แนะคนไอทีอัปสกิล “บล็อกเชน – ปลดล็อกกฎหมาย”

alivesonline.com : ผ่านพ้นอย่างยิ่งใหญ่สมการรอคอยสำหรับการจัดงาน “Blockchain Thailand Genesis 2019” มหกรรมงานบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในไทย ภายใต้แนวคิด “The Future of Financial Disruption” โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 3 พันคน

การจัดงานครั้งนี้นำทีมโดย นายกานต์นิธิ ทองธนากุล เลขาธิการสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย และนายสัญชัย ปอปลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมแชร์ประสบการณ์ในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้งาน ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถนำมาใช้ เพื่อยกระดับในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เข้ากับระบบการเงิน (Fintech) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในการให้บริการทางการเงิน

depa แนะคนไอทีอัปสกิลบล็อกเชน

ดร.รัฐศาสตร์ กรสูต รองผู้อำนวยการสำนักงาน กลุ่มสังคมและกำลังคนดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวในหัวข้อ แนวทางการส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรด้านบล็อกเชน ว่า ภายในอีก 3-5 ปี บล็อกเชนจะเข้ามามีบทบาทในการบังคับใช้สัญญาต่าง ๆ มากขึ้น โดยปัจจุบันมีบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกด้านไอทีที่ก้าวมาสู่การพัฒนาธุรกิจบล็อกเชนมากขึ้น อีกทั้งอุตสาหกรรมต่าง ๆก็เริ่มนำบล็อกเชนไปประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจบริการสุขภาพ ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจการท่องเที่ยว จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเติบโตขาขึ้นของบล็อกเชน หรือ Growth Stage ซึ่งจำเป็นต้องเร่งพัฒนาบุคลากรให้พร้อม ทั้ง Non-Technical Developer หรือนักพัฒนาที่ไม่ต้องทำงานเชิงเทคนิค ซึ่งเป็นกลุ่มที่เน้นความรู้เชิงธุรกิจและความเข้าใจในลักษณะการทำธุรกิจบล็อกเชน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือ Technical Developer หรือโปรแกรมเมอร์ที่สามารถทำงานในเชิงเทคนิคได้

“ปัจจุบันโลกกำลังเปลี่ยนไปแล้ว การเรียนรู้การศึกษาไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในมหาวิทยาลัย ต้องให้เยาวชนไปเรียนรู้จากประสบการณ์จริงจากการทำงาน ไปเผชิญกับปัญหาจริง ๆ ในอุตสาหกรรม โดยมีอาจารย์เป็นที่ปรึกษาควบคู่ไปด้วย การศึกษานับจากนี้จึงจะต้องเป็นการศึกษาให้ได้งาน ไม่ใช่แค่ใบปริญญาอีกต่อไป”

แนะผู้มีอำนาจปลดล็อกบล็อกเชน

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ มาแชร์ประสบการณ์ในหัวข้อ GovTech และ Blockchain : อนาคตแห่งโลกนวัตกรรมดิจิทัล ว่า การนำบล็อกเชนเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการข้อมูลของภาครัฐจะทำให้เกิดความสะดวกและโปร่งใสมากขึ้น โดยปัจจุบันข้อมูลต่าง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล ยกตัวอย่างสิงคโปร์ที่รัฐให้นำข้อมูลการจราจรกับเอกชน เพื่อนำไปพัฒนาเป็นโมเดลใหม่ ๆ และนำมาแก้ไขปัญหารถติดได้

GovTech หรือ เทคโนโลยีบริหารจัดการภาครัฐ เป็นสิ่งที่เชื่อได้ว่าจะต้องเกิดขึ้น เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเทคโนโลยีบล็อกเชนเท่านั้น แต่หมายรวมถึงทุก ๆเทคโนโลยี ในทุกยุคทุกสมัย โดยอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่ในประเทศไทยคือการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ จึงอยากฝากให้ผู้มีอำนาจ ปลดล็อกกำแพงต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย

1.กฎหมาย เพราะเรามีกฎหมายมากมายที่ไม่เอื้อต่อการใช้เทคโนโลยีและมีความล้าหลัง ในบางอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงควรตั้งหน่วยงานกำกับดูแลแทนการใช้กฎหมายบังคับ

2.การแข่งขัน พบว่ามีสตาร์ทอัปจำนวนมากที่ขาดศักยภาพในการแข่งขัน เพราะไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ขณะที่ธนาคารที่มีสภาพคล่องจนล้ ก็ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ แต่ก็เป็นเป็นที่น่ายินดีที่ระบบบล็อกเชนได้ก่อให้เกิดมีการปล่อยกู้แบบ Peer-to-peer หรือการทำธุรกรรมที่ไม่ผ่านตัวกลางเกิดขึ้น รวมถึงการพิจารณาให้เครดิต โดยไม่ยึดเฉพาะธุรกรรมทางการเงินหรือ Alternative Credit Scoring โดยพิจารณาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์แทน

3.ความคิด การปลดล็อกความคิดเป็นสิ่งสำคัญ ต้องมองให้เห็นประโยชน์ของเทคโนโลยีที่มาช่วยในเรื่องความโปร่ง (Transparency) และการตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability) ซึ่งหลายหน่วยงานภาครัฐก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวแล้ว เช่น กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรฯ ที่วางแผนบริหารจัดการข้อมูล Big Data ของสินค้าเกษตรร่วมกัน

ก.ล.ต. เล็งกำกับดูแลเพิ่มเติม

ดร.นภนวลพรรณ ภวสันต์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมเทคโนโลยีทางการเงิน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขึ้นพูดในหัวข้อ สินทรัพย์ดิจิทัลและการกำกับดูแลในประเทศไทย ว่า พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลที่ออกมาเมื่อปี 2561 เกิดขึ้นจากการที่ผู้ลงทุนให้ความสนใจในเรื่องของสินทรัพย์ดิจิทัลมีเพิ่มมากขึ้น ก.ล.ต.จึงต้องเข้ามากับกำดูแล เพื่อให้นักลงทุนมีความรู้ ความเข้าใจ และออกกฎหมายมาเพื่อรองรับและคุ้มครอง รวมไปถึงเรื่องการปราบปรามการฟอกเงินด้วย โดยเร็ว ๆ นี้ ก.ล.ต. จะขยายการกำกับดูแลจากเดิมที่มี Exchange Broker Dealer และ ICO Portal ไปสู่การกำกับดูแลที่ปรึกษาสินทรัพย์ดิจิทัล (Advisor) และผู้จัดการกองทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (Fund Manage) ด้วย

นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงสิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้ก่อนการลงทุนคือ 1.ต้องรู้ราคาและรู้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นมีความผันผวนสูง 2.สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงทางด้านระบบไอที 3.ผู้ประกอบการต้องได้รับการอนุญาตจาก ก.ล.ต. ตามที่มีประกาศในเว็บไซต์ พร้อมกับย้ำว่าในกรณีที่ผู้ลงทุนลงทุนในต่างประเทศ ก.ล.ต. ไม่สามารถให้ความคุ้มครองผู้ลงทุนได้

ห่วงแชร์ลูกโซ่ ทำประเทศชาติสูญงบประมาณ

ปิดท้ายที่วงเสวนา Fireside Chat : ชําแหละกลโกงที่ทุกคนต้องรู้ก่อนลงทุนคริปโต! โดย พ.ต.ท.ปองพล เอี่ยมวิจารณ์ นักวิชาการด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สํานักงานตํารวจแห่งชาติ นายนันทวัจน์ เหลืองอรุณ นักจิตบําบัด นักลงทุนอิสระ เจ้าของเพจลิงรู้เรื่อง และพีรพัฒน์ หาญคงแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Blockchain Review ต่างมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า “แชร์ลูกโซ่” ยังเป็นปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยคาดว่าคดีเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ในปัจจุบันมีมูลค่าความเสียหายนับ 1 แสนล้านบาท ซึ่งในกระบวนการทำคดีมีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก รัฐต้องสูญเสียงบประมาณเป็นเงินหลายล้านไปจนถึงหลักสิบล้านบาทในการบริหารจัดการคดี ในขณะที่เงินดิจิทัลเป็นของใหม่และเป็นของที่ยากจะเข้าใจฟังดูดี ฟังดูน่าตื่นเต้น แต่ไม่ได้แปลว่าทุกตัวจะดีหมด เช่นเดียวกับคนที่จัดตั้งบริษัท คนสามารถจัดตั้งบริษัทขึ้นมาได้ แต่ไม่ได้แปลว่าบริษัทเขาจะมีผลประกอบการที่ดี จึงอยากเตือนให้ผู้ที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลโปรดใช้ความระมัดระวังและตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียดรอบคอบ จากกรณีที่เกิดการหลอกลวงลงทุนในช่วงปีที่ผ่านมาที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เร็ว ๆ นี้จะมีกฎหมายเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่โดยตรงออกมาบังคับใช้

 

โอกาสการตลาดของแบรนด์ เมื่อ “คนไทย” ติดละครโทรทัศน์

alivesonline.com : “ทวิตเตอร์” เปิดผลการวิจัยจาก 5 หมื่นทวีต สะท้อนภาพผู้ใช้งานทวิตเตอร์ชาวไทยมีการรับชมรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์ไทยมากกว่าต่างประเทศ โดยพบว่าคนไทยทวีตข้อความเกี่ยวกับละครมากกว่าภาพยนตร์ในสัดส่วน 77% และ 23% ตามลำดับ สวนกระแสเทรนด์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีบทสนทนาเกี่ยวกับภาพยนตร์ 64% และซีรีส์ 36% 

นายมาร์ติน ยูเรน หัวหน้าฝ่ายวิจัยประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก “ทวิตเตอร์” เปิดเผยว่า งานวิจัยล่าสุดได้ผลลัพธ์เป็นข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้ทวิตเตอร์ในประเทศไทย พบว่า ผู้ใช้งานชาวไทยนิยมรับชมละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ โดยเฉพาะนิยมละครไทยและภาพยนตร์ไทยมากกว่าของต่างประเทศ โดยจะมีการทวีตแสดงความคิดเห็นแบบเรียลไทม์ขณะรับชมรายการนั้น ๆ ซึ่งการมีส่วนร่วมอยู่ในระดับที่สูงมาก นับเป็นการสร้างโอกาสให้แบรนด์ต่าง ๆ ที่ต้องการเข้าถึงผู้ใช้งานทวิตเตอร์ที่เป็นกลุ่มที่มีความสนใจในเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนท์มากได้เป็นอย่างดี

สำหรับผลการวิจัย Twitter และ Circus Social (ระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 28 กุมภาพันธ์ 2562) พบว่ามี 4 ประเด็นที่น่าสนใจดังนี้

1.กลุ่มคนที่สนใจมากและไม่สนใจเลย

ข้อมูลจากการวิเคราะห์คุณภาพของการทวีตเกี่ยวกับเอ็นเตอร์เทนเมนท์ในประเทศไทยนั้น กลุ่มเป้าหมายบนทวิตเตอร์แบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก คือ กลุ่มที่มีความสนใจมาก และกลุ่มที่ไม่มีความสนใจเลย โดยกลุ่มที่มีความสนใจในเรื่องเอ็นเตอร์เทนเมนท์จะเลือกชมสิ่งที่สนใจและมีส่วนร่วมในชุมชนที่มีความสนใจเดียวกัน โดยพบว่า 3 กลุ่มที่มีความสนใจที่โดดเด่น คือ แฟนละครโทรทัศน์ไทย, แฟน Netflix และแฟนบันเทิงเกาหลี ขณพที่ในส่วนของกลุ่มที่ไม่มีความสนใจในเรื่องเอ็นเตอร์เทนเม้นท์เลย ในทางกลับกันจะมองหาความบันเทิงในยามว่างจากการทำงาน หรื เรียนหนังสือ หรือในช่วงระหว่างวันหยุดพักผ่อน

2.โทรทัศน์ยังเป็นที่นิยมเพราะคอนเทนต์

ท่ามกลางการเติบโตของแพลตฟอร์มทีวีออนไลน์และสตรีมมิ่งต่าง ๆ แต่โทรทัศน์ยังคงมีความต้องการสูงเมื่อเปรียบเทียบกับแพลตฟอร์มที่ต้องมีการจ่ายเงิน หรือแพลตฟอร์มที่ผิดกฎหมาย เมื่อดูจากทวีตและจำนวนการเสิร์ชบน Google พบว่าความสนใจในคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มมีการจ่ายเงินและแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่ผิดกฎหมายนั้นอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ยังต่ำกว่าโทรทัศน์

คอนเทนต์จึงยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อทางเลือกใช้แพลตฟอร์มของคนไทย โดยมีผู้ใช้งานจำนวนหนึ่งได้เปลี่ยนไปรับชมคอนเทนต์จากแฟลตฟอร์มออนไลน์สตรีมมิ่งตามความสนใจในคอนเทนต์ เช่น ความสนใจและติดตามรายการประเทศเกาหลี รวมถึงเฉพาะกลุ่มเช่น เรื่องสยองขวัญ หรือแนวแฟนตาซี

3.ละคร หรือภาพยนตร์ของไทยได้รับความนิยมมากกว่าของต่างประเทศ

ในเรื่องของภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ ผู้ใช้ทวิตเตอร์คนไทยนิยมทวีตเกี่ยวกับภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ของไทยมากกว่าของต่างประเทศ แม้ในความเป็นจริงจำนวนของภาพยนตร์ไทยจะน้อยกว่าภาพยนตร์ของต่างประเทศ แต่มีบทสนทนาจำนวนมากกว่า

สำหรับภาพยนตร์ไทยที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดในปี 2561 คือ BNK48 Girls Don’t Cry และ น้อง.พี่.ที่รัก Brother of the Year ซึ่งได้มีการพูดถึงมากกว่าภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด บล็อกบัสเตอร์ อย่าง Avengers : Infinity War และ Black Panther เลยทีเดียว และเมือมีการทวีตเกี่ยวกับภาพยนตร์ของไทยจะเป็นในเชิงบวกกว่าภาพยนตร์จากต่างประเทศ

ละครโทรทัศน์จึงนับเป็นประเภทรายการที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย โดยละครโทรทัศน์ไทยที่มีการพูดถึงมากที่สุดคือ “บุพเพสันนิวาส” และฮิตติดอันดับหนึ่งของหัวข้อเกี่ยวกับรายการโทรทัศน์ที่มีการพูดถึงมากที่สุดในปี 2561 เช่นเดียวกับ ภาพยนตร์ไทยซึ่งทวีตเกี่ยวกับละครโทรทัศน์ไทยจะเป็นในเชิงบวกกว่าละครโทรทัศน์จากต่างประเทศ

ขณะที่การสนทนาบนทวิตเตอร์ประเทศไทยมีอัตราการสนทนาเกี่ยวกับรายการโทรทัศน์ไทยสูงที่สุด ซึ่งเป็นเทรนด์เดียวกันทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการทวีตถึงละครโทรทัศน์ไทย 77% เมื่อเทียบกับทวีตที่พูดถึงซีรีส์ต่างประเทศ 23%

4.การทวีตถึงละครโทรทัศน์และภาพยนตร์มีความแตกต่างกัน

ผู้ใช้งานทวิตเตอร์ชาวไทยทวีตถึงละครและภาพยนตร์ด้วยแนวทางที่แตกต่างกัน แฟน ๆ ละครที่กระตือรือร้นจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการพูดคุยโดยเขียนถึงพล็อตเรื่องและเนื้อหาของบทละคร และหากว่าละครเรื่องนั้นอิงประวัติศาสตร์ การพูดคุยก็จะเป็นการ ถกเถียงถึงเรื่องความถูกต้องทางประวัติศาสตร์

เครดิตทวีตจาก : https://twitter.com/chudalee/status/1136992162581688323

เครดิตทวีตจาก : https://twitter.com/UnderbedDara/status/1123105304202211328

บทสนทนาที่พูดถึงละครไทยจะมีรายละเอียดและใช้ระยะเวลาในการพูดคุยกันนานกว่าบทสนทนาที่พูดถึงภาพยนตร์ไทยซึ่งมักจะเป็นทวีตที่มีข้อความสั้นกว่าโดยพวกเขามักจะแชร์ลิงก์การรีวิวที่พวกเขารู้สึกเห็นด้วย หรือทวีตที่รีวิวภาพยนตร์เรื่องนั้นแบบสั้น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการสปอยล์เนื้อหาของภาพยนตร์

นอกจากนี้ บทสนทนาที่พูดถึงภาพยนตร์ยังเน้นไปที่ชื่อเรื่องของภาพยนตร์และความตื่นเต้นก่อนที่ภาพยนตร์จะออกฉาย ในขณะที่บทสนทนาเกี่ยวกับละครซีรีส์มักจะเป็นแบบเรียลไทม์ รวดเร็ว มีการพูดถึงรายละเอียดของฉากนั้น ๆ และการคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นในตอนต่อไป

 

เครดิตทวีตจาก : https://twitter.com/RonallChersan/satus/1098870149786984449

เครดิตทวีตจาก : https://twitter.com/AyeMy_Happy/status/1179047074257612805

อย่างไรก็ดี ในปีที่ผ่านมามีบทสนทนาเกี่ยวกับรายการโทรทัศน์กว่า 80 ล้านข้อความบนทวิตเตอร์ในประเทศไทย (แหล่งที่มา : ข้อมูลจาก Crimson Hexagon ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2561 – 1 กรกฎาคม 2562) และเป็นหนึ่งในหัวข้อการสนทนายอดนิยมตลอดทั้งปี

ลองมาเข้าร่วมการพูดคุยด้วยการกดติดตามแอคเคาท์ของละครโทรทัศน์และนักแสดง หรือค้นหาแฮชแท็กที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ คุณยังสามารถสร้างลิสต์เกี่ยวกับละครโทรทัศน์เรื่องโปรด หรือติดตามลิสต์ของคนอื่นได้ รวมทั้งหากต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เกี่ยวกับการใช้งานลิสต์ต่าง ๆ คลิกที่ https://help.twitter.com/using-twitter/twitter-lists

 

 

 

 

 

ร่วมค้นหาว่า สาวใด Nice หรือ Naughty ที่ร้าน “สวารอสฟกี้”

“สวารอฟสกี้” เติมเวทมนตร์ให้กับวันหยุดสุขสันต์ ด้วยการตั้ง เครื่อง Nice-0-metre Machine เพื่อวัดว่าใครเป็นสาว Naughty แสนสวยที่เร่าร้อนซุกซน หรือจะเป็นสาว Nice คนดีแสนหวาน เมื่อซื้อเครื่องประดับชิ้นใดก็ได้ในร้าน “สวารอฟสกี้”สาขาไอคอนสยาม, เซ็นทรัลเวิลด์ บูทีคที่สยามพารากอน และบูทีคสาขาเซ็นทรัลลาดพร้าว รับสิทธิ์เล่น Nice-0-metre Machine แล้วมาลุ้นรับของขวัญชิ้นพิเศษ หรือบัตรกำนัลส่วนลด 15-20% ที่สามารถใช้เป็นส่วนลดได้ทันที เพื่อเพิ่มความเจิดจรัสขึ้นไปอีกขั้นในช่วงเทศกาลที่จะมาถึงนี้ นอกจากนี้ เมื่อซื้อเครื่องประดับในร้านครบ 6,500 บาท รับทันทีกระเป๋าใส่จิลเวลรี่ใบเล็กสุดหรู ให้ทุกการเดินทางของคุณเต็มไปด้วยความเจิดจรัส และรับต่างหูเจาะรุ่น Nice เพิ่มเมื่อซื้อสินค้าครบ 9,900 บาทขึ้นไป ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 28 ธันวาคม 2562

 

คอลเลกชัน Naughty or Nice วางจำหน่ายที่ www.swarovski.com และที่ร้านสวารอฟสกี้ที่ร่วมรายการแล้ววันนี้

 

โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส เปิดตัวหลักสูตร DEC แห่งแรกของโลก

alivesonline.com : โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส เปิดตัวหลักสูตร “Design, Engineer, Construct” (DEC) จากประเทศอังกฤษที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะด้านการออกแบบ, วิศวกรรมและการสร้างสรรค์โครงการ ถือเป็นโรงเรียนระดับอนุบาลและประถมศึกษาแห่งแรกของโลกที่นำหลักสูตร DEC มาใช้ในการเรียนการสอนสำหรับเด็กวัยแรกเรียน

นางสาวอแมนดา เดนนิสสัน ครูใหญ่ โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส กล่าวว่า โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมพัฒนาการและศักยภาพของเด็กอย่างรอบด้าน เริ่มตั้งแต่วัยแรกเรียน เพราะเด็ก ๆ จะซึบซับได้ดีกว่า จึงได้นำหลักสูตร DEC จากประเทศอังกฤษ ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับโลกมาใช้ในการเรียนการสอนสำหรับเด็กอนุบาลและประถมศึกษาเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและในโลก ถือเป็นการเปิดมิติใหม่ทางการเรียนรู้ให้แก่เด็กนักเรียนและเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับเส้นทางอาชีพในสายงานสถาปนิก วิศวกรรมศาสตร์ และการสร้างสรรค์โครงการ

หลักสูตร DEC เน้นการลงมือปฏิบัติโครงการที่มีความยั่งยืน (Sustainable Building Project) และการทำเวิร์คชอป (Workshop) ควบคู่ไปกับการเรียนรู้วิธีนำคณิตศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในการทำงาน และการต่อยอดทักษะด้านภาษา การอ่านและการเขียน ซึ่งจะช่วยในเรื่องของการทำรายงาน (Report) การนำเสนอ (Presentation) และการโต้ตอบ (Feedback) พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้สำรวจความคิดที่ท้าทายบริบททางสังคม ผ่านตัวอย่างและโครงการที่นำมาสอนภายใต้สภาพแวดล้อมที่กำหนดขึ้น ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาให้กับเด็ก ๆ

นางสาวอแมนดา กล่าวด้วยว่า ในส่วนของบุคลากรครูผู้สอนเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการนำหลักสูตรคุณภาพมาใช้ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด จึงได้แต่งตั้ง นางสาวเคที่ ฮอลแลนด์ ซึ่งเป็นครูผู้ชำนาญการด้านการออกแบบและเทคโนโลยีจากประเทศอังกฤษ มารับตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาการออกแบบและนวัตกรรมเทคโนโลยี (Design and Technology Innovation Leader) ซึ่งเป็นหนึ่งในวิชาสำคัญสำหรับนักเรียนตั้งแต่ชั้น Year 1 ของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส โดยการนำหลักสูตร DEC มาใช้จะทำให้การเรียนการสอนด้านการออกแบบและเทคโนโลยีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จับต้องได้ และมีความเชื่อมโยงกับผู้เรียนมากขึ้น

นางสาวเคที่ ฮอลแลนด์ หัวหน้าภาควิชาการออกแบบและนวัตกรรมเทคโนโลยี (Design and Technology Innovation Leader) ผู้ดูแลรับผิดชอบหลักสูตร DEC ของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ – ซิตี้ แคมปัส กล่าวว่า หลักสูตร DEC จะช่วยให้เด็กนักเรียนได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่มากขึ้นจากการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวเนื่องกับการออกแบบและเทคโนโลยีตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ประยุกต์ (Application of Science and Mathematics) การคิดเชิงวิเคราะห์และสร้างสรรค์ (Creative and Logical Thinking) การแก้ปัญหา (Problem Solving) การทำงานเป็นทีม (Teamwork) ความกล้าเสี่ยง (Risk-Taking) และความสามารถในการปรับตัว (Resilience) เป็นต้น โดยหลักสูตร DEC จะช่วยพัฒนารูปแบบการคิดซึ่งจะส่งผลต่อไปถึงพฤติกรรมและการเรียนรู้ทั้งในและนอกห้องเรียน ดังนั้นการนำหลักสูตรดังกล่าวนี้มาใช้ในการเรียนการสอนเด็กตั้งแต่วัยแรกเรียนย่อมจะมีประโยชน์ต่อพัฒนาการมากที่สุด

 

นางสาวอแมนด้า กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงเรียนยังให้ความสำคัญอย่างมากกับช่วงอายุ 7-8 ปี หรือชั้น Year 3 เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่มีความสำคัญ (Key Stage) อีกช่วงหนึ่ง เพราะถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านสู่การเติบโต (Transitional Year) ดังนั้นรูปแบบการเรียนการสอนสำหรับเด็กชั้นปีนี้ จึงเน้นให้มีความเฉพาะทางและเป็นระเบียบแบบแผนมากขึ้น เพื่อให้เด็ก ๆ ได้นำทักษะและความรู้ที่ได้จากการเรียนในชั้นปีก่อน ๆ มาใช้ในการพัฒนาต่อยอดการมีส่วนร่วม (Engagement) การสร้างแรงบันดาลใจ (Motivation) การคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) และการดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น (Independence)

“Year 3 ที่โชรส์เบอรี เด็ก ๆ จะได้เริ่มสวมเสื้อเชิ้ต ผูกเนคไท และใส่รองเท้านักเรียนที่เหมาะสมมาเรียนหนังสือ เริ่มย้ายห้องเรียนจากชั้นล่างขึ้นไปอยู่ชั้นบน เริ่มได้ใช้พื้นที่ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกของโรงเรียนมากขึ้น และเริ่มได้รับมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบต่าง ๆ เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละวันที่ช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้และสัมผัสได้ถึงการเติบโตขึ้น มากไปกว่านั้นยังเป็นการเปิดโลกทัศน์และโอกาสทางการเรียนรู้ที่หลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เด็กมีความพร้อมและประสบความสำเร็จในการศึกษาระดับที่สูงขึ้นในอนาคต”

ทั้งนี้ จากการศึกษาวิจัยพบว่า หากต้องการพัฒนาทักษะด้านภาษาของบุตรหลานให้ดีเทียบเท่ากับเจ้าของภาษานั้น ๆ ควรเริ่มต้นก่อนอายุ 10 ปี ซึ่งตรงกับแนวทางการเรียนการสอนที่ ซิตี้ แคมปัส ซึ่งให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษโดยครูผู้สอนจากประเทศอังกฤษโดยตรง พร้อมทั้งผนวกหลักสูตรภาษาไทยและภาษาจีนกลางที่ดีที่สุดเข้าไปในกระบวนการเรียนการสอนตั้งแต่แรกเริ่ม เพื่อให้มั่นใจว่านักเรียนจะมีทักษะภาษาอังกฤษที่เป็นเลิศ สามารถใช้ภาษาไทยและภาษาจีนกลางได้อย่างคล่องแคล่วแตกฉาน ทั้งทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนชั้น Year 3 ซึ่งเป็นช่วงวัยที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ด้านภาษา จะมีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทยและภาษาจีนกลางมาร่วมวางแผนการเรียนการสอนกับคุณครูประจำชั้นเรียนอย่างใกล้ชิด สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของประโยชน์ที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเริ่มต้นศึกษาในหลักสูตรนานาชาติตั้งแต่อายุยังน้อย แทนที่จะรอจนเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นซึ่งอาจจะสายเกินไปสำหรับการสร้างพัฒนาการที่สมบูรณ์”

“โรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ ทั้ง ซิตี้ แคมปัส และริเวอร์ไซด์ แคมปัส” มุ่งมั่นส่งเสริมพัฒนาการและศักยภาพอย่างรอบด้านให้กับผู้เรียนทุกช่วงวัย ด้วยหลักสูตรการศึกษาที่ได้มาตรฐานระดับโลก บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ สื่อการสอนและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย ตลอดจนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและเอื้อต่อการเรียนรู้

พ่อแม่ผู้ปกครองที่สนใจนำบุตรหลานมาสมัครเรียน สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมและลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรม Open House ของโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี กรุงเทพ เพื่อเยี่ยมชมบรรยากาศการเรียนการสอนและพูดคุยกับครูใหญ่รวมทั้งบุคลากรอย่างใกล้ชิดได้ทางเว็บไซต์ www.shrewsbury.ac.th

 

ประกันมนุษย์เงินเดือนซีรีส์ใหม่ “คุณเจ็บ…เงินไม่เจ็บ”

 

“ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์” (TQM) จับมือ “กรุงเทพประกันภัย” (BKI) คลอดประกันมนุษย์เงินเดือนซีรีส์ใหม่ “คุณเจ็บ เงินไม่เจ็บ” มุ่งตอบโจทย์เพนพอยท์ “กลุ่มมนุษย์เงินเดือน” ตอกย้ำผู้นำตลาดที่เข้าใจทุกอินไซต์ของคนทำงาน ด้วยการวางโปรดักส์ที่คลอบคลุมทุกช่วงชีวิต ภายใต้แนวคิด “คุ้มครองทุกก้าวความสำเร็จให้เรื่อง เงิน – รถ – บ้าน – สุขภาพ – การเดินทาง” ควาตัว “เจมส์ มาร์” เป็นพรีเซ็นเตอร์ปีที่ 2 พร้อมเปิดตัวแคมเปญโฆษณาใหม่ล่าสุด

ดร.อัญชลิน พรรณนิภา ประธาน บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา TQM และ BKI นับเป็นผู้บุกเบิกทำตลาดประกันภัยสำหรับมนุษย์เงินเดือนมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยที่ผ่านมาทั้ง 2 บริษัทได้มุ่งออกแบบและพัฒนาโปรดักส์ให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของมนุษย์เงินเดือนครอบคลุมทุกความต้องการอย่างแท้จริง และได้เดินหน้าทำตลาดเชิงรุกด้วยการเปิดตัว “เจมส์ มาร์” เป็นพรีเซ็นเตอร์ เข้ามาช่วยสร้างกระแสการรับรู้ ช่วยถ่ายทอดรายละเอียดความคุ้มครองให้กลุ่มเป้าหมายเข้าใจง่ายและน่าสนใจยิ่งขึ้น ส่งผลให้ประกันมนุษย์เงินเดือนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปีที่ผ่านมา

ล่าสุดได้เปิดตัวประกันมนุษย์เงินเดือนซีรีส์ใหม่ “คุณเจ็บ…เงินไม่เจ็บ” สำหรับคุ้มครองทุกความสำเร็จของมนุษย์เงินเดือน ไม่ต้องกังวลว่าเงินเดือนจะหมดไปกับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด โดยแนวคิดในการออกแบบประกันมนุษย์เงินเดือนซีรีส์ “คุณเจ็บ…เงินไม่เจ็บ” มุ่งตอบโจทย์เพนพอยท์ (Pain Point) กลุ่มเป้าหมาย โดยจากการศึกษาถึงพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายระหว่าง 25-55 ปี ซึ่งมีหลายเจนเนอเรชั่นหลากหลายไลฟ์สไตล์ พบว่า คนกลุ่มนี้มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ความใฝ่ฝันที่อยากมีอนาคตที่ดี มีความมั่นคงในชีวิต มีบ้าน มีรถ มีเงินเก็บไว้ใช้หลังเกษียณ แต่เพนพอยท์ที่ส่งผลให้มนุษย์เงินเดือนไม่สามารถทำตามเป้าหมายได้คือ ค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดฝันจากการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุ จึงมั่นใจว่าประกันซีรีส์ใหม่นี้จะประสบผลสำเร็จเช่นทุกปีที่ผ่านมาและคาดว่าช่วยผลักดันรายได้รวมปีนี้ให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้

ดร.อภิสิทธิ์ อนันตนาถรัตน กรรมการและประธานคณะผู้บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดประกันภัยเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับกลุ่มมนุษย์เงินเดือนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมากขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มใหญ่และมีกำลังซื้อ แต่จะเป็นการทำการตลาดเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หรือนำเสนอโปรดักส์บางประเภทเท่านั้น ขณะที่ TQM และ BKI เป็นรายเดียวในตลาดที่ออกแบบความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ประกันมนุษย์เงินเดือนครบทุกความต้องการครอบคลุมทุกเจนเนอเรชั่น รวมทั้งหมด 6 โปรดักส์ ได้แก่ 1.ประกันรถยนต์ 2.ประกันสุขภาพ Health on Top 3.ประกันมะเร็ง 4.ประกันภัยอุบัติเหตุ 2 เด้ง 5.ประกันการเดินทาง และ 6.ประกันบ้านที่อยู่อาศัย

“เพราะเราเข้าใจว่าในทุกวันของชีวิตมนุษย์เงินเดือนต้องเผชิญกับความเสี่ยงรอบตัวและอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั้งที่เป็นปัจจัยภายนอกและภายในร่างกาย ทั้งในวันทำงานและวันหยุด ดังนั้น คอนเซ็ปต์ประกันมนุษย์เงินเดือนในซีรีส์ใหม่นี้จึงตั้งใจออกแบบความคุ้มครองที่เอาใจคนวัยทำงานมากขึ้นครบทุกฟังก์ชัน Work, Play, Pause ให้ความคุ้มครองเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยไม่คาดฝัน สร้างหลักประกันที่ช่วยรองรับความเสี่ยง เบี้ยประกันภัยไม่แพง มีเงินชดเชยรายได้เมื่อต้องพักรักษาตัวไม่สามารถทำงานได้ เพื่อให้ประกันได้อยู่เคียงข้างกับมนุษย์เงินเดือนในทุกสถานการณ์ ตอบโจทย์ด้วยโปรดักท์ที่ครอบคลุมทุกเรื่องในชีวิตให้ เงิน – รถ – บ้าน – สุขภาพ – การเดินทางยังอยู่กับคุณเสมอ” 

ดร.นภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีคิวเอ็ม อินชัวร์รันส์ โบรคเกอร์ จำกัด กล่าวว่า ลูกค้าที่เป็นมนุษย์เงินเดือนมีอยู่ทั่วประเทศและมีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย การวางแนวทางการขายจึงต้องให้คลอบคลุมและเข้าถึงมากที่สุดแบ่งเป็นช่องทางดิจิทัล ทั้งเฟซบุ๊กและไลน์ TQM Insurance Broker เว็บไซต์ www.tqm.co.th นอกจากนี้ ยังคงมีช่องทางขายผ่าน Tele sale โทร.1737 ซึ่งเป็นช่องทางหลักของ TQM ขณะที่ลูกค้าต่างจังหวัดจะใช้การขายแบบ Face to Face ผ่าน 95 สาขาทั่วประเทศของ TQM

ประกันมนุษย์เงินเดือนในปีนี้จะสามารถครองใจผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากเราเข้าใจจริงและเข้าใจครบว่า มนุษย์เงินเดือนไม่ได้มีแค่เรื่องการคุ้มครองชีวิต หรือสุขภาพเท่านั้น แต่เราดูแลครบ 360 องศา ด้วยความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ที่ถูกใจลูกค้า แผนการตลาดที่มาอย่างเต็มรูปแบบผสานรวมกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเป็นช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ยังมีซีรีย์ภาพยนตร์โฆษณาชุด “คุณเจ็บ…เงินไม่เจ็บ” เพื่อสื่อสารไปยังมนุษย์เงินเดือนผ่านช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์

แคมเปญพิเศษของประกันมนุษย์เงินเดือนเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายในช่วงไฮซีซั่นนี้ เมื่อซื้อประกันสุขภาพมนุษย์เงินเดือน Health On Top รับฟรี! นาฬิกาเพื่อสุขภาพ หรือซื้อประกันรถยนต์มนุษย์เงินเดือน เบี้ยประกันตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป รับฟรี! เสื้อมนุษย์เงินเดือน เริ่มวันนี้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2653 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

 

“อิมแพ็ค ฟิตเนส” จัดโปรแรงท้ายปี “ยิ่งเหมา ยิ่งคุ้ม”

อิมแพ็ค ฟิตเนส ภายใต้การบริหารของ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุข ส่งท้ายปี ด้วยโปรโมชั่นร้อนแรง “ยิ่งเหมา ยิ่งคุ้ม” สำหรับสมาชิกใหม่ สมัครแพกเกจ 1 เดือน ในราคาเพียง 1,500 บาท จากปกติ 1,950 บาท และพิเศษสุดสำหรับผู้ที่รักการออกกำลังกาย ยิ่งสมัครยาว ยิ่งคุ้มค่า โดยแพ็กเกจ 6 เดือน ราคาเพียง 9,000 บาท และคุ้มสุด ๆ กับแพ็กเกจ 1 ปี ในราคาเพียง 16,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562

ปัจจุบัน อิมแพ็ค ฟิตเนส ให้บริการคลาสออกกำลังกายที่หลากหลายกว่า 150 คลาสหมุนเวียนกันในแต่ละสัปดาห์ พลาดไม่ได้กับคลาสสุดฮอตที่จะทำให้ทุกคนฟิตแอนด์เฟิร์มอย่าง IMPACT Dance ที่เป็นการผสมผสานการเต้นหลากหลายรูปแบบ อาทิ แจ๊ส ลาติน ฮิปฮอป หรือจะเป็นคลาส Body Weight Lifting ที่ช่วยเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 500 แคลอรี่ต่อชั่วโมง โดยใช้อุปกรณ์ประเภทบาร์เบล แผ่นน้ำหนัก พร้อมจังหวะดนตรีที่ชวนให้คุณสนุกทุกการเคลื่อนไหว สำหรับสายสตรองและผู้ที่ชอบศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว ขอแนะนำคลาส IMPACT Fight ที่ทุกคนจะได้ปล่อยหมัดกันแบบไม่ยั้งไปพร้อมกับจังหวะเพลงที่สนุกสนานเร้าใจ โดยสามารถเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 800 แคลอรี่ต่อชั่วโมง

เลือกชมคลาสออกกำลังกายกว่า 150 คลาสได้ทาง http://www.impactfitnessth.com/th/aboutus.php สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมทางเฟซบุ๊ก IMPACT Fitness หรือ โทร.0 2980 7035 ต่อ 8000, 8402 หรือ 09 5210 3045

“มหกรรมแฟรนไชส์สร้างอาชีพ ครั้งที่ 34” เปิดรับผู้สนใจร่วมออกบูธ

กลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่รับปี 2020 สำหรับ งานมหกรรมแฟรนไชส์สร้างอาชีพ (THAILAND FRANCHISE EXPO) ครั้งที่ 34 โดย บริษัท จี เซเว่น จำกัด ผู้จัดงานมหกรรมแฟรนไชส์สร้างอาชีพ ภายใต้การบริหารงานของ นายวีระเดช ชูแสงกิจ ผู้บริหารบริษัท จี เซเว่น จำกัด ตั้งใจเต็มที่และเตรียมพร้อมอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการที่สนใจมาร่วมออกบูธจำหน่ายสินค้าและบริการภายในงานซึ่งทำเลในการจัดงานครั้งนี้ถือว่าเป็นทำเลทอง เดินทางสะดวกกับการจัดงานแสดงแฟรนไชส์ครั้งใหญ่สุดในย่านลาดพร้าว

เปิดรับแฟรนไชส์ทุกประเภท ทั้งแฟรนไชส์อาหารเครื่องดื่ม – ธุรกิจเครื่องหยอดเหรียญ – โรงงานรับผลิตสร้างแบรนด์ OEM – สินค้ารับตัวแทนจำหน่าย – บรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม – ผู้นำเข้าวัตถุดิบ อุปกรณ์ ร้านชา กาแฟ เบเกอรี่ โดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันที่ 30 มกราคม – 2 กุมภาพันธ์ 2563 ชั้น 5 BBC Hall เซ็นทรัลลาดพร้าว

ยิ่งพิเศษไปกว่านั้นภายในงานยังมีการจัดพิธีมอบรางวัล “สุดยอดแฟรนไชส์สร้างอาชีพแห่งปี 2019 : THAILAND PEOPLE CHIOCE” ให้แก่ 50 แบรนด์แฟรนไชส์ที่คนไทยชื่นชอบ พร้อมการจับ! แจก! แฟรนไชส์ฟรี!บอกเลยว่าพลาดแล้วจะเสียใจ!

ผู้ประกอบการที่สนใจเข้าร่วมออกบูธ สามารถติดต่อได้ที่ บริษัท จี เซเว่น จำกัด จองพื้นที่/สอบถามรายละเอียด โทร.0 2120 7901, 08 1959 9878

“ดีป้า”ชวนท้าประลองฝีมือการออกแบบเครื่องแต่งกาย

โอกาสดีมาถึงแล้ว! สำหรับคนมีไอเดียและความฝันอยากออกแบบเสื้อผ้าและแสดงฝีมือด้านแฟชั่นให้โลกได้รับรู้

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ “ดีป้า” กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ขอเชิญชวนเยาวชนไทยและประชาชนที่มีความสามารถด้านการออกแบบ ร่วมส่งผลงานเข้าประกวดออกแบบเครื่องแต่งกาย สำหรับเจ้าหน้าที่ประจำอาคารแสดงประเทศไทย ในโครงการWorld Expo 2020 Dubai Costume Design Contest ในงาน World Expo 2020 Dubai ชิงตั๋วเครื่องบินไป-กลับ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมประกาศนียบัตรและทริปเปิดประสบการณ์ชมงานนิทรรศการระดับโลก

แนวคิดในการออกแบบเครื่องแต่งกายต้องแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์ความเป็นไทย แต่ยังคงไว้ซึ่งความโดดเด่นทันสมัย เรียบหรู และมีสไตล์ สอดคล้องกับรูปแบบการนำเสนอและแนวคิดของอาคารแสดงประเทศไทย

สนใจส่งผลงานเข้าประกวดได้ ตั้งแต่บัดนี้ ถึงวันที่ 5  มกราคม 2563 โดยจะประกาศผลการคัดเลือกผู้เข้ารอบ 15 แบบสุดท้ายในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 และประกาศผลผู้ชนะเลิศในเดือนเมษายน 2563 สามารถกรอกใบสมัครและดูรายละเอียดได้ที่ www.expo2020dubaithailand.com หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ info@thailandexpo2020.com และ Facebook : EXPO 2020 DUBAI THAILAND

“มั่นคงฯ” รับลูกนโยบายรัฐ “บ้านดีมีดาวน์”

alivesonline.com : “มั่นคงเคหะการ” ขานรับนโยบาย “บ้านดีมีดาวน์” คัด 10 โครงการ ทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด บ้านเดี่ยว กว่า 300 ยูนิต บนทำเลศักยภาพครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมมอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ มากมาย หวังตอบโจทย์ความต้องการซื้อบ้านช่วงปลายปี 62

ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติออกมาตรการลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย ภายใต้โครงการ “บ้านดีมีดาวน์” เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ซึ่งภาครัฐสนับสนุนเงินผ่อนดาวน์รายละ 5 หมื่นบาท สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 1,2 ล้านบาทต่อปี จำนวน 1 แสนราย โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนขอรับสิทธิตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 – 31 มีนาคม 2563 และทำนิติกรรม จดจำนองบ้านได้ตั้งแต่ 27 พฤศจิกายน 2562 – วันที่ 31 มีนาคม 2563 นั้น

นายศักดินา แม้นเลิศ รองกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารโครงการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย เพื่อเช่าและเพื่อการบริการ เปิดเผยว่า มติ ครม. ดังกล่าว นับเป็นมาตรการที่จะเข้ามามีส่วนช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อและหนุนภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาคึกคัก ซึ่งหากมองในภาพรวมต้องยอมรับว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียน อีกทั้งยังเชื่อมโยงกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัสดุก่อสร้าง เหล็ก เฟอร์นิเจอร์ อินทีเรียดีไซน์ เป็นต้น ขณะเดียวกันในแง่ของผู้บริโภค ก็ได้รับประโยชน์เช่นเดียวกัน โดยมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมานั้นมั่นใจว่าสามารถช่วยตอบโจทย์ความต้องการซื้อบ้านของผู้บริโภคในช่วงปลายปีซึ่งก็หวังว่าจะมีมาตรการดี ๆ ออกมาช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจต่อไปในอนาคตอีกเรื่อย ๆ

นอกจากที่ภาครัฐจะสนับสนุนเงินผ่อนดาวน์รายละ 5 หมื่นบาทแล้ว “มั่นคงฯ” ยังมีความพร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่จองที่อยู่อาศัยภายใต้การพัฒนาของบริษัทฯ ด้วยเช่นกัน ได้แก่ ฟรีค่ามิเตอร์น้ำ–มิเตอร์ไฟ, ฟรีค่าส่วนกลาง 3 ปี, เฟอร์นิเจอร์ห้องนอนใหญ่ 1 ชุด, เครื่องปรับอากาศห้องนอนใหญ่ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอีก 5 รายการ

สำหรับโครงการของ “มั่นคงฯ” ที่เข้าร่วมนโยบาย “บ้านดีมีดาวน์” ทั้งหมด 10 โครงการ จำนวนกว่า 300 ยูนิต คือ ทาวน์โฮม 6 โครงการ ได้แก่ ชวนชื่น ทาวน์ ชัยพฤกษ์–แจ้งวัฒนะ, ชวนชื่น ทาวน์ รังสิต-คลอง 1, ชวนชื่น ทาวน์ ราชพฤกษ์-345, ชวนชื่น ทาวน์ แก้วอินทร์-บางใหญ่, ชวนชื่น ทาวน์–บางใหญ่, ชวนชื่น ทาวน์ วิลเลจ บางนา บ้านแฝด 1 โครงการ ได้แก่ ชวนชื่น พาร์ค อ่อนนุช-วงแหวน และบ้านเดี่ยว 3 โครงการ ได้แก่ ชวนชื่น ไพรม์ วิลเลจ บางนา, ชวนชื่น ไพร์มวิลล์ กรุงเทพ-ปทุมธานี และชวนชื่น ซิตี้ วัชรพล-รามอินทรา

ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมและติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ www.mk.co.th หรือ facebook.com/munkongfamily หรือ โทร.1622

 

กสทช. สร้างเสริมศักยภาพเครือข่ายภาคประชาชน

สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดย สำนักรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (รท.) จัดกิจกรรมเพื่อสร้างเสริมศักยภาพเครือข่ายภาคประชาชนระดับอำเภอด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม สำหรับภาคเหนือตอนบน ณ ห้องประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์ลำพูน อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน โดยได้รับเกียรติจาก นายชัยนรงค์ วงศ์ใหญ่ หัวหน้าสำนักงานจังหวัดลำพูน เป็นประธานเปิดการจัดกิจกรรมฯ และ นายชุติเดช บุญโกสุมภ์ ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีและมาตรฐานโทรคมนาคม เป็นผู้กล่าวรายงาน และเป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ “บริบทกิจการโทรคมนาคมไทยและการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ในยุคไทยแลนด์ 4.0” ให้แก่ผู้นำเครือข่ายระดับจังหวัด และระดับอำเภอของภาคเหนือตอนบน จำนวน 8 จังหวัด ได้แก่จังหวัดลำพูน จังหวัดลำปาง จังหวัดแพร่ จังหวัดพะเยา จังหวัดน่าน จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย และจังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวนกว่า 300 คน