กางแพ็คเกจ แคมเปญ “เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก” ดีเดย์ 1 พ.ย.62

alivesonline.com : S H O C K กันทั้งบาง ! เมื่อ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท. ) จัดแคมเปญ “เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก” ภายใต้โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว “ถึงเวลาทัวร์ให้ทั่วไทย” เพื่อสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงปลายปี 62 ถึงต้นปี 63 ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรนั้น ติดตามได้ใน Infographic ในเรื่อง 

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์  รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ททท. กล่าวถึงรายละเอียดของแคมเปญ “เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก” ว่า เป็นแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยวในวันธรรมดาเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างจำนวนนักท่องเที่ยวกับพื้นที่ในการรองรับ โดยนำเสนอสินค้าและบริการหรูหราของประเทศไทยที่มีมาตรฐานระดับสากล กิจกรรมท่องเที่ยวชุมชนโดยนำเสนอโปรโมชั่นลดราคาสูงสุดถึง 80% เพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวไทยระดับกลาง-บน ควบคู่กับการยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยสู่ High Value Destination ผ่านการสร้างประสบการณ์พิเศษให้แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยด้วย 9 กลุ่มสินค้าทางการท่องเที่ยวที่ได้รับความร่วมมือกับผู้ประกอบการเป็นอย่างดี ได้แก่

1.กลุ่มบัตรโดยสารสายการบิน อาทิ การบินไทยและสายการบินไทยสมายล์ เสนอโปรโมชั่นทุกเส้นทางบินในประเทศ เริ่มต้นเที่ยวละ 1,150 บาท สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เสนอโปรโมชั่นทุกเส้นทางบินในประเทศ เริ่มต้นเที่ยวละ 990 บาท

2.กลุ่มโรงแรมที่พักระดับ 5 ดาว อาทิ ศรีพันวา ภูเก็ตวิลล่า เสนอแพ็คเกจห้องพัก Pool Suite West Ocean View และบันยันทรีสมุย เสนอห้องพัก Pool Villa ในราคาเพียง 9,999 บาท/คืน

3.กลุ่มสินค้าด้านสุขภาพและความงาม อาทิ TRIA Medical Wellness Center เสนอแพ็คเกจสุขภาพความงาม (ฝังเข็ม, H2O Bright, Onsen, Beauty Salad) ลด 50% เหลือ 2,500 บาท A Spa Retreat ที่โรงแรม X2 Koh Samui เสนอโปรโมชันจากราคา 5,000 บาท ลดเหลือ 1,999 บาท

4.กลุ่มสินค้าระดับพรีเมียม อาทิ บริษัท Blue Voyage เสนอแพ็คเกจท่องเที่ยวด้วยเรือยอชต์สำหรับ 10 คน ในราคาเพียง 19,999 บาท และสมาคมธุรกิจเรือยอร์ชไทย เสนอแพ็คเกจท่องเที่ยวโดยเรือยอชต์จากราคา 50,000 บาท ลดเหลือ 9,999 บาท

5.กลุ่มกิจกรรมท่องเที่ยวชุมชน อาทิ โปรแกรมพายเรือแคนูอ่าวท่าเลน จังหวัดกระบี่ (รวมรถรับ-ส่ง) จากราคา 1,299 บาท เหลือเพียง 199 บาท

6.กลุ่มพันธมิตรอาหารไทยอาหารถิ่นสู่มิชลินสตาร์ อาทิ ร้าน R-Haan เสนอ Chef Table ตามแนวคิด “Top Chef อาหารไทย ปะทะ Top Chef ชุมชน” จากราคา 4,999 บาท ลดเหลือ 999 บาท สมาคมภัตตาคารไทย จัดแคมเปญ “100,000 อิ่ม กินวันธรรมดา ราคาช็อกโลก” นำเสนอประสบการณ์อาหารไทยในร้านอาหารชื่อดังในราคาพิเศษ อาทิ ครัวเจ๊ง้อ

7.กลุ่มนันทนาการ อาทิ นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ องค์การสวนสัตว์ มอบส่วนลดบัตรเข้าชมในราคาพิเศษ สยามนิรมิตกรุงเทพฯ และภูเก็ต เสนอบัตรชมการแสดงพร้อมอาหารค่ำ ลดราคาจาก 1,900 บาท เหลือ 800 บาท สวนน้ำ วานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหิน เสนอส่วนลดบัตรเข้าชมในราคาลด 50%

8.กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวออนไลน์ อาทิ Klook นำเสนอแคมเปญ “ลามะชวนเที่ยว วันธรรมดาราคาช็อกโลก” โดยมอบส่วนลดเพิ่มจากสินค้าท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มจากราคาลดหน้าเว็บไซต์อีก 11% ในเดือนพฤศจิกายน และ 12% ในเดือนธันวาคม 2562

9.กลุ่มห้างสรรพสินค้าชั้นนำ พร้อมเสนอโปรโมชั่นช็อกโลกพร้อมกัน เริ่มวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562

นักท่องเที่ยวที่สนใจร่วมแคมเปญเที่ยววันธรรมดาราคาช็อคโลก ต้องมีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ (ณ วันลงทะเบียน) สามารถลงทะเบียนเพื่อสำรองสิทธิ์ได้ที่ www.tourismthailand.org/เที่ยววันธรรมดา หรือ www.เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก.com ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน (00.00 น.) – 31 ธันวาคม 2562 เมื่อลงทะเบียนแล้วจะสามารถเข้าไปเลือกสินค้าทางการท่องเที่ยวได้จาก 9 กลุ่มที่ปรากฏ จากนั้นจะได้รหัสคูปอง (promotional code) แล้วชำระเงินตามเงื่อนไขของผู้ประการนั้น ๆ ภายใน 5 วัน มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ โดยเว็บไซต์จะแสดงจำนวนรายการที่เหลือจากการจองอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการที่มอบราคาพิเศษโดยไม่จำกัดจำนวนสิทธิ์ ดังนั้น นักท่องเที่ยวสามารถดูข้อมูลได้จากเว็บไซต์ดังกล่าว แล้วไปใช้บริการในราคาพิเศษได้เลยโดยไม่ต้องสำรองสิทธิ์ล่วงหน้า สำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิ์และชำระเงินแล้วจะสามารถใช้สินค้าและบริการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 31 ธันวาคม 2562

สำหรับกลุ่มโรงแรมที่พักสามารถใช้บริการได้ในวันจันทร์-พฤหัสบดี ส่วนอีก 8 กลุ่มที่เหลือสามารถใช้บริการได้ในวันจันทร์–ศุกร์ โดยไม่สามารถโอน/เปลี่ยน/แลก/ทอน เป็นเงินสด หรือไม่สามารถยกเลิก/แก้ไขรายการได้ทุกกรณี โดยผู้เข้าร่วมโครงการที่ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วจะได้ลุ้นรับแพคเก็จท่องเที่ยววันธรรมดาราคา 1 บาท จำนวน 8 รางวัล จับรางวัลทุกวันศุกร์ จำนวน 8 ครั้ง ซึ่ง ททท. จะมีการเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการและรายละเอียดอื่น ๆ ในเว็บไซต์ต่อไป

 

 

 

“ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” แคมเปญนี้นักเที่ยว “ต้องห้ามพลาด” เริ่ม 11 พ.ย.62

alivesonline.com : “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” แคมเปญท่องเที่ยวมหัศจรรย์ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดขึ้นภายใต้โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว “ถึงเวลาทัวร์ให้ทั่วไทย” เพื่อสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงปลายปี 62 ถึงต้นปี 63 พร้อมเริ่มให้นักท่องเที่ยวได้ลงทะเบียนแล้ว ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย.62 ส่วนรายละเอียดและขั้นตอนเป็นอย่างไรบ้างนั้นติดตามได้จาก Infographic ในเรื่อง

นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. กล่าวถึงรายละเอียดของแคมเปญ “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย”ว่า แคมเปญนี้ ททท. มุ่งจูงใจให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวด้วยราคา ช่วงเวลาการเดินทาง และสินค้าทางการท่องเที่ยวที่น่าสนใจกับ 5 หมวดของขวัญคือ 1.หมวดการเดินทาง อาทิ บัตรโดยสารเครื่องบินและรถบัสปรับอากาศ 2.หมวดที่พัก 3.หมวดอาหารและเครื่องดื่ม 4.หมวดแพคเก็จทัวร์ และ 5.หมวดแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมนันทนาการ และอื่น ๆ ซึ่งมีของขวัญทั้งหมด 40,000 ชิ้น(รายการ) ในราคาชิ้นละ 100 บาท

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวที่สนใจร่วมแคมเปญ ต้องมีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ (ณ วันลงทะเบียน) มีการทำธุรกรรมทางการเงินผ่าน Internet Banking (e-Banking) และมีเบอร์โทรศัพท์มือถือเพื่อใช้ประกอบการลงทะเบียน โดยสามารถลงทะเบียนได้ทาง www.tourismthailand.org/ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย ใน 4 วันคือ ครั้งที่ 1 วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 ครั้งที่ 2 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 ครั้งที่ 3 วันที่ 11 ธันวาคม 2562 และครั้งที่ 4 วันที่ 12 ธันวาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 06.00–24.00 น. ของแต่ละวัน หรือจนกว่าของขวัญจะหมด โดยในแต่ละวันจะมีของขวัญทั้งหมด 10,000 ชิ้น เมื่อลงทะเบียนผ่านแล้วจะสามารถเลือกซื้อของขวัญได้เพียง 1 ชิ้น/คน (ตลอดโครงการ) ซึ่งเว็บไซต์จะแสดงจำนวนรายการที่เหลือจากการจองเพื่อให้สะดวกในการตัดสินใจ จากนั้นชำระเงิน 100 บาท ผ่านช่องทาง Internet Banking เท่านั้น เมื่อชำระแล้วจะได้รับการยืนยันการสั่งซื้อ และสามารถนำข้อมูลการยืนยันไปใช้บริการได้ตามเงื่อนไขของผู้ประกอบการ

นายนพดล กล่าวเพิ่มเติมว่า ของขวัญในโครงการร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทยนี้สามารถใช้ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 โดยสามารถเลือกซื้อของขวัญได้ในทุกจังหวัด ยกเว้นจังหวัดที่ปรากฏในบัตรประชาชน ทั้งนี้ไม่สามารถโอน/เปลี่ยน/แลก/ทอน เป็นเงินสด หรือไม่สามารถยกเลิก/แก้ไขรายการได้ทุกกรณี นอกจากนี้ ททท. ยังเพิ่มความพิเศษให้กับแคมเปญนี้ด้วยเซอร์ไพรส์กิฟท์ สำหรับผู้ลงทะเบียนในลำดับที่ 6,000 7,000 8,000 9,000 และ 10,000 ในแต่ละวัน รวมไปถึงเซอร์ไพรส์กิฟท์สำหรับนักท่องเที่ยวหัวใจสีเขียว ซึ่งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมตามนโยบายของ ททท. อีกด้วย

เปิดผลสำรวจ “อะไรทำให้คนไทยไม่บรรลุเป้าหมายทางการเงิน ?”

alivesonline.com : GoBear Thailand แพลตฟอร์มเว็บไซต์รวบรวม ค้นหา และเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ชวนคนดังร่วมสัมมนาให้ความรู้ด้านการเงิน “GoBear Fin Detective #สืบฟินวินทุกเรื่องเงิน” เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้บริโภคคนไทยหันมาสนใจสุขภาพทางการเงินของตนเอง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการวางแผนด้านการเงินระยะยาว

นายมาร์นิกซ์ สวาร์ท รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านพัฒนาธุรกิจ และผู้ร่วมก่อตั้ง เว็บไซต์ “โกแบร์” (GoBear.com/th) เว็บไซต์เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ใช้ง่าย ใช้ฟรี และโปร่งใส เปิดเผยถึงการจัดงานสัมมนา “GoBear Fin Detective #สืบฟินวินทุกเรื่องเงิน” ว่า “โกแบร์” (GoBear) ได้จัดทำดัชนีชี้วัดสุขภาพทางการเงินของโกแบร์ หรือ “GoBear Financial Health Index” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการเรียนรู้และทำความเข้าใจถึงแนวคิด ความรู้สึกและการจัดการการเงินส่วนบุคคล ซึ่งการศึกษาดังกล่าวเป็นการศึกษาร่วมกับองค์กรวิจัยชื่อดังเจ้าของรางวัลการันตีอย่าง Kadence International โดยจัดทำขึ้นในตลาดสำคัญสี่แห่งของ GoBear ทั่วเอเชีย ได้แก่ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และไทย

จากผลการศึกษาพบว่าปัญหาหลัก ๆ ของการไม่ลงทุนเกิดจากปัญหาสภาพคล่องทางการเงินมากกว่าโนว์ฮาวทางด้านการลงทุน โดยได้มีการศึกษาในกลุ่มคนไทย 5 กลุ่มอายุคือ กลุ่มอายุ 18-25 ปี กลุ่มอายุ 26-35 ปี กลุ่มอายุ 36-45ปี กลุ่มอายุ 46-55 ปี และกลุ่มอายุ 56-65 ปี พบว่าประมาณ 50% ของทุกกลุ่มอายุไม่ลงทุนเนื่องจากไม่มีเงินเหลือเพียงพอหลังหักรายจ่าย เหตุผลอื่นที่ตามมาคือการขาดความคุ้นเคย หรือขาดความรู้ด้านการลงทุน รวมถึงมองว่าการลงทุนมีความเสี่ยง นอกจากนี้ยังพบว่ากว่า 50% ไม่มีเงินออมในบัญชีที่จะใช้ดำรงชีพได้เกิน 6 เดือนหากเกิดการขาดรายได้กระทันหัน ที่สำคัญคือ ปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงินนี้เป็นปัญหาที่เกิดซ้ำ โดย 66% ของคนไทยพบปัญหานี้เป็นประจำทุกปี และ 15% ของคนที่ขาดรายได้ หรือตกงาน ไม่มีทางออก หรือความช่วยเหลือทางการเงินใด ๆ ทั้งจากญาติพี่น้อง หรือคนรอบข้าง

ปัญหาการขาดวินัยด้านการเงินจึงมักส่งผลให้เกิดปัญหาด้านการเงินอื่น ๆ ตามมา ทั้งเรื่องของหนี้สิน การไม่มีเงินออมและการไม่ได้วางแผนด้านการเงินรองรับชีวิตหลังเกษียณ !

จากการศึกษาพบว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ตั้งเป้าที่จะเกษียณที่อายุต้น 50 ปี แต่ในคนวัย 46 ปีขึ้นไปตั้งเป้าเกษียณที่อายุหลัง 60 ปี นั่นหมายความว่า ถึงแม้คนไทยคาดหวังจะเกษียณเร็วขึ้น แต่เมื่อคนไทยจำนวนไม่น้อยยังขาดวินัยทางการเงิน ทำให้ในความเป็นจริงคนไทยอาจจะยังคงต้องทำงานต่อไปหลังอายุ 60 ปี นอกจากนี้การศึกษาของ Kadence ยังพบอีกว่า 38% ของคนวัย 18-25 ปี ยังไม่เริ่มวางแผนเกษียณ ในขณะที่ยังมีคนวัย 36-45 ปี อีกถึง 26% ยังไม่เริ่มวางแผนเกษียณเช่นเดียวกัน

 

ด้วยเหตุนี้ “โกแบร์” (GoBear) จึงได้จัดงานสัมมนา “GoBear Fin Detective #สืบฟินวินทุกเรื่องเงิน” เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจถึงการตรวจสุขภาพทางการเงิน โดยได้เชิญกูรูด้านการเงินอย่าง ดร.เบญจรงค์ สุวรรณคีรี หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ME by TMB มาร่วมให้คำแนะนำถึงการเสริมสร้างสุขภาพทางการเงินของคนไทย นอกจากนี้ยังมีคู่หูดูโอผู้ก่อตั้งเพจชื่อดัง “เทพลีลา” เหว่ง-ภูศณัฎฐ์ การุณวงศ์วัฒน์ และ เติ๊ด-ภูถิรพัฒน์ อ่องศรี ที่จะมาร่วมให้ข้อมูลและร่วมทำแบบทดสอบเพื่อตรวจสุขภาพทางการเงินด้วย

จากการวิจัยของ โกแบร์ (GoBear) และ Kadence พบว่า คะแนนการประเมินสุขภาพทางการเงินโดยรวมของคนไทยอยู่ที่ระดับ 61% ซึ่งถือว่ายังมีช่องว่างเพื่อการพัฒนาได้อีกมาก ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยในการสำรวจทำคะแนนในแบบทดสอบในส่วนของความรู้ทางการเงินได้น้อยนั่นเอง

สำหรับปัญหาหลัก ๆ ด้านการเงินของคนไทยที่เห็นชัดจากผลการศึกษาแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม คือ

1.ปัญหารายจ่ายสูงกว่ารายได้ ทำให้ไม่เหลือเงินเพื่อเก็บหรือเพื่อลงทุน การศึกษาของ โกแบร์ (GoBear) กับ Kadence พบว่า 49.8% ของคนไทยไม่สามารถลงทุนได้เพราะไม่มีเงินเพียงพอ หากรายได้น้อยรายจ่ายมากควรเลือกการลงทุนด้วยผลิตภัณฑ์ที่ใช้เงินน้อยแต่ให้ความมั่นคงและไม่ต้องเสี่ยงกับภาวะขาดทุน

2.ปัญหาการขาดสภาพคล่องของเงินสดในมือ จากการที่ 50% ของคนไทยไม่มีเงินเก็บเพียงพอที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปโดยไม่ทำงานได้นาน 6 เดือน หมายความว่า หากต้องสูญเสียรายได้ไปเพราะตกงาน หรือประสบเหตุฉุกเฉิน จะทำให้การดำรงชีพเป็นไปอย่างลำบาก

3.การขาดการวางแผนด้านการเงินในวัยเกษียณ หรือเริ่มวางแผนการเงินวัยเกษียณเมื่ออายุมากเกินไป จากตัวเลขการวิจัยพบว่า อายุเฉลี่ยที่คนไทยให้ความสนใจวางแผนด้านการเงินเฉลี่ยอยู่ที่ 41.5 ปี ทั้งที่ในความเป็นจริง การวางแผนด้านการเงินเพื่อการเกษียณสามารถทำได้ตั้งแต่วัย 20 ปีขึ้นไป หรือหลังเรียนจบ เพราะเมื่อเริ่มออมไวจะไม่ต้องออมคราวละจำนวนมาก และมั่นใจได้ว่าจะมีเงินพอใช้ยามเกษียณอย่างแน่นอน และสำหรับคนวัย 30 ปีขึ้นไป หรือ 40 ปีขึ้นไปที่เพิ่งจะคิดวางแผนการเงินวัยเกษียณก็ต้องมีรูปแบบการออมที่แตกต่างไปจากคนเริ่มออมตั้งแต่วัย 20 ปีขึ้นไป

4.การขาดความรู้อย่างจริงจังในเรื่องของการเงิน ทำให้การจัดการใด ๆ ที่เกี่ยวกับการเงินมักมีข้อผิดพลาดเสมอ จากผลการศึกษาพบว่า 19.5% ที่ไม่กล้าลงทุนเพราะไม่มีความรู้ หรือไม่มีความคุ้นเคยกับการลงทุน และ 17.3% คิดว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ทั้ง ๆ ที่การลงทุนมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งที่เสี่ยงมากและเสี่ยงน้อย ดังนั้นหากทุกคนหันมาสนใจสุขภาพทางการเงินของตนเองและศึกษาหาความรู้ด้านการเงินและการลงทุนเพิ่มเติมก็จะสามารถวางแผนด้านการเงินในอนาคตได้อย่างไม่ผิดพลาด

ผู้สนใจศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเงินส่วนบุคคลในด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างเสริมสุขภาพทางการเงินของคุณเองให้ดีขึ้น หรือต้องการเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อการตัดสินใจที่คุ้มค่าและชาญฉลาดที่สุด สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้เลยที่ GoBear.com/th    

         

เตือนปี 63 “หุ้นกู้ด้อยสิทธิคล้ายทุน” ถูกจัดประเภทใหม่เป็น “หนี้สินสะเทือน”

alivesonline.com : PwC ประเทศไทย ห่วงมาตรฐาน TAS 32 ฉบับใหม่ปรับหลักเกณฑ์การจัดประเภทตราสาร อาจทำให้ “หุ้นกู้ด้อยสิทธิคล้ายทุน” เปลี่ยนจากทุนเป็น “หนี้สินในการบันทึกงบการเงิน” ส่งผลกระทบให้ D/E สูงเกินข้อกำหนดในสัญญาเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ จนทำให้แบงก์มีสิทธิเรียกคืนเงินกู้ก่อนกำหนด เผยปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนไทย 8 แห่งเป็นผู้ออกหุ้นกู้ประเภทดังกล่าว มูลค่าคงค้างเกือบ 8 หมื่นล้านบาท ชี้หากไม่มีแนวทางผ่อนผันยกเว้นการจัดประเภทใหม่ชั่วคราว อาจส่งผลกระทบกับตลาดรวมและราคาหุ้นในระยะสั้น

นายชาญชัย ชัยประสิทธิ์ หัวหน้าสายงานตรวจสอบบัญชีและหุ้นส่วนบริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนาประจำปี PwC Thailand’s Symposium 2019 ภายใต้หัวข้อ “บริหารความท้าทายขององค์กรในทศวรรษใหม่อย่างมืออาชีพ” (Connecting the dots: Managing corporate challenges in 2020 and beyond) ว่า ในปี 2563 ธุรกิจจะต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายด้านไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล การก้าวตามเทคโนโลยีเกิดใหม่ให้ทัน รวมไปถึงกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรฐานการบัญชีและหลักการทางบัญชีใหม่หลายฉบับที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2563 ไม่ว่าจะเป็น TFRS 9, TAS 32 และ TFRIC 23 เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดอาจส่งผลกระทบต่อรายงานทางการเงินของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 32 ที่ระบุเรื่องการจัดประเภทตราสารหนี้สินและทุนให้มีเงื่อนไขที่ละเอียดและชัดเจนขึ้น ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้หุ้นกู้ด้อยสิทธิคล้ายทุน (Perpetual Bond) ถูกจัดประเภทใหม่จากตราสารทุนเป็นหนี้สินในงบการเงินแทน ทั้งยังอาจส่งผลให้อัตราส่วนทางการเงิน โดยเฉพาะอัตราหนี้สินต่อทุน (Debt-to-equity ratio: D/E ratio) เพิ่มขึ้น จนทำให้เกิดความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง และในที่สุดทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงตามไปด้วย

ลักษณะที่สำคัญของ Perpetual Bond มี 2 ประการ คือ 1) ไม่มีกำหนดการชำระคืนเงินต้นที่แน่นอน กล่าวคือ ผู้ถือไม่มีสิทธิไถ่ถอน สิทธิการไถ่ถอนอยู่ที่ผู้ออกหุ้นกู้ และ 2) มีกำหนดจ่ายดอกเบี้ยที่ชัดเจน แต่ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิในการเลื่อนชำระดอกเบี้ยออกไปได้ ทั้งนี้ TAS 32 ฉบับใหม่ได้ให้คำอธิบายการพิจารณาจัดประเภทตราสารว่า “จะเป็นหนี้ หรือทุนชัดเจนขึ้น” โดยระบุว่า ถ้าการชำระเงินต้น หรือดอกเบี้ย ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ในอนาคตที่กิจการไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ต้องไถ่ถอนหุ้นกู้ทันที เมื่อมีผลขาดทุนสะสมจนทำให้ส่วนของทุนเหลือน้อยกว่า 50% ของทุนจดทะเบียน กรณีเช่นนี้จะต้องแสดง Perpetual Bond เป็นหนี้สิน เว้นแต่มีการชำระเงินต้นและดอกเบี้ย เพราะกิจการได้ชำระบัญชีเพื่อเลิกกิจการ (Liquidation) ไม่ว่าโดยสมัครใจ หรือโดยผลของกฎหมายล้มละลาย (กรณีศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย) ตราสารนั้นจะถูกจัดประเภทเป็นทุน แต่ปัจจุบันหุ้นกู้ด้อยสิทธิคล้ายทุนของบริษัทจดทะเบียนไทย 8 แห่งที่อยู่ในตลาดนั้น มีการระบุเงื่อนไขอื่นเพิ่มเติม ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่กิจการไม่อาจควบคุมได้คือ บริษัทจะชำระคืนเงินต้นหรือดอกเบี้ยในกรณีที่ 1) บริษัทผู้ออกเลิกกิจการ 2) ล้มละลาย 3) เข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการ และ 4) ถูกพิทักษ์ทรัพย์ถาวร ซึ่งจะเห็นว่าหากบริษัทเกิดกรณีตามเงื่อนไขข้อที่ 3 และ 4 อาจทำให้ไม่สามารถเลื่อนการชำระคืนเงินต้นหรืออัตราดอกเบี้ยออกไปได้ นั่นจึงทำให้หุ้นกู้ดังกล่าวควรจะต้องถูกจัดประเภทเป็นหนี้สินแทน

“ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนไทยขนาดใหญ่ 8 แห่งที่ออกหุ้นกู้ประเภทดังกล่าว มีมูลค่าคงค้าง ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 ประมาณ 7.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทที่ออกหุ้นกู้ที่ไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการส่วนใหญ่จะต้องการใช้เงินลงทุนสูง แต่ไม่ต้องการเพิ่มทุน หรือกู้ยืมเงิน เพราะเกรงจะกระทบกับสัดส่วนหนี้สินต่อทุนและส่งผลให้ความเสี่ยงด้านเครดิตสูงตามไปด้วย จึงหันมาออกหุ้นกู้ที่ประเภทนี้ เนื่องจากไม่กระทบอัตราหนี้สินต่อทุนและยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการบริหารจัดการโครงสร้างหนี้อีกด้วย”

นายชาญชัย กล่าวด้วยว่า สำหรับแนวทางการรับมือกับ TAS 32 นั้น บริษัทผู้ออกสามารถทำได้ 2 แนวทางคือ แก้ไขสัญญาหุ้นกู้ หรือไถ่ถอนแล้วออกหุ้นกู้รุ่นใหม่ทดแทน แต่ทั้ง 2 แนวทางมีสิ่งที่บริษัทต้องพึงพิจารณาทั้งภาระค่าใช้จ่ายที่สูงและระยะเวลาในการดำเนินการขั้นต่ำ 2-3 เดือน ซึ่งคาดว่าบริษัทไม่น่าจะสามารถดำเนินการเสร็จได้ทันภายใน 1 มกราคม 2563

“มาตรฐาน TAS 32 ที่เปลี่ยนแปลงไปอาจเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับบริษัทจดทะเบียนที่ยังมีหุ้นกู้เหล่านี้คงค้างอยู่ โดยปัจจุบันสภาวิชาชีพบัญชีอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางยกเว้น หรือผ่อนผันให้กับหุ้นกู้ด้อยสิทธิคล้ายทุนที่ออกและมียอดคงค้างอยู่ไม่ต้องมีการจัดประเภทใหม่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่บริษัทและนักลงทุนต้องติดตามว่า โดยการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสูงขึ้นมากและอาจส่งผลให้เจ้าหนี้เงินให้กู้ยืมของบริษัท เช่น ธนาคารพาณิชย์ มีสิทธิเรียกร้องให้ชำระเงินกู้ซึ่งเดิมยังไม่ถึงกำหนดชำระได้ในทันที เนื่องจากผิดข้อกำหนดในสัญญาเงินกู้เรื่องการคงอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญ ท้ายที่สุดอาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทในระยะสั้นได้”

นอกจากนี้ กฎทางบัญชีใหม่ (TFRIC 23) เรื่องความไม่แน่นอนเกี่ยวกับวิธีการทางภาษีเงินได้ ซึ่งมีหลักการในสาระสำคัญเช่นเดียวกับ Fin 48 ที่ใช้ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่กำหนดให้กิจการต้องรับรู้ประมาณการค่าใช้จ่ายหรือหนี้สินในประเด็นภาษีที่มีความคลุมเครือและไม่ชัดเจนในงบการเงิน ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อตัวเลขในงบการเงิน เพราะปัจจุบันบริษัทประมาณการค่าใช้จ่ายทางภาษีหรือหนี้สินภาษีเงินได้ เฉพาะรายการที่คิดว่าบริษัทมีภาระจะต้องจ่ายอย่างแน่นอน แต่รายการที่คลุมเครือหรือรายการที่อาจจะเสียภาษีผิดพลาดจะไม่ถูกนำมาตั้งในงบการเงินและรอจนกว่ากรมสรรพากรจะเข้ามาชี้ประเด็นจึงจะต่อสู้และแก้ต่าง โดยปกติ บริษัทบันทึกบัญชีเมื่อการต่อสู้ถึงที่สิ้นสุด

“ธุรกิจจะต้องพิจารณาประเด็นภาษีที่มีความคลุมเครือว่า มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนว่าจะมีภาระหนี้สิน โดยอาจพิจารณาจากข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และความน่าจะเป็นว่า ประเด็นดังกล่าวต้องเสียภาษีหรือไม่และเสียในอัตราอะไร ซึ่งถ้าบริษัทสามารถประมาณการว่ามีภาระภาษีค่อนข้างแน่นอนและมีประมาณการตัวเลขที่สมเหตุสมผลเชื่อถือได้ก็ควรบันทึกรายการเหล่านี้เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษี หรือหนี้สินภาษีเงินได้ในปีที่เกิดรายการเลย แม้ว่าทางกรมสรรพากรยังไม่ทราบถึงเรื่องที่คลุมเครือก็ตาม เพราะใน TFRIC 23 มีข้อสมมติฐานว่า เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบภาษีมีความรู้เกี่ยวกับข้อมูลทั้งหมดอย่างครบถ้วนของเรื่องที่ยังมีความไม่แน่นอนทางภาษี”

ปัจจุบันรายการทางธุรกิจนั้นมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น อีกทั้งกฎหมายภาษีและมาตรฐานการรายงานทางการเงินไทยมีหลักการที่แตกต่างกันมาก ประกอบกับความคลุมเครือในการตีความและไม่มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการเสียภาษีของธุรกรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ ๆ ที่มีความซับซ้อน ดังนั้น กิจการจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในกฎหมายภาษีและการตีความที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี เพื่อที่จะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงและกำหนดจุดยืนในการยื่นแบบเพื่อเสียภาษีให้ถูกต้องและเหมาะสม

ดิจิทัลเทรนด์ความท้าทายที่ธุรกิจต้องติดตาม

นายชาญชัย กล่าวอีกว่า แม้การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานทางบัญชีจะเป็นความท้าทายและธุรกิจต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา แต่การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีก็เป็นสิ่งที่ธุรกิจควรต้องติดตามไม่แพ้กัน ซึ่งเทคโนโลยีที่ต้องจับตาในทศวรรษหน้านั้นคือ เทคโนโลยี 5G และเทคโนโลยี “คลาวด์ คอมพิวติ้ง” (Cloud Computing) โดยเฉพาะการเข้ามาของเทคโนโลยี 5G จะทำให้การใช้เทคโนโลยีอื่น ๆ นั้นมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะอินเทอร์เน็ตจะมีความเร็วสูงมากและทำลายข้อจำกัดในการนำเทคโนโลยีอื่น ๆ มาใช้ ทั้งยังก่อให้เกิดบริการใหม่ ๆ เช่น Smart City และ e-Health ขณะที่เทคโนโลยี “คลาวด์ คอมพิวติ้ง” ซึ่งคล้ายกับระบบคอมพิวเตอร์ที่มีทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์ แต่สามารถรองรับการใช้งาน การประมวลผล และเก็บข้อมูลได้จำนวนมหาศาล ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจทำงานได้อย่างไร้ขีดจำกัด สามารถปฏิบัติงาน และติดตามควบคุมแบบเรียลไทม์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

“สิ่งที่ผู้นำองค์กรต้องเร่งลงมือทำตั้งแต่วันนี้คือ ทำความเข้าใจเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นและกำลังจะเข้ามา โดยไม่ลืมที่จะประเมินว่า บริษัทของตนนั้นต้องการนำเทคโนโลยีอะไรมาใช้ด้านไหนบ้าง เพราะทุกเทคโนโลยีอาจไม่ได้เหมาะกับธุรกิจเราทั้งหมด หลังจากนั้นต้องพิจารณาแผนการลงทุนที่เหมาะสม รวมไปถึงยกระดับทักษะของบุคลากรให้พร้อมรับมือกับการเข้ามาของดิจิทัล ยิ่งไปกว่านั้นต้องไม่ลืมที่จะลงทุนด้านการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากภัยไซเบอร์เป็นสิ่งที่จะเข้ามาพร้อมกับเทคโนโลยีอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ โดยภูมิภาคอาเซียนเองก็มีความเสี่ยงที่จะถูกโจมตีจากอาชญากรทางคอมพิวเตอร์มากขึ้นตามการขยายตัวของการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต”

นอกจากนี้ การระดมทุนด้วยการออกเหรียญดิจิทัล (Initial Coin Offering : ICO) ที่กำลังแพร่หลายในปัจจุบัน ยังเป็นอีกประเด็นที่ธุรกิจต้องติดตามว่าจะมีการพัฒนามาตรฐานการรายงานทางการเงินให้ทันต่อสินทรัพย์ประเภทนี้ รวมไปถึงสินทรัพย์ใหม่ ๆ ในยุคดิจิทัลออกมาอย่างไร สำหรับ ICO นั้น แม้ยังไม่มีมาตรฐานการบัญชีที่เฉพาะเจาะจง แต่หน่วยงานกำกับก็มีแนวทางในการกำกับดูแลในระดับหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าอีกไม่ช้าก็เร็วจะมีรายละเอียดที่ชัดเจนในด้านต่าง ๆ ออกมามากยิ่งขึ้น โดยระหว่างนี้ หาก PwC ประเทศไทยต้องตรวจสอบ หรือรับรองความถูกต้องของงบการเงินของบริษัทที่ออก หรือถือครองสกุลเงินดิจิทัลก็จะต้องได้รับการอนุมัติจาก PwC Global ก่อน และในระหว่างตรวจสอบงบการเงิน ทีมงานต้องปรึกษาและรับคำแนะนำจากเครือข่ายในต่างประเทศที่เชี่ยวชาญด้านการดำเนินการ ดูแลควบคุมระบบ รวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงเกี่ยวกับธุรกรรมในสกุลเงินดิจิทัล

 

เผย 3 แนวทางขับเคลื่อนองค์กรรับการแข่งขัน

alivesonline.com : “บลูบิค กรุ๊ป” ที่ปรึกษาชั้นนำด้านกลยุทธ์และการจัดการด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เผยแนวโน้มองค์กรไทยเร่งสร้างการเติบโต รับมือการแข่งขันสูง ผุดโครงการหลากหลายหวังสร้างนวัตกรรมก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 แนะองค์กรหาตัวช่วยบริหารจัดการและกำกับดูแลโครงการด้วย PMO เครื่องมือเพื่อความสำเร็จและราบรื่นของโครงการ ชี้องค์กรใดเรียนรู้การบริหารจัดการ PMO ได้เร็วกว่าคือผู้กุมชัยชนะในสมรภูมิแห่งการแข่งขัน

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด ผู้มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนากลยุทธ์ดิจิทัลเพื่อการแข่งขันในปัจจุบันและอนาคต เปิดเผยว่า นับวันทุกองค์กรต่างต้องเผชิญกับการแข่งขันทางธุรกิจที่เข้มข้นและรุนแรงขึ้น โดยหลายองค์กรมองว่าการขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงจะสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขันให้องค์กร แต่การขับเคลื่อนด้วยความเร็วก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าองค์กรจะประสบความสำเร็จเหนือคู่แข่งขันได้ หากใช้ความเร็วสวนทางกับภาพรวมกลยุทธ์องค์กร แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นจากความเร็วแต่อาจถูกกลบด้วยต้นทุนการดำเนินการที่เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

หนึ่งในกุญแจแห่งความสำเร็จในการขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายคือ การบริหารจัดการโดยนำหน่วยงานกลางขององค์กร หรือ PMO ที่มีหน้าที่กำกับดูแลการบริหารโครงการในองค์กร หรือ Program Management Office (PMO) มาประยุกต์ใช้ ซึ่งองค์กรชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างมองหาตัวช่วยในการบริหารจัดการและกำกับดูแลโครงการต่าง ๆ ในองค์กรให้สามารถดำเนินการร่วมกันเป็นไปตามวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์และเป้าหมายที่องค์กรกำหนดอย่างมีผลสัมฤทธิ์

ด้าน นางฉันทชา สุวรรณจิตร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า แนวคิดการจัดตั้ง PMO เพื่อบริหารจัดการโครงการในองค์กรนั้นมีมานานแล้ว โดยโมเดลที่ถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายและปฏิบัติได้จริงในองค์กรชั้นนำ มีอยู่ 3 โมเดล ได้แก่

โมเดลที่ 1. Enterprise PMO (Strategic) คือหน่วยงานกลางขององค์กรที่มีบทบาทหน้าที่หลักในการกำหนด และวางแผนเชิงกลยุทธ์ซึ่งรวมถึงการมีส่วนร่วมในการเลือกและจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการโครงการต่าง ๆ ขององค์กร โดยหน่วยงานกลางนี้มีส่วนสำคัญในการบริหารจัดการในภาพรวมเพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินการของโครงการต่าง ๆ ในองค์กรมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ วิสัยทัศน์ พันธกิจ และแผนธุรกิจเชิงกลยุทธ์ชององค์กร รวมถึงการกำกับดูแลให้การดำเนินงานโครงการต่าง ๆ นั้นดำเนินการภายใต้มาตรฐานเดียวกัน

โมเดลที่ 2. Division PMO (Tactic) คือหน่วยงาน หรือทีมงานที่มีบทบาทในการบริหารและกำกับดูแลการดำเนินการโครงการต่าง ๆ ภายใต้สายงานที่รับผิดชอบ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าโครงการภายใต้สายงานนั้น ๆ มีการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าประสงค์ของสายงาน โมเดลนี้จะทำให้เกิดการบูรณาการระหว่างหน่วยงานภายใต้สายงานในการดำเนินโครงการ และยังก่อให้เกิดการแบ่งปันความรู้ภายในสายงาน

โมเดลที่ 3. Project PMO (Operational) คือทีมงานที่ได้รับมอบหมายให้บริหารจัดการภารกิจ หรือโครงการสำคัญที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานขององค์กร โมเดลนี้เป็นโมเดลที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะถูกนำมาใช้ในการดำเนินโครงการที่คนในองค์กรต่างคุ้นชิน เช่น โครงการด้าน IT อย่างโครงการพัฒนาระบบ ERP เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม การจัดตั้ง PMO ทั้ง 3 โมเดลให้เกิดขึ้นจริงในองค์กรกลับกลายเป็นเรื่องท้าทายและไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราพบว่ามากกว่า 60% ขององค์กรที่มีความพยายามนำ PMO ทั้ง 3 โมเดลมาบูรณาการประยุกต์ใช้ต่างพบกับความล้มเหลวในการจัดตั้ง หรือใช้งาน PMO โดยสาเหตุหลักของความล้มเหลวดังกล่าวมาจากการขาดความเข้าใจในบริบทของบทบาทหน้าที่และขอบเขตความรับผิดชอบ รวมถึงการขาดความเข้าใจในความสัมพันธ์ของแต่ละโมเดล

ทั้งนี้ รูปแบบความล้มเหลวของ PMO ในองค์กรที่เรามักพบคือ PMO ไม่ได้ให้ความสำคัญในการโฟกัสภาพรวมและการเชื่อมโยงภายในองค์กร แต่มุ่งเน้นไปที่การตรวจสอบการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานที่องค์กรกำหนดเพียงอย่างเดียวทำให้การดำเนินการโครงการต่าง ๆ ภายในองค์กรเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง หรือบางครั้ง PMO อาจถูกมองเป็นเสือกระดาษ เพราะได้รับมอบหมายงานแต่ไม่ได้รับมอบหมายอำนาจที่แท้จริง และเห็นว่า PMO ไม่มีศักยภาพเพียงพอในการขับเคลื่อนองค์กรดังคาดหวังเพราะไม่สามารถคัดสรรบุคคลากรที่เหมาะสมมาร่วมทีม PMO

ดังนั้นการจะทำให้ PMO เป็นหน่วยงาน หรือทีมงานที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรอย่างแท้จริง ผู้นำ หรือผู้บริหารจำเป็นต้องเข้าใจใน 3 คุณค่าหลัก (Core Value) ของ PMO ได้แก่ 1.PMO ที่ดีต้องช่วยให้ผู้บริหารสามารถเข้าถึงและมองเห็นข้อมูลในระดับภาพรวมโครงการทั้งหมดได้เพื่อการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำมากขึ้น 2.PMOที่ดีจะเป็นตัวประสานให้เกิดความเชื่อมโยงของหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อการขับเคลื่อนโครงการหลักให้สัมฤทธิ์ผลอย่างรวดเร็วและดำเนินการไปด้วยกันได้อย่างราบรื่นบนวัตถุประสงค์และเป้าหมายเดียวกัน เพราะภาพที่ชัดเจนทำให้ทุกคนไม่หลงทาง 3.PMO ที่ดีจะทำให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของการใช้ทรัพยากรของโครงการต่าง ๆ ภายในองค์กร ทำให้สามารถลดปริมาณโครงการที่ซ้ำซ้อน อีกทั้งยังช่วยให้องค์กรใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลยิ่งขึ้น

“แม้ว่า PMO ไม่ใช่หน่วยงานที่สร้างรายได้โดยตรงให้แก่องค์กรเฉกเช่น หน่วยงานขาย หรือไม่ใช่หน่วยงานที่เป็นกลไกในการสร้างผลิตภัณฑ์ เช่น หน่วยงานผลิต แต่ PMO เป็นจิ๊กซอว์ที่สำคัญอีกตัวหนึ่งในการบริหารจัดการ หากผู้บริหารมีความเข้าใจในการทำงานของ PMO และสามารถเรียกใช้ PMO อย่างถูกที่ถูกเวลา PMO จะเป็นตัวช่วยในการคว้าชัยชนะในสมรภูมิการแข่งขันได้ในที่สุด” นางฉันทชา กล่าวในตอนท้าย

 

“นอตติ้ง ฮิลล์ ระยอง” เปิดพรีเซลล์ 16 พ.ย.62

สร้างกระแสฮือฮาในโซน EEC หลังจากงานเปิดตัวอภิมหาโปรเจกต์ ออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ล่าสุด บอสหนุ่มไฟแรง “เอ” อรุช ช่างทอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด ยิ้มแก้มปริกับยอดจองคอนโดมิเนียมโครงการแรกในอภิมหาโปรเจกต์ “เคนซิงตัน ระยอง” เฟส 1 ที่มียอดทะลุ 90% ในวันพรีเซลล์เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่ผ่านมา จึงเตรียมเล่นใหญ่ ลุยจัดพรีเซลล์ โครงการ “นอตติ้ง ฮิลล์ ระยอง” คอนโดมิเนียมสุดหรูที่สูงที่สุดใจกลางเมืองระยองถึง 33 ชั้น ภายใน ออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง ให้ผู้อาศัยได้สัมผัสทัศนียภาพรอบทิศทาง 360 องศา พร้อมนวัตกรรมที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ ผสมผสานกับไลฟ์สไตล์สุดสมาร์ท ในวันเสาร์ที่ 16 พฤศจิกายน 62

ร่วมสัมผัสห้องตัวอย่าง นอตติ้ง ฮิลล์ ระยอง ได้แล้ววันนี้ ณ Sales Gallery, Origin Smart City Rayong จ.ระยอง ในราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท พร้อมรับสิทธิ์พิเศษมากมายในวันพรีเซลล์ ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือลงทะเบียนจองสิทธิ์ได้ที่ https://bit.ly/2m5MQ9t หรือสอบถาม โทร.0 2030 0000

“ธนชาต คุ้มจ่าย ได้คืน” แบบประกันชีวิต โดนใจลูกค้าทุกกลุ่ม

ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าใด ทำอาชีพอะไร จะเป็นพนักงานประจำ หรือทำอาชีพอิสระ ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ไม่มีสะดุดได้ ถ้ามีการวางแผนด้านการเงินอย่างรอบคอบ ควบคู่ไปกับการวางแผนสร้างหลักประกันด้านสุขภาพเพื่อความมั่นคงของชีวิตตัวเองและครอบครัว เพื่อที่หากต้องเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ชีวิตจะได้ก้าวหน้าต่อไปได้

ด้วยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการป้องกันความเสี่ยงและสนับสนุนให้ทุกคนหันมาใส่ใจวางแผนชีวิตทั้งด้านการเงินและสุขภาพ บริษัท พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “พรูเด็นเชียล ประเทศไทย” จับมือ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านแบงก์แอสชัวรันส์กันมายาวนาน ร่วมเปิดตัวแผนประกันชีวิต “ธนชาต คุ้มจ่าย ได้คืน” มุ่งตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มที่กำลังมองหาหลักประกันให้แก่ชีวิตและสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในปัจจุบันที่ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มพนักงานออฟฟิศ หรือกลุ่มอาชีพอิสระที่ไม่มีเงินเดือนประจำ ต่างก็ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ในขณะที่กระแสความสนใจด้านการดูแลสุขภาพมีมากขึ้นเรื่อยๆ

นายอามัน คาพัว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานบริหารลูกค้าและการตลาด พรูเด็นเชียล ประเทศไทย กล่าวว่า “พรูเด็นเชียล” มุ่งมั่นรับฟังเพื่อทำความเข้าใจความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าและลงมือทำเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงใจ ด้วยความแน่วแน่ในปณิธานนี้ เราจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตใหม่ ภายใต้ชื่อ “ธนชาต คุ้มจ่าย ได้คืน” เพื่อตอบสนองความต้องการด้านความคุ้มครองและสุขภาพของลูกค้าธนาคารธนชาต โดยแบบประกันนี้ไม่เพียงให้ความคุ้มครองชีวิตยาวนานถึง 15 ปี แต่ยังมาพร้อมกับความคุ้มครองค่าชดเชยรายวัน กรณีต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล นอกจากนี้ ลูกค้ายังจะได้รับเงินคืน เมื่อถือกรมธรรม์จนครบอายุสัญญา

นางธีรนุช ขุมทรัพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ Wealth Product Development ธนาคารธนชาต กล่าวว่า ธนาคารธนชาตเล็งเห็นถึงความสำคัญในการเป็นผู้สนับสนุนให้ลูกค้าสามารถใช้ชีวิตได้อย่างที่ต้องการและก้าวหน้าต่อไปได้โดยไม่สะดุด จึงมุ่งมั่นตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันที่มีความหลากหลาย

สำหรับแผนประกันชีวิต “ธนชาต คุ้มจ่าย ได้คืน” จะดูแลในเรื่องของการชดเชยรายวันกรณีเจ็บป่วยนอนโรงพยาบาล โดยลูกค้าที่เป็นกลุ่มพนักงานออฟฟิศส่วนใหญ่ มีสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล จะมีทางเลือกในการรักษาที่ดีขึ้นจากค่าชดเชยรายวันฯ ส่วนลูกค้ากลุ่มอาชีพอิสร ส่วนใหญ่ไม่อยากนอนโรงพยาบาล เพราะจะทำให้เสียรายได้ แผนประกันชีวิตนี้จะช่วยชดเชยรายได้ที่จะขาดหายไป ทำให้ลูกค้าคลายความกังวลในเรื่องค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลและหันมาใส่ใจสุขภาพได้อย่างเต็มที่

“ธนชาต คุ้มจ่าย ได้คืน” จ่ายเบี้ยฯ เบา ๆ เริ่มต้นเพียงวันละ 14 บาท ให้ทั้งความคุ้มครองชีวิต พร้อมค่าชดเชยรายวันกรณีเจ็บป่วยนอนโรงพยาบาลและยังมีเงินคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา นอกจากนี้ เบี้ยฯ ส่วนหนึ่งยังนำไปใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้ด้วย (ตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร) จึงครอบคลุม คุ้มค่ากับเงินที่จ่าย

ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสมัครได้ที่ธนาคารธนชาตทุกสาขาทั่วประเทศ

2 แคมเปญเที่ยวไทยโค้งสุดท้ายปี 62 ททท. มุ่งปั้นรายได้ 400 ล้านบาท

alivesonline.com : ททท. มอบของขวัญส่งท้ายปลายปี ชวนคนไทยเที่ยวกับโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว “ถึงเวลาทัวร์ให้ทั่วไทย” สร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงปลายปี 62 ถึงต้นปี 63 ดีเดย์ 1 พ.ย.62 ด้วยแคมเปญ “เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก” และ “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” เริ่ม 11 พ.ย.62 ลงทะเบียนและตรวจสอบรายละเอียดได้ใน www.เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก.com   และ www.tourismthailand.org/ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. ได้กำหนดนโยบายในการส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี 2562 ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการดำเนินโครงการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 โดยได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว “ถึงเวลาทัวร์ให้ทั่วไทย” ถือเป็นเหมือนของขวัญในช่วงปลายปีของ ททท. ที่มอบให้นักท่องเที่ยวชาวไทย ผ่าน 2 แคมเปญคือ “เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก” และ “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” โดยการบูรณาการความร่วมมือและเปิดโอกาสให้กับผู้ประกอบการขนาดย่อมในธุรกิจท่องเที่ยวได้นำเสนอสินค้าและพัฒนาการบริการให้ดียิ่งขึ้น อาทิ โรงแรม ที่พัก สายการบิน สปา ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวกระจายไปทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นการเสริมมาตรการชิมช้อปใช้ของรัฐบาลอีกทางหนึ่งด้วย

ทั้งนี้ โครงการ “เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก” จะเริ่มต้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 ส่วนโครงการ “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” จะเริ่มต้นในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 โดยทั้ง 2 โครงการจะสิ้นสุดพร้อมกันในวันที่ 31 ธันวาคม 2562

นายยุทธศักดิ์ กล่าวด้วยว่า โครงการ “ถึงเวลาทัวร์ให้ทั่วไทย” จากแคมเปญ “เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก” และ “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย” ที่ ททท. มอบเป็นของขวัญส่งท้ายปลายปีนี้คาดว่า จะสามารถกระตุ้นการเดินทางและสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้ถึง 400ล้านบาท ซึ่งจะเป็นการสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวให้คึกคักได้เป็นอย่างดี จึงอยากจะขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวชาวไทยทุกคนได้เดินทางท่องเที่ยวในช่วงที่ฤดูกาลท่องเที่ยวในราคาสุดพิเศษที่ ททท. ตั้งใจมอบให้และออกไปสัมผัสเมืองไทยที่สวยงามในท่ามกลางอากาศหนาวที่กำลังมาถึง

ด้าน นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์  รองผู้ว่าการด้านสินค้าและธุรกิจท่องเที่ยว ททท. กล่าวถึงรายละเอียดของแคมเปญ “เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก” ว่า เป็นแคมเปญกระตุ้นการท่องเที่ยวในวันธรรมดาเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างจำนวนนักท่องเที่ยวกับพื้นที่ในการรองรับ โดยนำเสนอสินค้าและบริการหรูหราของประเทศไทยที่มีมาตรฐานระดับสากล กิจกรรมท่องเที่ยวชุมชนโดยนำเสนอโปรโมชั่นลดราคาสูงสุดถึง 80% เพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวไทยระดับกลาง-บน ควบคู่กับการยกระดับภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยสู่ High Value Destination ผ่านการสร้างประสบการณ์พิเศษให้แก่นักท่องเที่ยวชาวไทยด้วย 9 กลุ่มสินค้าทางการท่องเที่ยวที่ได้รับความร่วมมือกับผู้ประกอบการเป็นอย่างดี ได้แก่

1.กลุ่มบัตรโดยสารสายการบิน อาทิ การบินไทยและสายการบินไทยสมายล์ เสนอโปรโมชั่นทุกเส้นทางบินในประเทศ เริ่มต้นเที่ยวละ 1,150 บาท สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เสนอโปรโมชั่นทุกเส้นทางบินในประเทศ เริ่มต้นเที่ยวละ 990 บาท

2.กลุ่มโรงแรมที่พักระดับ 5 ดาว อาทิ ศรีพันวา ภูเก็ตวิลล่า เสนอแพ็คเกจห้องพัก Pool Suite West Ocean View และบันยันทรีสมุย เสนอห้องพัก Pool Villa ในราคาเพียง 9,999 บาท/คืน

3.กลุ่มสินค้าด้านสุขภาพและความงาม อาทิ TRIA Medical Wellness Center เสนอแพ็คเกจสุขภาพความงาม (ฝังเข็ม, H2O Bright, Onsen, Beauty Salad) ลด 50% เหลือ 2,500 บาท A Spa Retreat ที่โรงแรม X2 Koh Samui เสนอโปรโมชันจากราคา 5,000 บาท ลดเหลือ 1,999 บาท

4.กลุ่มสินค้าระดับพรีเมียม อาทิ บริษัท Blue Voyage เสนอแพ็คเกจท่องเที่ยวด้วยเรือยอชต์สำหรับ 10 คน ในราคาเพียง 19,999 บาท และสมาคมธุรกิจเรือยอร์ชไทย เสนอแพ็คเกจท่องเที่ยวโดยเรือยอชต์จากราคา 50,000 บาท ลดเหลือ 9,999 บาท

5.กลุ่มกิจกรรมท่องเที่ยวชุมชน อาทิ โปรแกรมพายเรือแคนูอ่าวท่าเลน จังหวัดกระบี่ (รวมรถรับ-ส่ง) จากราคา 1,299 บาท เหลือเพียง 199 บาท

6.กลุ่มพันธมิตรอาหารไทยอาหารถิ่นสู่มิชลินสตาร์ อาทิ ร้าน R-Haan เสนอ Chef Table ตามแนวคิด “Top Chef อาหารไทย ปะทะ Top Chef ชุมชน” จากราคา 4,999 บาท ลดเหลือ 999 บาท สมาคมภัตตาคารไทย จัดแคมเปญ “100,000 อิ่ม กินวันธรรมดา ราคาช็อกโลก” นำเสนอประสบการณ์อาหารไทยในร้านอาหารชื่อดังในราคาพิเศษ อาทิ ครัวเจ๊ง้อ

7.กลุ่มนันทนาการ อาทิ นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ องค์การสวนสัตว์ มอบส่วนลดบัตรเข้าชมในราคาพิเศษ สยามนิรมิตกรุงเทพฯ และภูเก็ต เสนอบัตรชมการแสดงพร้อมอาหารค่ำ ลดราคาจาก 1,900 บาท เหลือ 800 บาท สวนน้ำ วานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหิน เสนอส่วนลดบัตรเข้าชมในราคาลด 50%

8.กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวออนไลน์ อาทิ Klook นำเสนอแคมเปญ “ลามะชวนเที่ยว วันธรรมดาราคาช็อกโลก” โดยมอบส่วนลดเพิ่มจากสินค้าท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มจากราคาลดหน้าเว็บไซต์อีก 11% ในเดือนพฤศจิกายน และ 12% ในเดือนธันวาคม 2562

9.กลุ่มห้างสรรพสินค้าชั้นนำ พร้อมเสนอโปรโมชั่นช็อกโลกพร้อมกัน เริ่มวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562

นักท่องเที่ยวที่สนใจร่วมแคมเปญเที่ยววันธรรมดาราคาช็อคโลก ต้องมีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ (ณ วันลงทะเบียน) สามารถลงทะเบียนเพื่อสำรองสิทธิ์ได้ที่ www.tourismthailand.org/เที่ยววันธรรมดา หรือ www.เที่ยววันธรรมดาราคาช็อกโลก.com ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน (00.00 น.) – 31 ธันวาคม 2562 เมื่อลงทะเบียนแล้วจะสามารถเข้าไปเลือกสินค้าทางการท่องเที่ยวได้จาก 9 กลุ่มที่ปรากฏ จากนั้นจะได้รหัสคูปอง (promotional code) แล้วชำระเงินตามเงื่อนไขของผู้ประการนั้น ๆ ภายใน 5 วัน มิเช่นนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ โดยเว็บไซต์จะแสดงจำนวนรายการที่เหลือจากการจองอย่างชัดเจน

นอกจากนี้ ยังมีผู้ประกอบการที่มอบราคาพิเศษโดยไม่จำกัดจำนวนสิทธิ์ ดังนั้น นักท่องเที่ยวสามารถดูข้อมูลได้จากเว็บไซต์ดังกล่าว แล้วไปใช้บริการในราคาพิเศษได้เลยโดยไม่ต้องสำรองสิทธิ์ล่วงหน้า สำหรับผู้ที่ได้รับสิทธิ์และชำระเงินแล้วจะสามารถใช้สินค้าและบริการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน – 31 ธันวาคม 2562

สำหรับกลุ่มโรงแรมที่พักสามารถใช้บริการได้ในวันจันทร์-พฤหัสบดี ส่วนอีก 8 กลุ่มที่เหลือสามารถใช้บริการได้ในวันจันทร์–ศุกร์ โดยไม่สามารถโอน/เปลี่ยน/แลก/ทอน เป็นเงินสด หรือไม่สามารถยกเลิก/แก้ไขรายการได้ทุกกรณี โดยผู้เข้าร่วมโครงการที่ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้วจะได้ลุ้นรับแพคเก็จท่องเที่ยววันธรรมดาราคา 1 บาท จำนวน 8 รางวัล จับรางวัลทุกวันศุกร์ จำนวน 8 ครั้ง ซึ่ง ททท. จะมีการเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการและรายละเอียดอื่น ๆ ในเว็บไซต์ต่อไป

นายนพดล ภาคพรต รองผู้ว่าการด้านตลาดในประเทศ ททท. กล่าวถึงรายละเอียดของแคมเปญ “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย”ว่า แคมเปญนี้ ททท. มุ่งจูงใจให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวด้วยราคา ช่วงเวลาการเดินทาง และสินค้าทางการท่องเที่ยวที่น่าสนใจกับ 5 หมวดของขวัญคือ 1.หมวดการเดินทาง อาทิ บัตรโดยสารเครื่องบินและรถบัสปรับอากาศ 2.หมวดที่พัก 3.หมวดอาหารและเครื่องดื่ม 4.หมวดแพคเก็จทัวร์ และ 5.หมวดแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมนันทนาการ และอื่น ๆ ซึ่งมีของขวัญทั้งหมด 40,000 ชิ้น(รายการ) ในราคาชิ้นละ 100 บาท

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวที่สนใจร่วมแคมเปญ ต้องมีสัญชาติไทย อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ (ณ วันลงทะเบียน) มีการทำธุรกรรมทางการเงินผ่าน Internet Banking (e-Banking) และมีเบอร์โทรศัพท์มือถือเพื่อใช้ประกอบการลงทะเบียน โดยสามารถลงทะเบียนได้ทาง www.tourismthailand.org/ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย ใน 4 วันคือ ครั้งที่ 1 วันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 ครั้งที่ 2 วันที่ 12 พฤศจิกายน 2562 ครั้งที่ 3 วันที่ 11 ธันวาคม 2562 และครั้งที่ 4 วันที่ 12 ธันวาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 06.00–24.00 น. ของแต่ละวัน หรือจนกว่าของขวัญจะหมด โดยในแต่ละวันจะมีของขวัญทั้งหมด 10,000 ชิ้น เมื่อลงทะเบียนผ่านแล้วจะสามารถเลือกซื้อของขวัญได้เพียง 1 ชิ้น/คน (ตลอดโครงการ) ซึ่งเว็บไซต์จะแสดงจำนวนรายการที่เหลือจากการจองเพื่อให้สะดวกในการตัดสินใจ จากนั้นชำระเงิน 100 บาท ผ่านช่องทาง Internet Banking เท่านั้น เมื่อชำระแล้วจะได้รับการยืนยันการสั่งซื้อ และสามารถนำข้อมูลการยืนยันไปใช้บริการได้ตามเงื่อนไขของผู้ประกอบการ

นายนพดล กล่าวเพิ่มเติมว่า ของขวัญในโครงการร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทยนี้สามารถใช้ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 โดยสามารถเลือกซื้อของขวัญได้ในทุกจังหวัด ยกเว้นจังหวัดที่ปรากฏในบัตรประชาชน ทั้งนี้ไม่สามารถโอน/เปลี่ยน/แลก/ทอน เป็นเงินสด หรือไม่สามารถยกเลิก/แก้ไขรายการได้ทุกกรณี นอกจากนี้ ททท. ยังเพิ่มความพิเศษให้กับแคมเปญนี้ด้วยเซอร์ไพรส์กิฟท์ สำหรับผู้ลงทะเบียนในลำดับที่ 6,000 7,000 8,000 9,000 และ 10,000 ในแต่ละวัน รวมไปถึงเซอร์ไพรส์กิฟท์สำหรับนักท่องเที่ยวหัวใจสีเขียว ซึ่งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมตามนโยบายของ ททท. อีกด้วย

 

 

“กรุงเทพฯ” สุดยอดเมืองจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งของโลก

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ (ที่ 2 จากซ้าย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย นายโชติ ตราชู (ซ้ายสุด) ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ นายธเนศวร์ เพชสุวรรณ (ขวาสุด) รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ให้การต้อนรับและรับมอบโล่รางวัลจาก “มาสเตอร์การ์ด” โดย นางสาวไอลีน ชูว (ที่ 2 จากขวา) ผู้จัดการประจำประเทศไทยและเมียนมาร์ “มาสเตอร์การ์ด” ในโอกาสที่กรุงเทพฯ ได้รับการคัดเลือกเป็นสุดยอดเมืองจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งของโลก (Global Destination Cities Index : GDCI) ประจำปี 2562

“ครอบครัวภัทรประสิทธิ์” ย้ำคำวินิจฉัยศาล ! บริษัทบริหาร “โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ” มีผลประโยชน์ทับซ้อน

alivesonline.com : “ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์” เหลืออด ! จวก “กลุ่มเพ็นนินซูล่า ฮ่องกง” บริหาร “โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ” กว่า 20 ปี ไม่เคยทำผลกำไรให้ผู้ถือหุ้น แต่โรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยาแบรนด์อื่นกลับทำไรต่อเนื่อง วอนต้องเคารพคำวินิจฉัย ศาลแพ่งธนบุรี เรื่องการมีผลประโยชน์ทับซ้อนและแสวงหาประโยชน์ฝ่ายเดียว

เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท เดอะฮ่องกง แอนด์ เซี่ยงไฮ้โฮเทล จำกัด (The Hongkong and Shanghai Hotels Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของบริษัทที่เป็นเจ้าของและรับบริหารจัดการ “โรงแรมเพนนินซูล่า” ทั่วโลก รวมถึงโรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพ (กลุ่มเพ็นนินซูล่าฯ) ได้ออกแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัทฯ ว่า เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2562 บริษัทลูกของกลุ่มเพ็นนินซูล่าฯ ได้ดำเนินการยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ภายหลังจาก ศาลแพ่งธนบุรี ได้มีคำพิพากษากรณีที่ นายประพันธ์ ภัทรประสิทธิ์ และนายประสงค์ ภัทรประสิทธิ์ ในฐานะผู้ถือหุ้นของ โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทับซ้อนของ กลุ่มเพ็นนินซูล่าฯ อันเกี่ยวกับการยกเลิกข้อตกลงการจ้าง กลุ่มเพ็นนินซูล่าฯ บริหารจัดการ โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ เนื่องจากไม่สามารถทำกำไรให้ผู้ถือหุ้นได้เลยเป็นเวลากว่า 20 ปี

ทั้งนี้ ศาลแพ่งธนบุรี ได้มีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2562 ซึ่งมีเนื้อหาสำคัญบางตอนว่า การที่บริษัทลูกของกลุ่มเพ็นนินซูล่าฯ เป็นผู้ถือหุ้นของทั้งบริษัทที่เป็นเจ้าของ โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ และบริษัทรับบริหารจัดการโรงแรม ทำให้กรรมการในบริษัททั้งสองนี้มีอำนาจจัดการบริหารไปในทิศทางที่ให้ธุรกิจของบริษัททั้งสองสามารถแสวงหาประโยชน์ในทางทรัพย์สินและกำไรให้ตกอยู่ในกลุ่มของตนฝ่ายเดียว

นอกจากนี้ศาลยังได้วินิจฉัยอย่างชัดเจนว่า บริษัทลูกของกลุ่มเพ็นนินซูล่าฯ และบริษัทซึ่งรับบริหารจัดการโรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ มีผลประโยชน์ทับซ้อนกันในลักษณะของนอมินี หรือตัวแทนค้าต่าง อันเป็นการสนับสนุนให้เชื่อว่ามีผลประโยชน์ร่วมกันชัดเจนมากยิ่งขึ้น และการที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนตามสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทบริหารจัดการโรงแรมย่อมก่อให้เกิดการสูญเสียผลประโยชน์ต่อโจทก์ทั้งสอง หรือกลุ่มภัทรประสิทธิ์

นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ผู้นำของครอบครัวภัทรประสิทธิ์ กล่าวว่า ปัญหาที่ผ่านมาคือตลอดเวลากว่า 20 ปีที่กลุ่มเพ็นนินซูล่าฯ ได้บริหารจัดการ โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ ผู้ถือหุ้นของโรงแรมไม่เคยได้รับเงินปันผลเลยแม้แต่บาทเดียว แต่กลุ่มเพ็นนินซูล่าฯ กลับได้รับค่าจ้างบริหารแต่ฝ่ายเดียวรวมแล้วเป็นร้อย ๆ ล้านบาท ซึ่งเราก็ไม่สามารถเปลี่ยนบริษัทบริหารจัดการโรงแรมได้ เพราะกลุ่มเพ็นนินซูล่าฯ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทบริหารโรงแรม เป็นผู้ถือหุ้นของโรงแรม และยังมีเสียงข้างมากในคณะกรรมการอีกด้วย ซึ่งเมื่อเราพยายามที่จะขอเปลี่ยนบริษัทบริหารโรงแรม เขาก็จะปกป้องให้กันตลอดและไม่ยอมให้เราเปลี่ยน พร้อมอ้างเหตุผลต่างๆ นานามาโดยตลอด

“ผมคิดว่าครอบครัวภัทรประสิทธิ์ของเราอดทนมานาน และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการขอความเป็นธรรมจากศาล ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลก็มีความชัดเจนอยู่แล้วว่ากลุ่มเพ็นนินซูล่าฯ และบริษัทบริหารจัดการโรงแรมมีผลประโยชน์ทับซ้อนกันเป็นพิเศษในลักษณะของนอมินี เพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางทรัพย์สินและกำไรให้กับกลุ่มของตนเอง ผมจึงขอเรียกร้องให้กลุ่มเพ็นนินซูล่าฯ เคารพคำวินิจฉัยของศาลและเคารพกฎหมายของประเทศไทยด้วย”

“เมื่อกลุ่มเพ็นนินซูล่าฯ ไม่สามารถทำกำไรให้กับผู้ถือหุ้นได้นานถึง 20 ปี ก็ควรจะถอยออกไปและเปิดโอกาสให้บริษัทบริหารมืออาชีพรายอื่นได้เข้ามาบริหารโรงแรมของเราแทน ซึ่งก็จะทำให้ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนหมดไปด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงบริษัทบริหารจัดการจะไม่มีผลต่อการเป็นผู้ถือหุ้นของโรงแรมแต่อย่างใด” นายประดิษฐ์ กล่าว

นายประดิษฐ์ กล่าวว่า โรงแรมเพนนินซูล่า ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา บนพื้นที่ที่แพงที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เมื่อเรามีโรงแรมที่ตั้งอยู่บนทำเลที่ดี ทำไมบริษัทบริหารจัดการโรงแรมจึงไม่สามารถทำกำไรให้กับผู้ถือหุ้นได้เลย ในขณะที่โรงแรมดี ๆ ที่อยู่ริมแม่น้ำเหมือนเรากลับมีกำไรต่อเนื่อง นี่เป็นเรื่องที่น่าสงสัยอย่างมาก

“การร่วมทุนระหว่างครอบครัวภัทรประสิทธิ์กับกลุ่มเพ็นนินซูล่าฯ ได้สร้างความผิดหวังอย่างมากต่อครอบครัวของผม และผมเองก็เสียใจเพราะเพื่อน ๆ ก็เคยเตือนเราไว้ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นร่วมทุน ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่กลุ่มเพ็นนินซูล่าฯ ต้องถอนตัวจากการร่วมทุนที่ดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับหุ้นส่วนคนไทยที่ร่วมกันทำโรงแรมเพนนินซูล่าแห่งแรกบนถนนราชดำริ” นายประดิษฐ์ กล่าว

อนึ่ง โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพฯ เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2541 ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล โรงแรมมีความสูง 37 ชั้น ให้บริการห้องพักและห้องสวีทจำนวน 370 ห้อง และมีภัตตาคาร 4 แห่ง