Special Story » แนะคนไอทีอัปสกิล “บล็อกเชน – ปลดล็อกกฎหมาย”

แนะคนไอทีอัปสกิล “บล็อกเชน – ปลดล็อกกฎหมาย”

8 ธันวาคม 2019
0

alivesonline.com : ผ่านพ้นอย่างยิ่งใหญ่สมการรอคอยสำหรับการจัดงาน “Blockchain Thailand Genesis 2019” มหกรรมงานบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในไทย ภายใต้แนวคิด “The Future of Financial Disruption” โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 3 พันคน

การจัดงานครั้งนี้นำทีมโดย นายกานต์นิธิ ทองธนากุล เลขาธิการสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย และนายสัญชัย ปอปลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล พร้อมแชร์ประสบการณ์ในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้งาน ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถนำมาใช้ เพื่อยกระดับในการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เข้ากับระบบการเงิน (Fintech) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในการให้บริการทางการเงิน

depa แนะคนไอทีอัปสกิลบล็อกเชน

ดร.รัฐศาสตร์ กรสูต รองผู้อำนวยการสำนักงาน กลุ่มสังคมและกำลังคนดิจิทัล สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กล่าวในหัวข้อ แนวทางการส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรด้านบล็อกเชน ว่า ภายในอีก 3-5 ปี บล็อกเชนจะเข้ามามีบทบาทในการบังคับใช้สัญญาต่าง ๆ มากขึ้น โดยปัจจุบันมีบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกด้านไอทีที่ก้าวมาสู่การพัฒนาธุรกิจบล็อกเชนมากขึ้น อีกทั้งอุตสาหกรรมต่าง ๆก็เริ่มนำบล็อกเชนไปประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจบริการสุขภาพ ธุรกิจพลังงาน และธุรกิจการท่องเที่ยว จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นช่วงเติบโตขาขึ้นของบล็อกเชน หรือ Growth Stage ซึ่งจำเป็นต้องเร่งพัฒนาบุคลากรให้พร้อม ทั้ง Non-Technical Developer หรือนักพัฒนาที่ไม่ต้องทำงานเชิงเทคนิค ซึ่งเป็นกลุ่มที่เน้นความรู้เชิงธุรกิจและความเข้าใจในลักษณะการทำธุรกิจบล็อกเชน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือ Technical Developer หรือโปรแกรมเมอร์ที่สามารถทำงานในเชิงเทคนิคได้

“ปัจจุบันโลกกำลังเปลี่ยนไปแล้ว การเรียนรู้การศึกษาไม่จำเป็นต้องอยู่แค่ในมหาวิทยาลัย ต้องให้เยาวชนไปเรียนรู้จากประสบการณ์จริงจากการทำงาน ไปเผชิญกับปัญหาจริง ๆ ในอุตสาหกรรม โดยมีอาจารย์เป็นที่ปรึกษาควบคู่ไปด้วย การศึกษานับจากนี้จึงจะต้องเป็นการศึกษาให้ได้งาน ไม่ใช่แค่ใบปริญญาอีกต่อไป”

แนะผู้มีอำนาจปลดล็อกบล็อกเชน

นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ มาแชร์ประสบการณ์ในหัวข้อ GovTech และ Blockchain : อนาคตแห่งโลกนวัตกรรมดิจิทัล ว่า การนำบล็อกเชนเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการข้อมูลของภาครัฐจะทำให้เกิดความสะดวกและโปร่งใสมากขึ้น โดยปัจจุบันข้อมูลต่าง ๆ นั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล ยกตัวอย่างสิงคโปร์ที่รัฐให้นำข้อมูลการจราจรกับเอกชน เพื่อนำไปพัฒนาเป็นโมเดลใหม่ ๆ และนำมาแก้ไขปัญหารถติดได้

GovTech หรือ เทคโนโลยีบริหารจัดการภาครัฐ เป็นสิ่งที่เชื่อได้ว่าจะต้องเกิดขึ้น เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเทคโนโลยีบล็อกเชนเท่านั้น แต่หมายรวมถึงทุก ๆเทคโนโลยี ในทุกยุคทุกสมัย โดยอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่ในประเทศไทยคือการตัดสินใจของผู้มีอำนาจ จึงอยากฝากให้ผู้มีอำนาจ ปลดล็อกกำแพงต่าง ๆ ซึ่งประกอบด้วย

1.กฎหมาย เพราะเรามีกฎหมายมากมายที่ไม่เอื้อต่อการใช้เทคโนโลยีและมีความล้าหลัง ในบางอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลงสูงควรตั้งหน่วยงานกำกับดูแลแทนการใช้กฎหมายบังคับ

2.การแข่งขัน พบว่ามีสตาร์ทอัปจำนวนมากที่ขาดศักยภาพในการแข่งขัน เพราะไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ขณะที่ธนาคารที่มีสภาพคล่องจนล้ ก็ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ แต่ก็เป็นเป็นที่น่ายินดีที่ระบบบล็อกเชนได้ก่อให้เกิดมีการปล่อยกู้แบบ Peer-to-peer หรือการทำธุรกรรมที่ไม่ผ่านตัวกลางเกิดขึ้น รวมถึงการพิจารณาให้เครดิต โดยไม่ยึดเฉพาะธุรกรรมทางการเงินหรือ Alternative Credit Scoring โดยพิจารณาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตในโลกออนไลน์แทน

3.ความคิด การปลดล็อกความคิดเป็นสิ่งสำคัญ ต้องมองให้เห็นประโยชน์ของเทคโนโลยีที่มาช่วยในเรื่องความโปร่ง (Transparency) และการตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability) ซึ่งหลายหน่วยงานภาครัฐก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวแล้ว เช่น กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรฯ ที่วางแผนบริหารจัดการข้อมูล Big Data ของสินค้าเกษตรร่วมกัน

ก.ล.ต. เล็งกำกับดูแลเพิ่มเติม

ดร.นภนวลพรรณ ภวสันต์ ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมเทคโนโลยีทางการเงิน สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ขึ้นพูดในหัวข้อ สินทรัพย์ดิจิทัลและการกำกับดูแลในประเทศไทย ว่า พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัลที่ออกมาเมื่อปี 2561 เกิดขึ้นจากการที่ผู้ลงทุนให้ความสนใจในเรื่องของสินทรัพย์ดิจิทัลมีเพิ่มมากขึ้น ก.ล.ต.จึงต้องเข้ามากับกำดูแล เพื่อให้นักลงทุนมีความรู้ ความเข้าใจ และออกกฎหมายมาเพื่อรองรับและคุ้มครอง รวมไปถึงเรื่องการปราบปรามการฟอกเงินด้วย โดยเร็ว ๆ นี้ ก.ล.ต. จะขยายการกำกับดูแลจากเดิมที่มี Exchange Broker Dealer และ ICO Portal ไปสู่การกำกับดูแลที่ปรึกษาสินทรัพย์ดิจิทัล (Advisor) และผู้จัดการกองทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (Fund Manage) ด้วย

นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงสิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องรู้ก่อนการลงทุนคือ 1.ต้องรู้ราคาและรู้ว่าสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นมีความผันผวนสูง 2.สินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงทางด้านระบบไอที 3.ผู้ประกอบการต้องได้รับการอนุญาตจาก ก.ล.ต. ตามที่มีประกาศในเว็บไซต์ พร้อมกับย้ำว่าในกรณีที่ผู้ลงทุนลงทุนในต่างประเทศ ก.ล.ต. ไม่สามารถให้ความคุ้มครองผู้ลงทุนได้

ห่วงแชร์ลูกโซ่ ทำประเทศชาติสูญงบประมาณ

ปิดท้ายที่วงเสวนา Fireside Chat : ชําแหละกลโกงที่ทุกคนต้องรู้ก่อนลงทุนคริปโต! โดย พ.ต.ท.ปองพล เอี่ยมวิจารณ์ นักวิชาการด้านอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สํานักงานตํารวจแห่งชาติ นายนันทวัจน์ เหลืองอรุณ นักจิตบําบัด นักลงทุนอิสระ เจ้าของเพจลิงรู้เรื่อง และพีรพัฒน์ หาญคงแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Blockchain Review ต่างมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า “แชร์ลูกโซ่” ยังเป็นปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยคาดว่าคดีเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ในปัจจุบันมีมูลค่าความเสียหายนับ 1 แสนล้านบาท ซึ่งในกระบวนการทำคดีมีค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก รัฐต้องสูญเสียงบประมาณเป็นเงินหลายล้านไปจนถึงหลักสิบล้านบาทในการบริหารจัดการคดี ในขณะที่เงินดิจิทัลเป็นของใหม่และเป็นของที่ยากจะเข้าใจฟังดูดี ฟังดูน่าตื่นเต้น แต่ไม่ได้แปลว่าทุกตัวจะดีหมด เช่นเดียวกับคนที่จัดตั้งบริษัท คนสามารถจัดตั้งบริษัทขึ้นมาได้ แต่ไม่ได้แปลว่าบริษัทเขาจะมีผลประกอบการที่ดี จึงอยากเตือนให้ผู้ที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลโปรดใช้ความระมัดระวังและตรวจสอบข้อมูลให้ละเอียดรอบคอบ จากกรณีที่เกิดการหลอกลวงลงทุนในช่วงปีที่ผ่านมาที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้เร็ว ๆ นี้จะมีกฎหมายเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่โดยตรงออกมาบังคับใช้