองอุปสงค์ในพื้นที่สำนักงานได้มากขึ้น นอกจากนั้น โรงแรมในพื้นที่ถนนวิทยุ สีลม และสาธร ยังต้องแข่งขันมากขึ้น อาจส่งผลต่ออัตราการปล่อยเช่าปรับตัวลดลง โดยในส่วนของคอนโดมิเนียมลักซ์ชัวรี่ที่เป็นเกรดที่โครงการมิกซ์ยูสในพื้นที่พระราม 4 พัฒนา อาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่มากขึ้น
  • ในพื้นที่บางนาที่มีการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสใหม่อย่าง Bangkok Mall ซึ่งเป็นโครงการค้าปลีกขนาดใหญ่ที่จะส่งผลกระทบต่อการแข่งขันของห้างสรรพสินค้าโดยรอบมากขึ้น เช่น เซ็นทรัลบางนา ซีคอน สแควร์ เป็นต้น

ท่ามกลางความท้าทายจากความเสี่ยงหลากหลายประการ โครงการมิกซ์ยูสอาจต้องปรับตัวแก้ไขจุดด้อยต่าง ๆ ของโครงการ รวมถึงการสร้างความแตกต่าง เพื่อดึงดูดผู้ใช้งานเข้าสู่โครงการ การที่แต่ละโครงการมีจุดแข็งที่แตกต่างกัน จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำให้โครงการประสบความสำเร็จ ขณะที่บางโครงการยังมีความท้าทายที่ต้องเผชิญ ทำให้ต้องมีการปรับตัวเพื่อลดจุดด้อยของโครงการลง เช่น

โครงการสามย่านมิตรทาวน์ เมื่อเดินทางโดยรถไฟฟ้าจำเป็นจะต้องข้ามถนนและเดินเท้าระยะทางจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินประมาณ 300 เมตร โครงการฯ จึงเปลี่ยนจุดด้อยเป็นจุดขายด้วยการสร้างอุโมงค์เชื่อมจากรถไฟฟ้าใต้ดินเข้าสู่โครงการฯ ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกในการเดินทางเข้าสู่โครงการฯ พร้อมสร้างจุดเด่นและ Traffic ให้โครงการฯ เพื่อดึงดูดผู้เข้าใช้บริการ นอกจากนี้ ยังเพิ่มจุดขายสำคัญคือการเปิดใช้งาน 24 ชั่วโมง ซึ่งเหมาะกับความต้องการในพื้นที่ เช่น นักศึกษาที่ต้องการพื้นที่ทบทวนบทเรียน

ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบอัตราการปล่อยเช่า พื้นที่สำนักงานภายในโครงการสามย่านมิตรทาวน์ในเดือนแรกของการเปิดตัวอยู่ที่กว่า 60% นับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอาคารสำนักงานทั่วไปซึ่งอยู่ที่ 50% ณ ไตรมาสแรกที่เปิดโครงการ ส่วนอัตราการให้เช่าพื้นที่ของพื้นที่ค้าปลีกสูงถึง 85% ซึ่งค่อนข้างสูงหากเทียบกับศูนย์การค้าที่เปิดตัวในช่วงใกล้เคียงกันอย่าง The Market Bangkok ที่มีอัตราการปล่อยเช่า ณ วันเปิดตัวโครงการอยู่ที่ 77% เท่านั้น

ขณะที่โครงการมิกซ์ยูสอย่าง ICONSIAM ที่เปิดตัวโครงการด้วยอัตราการปล่อยเช่าพื้นที่ค้าปลีกกว่า 91% โดยตัวโครงการอาจไม่ได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองนัก แต่อาศัยการสร้างจุดเด่นจากพื้นที่ตั้งริมน้ำ ขนาดและความหลากหลายภายในโครงการ รวมถึงการจัดอีเวนต์เพื่อการสร้างแรงดึงดูดจนทำให้โครงการ ICONSIAM กลายเป็นแลนด์มาร์คขนาดใหญ่ของพื้นที่ฝั่งธนบุรี

สำหรับโครงการ Emsphere ที่เป็นโครงการภายใต้การบริหารของเดอะมอลล์กรุ๊ป ได้มีการสร้างความโดดเด่นและความแตกต่างให้โครงการ โดยได้ร่วมมือกับผู้ประกอบธุรกิจบันเทิงและกีฬาระดับโลก อย่าง Anschutz Entertainment Group (AEG) ในการสร้างอารีน่าขนาดใหญ่ EmLive ในโครงการ โดยทั้งโครงการจะเข้ามายกระดับและเติมเต็มพื้นที่ The EmDistrict ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

เพื่อก้าวข้ามแรงกดดันจากการแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ผู้พัฒนาโครงการมิกซ์ยูสจำเป็นที่จะต้องมี Key Success สำคัญ

1.ประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของผู้พัฒนาโครงการ หรือพันธมิตร อาจประเมินได้จากความสอดคล้องของลักษณะของโครงการมิกซ์ยูสที่จะเกิดขึ้นกับผลการดำเนินงานโครงการที่ผ่านมาและระยะเวลาที่ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นประสบการณ์การดำเนินโครงการอสังหาริมทรัพย์แต่ละประเภทจึงมีความสำคัญโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับลักษณะการใช้งานของโครงการ

2.พื้นที่ตั้งที่เหมาะสมและสามารถเดินทางเข้าถึงได้สะดวก โดยการออกแบบโครงการจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงความต้องการรอบพื้นที่ เช่น พื้นที่ธุรกิจอาจต้องการพื้นที่ในส่วนของสำนักงาน เช่น พื้นที่บนถนนพระราม 4 ต่อเนื่องจากถนนสีลมและสาธร สำหรับพื้นที่ชุมชนแถบที่อยู่อาศัยอาจต้องการพื้นที่ค้าปลีกเป็นหลัก เพื่อความสะดวกในการจับจ่ายใช้สอยใกล้บ้าน ตลอดจนการเดินทางเข้าสู่โครงการ เช่น ใกล้รถไฟฟ้า (ระยะทางไม่เกิน 100 เมตร หรือมีทางเชื่อมเข้าสู่โครงการ) หรือทางด่วน (ระยะทางไม่เกิน 1 กิโลเมตรจากทางเข้า-ออก)

3.การส่งเสริมกัน (Synergy) ของแต่ละส่วนของโครงการ และใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การออกแบบโครงการต้องคำนึงถึงการส่งเสริมกันของลักษณะการใช้พื้นที่ในแต่ละส่วนด้วย โดยพิจารณาความเข้ากันได้ของอสังหาริมทรัพย์หลัก (พื้นที่ที่สร้างรายได้หลักของโครงการ) กับอสังหาริมทรัพย์รอง (พื้นที่อื่น ๆ ของโครงการ)

จากงานวิจัยของ The US Urban Land Institute ที่ให้คะแนนการสนับสนุนกันระหว่างอสังหาริมทรัพย์หลักและรองไว้ จะพบว่า โครงการมิกซ์ยูสที่มีอสังหาริมทรัพย์หลักเป็นพื้นที่ค้าปลีกจะได้ผลบวกจาก Synergy ที่ดีกว่า เนื่องจากเป็นประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่ไปได้ดีกับหลายประเภทอสังหาริมทรัพย์ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีอสังหาริมทรัพย์รองเป็นพื้นที่สำนักงาน พื้นที่ค้าปลีกในโครงการมิกซ์ยูสจะมีลูกค้าจากพนักงานออฟฟิศในโครงการ ขณะที่พื้นที่สำนักงานในโครงการมิกซ์ยูสก็มีความน่าดึงดูดมากกว่าโครงการที่มีเฉพาะพื้นที่สำนักงานเพียงอย่างเดียว เนื่องจากมีความสะดวกสบายจากการตั้งอยู่ติดกับพื้นที่ค้าปลีก

ในส่วนของโครงการมิกซ์ยูสที่มีอสังหาริมทรัพย์หลักเป็นพื้นที่อยู่อาศัย จะได้ผลบวกจาก Synergy ต่ำกว่าอสังหาริมทรัพย์หลักประเภทอื่น ๆ เนื่องจากพื้นที่อยู่อาศัยต้องการความเป็นพื้นที่ส่วนตัวสูง โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับอสังหาริมทรัพย์รอง เช่น โรงแรม หรือสถานบันเทิงที่มีความวุ่นวายและความเป็นพื้นที่สาธารณะสูง ทำให้อาจต้องเผชิญกับความยากลำบากในการบริหารความเป็นส่วนตัวของพื้นที่อยู่อาศัยกับการบริหารพื้นที่สาธารณะ โดยเฉพาะประเด็นความปลอดภัยในการอยู่อาศัยของลูกบ้านในโครงการมิกซ์ยูส

นอกเหนือจากปัจจัยที่ต้องพิจารณาเพื่อความสำเร็จในการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสแล้ว ยังมีความท้าทายที่สำคัญที่ผู้พัฒนาโครงการต้องระวัง คือ

1.การบริหารพื้นที่ระหว่างพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่ส่วนกลาง อสังหาริมทรัพย์บางประเภทต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีความเฉพาะตัว อาทิ การจัดอีเวนต์ในพื้นที่ค้าปลีกอาจมีข้อจำกัดบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้เสียง หรือระยะเวลาในการจัดงาน เพื่อไม่ให้รบกวนผู้ใช้อื่นในโครงการโดยเฉพาะพื้นที่ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงอย่างพื้นที่อยู่อาศัย ดังนั้นผู้พัฒนาโครงการจำเป็นที่จะต้องลดผลกระทบที่เกิดขึ้นระหว่างอสังหาริมทรัพย์แต่ละประเภท เช่น การแยกทางเข้า-ออกโครงการของแต่ละอสังหาริมทรัพย์ ออกจากกัน การจำกัดกิจกรรมที่ใช้เสียงมาก หรือออกแบบให้พื้นที่ในโครงการสามารถเก็บเสียงได้ดี เป็นต้น

2.การสร้างแม่เหลก็เพื่อดึงดูดคนเข้ามาในโครงการ โครงการจำเป็นจะต้องมีสิ่งที่เป็นแรงจูงใจเพื่อดึงดูดผู้ใช้งานเข้าสู่โครงการ เช่น โครงการที่มีพื้นที่ค้าปลีกขนาดใหญ่อาจสร้างพื้นที่นันทนาการ หรือการจัดอีเวนต์ต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มีจำนวนผู้คนเข้าใช้บริการให้มากที่สุด รวมถึงการดึงดูดผู้เช่าหลักที่ขายสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเฉพาะร้านอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ต

3.การบริหารโครงสร้างพื้นฐานภายในโครงการให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด ความต้องการรูปแบบการใช้งานสิ่งอำนวยความสะดวกของอสังหาริมทรัพย์แต่ละประเภทจะมีความแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์การใช้งาน อาทิ การวาง Layout ของสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการสำหรับพื้นที่อยู่อาศัยจะต้องมีลิฟต์อยู่ใกล้กับทางเข้าคอนโดมิเนียม ขณะที่โรงแรมต้องการพื้นที่ล็อบบี้มากกว่า ซึ่งต้องอาศัยการออกแบบ การบริหาร และจัดการอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อควบคุมไม่ให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ผู้พัฒนาโครงการควรคำนึงถึงการออกแบบให้ทรัพยากรภายในโครงการถูกใช้อย่างคุ้มค่าที่สุดด้วย เช่น การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ภายในโครงการ การใช้แสงจากธรรมชาติเพื่อลดการใช้แสงจากหลอดไฟในภาวะการแข่งขันที่จะเพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการโครงการมิกซ์ ยูส ผู้พัฒนาโครงการ Single Use จึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้

สำหรับโครงการ Single Use สำนักงานให้เช่าอาจต้องพิจารณาปรับลดค่าเช่าของโครงการตัวเองลงเพื่อจูงใจผู้เช่าเข้ามาเช่ามากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มที่ตอบสนองมากต่อราคาค่าเช่า (กลุ่มที่อ่อนไหวกับราคาค่าเช่า) หรือการปรับปรุงโครงการเพื่อดึงดูดผู้เช่ารายใหม่ส่วนโครงการ Single Use ที่เป็นพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า ผู้ประกอบการสามารถหาผู้เช่าหลักที่เป็นแรงดึงดูดผู้ใช้งานเข้าสู่โครงการ หรือการปรับปรุงเพื่อดึงดูดลูกค้าเฉพาะกลุ่ม (Niche Group) มีคอนเซ็ปต์เฉพาะ เช่น มุ่งเน้นกลุ่มผู้เช่าหลักเป็นร้านอาหาร

หากไม่สามารถแข่งขันด้านความหลากหลายของพื้นที่ค้าปลีกกับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ หรือปรับปรุงพื้นที่ในโครงการเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ ในส่วนของโครงการคอนโดมิเนียมอาจจะต้องพิจารณาจำนวนอุปทานใหม่ในพื้นที่ที่จะมากขึ้นจากแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยในโครงการมิกซ์ ยูส โดยอาจจะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่คนละกลุ่มเซ็กมนต์กับโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ หรือปรับแผนโครงการเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันที่รุนแรง