“ถิรไทย” รับงานหม้อแปลงไฟฟ้า กฟน. 448 ล้านบาท

alivesonline.com : “ถิรไทย” ผู้นำตลาดหม้อแปลงไฟฟ้า ตอกย้ำศักยภาพธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าฝีมือคนไทย รับงาน กฟน. ผลิตหม้อแปลงจำหน่ายชนิดซีเอสพี มูลค่ารวมกว่า 448 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเต็มสูบ สั่งซื้อหม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง ขนาด 115/24 kv มูลค่า 32.4 ล้านบาท หลังจับมือ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติจากเกาหลีและจีน ร่วมดำเนินธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับหม้อแปลงไฟฟ้า

 นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TRT ผู้ผลิต จำหน่าย และซ่อมบำรุงหม้อแปลงไฟฟ้าทุกขนาดของคนไทยเพียงแห่งเดียว เปิดเผยว่า บริษัท ยังคงเดินหน้ารับงานจากหน่วยงานภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ร่วมงานลงนามซื้อจาก การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ในการสั่งซื้อหม้อแปลงจำหน่าย ชนิดซีเอสพี (Completely Self Protected Type) 3 เฟส 4 สาย 50 เฮิรตช์ 225 กิโลโวลต์แอมแอร์ เป็นราคาทั้งสิ้น 448 ล้านบาท ตามสัญญาเลขที่ MP2-8975-CGE เพื่อติดตั้ง ณ อาคารศูนย์จ่ายหม้อแปลงฝ่ายอุปกรณ์งานจำหน่าย ของ กฟน. ในสถานีย่อยไฟฟ้าต่าง ๆ โดยจะเริ่มทยอยส่งมอบงานช่วงไตรมาส 4/2562 และ ไตรมาส 1/2563 โดยบริษัทฯ ยังได้รับงานของ กฟน. เพิ่มอีกประมาณ 32.4 ล้านบาท ในงานสั่งซื้อหม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง หรือ Power ขนาด 115/24 kv สำหรับใช้ที่สถานีย่อยบางเลน โดยมีกำหนดส่งมอบเดือนกรกฎาคม 2563 อีกด้วย ส่วนด้านการส่งออก บริษัทฯ ยังได้รับงานของการไฟฟ้าฯ ประเทศศรีลังกา ในโครงการสถานีไฟฟ้าย่อย Hambantota Substation มูลค่างาน 4 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะมีการส่งมอบงานในช่วง ไตรมาส 2/2563 ถึงไตรมาส 3/2563

ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ถือเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ ของบริษัทฯ พร้อมกับเดินหน้าเต็มกำลังในการทำธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งล่าสุดบริษัทฯ ได้บรรลุข้อตกลงกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ กับ บริษัท ฮโยซอง คอร์ปอเรชั่น จํากัด (Hyosung Corporation) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Energy Storage และ GIS (Gas-Insulated Substation) และเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเกาหลีใต้ มาเป็นพันธมิตรที่ได้ลงนามความร่วมมือกันในธุรกิจทั้งสองด้าน และ บริษัท ไฮดี้ เอ็นเนอร์จี เทคโนโลยี จำกัด (Haidi Energy Technology Co. Ltd) ผู้ผลิตเซลล์ลิเธียมไอออนฟอสเฟต ยักษ์ใหญ่จากประเทศจีน ในการลงทุนพัฒนาธุรกิจใหม่ด้านแบตเตอรี่สำหรับ Energy Storage System และ รถไฟฟ้า (โดยเฉพาะการปรับรถธรรมดาให้เป็นรถไฟฟ้า – Converted Electric Car) ซึ่งบริษัทฯ จะมีการปรับโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู รองรับธุรกิจในด้านนี้โดยเฉพาะ

“ในภาพรวมแล้ว บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง รวมมูลค่างานกว่า 8,742 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มภาครัฐ ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง ประมาณ 1,652 ล้านบาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มูลค่า 1,900 ล้านบาท การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ 1,150 ล้านบาท และยังมีกลุ่มเอกชนภายในประเทศอีกกว่า 2,050 ล้านบาท รวมถึงการส่งออก 1,251 ล้านบาท และอื่นๆ อีกกว่า 739 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถได้รับงานกว่า 20-25%” นายสัมพันธ์ กล่าวในที่สุด

“ไอเดีย คิวบ์” เขย่าตลาดธูปเทียนและอุปกรณ์ให้แสงสว่างไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ LED 2 แบรนด์

alivesonline.com : บริษัท ไอเดีย คิวบ์ จํากัด ผู้นำในการพัฒนาสินค้าและนำเข้าเทียน LED รายแรกของประเทศไทย เปิดตลาดพลิกโฉมสินค้า ธูปเทียน เครื่องหอมสำหรับบูชา และผลิตภัณฑ์ส่องสว่างในประเทศไทย ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เทียน LED แบรนด์ “แคร์ล” (CLAIRE) และผลิตภัณฑ์ไฟ สมาร์ท เซ็นเซอร์, ไฟโซล่า, ถังขยะเซ็นเซอร์ แบรนด์ “ริน” (RIN) อย่างเป็นทางการ ชูเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตอบโจทย์แนวทางวิถีชีวิตคนไทยรอบด้าน มุ่งเน้นฟังก์ชันใช้งานง่าย สะดวกสบาย ภายใต้สินค้าที่มีคุณภาพและความปลอดภัย 100% มุ่งเจาะตลาดผ่านช่องทางขายออฟไลน์และออนไลน์เป็นหลัก พร้อมยืนเป็นผู้นำตลาดหนึ่งเดียวในไทย ตั้งเป้ายอดขายโต 20-30% ต่อเนื่องทุกปี

นายธานัท ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอเดีย คิวบ์ จํากัด เปิดเผยว่า “ไอเดีย คิวบ์” มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาด้านผลิตภัณฑ์ส่องสว่าง ทั้งยังเป็นผู้คัดสรรผลิตภัณฑ์เทียนแอลอีดี (LED) รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ด้วยความเข้าใจในวิถีการใช้ชีวิตของคนไทยเป็นอย่างดี ตลอดจนรู้ถึงปัจจัยและข้อจำกัด รวมถึงอันตรายที่มีสาเหตุมาจากการใช้ธูปเทียนจริงอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุจากอัคคีภัย ตลอดจนผลกระทบที่ส่งผลด้านสุขภาพจากควันธูปและควันเทียน จึงเริ่มนำสินค้าเทียน LED ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศเข้ามาจำหน่าย โดยผลิตภัณฑ์นี้สามารถใช้ทดแทนเทียนไขได้จริงและเป็นที่ยอมรับอย่างมากในวงกว้าง ด้วยคุณภาพที่ดี ทนทาน มีความปลอดภัย และใช้งานง่าย สะดวก สบาย

สำหรับสินค้าที่จัดจำหน่ายในปัจจุบันมีด้วยกัน 2 แบรนด์ คือ “แคร์ล” (CLAIRE) และ “ริน” (RIN) ซึ่งทั้งคู่มีจุดเด่นและความพิเศษที่แตกต่างกัน โดยแบรนด์ “แคร์ล” คือสินค้ากลุ่มเทียน LED บูชาพระ, เทียน LED ตบแต่งบ้าน และ Accessory ตบแต่งเพื่อการสร้างบรรยากาศต่าง ๆ โดยมีจุดเด่นคือมีความหลากหลายครบถ้วนของกลุ่มสินค้าและมีการออกแบบเพื่อตอบสนองกับวิถีชีวิตของคนไทยโดยเฉพาะ ประการสำคัญการใช้ธูปเทียน LED มีความปลอดภัยในการใช้งาน 100% ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในเรื่องอัคคีภัย ทั้งยังลดความเสี่ยงต่อสุขภาพที่เกิดจากควันธูปเทียนอีกด้วย

ส่วนกลุ่มเป้าหมายหลักของ “แคร์ล” จะอยู่ในกลุ่มลูกค้าที่มีการบูชาพระพุทธรูปในบ้านและกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบการใช้เทียนตบแต่งในบ้านที่ต้องการลดความเสี่ยงด้านสุขภาพจากควันธูปควันเทียนและคำนึงถึงความสะอาดของสถานที่การใช้งาน รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย เน้นใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์กับชีวิตและครอบครัวให้ดีขึ้น ขณะที่กลุ่มเป้าหมายรองลงมาคือ วัด ศาสนสถานต่าง ๆ โรงแรม หรือร้านอาหาร โดยปัจจุบัน “แคร์ล” มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 500 รายการ จำหน่ายตามห้างสรรพสินค้ามากกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ โดยมีสินค้าจำหน่ายเข้าตลาดแล้วรวมมากกว่า 5 แสนชิ้น

ในส่วนของสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของแบรนด์ “แคร์ล” เป็นสินค้ากลุ่มที่นำมาประกอบพิธีทางศาสนา กราบไหว้บูชาพระ ด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตได้เป็นอย่างดีและมีหลากหลายขนาดให้ได้เลือกใช้ โดยสินค้าไฮไลท์ในส่วนกลุ่มศาสนาคือ กระถางธูปที่ใส่บทสวดมนต์ได้ เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบประกอบสมาธิเป็นอย่างมากโดยสินค้าสามารถปรับเปลี่ยนบทสวดได้ตามความต้องการ ผ่านทางช่องเสียบ SD Memory Card ที่สามารถใส่บทสวดเข้าไปเพิ่มได้

 

นอกจากนี้ยังมีสินค้ากลุ่มเทียน LED ตบแต่ง ที่นำมาสร้างบรรยากาศ ตั้งแต่มุมใช้สอยขนาดเล็กจนกระทั่งพื้นที่ขนาดใหญ่ก็สามารถสร้างบรรยากาศอบอุ่น ผ่อนคลาย และโรแมนติกได้ทุกโอกาส เหมาะสำหรับห้องพักภายในคอนโดมิเนียม โรงแรม ร้านอาหาร และสปา โดยสินค้าจะทำงานด้วยถ่านชาร์จภายในตัวเครื่องและสามารถปรับใช้ไฟบ้านให้เหมาะกับแสงเทียน LED ได้ตามความต้องการของผู้ใช้

นายธานัท กล่าวด้วยว่า ในการเปิดตัวแบรนด์ “แคร์ล” อย่างเป็นทางการ บริษัทฯ ได้นำนวัตกรรมใหม่อย่าง เทียน LED ปล่อยกลิ่นหอม Aroma พร้อมรีโมทคอนโทรลมาร่วมเปิดตัวอีกด้วย โดยเทียน LED นี้สามารถส่งกลิ่นหอมได้ในขณะใช้งาน ตัวสินค้าทำจากเทียนไขจริง เนรมิตเปลวเทียน LED ที่สวยงามพลิ้วไสวเสมือนเปลวไฟของจริง แต่ไม่ก่อให้เกิดความร้อนระหว่างการทำงาน มาพร้อมฟังก์ชันพิเศษที่สามารถใส่กลิ่นน้ำหอมที่ชื่นชอบได้และควบคุมระดับตั้งระยะเวลาการปล่อยกลิ่นหอมได้ตามพื้นที่ความต้องการ ทำงานด้วยถ่านชาร์จประเภทลิเธียม เหนือชั้นกว่าด้วยการควบคุมจากรีโมทคอนโทรล สะดวกทุกการใช้งาน จากฟังก์ชันตั้งเวลาเพื่อเปิด-ปิดการทำงานแบบอัตโนมัติได้เอง

นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังมีการจัดจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์ Smart Sensortlight ภายใต้แบรนด์สินค้า “ริน”  (RIN) เหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าที่ชอบการ D.I.Y. (Do It Yourself) รวมถึงกลุ่มไลฟ์สไตล์ที่รักในการนำสิ่งดี ๆ มาให้กับทุกคนในครอบครัว และชื่นชอบ Gadget แบบสมาร์ทฟังก์ชันที่หลากหลาย ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่ต้องซ่อมแซมและบำรุงรักษาให้ยุ่งยาก ซึ่งสินค้าในแบรนด์ “ริน” จัดอยู่ในกลุ่มไฟ Motion Sensor Nightlight ที่ใช้ทั่วไปในคอนโดมิเนียม ตึกแถว บ้านเดี่ยว กลุ่มไฟ Solar Sensor Nightlight ที่เน้นเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยยามกลางคืน ตบแต่งพื้นที่บริเวณนอกบ้าน และกลุ่มไฟ Solar Spot light – Solar Street lights ที่ใช้ในหมู่บ้าน และโรงงานขนาดกลาง-ขนาดใหญ่

จุดเด่นของสินค้าแบรนด์ “ริน (RIN)” นอกจากจะมีความหลากหลายและสะดวกในการใช้งานแล้ว ยังถูกออกแบบให้ลูกค้าสามารถติดตั้งได้เอง ไม่ต้องเดินสายไฟ และดึงพลังงานจากแสงอาทิตย์ ประหยัดค่าไฟฟ้า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญบริษัทฯ ยังเสริมบริการหลังการขายและการรับประกันสินค้าให้กับลูกค้า โดยปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของ RIN มีมากกว่า 100 รายการ จำหน่ายไปแล้วกว่า 1 แสนชิ้น ในช่องทางร้านค้าและห้างสรรพสินค้ากว่า 100 สาขา

สินค้าที่ได้รับความนิยมของแบรนด์ “ริน “มีหลากหลายชนิด อาทิ Sensor Nightlight แบบสื่อสารอัตโนมัติ Communicate Sensor Nightlight ที่ใช้งานภายในอาคาร เหมาะกับพื้นที่ทางเดินและบันไดต่าง ๆ ทำงานด้วยถ่านไฟฉาย ติดตั้งสะดวกด้วยกาว 3M หรือสกรู ซึ่งติดมาพร้อมกับสินค้า โดย Nightlight จะทำงานเฉพาะกลางคืน หรือช่วงที่มีแสงน้อย โดยไฟจะสว่างขึ้นมาอัตโนมัติ เมื่อมีการเคลื่อนไหวผ่านรัศมีเซ็นเซอร์ และเมื่อตัวแรกไฟสว่าง ตัวที่สองจะสว่างขึ้นมาพร้อมกันโดยอัตโนมัติ แม้ยังไม่มีการเคลื่อนไหวผ่านรัศมีเซ็นเซอร์ของตัวที่สอง ทำให้เกิดแสงสว่างทั่วทั้งทางเดิน และปิดเองโดยอัตโนมัติเมื่อเดินผ่านไป เพิ่มระดับความปลอดภัยแก่ผู้ใช้งานได้ดี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงวัยและกลุ่มเด็กเล็ก ขณะเดียวกันลูกค้ายังสามารถเพิ่มจำนวนไฟที่จะให้เปิด/ปิดไฟพร้อมกันได้ไม่จำกัดภายในรัศมีของเซ็นเซอร์

นายธานัท กล่าวว่า ในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่าย บริษัทฯ มีการจัดจำหน่ายทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยช่องทางจำหน่ายออฟไลน์มีทั่วประเทศ บริษัทฯ มีวางจำหน่ายพร้อมทั้งอัปเดทสินค้าใหม่ ๆ ที่โฮมโปรทุกสาขา รวมไปถึงห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เช่น Megahome, Index Living Mall, Do Home, Big C, Makro และ Foodland ส่วนช่องทางจำหน่ายออนไลน์ สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ www.ideacube.co.th และ Online Marketplaces ต่าง ๆ อาทิ HomePro online shop, Lazada, Shoppee เป็นต้น

“ปัจจุบันในตลาดมีสินค้าบางรายการที่มีการทำงานคล้ายคลึงกับของบริษัทฯ แต่จะมีคุณภาพที่แตกต่างกันหลายระดับ ซึ่งปัจจัยในข้อนี้อาจส่งผลให้ผู้บริโภคบางรายไม่กล้าทดลองใช้สินค้าจากแบรนด์ของเรา แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราต่างจากคู่แข่งคือ ความมั่นใจในคุณภาพและการรับประกันสินค้า รวมถึงบริการหลังการขาย ซึ่งหากมองภาพรวมแล้วเรามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่การเติบโตของจำนวนสินค้าและการรับรู้ในแบรนด์สินค้าที่เป็นที่รู้จักมากขึ้น ทั้งยังมีการเติบโตในช่องทางการจำหน่ายที่คลอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ที่สำคัญในด้านการเติบโตของด้านยอดขายจะเป็นจุดหนึ่งที่ชี้ให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือของสินค้าได้เป็นอย่างดี ซึ่งในช่วงแรกบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตสูงถึง 30% ในทุก ๆ ปี

นายธานัท กล่าวด้วยว่า ด้วยสภาวะเศรษฐกิจของไทยและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอยู่ในขณะนี้ ประกอบกับการแข่งขันในตลาดที่ดุเดือดมากขึ้นทุกวัน ทำให้เราต้องปรับตัวและคิดค้นสินค้าใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดโดยเน้นกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีเป็นหลัก เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่ม และยังจะต้องพัฒนาสินค้าในเชิงลึกเพื่อสร้างจุดแข็ง สร้างความแตกต่างของสินค้าให้เกิดขึ้นภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน เติมเต็มช่องว่างเพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความพึงพอใจได้มากที่สุด

ผู้สนใจผลิตภัณฑ์สามารถสอบถามได้ที่ โทร.0 2945 8271-2 หรือติดตามรายละเอียดต่าง ๆ ได้ที่ www.ideacube.co.th  หรือ www.facebook.com/clairecandlethailand และ www.facebook.com/rin.smartlight

ซีอีโอในประเทศไทยต้องเป็นผู้นำในการบริหารจัดการสินทรัพย์ซอฟต์แวร์

ถึงแม้ว่ากองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) จะบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อลดอัตราการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ แต่ยังพบว่ามากกว่าครึ่งขององค์กรธุรกิจในประเทศไทย ใช้ซอฟต์แวร์โดยไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (ไลเซนส์) หรือละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรธุรกิจต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน เพื่อปรับเปลี่ยนมาใช้ซอฟต์แวร์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย

ปัจจุบัน ประมาณร้อยละ 66 ขององค์กรธุรกิจในประเทศไทยใช้ซอฟต์แวร์โดยไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (ไลเซนส์) ทำให้มีความเสี่ยงในเรื่องการปกป้องข้อมูล เพราะซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ มีโอกาสสูงที่จะถูกมัลแวร์จู่โจม และทำให้เกิดจุดอ่อนในกลไกการป้องกันภัยไซเบอร์ขององค์กรธุรกิจและประเทศไทยโดยรวม

การบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์อย่างจริงจัง รวมถึงการเข้าตรวจค้นและดำเนินคดีกับองค์กรธุรกิจที่ใช้ซอฟต์แวร์โดยไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (ไลเซนส์) อย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ เป็นหนึ่งในวิธีป้องปราม ทำให้องค์กรธุรกิจปรับเปลี่ยนมาใช้ซอฟต์แวร์ให้ถูกต้องตามกฎหมายมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรธุรกิจในประเทศไทย ต้องวางนโยบายเรื่องการใช้ซอฟต์แวร์ภายในองค์กรของตนเองด้วย เพราะมีผลต่อเนื่องไปถึงมาตรการปกป้องข้อมูลของลูกค้า ปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัลและชื่อเสียงขององค์กร รวมถึงสถานะทางการเงิน

นายดรุณ ซอว์เนย์ ผู้อำนวยการอาวุโส บีเอสเอ I พันธมิตรซอฟต์แวร์ ประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า อันที่จริง บก.ปอศ. ทำผลงานได้อย่างน่าชื่นชมทั้งด้านการสืบสวน สอบสวน รวมถึงการเข้าตรวจค้นและดำเนินคดีกับองค์กรธุรกิจที่ใช้ซอฟต์แวร์โดยไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (ไลเซนส์) และเราหวังว่าความพยายามนี้จะส่งผลให้องค์กรธุรกิจปรับเปลี่ยนมาใช้ซอฟต์แวร์อย่างถูกต้องตามกฎหมายมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยปกป้องข้อมูล แต่ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรธุรกิจในประเทศไทยควรจะต้องมีส่วนร่วมมากกว่านี้ โดยทำงานเชิงรุกเพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรธุรกิจของพวกเขาปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้องซึ่งปัจจุบันอาจจะยังไม่เพียงพอ นอกจากนี้ พวกเขายังสามารถช่วยได้ด้วยการส่งสาส์นออกไปยังทุกส่วนขององค์กรว่าการใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฎหมายนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้

จากข้อมูลของบีเอสเอ I พันธมิตรซอฟต์แวร์ ระบุว่า บก.ปอศ. มีผลงานอยู่ในระดับแนวหน้าของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในด้านการส่งเสริมและสนับสนุนสภาพแวดล้อมในการใช้ซอฟต์แวร์ให้ถูกต้องตามกฎหมายและมีความปลอดภัย โดยในปี 2562 บก.ปอศ. ได้ปฏิบัติการด้านการสืบสวนและสอบสวนเบาะแสการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์หลายร้อยราย รวมถึงการเข้าตรวจค้นและดำเนินคดีกับองค์กรธุรกิจที่ใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฎหมายหลายสิบแห่ง

“ในด้านการปฏิบัติการ อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ขอชื่นชมผลงานของ บก.ปอศ. แต่สิ่งที่เราต้องการเห็นคือ พัฒนาการด้านความร่วมมือจากผู้นำขององค์กรธุรกิจในประเทศไทย เพื่อให้แน่ใจว่าองค์กรของพวกเขาใช้ซอฟต์แวร์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 100% แต่ที่น่าเศร้าคือสถานการณ์ในประเทศไทยไม่ได้เป็นเช่นนั้น สิ่งที่ผมพยายามจะบอกคือเราไม่เชื่อว่าผู้บริหารระดับสูงขององค์กรธุรกิจจะมีเจตนาฝ่าฝืนกฎหมาย เพียงแต่พวกเขาไม่ได้บริหารจัดการสินทรัพย์ซอฟต์แวร์อย่างเพียงพอ” 

ในขณะที่องค์กรธุรกิจในประเทศไทยล้วนตระหนักถึงความสำคัญของบรรษัทภิบาลและการบริหารความเสี่ยงเป็นอย่างดี แต่พวกเขากลับหลงลืมที่จะพิจารณาประเด็นเหล่านี้จากมุมมองด้านเทคโนโลยี ผลที่ตามมาคือทำให้ข้อมูลอาจตกอยู่ในความเสี่ยง เพราะการใช้ซอฟต์แวร์โดยไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (ไลเซนส์) ทำให้องค์กรธุรกิจไม่ได้รับบริการด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยจากบริษัทซอฟต์แวร์ ทำให้ซอฟต์แวร์ไม่ได้รับการอัพเดท หรือจุดบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นในซอฟต์แวร์ไม่ได้รับการแก้ไข ทำให้เกิดช่องโหว่งและเปิดโอกาสให้มัลแวร์จู่โจม

เพื่อลดความเสี่ยงในการทำผิดกฎหมายและความเสี่ยงอื่นๆ บีเอสเอ ขอแนะนำให้ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรธุรกิจในประเทศไทย ปฏิบัติตามคำแนะนำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการสินทรัพย์ซอฟต์แวร์ ได้แก่

อันดับแรก องค์กรธุรกิจควรมีนโยบายกำกับการจัดซื้อซอฟต์แวร์ทุกประเภทผ่านแผนกจัดซื้อ หรือแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศส่วนกลางโดยตรงซึ่งจะช่วยให้ผู้บริหารระดับสูงสามารถมั่นใจได้ว่าซอฟต์แวร์ทุกชนิดที่ใช้ในองค์กรมีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (ไลเซนส์) และมาจากผู้จัดจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการ

อันดับต่อมา ผู้บริหารระดับสูงควรจัดให้มีการอบรมและให้ความรู้แก่พนักงงานทุกคนเกี่ยวกับการใช้ซอฟต์แวร์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย

อันดับที่สาม คือผู้บริหารระดับสูงควรจัดให้องค์กรมีการตรวจสอบการใช้ซอฟต์แวร์เป็นการภายในเป็นประจำทุกปี รวมถึงการตรวจสอบอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา และแท็บเล็ต ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายขององค์กรเป็นครั้งคราวด้วย และยิ่งกว่านั้นคือองค์กรควรพิจารณาการให้สิทธิ์ติดตั้งซอฟต์แวร์แก่ผู้ดูแลระบบเท่านั้น ซึ่งเป็นแนวทางที่ปลอดภัยในการสร้างความมั่นใจว่าพนักงานคนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศหรือแผนกจัดซื้อส่วนกลางจะไม่สามารถติดตั้งซอฟต์แวร์ในคอมพิวเตอร์ขององค์กรได้

สุดท้าย คือผู้บริหารระดับสูงควรจัดให้ผู้จัดการแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศได้รับการฝึกอบรมด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์ซอฟต์แวร์ตามมาตรฐานสากล รวมถึงการจัดการสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิซอฟต์แวร์ (ไลเซนส์)

“เราต้องการทำงานร่วมกับผู้บริหารระดับสูง และนำเสนอแนวทางที่ดีแก่องค์กรธุรกิจ สำหรับการบริหารจัดการสินทรัพย์ซอฟต์แวร์ รวมถึงการตรวจสอบให้แน่ใจว่าองค์กรมีการใช้ซอฟต์แวร์ที่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (ไลเซนส์) และใช้ซอฟต์แวร์อย่างถูกต้องตามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (ไลเซนส์)”

การแก้ไขปัญหาการใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่มีสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ (ไลเซ่นส์) ในองค์กรธุรกิจจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากองค์กรธุรกิจเอง เริ่มจากการสื่อสารอย่างชัดเจนจากผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์กรเกี่ยวกับความจำเป็นและความสำคัญเป็นลำดับต้นในการใช้ซอฟต์แวร์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย.

โซลูชั่นเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าจาก “เดลต้า” มอบพลังขับเคลื่อนอันทรงพลัง

alivesonline.com : บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) นำโซลูชั่นการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในการทดสอบขับ “นิสสัน ลีฟ” สู่ “ยอดดอยอินทนนท์” ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการหลักเครื่องชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นทางการสำหรับ “นิสสัน” ในประเทศไทย โดย “เดลต้า” ได้ร่วมงานทดสอบการขับครั้งนี้เพื่อสนับสนุนเครื่องชาร์จให้ “นิสสัน ลีฟ” จำนวน 10 คัน พร้อมให้ความรู้แก่ผู้ขับในการใช้เครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ขณะเดียวกันยังเน้นถึงประโยชน์ของเครื่องชาร์จรุ่น Delta AC Mini Plus สำหรับการขับรถข้ามประเทศอีกด้วย

ระหว่างการทดลองขับในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สื่อมวลชนได้แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มจากทั้งหมดประมาณ 80 ท่าน ทดลองขับ “นิสสัน ลีฟ” ที่ได้รับการชาร์จแบตเตอรี่เต็มเพื่อขับขึ้นสู่ยอดเขาอินทนนท์และกลับมาชาร์จไฟเพียงครั้งเดียวตอนจอดข้ามคืนด้วย Delta AC Mini Plus ภายในงาน ผู้สื่อข่าวหลายท่านได้ทดลองสัมผัสเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าที่ “เดลต้า” นำมาจัดแสดง ซึ่งประกอบไปด้วย เครื่องชาร์จรุ่น AC Mini Plus และรุ่น DC Wallbox สำหรับเครื่องชาร์จรุ่น DC Wallbox เป็นเครื่องชาร์จแบบเร็ว โดยให้กำลังไฟขนาด 25kW พร้อมหัวชาร์จคู่แบบ CCS และ CHAdeMO ทั้งยังให้ประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงสุดถึง 94% และด้วยเครื่องชาร์จที่มีขนาดเล็กและมีความแข็งแรงทนทานจึงทำให้เครื่องชาร์จของ “เดลต้า” เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมสำหรับธุรกิจขนส่งกับยานพาหนะที่ใช้งานเชิงพาณิชย์ ส่วนเครื่องชาร์จรุ่น AC Mini Plus เป็นเครื่องชาร์จที่ดีไซน์ทันสมัยและมีสไตล์ โดยให้กำลังไฟขนาด ขนาด 7.36kW ติดตั้งง่ายเหมาะสำหรับการชาร์จที่บ้านและที่ทำงาน

ทีมโซลูชั่นเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของ “เดลต้า” ได้ช่วยติดตั้งและควบคุมดูแลเครื่องชาร์จุร่น AC Mini Plus จำนวน 10 เครื่อง ณ สถานที่จัดงานเพื่อทำการชาร์จ “นิสสัน ลีฟ” ทั้ง 10 คัน สำหรับจัดกิจกรรมครั้งนี้ เครื่องชาร์จรุ่น AC ได้ทำการชาร์จไฟ “นิสสัน ลีฟ” จนเต็มความจุของแบตเตอรี่ เพื่อให้ผู้ทดลองขับใช้ขับขี่ขึ้นสู่ยอดเขาอินทนนน์ ในระหว่างทางกลับ แบตเตอรี่ของ “นิสสัส ลีฟ” สามารถนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ผ่าน “รีเจนเจอเรทีฟ เบรกกิ่ง” (Regenerative Braking) และกลับถึงจุดเริ่มต้นด้วยแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่มากมาย ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังได้รับรายละเอียดการใช้งานแบตเตอรี่ตลอดช่วงเวลาการขับขี่และเรียนรู้วิธีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าด้วยโซลูชั่นการชาร์จจาก “เดลต้า”

ณ ที่ระดับความสูง 2,565 เมตรจากระดับน้ำทะเล “ดอยอินทนนท์” ในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศไทยเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบในการพิสูจน์ให้เห็นถึงพลัง ความปลอดภัย และสถานการณ์จริงในการขับขี่ และการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิประเทศที่เป็นภูเขา นอกจากนี้ ผู้เข้าร่วมงานยังให้ความสนใจเป็นพิเศษในการทดสอบระบบ “รีเจนเจอเรทีฟ เบรกกิ่ง” ในตอนลงเขาและทดลองใช้เครื่องชาร์จแบบส่วนตัวที่สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายเมื่อพวกเขากลับลงมาจากยอดเขา

ด้วยประเทศไทยเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนในการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า เจ้าของรถยนต์หลายคนต้องการทราบถึงประโยชน์และต้นทุนในการเป็นเจ้าของรถยนต์และเครื่องชาร์จ การทดลองขับ “นิสสัน ลีฟ” ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ดึงดูดสื่อมวลชน สายยานยนต์ เทคโนโลยี และไลฟ์สไตล์ของไทยที่มีความสนใจในรถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมาก และต้องการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เช่น ความกังวลในเรื่องระยะทางของการขับขี่และการชาร์จสำหรับกลุ่มผู้อ่านของพวกเขา ในประเทศไทย โดย “เดลต้า” ร่วมมือกับ “นิสสัน” ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้านรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการชาร์จที่มีความปลอดภัยและเครือข่ายการชาร์จแบบเร็วทั่วประเทศ

ในฐานะผู้ให้บริการโซลูชั่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม “เดลต้า” ร่วมมือกับผู้นำด้านยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าและส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย นวัตกรรมเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าของ “เดลต้า” กำลังจะสร้างรากฐานสำหรับสังคมที่ยั่งยืนและสุขภาพที่ดีขึ้น เพื่อสอดคล้องกับคำมั่นสัญญาของบริษัทที่ว่า Smarter. Greener. Together.

“ปวริศา ชุมวิกรานต์” ติดอันดับ Women to Watch 2019

Print

“ปวริศา ชุมวิกรานต์” หรือ “วี” ผู้บริหารฝ่ายการตลาด FINN MOBILE คือหนึ่งในผู้ที่ได้รับการยกย่องจากนิตยสารธุรกิจระดับโลก Campaign Asia-Pacific ให้ติดอับดับ “40 Women to Watch” สตรีที่น่าจับตามองแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ร่วมกับนักธุรกิจ นักการตลาด และผู้ทรงอิทธิพลในสาขาต่าง ๆ ทั้งหมด 40 คน โดย “ปวริศา ชุมวิกรานต์” ได้รับการคัดเลือกจากผลงานการสร้างสรรค์หลากหลายแคมเปญการตลาดนอกกรอบ ให้กับ LINE MOBILE (ปัจจุบันมีชื่อใหม่เป็น FINN MOBILE) จนยอดขายพุ่งสูงถึง 250%

“Women to Watch” คือลิสต์รายชื่อ 40 สตรีที่มีความโดดเด่นในในอุตสาหกรรมมีเดีย โฆษณา และการตลาดในแต่ละปีที่ผ่านการคัดเลือกของทีมบรรณาธิการอาวุโสของนิตยสารธุรกิจชื่อดัง Campaign Asia-Pacific โดยผู้ที่ถูกเสนอชื่อและได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับนั้น ไม่เพียงแต่จะต้องมีความโดดเด่นในด้านการทำงานเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นสตรีที่สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับแบรนด์หรือองค์กรและเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนรอบข้างที่ได้ร่วมงานด้วย

นช่วงที่ผ่านมา “ปวริศา ชุมวิกรานต์” สั่งสมประสบการณ์ในวงการการตลาดระดับเอเชียมานาน ทั้งยังเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ในวงการเทคฯ ที่กำลังมาแรงหลายแบรนด์ อย่าง Grab Thailand และแอปพลิเคชันฟังเพลงยอดนิยม Joox Music แต่จุดที่ทำให้ชื่อของเธอเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้นไปอีกคือ เมื่อเธอเข้ารับตำแหน่งผู้บริหารฝ่ายการตลาดของ LINE MOBILE ผู้ให้บริการซิมโทรศัพท์มือถือเจ้าใหม่ที่เข้ามาสร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการโทรคมนาคมในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา

“ในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของไทยที่ถูกผูกขาดโดยค่ายยักษ์ใหญ่ คงไม่มีใครคาดคิดว่าแบรนด์ที่เพิ่งเกิดใหม่จะสามารถเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาดได้ แต่ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความต้องการและพฤติกรรมการบริโภคในยุคดิจิทัลที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว รักอิสระ และชื่นชอบความแปลกใหม่ LINE MOBILE จึงได้สร้างบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคและผุดแคมเปญการตลาดที่สร้างสรรค์ แตกต่าง และฉีกกฎการโฆษณาแบบเดิมๆอย่างต่อเนื่อง จนเป็นที่สนใจของกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็น แคมเปญ “The Most Exclusive Ad Space” ที่ใช้สื่อพื้นที่โฆษณาบนตัวคน (Human Media) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ผ่านนักแสดงวัยรุ่นชื่อดัง “ไอซ์-พาริส อินทรโกมาลย์สุต” หรือแคมเปญ “ซิมถูกสุดหยุดโลก”ซึ่งเป็นครั้งแรกในไทยที่เราสามารถเปลี่ยนให้ป้ายโฆษณากว่า 3,000 จอทั่วกรุงเทพฯ มาเป็นพื้นที่โฆษณาของเราเจ้าเดียวพร้อมกันทุกจอเป็นเวลา 5นาที และมีโปรโมชั่นพิเศษคือราคาแค่ 5บาท ต่อเดือน”

ปรากฏการณ์ที่ถูกพูดถึงในวงกว้างบนโลกโซเชียลมีเดีย เนื่องจากเป็นการ Synchronize สื่อออฟไลน์และออนไลน์ไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้คนรู้จักและอยากทดลองใช้ซิม เนื่องจากราคาถูกมากจนยากจะปฏิเสธที่จะทดลองใช้ โดยแคมเปญนี้ได้ผ่านสายตาชาวกรุงเทพฯ กว่า 3 ล้านคนในเวลาเพียง 5 นาที มีคนลงทะเบียนรับสิทธิ์ถึงหลายหมื่นรายภายในเวลาเพียงแค่ 5 นาที และยังมียอดรับชมทางออนไลน์อีกกว่า 22 ล้านคน และผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในครั้งนั้นก็คือ “ปวริศา ชุมวิกรานต์” นั่นเอง

นอกจากเรื่องงานที่สร้างความสำเร็จและปรากฏการณ์แล้ว “ปวริศา ชุมวิกรานต์” ยังสร้างพลังบวกและแรงบันดาลใจให้กับผู้ร่วมงานทั้งในทีมและพาร์ทเนอร์ต่าง ๆ เสมอ ด้วยทัศนคติในการทำงานที่สนับสนุนส่งเสริมให้กล้าเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ทดลองถูกผิดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นไปครั้งถัด ๆ ไป ทำให้การทำงานเต็มไปด้วยความร่วมมือร่วมใจในการพิชิตโจทย์ท้าทายใหม่ ๆ ที่เข้ามา

“ปวริศา ชุมวิกรานต์” ผู้บริหารฝ่ายการตลาด FINN MOBILE กล่าวถึงการได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 40 Women to Watch 2019 ว่า

“รู้สึกขอบคุณและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ติดอันดับ Women to Watch ในปีนี้ เพราะรางวัลนี้จะเป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ บริการ และแคมเปญทางการตลาดที่สร้างสรรค์ออกไปสู่สังคมต่อไป และหวังว่าในปีถัด ๆ ไปจะเห็นรายชื่อหญิงเก่งจากประเทศไทยติดอันดับ Women to Watch มากขึ้น เนื่องจากหญิงเก่งในไทยยังมีอีกมาก เราเองรอชื่อชมหญิงเก่งท่านอื่นอยู่เสมอและอยากให้ชื่อเสียงหญิงเก่งของไทยอีกหลาย ๆ คนก้าวไปสู่ระดับภูมิภาคเช่นกัน”

“กิฟฟารีน” โตแรงสวนกระแส เตรียมขนทัพสินค้าลุยโค้งสุดท้ายปลายปี

alivesonline.com : “กิฟฟารีน” โชว์ยอดขายไตรมาส 3 โตแรงสวนกระแส จากการออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสกินแคร์และอาหารเสริม โดยเฉพาะ “กิฟฟารีน ไฮยา ซีรี่ส์” กลุ่มสกินแคร์มาแรงสุดในปี 62 สร้างยอดขายได้มากกว่า 8 แสนชิ้น คาดปี 63 แตะ 1 ล้านชิ้น เร่งพัฒนาสินค้านวัตกรรมคุณภาพ รุกหนักด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งทุกช่องทาง ตอกย้ำนักธุรกิจกิฟฟารีน ปรับตัวรับกระแส Disruption จัดหลักสูตรฝึกอบรมขั้นเทพเสริมแกร่งนักธุรกิจทุกระดับ คาดสิ้นปีเติบโตตามเป้า 8-9%

แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจขายตรงในครึ่งปีแรกมีการชะลอตัว เนื่องจากปัจจัยจากภาวะเศรษฐกิจที่ส่งผลให้ผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอย รวมไปถึงภาวะการแข่งขันสูง ผู้บริโภคมีทางเลือกหลากหลายช่องทาง โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ ทำให้บริษัทฯ ต้องปรับตัวและพัฒนาสินค้าให้เข้ากับไลฟ์สไตล์และตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น แต่บริษัทฯ สามารถทำผลประกอบการในช่วง 2 ไตรมาสแรก เติบโตขึ้น 8-9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการยอมรับของผู้บริโภคของเราในทุกช่องทาง ส่งสัญญาณบวกดันยอดขายปลายปีเป็นไปตามเป้าหมาย

ปัจจัยที่ทำให้ครึ่งปีแรกของ “กิฟฟารีน” สามารถกระตุ้นยอดขายในไตรมาสที่ผ่านมาได้เกินเป้าหมายถึง 8-9% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2561 เนื่องจากมีการออกผลิตภัณฑ์ทั้งในกลุ่มสกินแคร์และอาหารเสริมมาอย่างต่อเนื่องและยังได้สินค้าไฮไลท์อย่าง “กิฟฟารีน ไฮยา ซีรี่ส์” กลุ่มสกินแคร์มาแรงในปีนี้ที่สร้างยอดขายได้มากกว่า 8 แสนชิ้น โดยคาดว่าในปี 2563 จะสามารถทำยอดขายได้มากกว่า 1 ล้านชิ้น

สำหรับช่วงโค้งสุดท้ายปลายปี 2562 บริษัทฯ ยังคงออกผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสกินแคร์ อาหารเสริม และกลุ่มอาหารสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ พร้อมรุกหนักด้านดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งทุกช่องทาง ทั้งการตลาดออนไลน์และโซเชียลมีเดีย พร้อมให้บริการผู้บริโภคที่ต้องการสั่งซื้อสินค้า “กิฟฟารีน” ทุกช่องทางการสั่งซื้อ วางกลยุทธ์ทำการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ควบคู่กัน เพื่อเข้าถึงไลฟสไตล์ของผู้บริโภคในทุกกลุ่มเป้าหมายและทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุค 4.0 อย่างเข้าถึง นอกจากนี้ ยังมีการจัดอบรมเข้มสร้างขุนพลนักขายทั้งกองทัพออนไลน์และออฟไลน์ ตอกย้ำนักธุรกิจกิฟฟารีน ปรับตัวรับกระแส Disruption ปรับทัศนคติ เปลี่ยนวิธีการทำงาน จัดหลักสูตรฝึกอบรมขั้นเทพเสริมแกร่งนักธุรกิจทุกระดับ ล่าสุด บริษัทฯ ยังเข้าร่วมโครงการ “ชิม ช้อป ใช้” ของรัฐบาล โดยคาดว่าจะช่วยเพิ่มความคึกคักของนักธุรกิจได้

แล็ปท็อปที่มาพร้อมโปรเซสเซอร์ Intel® CoreTM เจนเนอเรชั่น 10

อินเทล (Intel) เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ประเทศไทยแล้ววันนี้กับโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ เจนเนอเรชั่น 10 โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดที่ผสานเทคโนโลยีชั้นนำไว้ด้วยกันโดยในงานเปิดตัวที่จัดขึ้นในกรุงเทพฯ มีผู้ผลิตคอมพิวเตอร์หลายรายร่วมจัดแสดงแล็ปท็อป และแล็ปท็อปแบบ 2-in-1 รุ่นใหม่ ซึ่งมีดีไซน์ที่สวยงามโดดเด่นหลากหลายรุ่น ละใช้โปรเซสเซอร์ Intel® CoreTM เจนเนอเรชั่น 10 รุ่นใหม่ล่าสุดดังกล่าว

โปรเซสเซอร์ Intel® CoreTM เจนเนอเรชั่น 10 รุ่นใหม่ล่าสุด นำเอาสมรรถนะขั้นสูงของปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาสู่เครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจากนั้นยังมีเทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ดีที่สุดด้วย Intel® Wi-Fi 6 (Gig+) และThunderbolt™ 3 พร้อมทั้งประสิทธิภาพของ Intel® Iris® Plus Graphics ที่นำมาซึ่งประสบการณ์ด้านการแสดงภาพและกราฟิกที่สวยงามสมจริง น่าประทับใจ

 แบรนด์คอมพิวเตอร์ชั้นนำที่นำแล็ปท็อปหลากหลายรุ่นที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel® CoreTM เจนเนอเรชั่น 10 มาจัดแสดง ได้แก่ เอเซอร์ เอซุส เดล เอชพี เลอโนโว และเอ็มเอสไอ ผู้บริโภคและบริษัทต่าง ๆ ในประเทศไทยสามารถเลือกใช้แล็ปท็อปที่ใช้โปรเซสเซอร์ Intel® CoreTM เจนเนอเรชั่น 10 ที่มีวางจำหน่ายแล้วในตอนนี้ถึง 28 รุ่น และยังมีอีกหลายรุ่น หลากหลายดีไซน์ที่กำลังทยอยเปิดตัวในตลาดก่อนสิ้นปีนี้

 นายซานโตช วิศวะนาธาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น กล่าวว่า “เราเชื่อมั่นว่าโปรเซสเซอร์ Intel® CoreTM เจนเนอเรชั่น 10 ที่มาพร้อมกับ Intel® Iris® Plus Graphics จะเป็นที่สนใจของบรรดาผู้เล่นเกมทั่วไป ซึ่งเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ของตลาดผู้บริโภคที่ใช้พีซีในประเทศไทย ด้วยประสิทธิภาพด้านกราฟิกที่ดีขึ้นถึงสองเท่า ทำให้โปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ล่าสุดนี้สามารถเล่นเกมด้วยความละเอียดในการแสดงผลถึง 1080p และสร้างสรรค์คอนเทนต์ขั้นสูง เช่น การตัดต่อวิดีโอ 4K และใส่ฟิลเตอร์ในวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว ตลอดจนสามารถประมวลผลภาพถ่ายความละเอียดสูงได้ทุกที่ทุกเวลา”

อินเทล ยังได้จัดแสดงนวัตกรรมบางส่วนในโครงการ Project Athena ที่เพิ่งเปิดตัวในประเทศไทย ประกอบด้วย แล็ปท็อปเดล รุ่น Dell Inspiron 7391 (แบบ 2 in 1) และ Dell XPS 13 (2 in 1) รวมถึงแล็ปท็อปเลอโนโว รุ่น Lenovo Yoga C940 และรุ่น Lenovo Yoga S740

ทั้งนี้ Project Athena เป็นโครงการนวัตกรรมที่ใช้เวลาหลายปีและนำร่องโดยอินเทล เพื่อจัดทำเกณฑ์มาตรฐานสำหรับพีซีและยกระดับนวัตกรรมแล็ปท็อป โดยมีเป้าหมายของโครงการคือการนำเสนอแล็ปท็อปที่มีประสิทธิภาพสูงที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจดจ่อกับสิ่งที่ต้องการได้ง่ายขึ้น พร้อมใช้งานอยู่เสมอและรองรับกับบทบาทที่แตกต่างกันตลอดทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการทำงาน การศึกษา ไปจนถึงกิจกรรมที่คนในครอบครัวชื่นชอบและสนใจทำร่วมกัน เพื่อความความบันเทิงและอื่น ๆ อีกมากมาย

อินเทลและโลโก้ของอินเทลเป็นเครื่องหมายการค้าของ บริษัทอินเทล คอร์ปอเรชั่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ชื่อและแบรนด์อื่นๆ อาจเป็นทรัพย์สินของผู้อื่น

 

“เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป – สิงห์ออนไลน์” เติมเต็ม ECOSYSTEM สร้างสังคมที่อยู่อาศัยในอุดมคติ

ครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ “เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป” โดย บริษัท วาริ จำกัด ผู้พัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการใช้ชีวิตคุณภาพได้อย่างสะดวกสบายครบวงจร นำโดย นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ ประกาศจับมือ “สิงห์ออนไลน์” เพื่ออำนวยความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคผ่าน SMART WORLD ดิจิทัลแพลทฟอร์มคุณภาพเครือ AP ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงสำหรับลูกบ้านเอพี พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย เช่น ส่วนลดในการซื้อสินค้า บริการจัดส่งฟรี และของสมนาคุณพิเศษ ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเอพี ณ โครงการ LIFE วัน ไวร์เลส เมื่อเร็ว ๆ นี้

“สหกรุ๊ป ศรีราชา ครั้งที่ 35” พร้อมเริ่ม 31 ต.ค.62

รมิดา รัสเซลล์ มณีเสถียร กรรมการบริหาร และผู้อำนวยการฝ่ายบูติคสตรี บริษัทไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด (มหาชน) เอาใจนักช้อป นำสินค้าเสื้อผ้าบุรุษ-สตรี เครื่องหนัง จากแบรนด์ชั้นนำอย่าง Becky Russell (เบคกี้ รัสเซลล์), ELLE (แอล), ELLE BAG (แอล แบ็ค), ELLE HOMME (แอล ฮอม), iiMK (มิเชล ไคลน์), ITOKIN (อิโตคิน) และ MINNA (มินน่า) มาจำหน่ายในงาน “สหกรุ๊ป ศรีราชา ครั้งที่ 35 ด้วยราคาสินค้าลดสุด ๆ มากถึง 60% บริเวณโซนบูธ A111 – A114 และ โซนบูธ A329 – A332 โดยวันที่ 31 ตุลาคม 2562 จะเปิดจำหน่ายเวลา 13.00-21.00 น., วันที่ 1-2 พฤศจิกายน 2562 จำหน่ายเวลา 08.00-22.00 น. และวันที่ 3 พฤศจิกายน 2562 จำหน่ายเวลา 08.00-15.00 น.

“ยิปซัม ตราช้าง” จัดโปรดีๆ “หนาวนี้มีฟิน”

หนาวนี้ “ยิปซัม ตราช้าง” ให้คุณเตรียมความพร้อมเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกายไปกับโปรโมชัน “หนาวนี้มีฟิน” ด้วยเสื้อยืดแขนยาวคอลเลกชันใหม่ล่าสุด เมื่อซื้อแผ่นยิปซัมตราช้าง ขนาด 1200X2400 มม. ครบ 30 แผ่น หรือแผ่นฝ้าพิมพ์ลายทีบาร์ เปเปอร์ทัช ตราช้าง ขนาด 600×600 มม. ครบ 24 กล่อง รับไปเลยทันทีเสื้อยืดคอกลมแขนยาวใส่คูลๆ 1 ตัว มี 5 สีให้สะสมใส่เพิ่มความฟิน ดำ เหลือง ชมพู เขียว และฟ้า ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 พฤศจิกายน 2562 หรือจนกว่าของแถมจะหมด ณ ร้านยิปซัมเอ็กซ์เพรส ผู้แทนจำหน่ายเอสซีจี และร้านขายวัสดุก่อสร้างชั้นนำทั่วประเทศ

สอบถามข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนยิปซัมตราช้าง โทร.0 2555 0000 หรือ www.siamgypsum.com หรือช่องทางเฟซบุ๊ก @GypsumTraChangTH