ไทยประกาศราชกิจจานุเบกษา “มาตรฐานช่างไฟฟ้าไมซ์” ชาติแรกของโลก

alivesonline.com : “ทีเส็บ” ร่วมกับหน่วยงานภาคีจัดโครงการพัฒนายกระดับมาตรฐานผู้ประกอบวิชาชีพด้านไมซ์ยกแผง ตั้งแต่มาตรฐานฝีมือแรงงานช่างไฟฟ้าจนถึงระดับบริหารจัดการงานไมซ์ด้วยมาตรฐานสากล รองรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามโมเดลประเทศไทย 4.0 ยึดคนเป็นศูนย์กลางการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไมซ์ไทยทั้งในเวทีอาเซียนและระดับนานาชาติ

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาประเทศด้วยโมเดล “ประเทศไทย 4.0” มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมที่พึ่งพาความรู้ ความคิดสร้างสรรค์ และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่ ขณะเดียวกันองค์การสหประชาชาติได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อสร้างหลักประกันว่าทุกคนจะมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียมกัน สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (2560-2564) ของประเทศไทยที่ยึดคนเป็นศูนย์กลางการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของชาติ

ในปัจจุบัน โลกให้ความสนใจกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยมีคนเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา อีกทั้งการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนก่อให้เกิดการเชื่อมโยงทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและวัฒนธรรม รวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานระหว่างประเทศสมาชิก “ทีเส็บ” จึงเห็นโอกาสและความจำเป็นในการพัฒนากำลังคนด้านไมซ์ให้มีความรู้และทักษะที่สามารถประกอบอาชีพได้ตรงตามความต้องการของธุรกิจและมีมาตรฐานนานาชาติ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากลเพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมไมซ์ไทย

“ทีเส็บ” วางแผนการพัฒนาบุคลากรไมซ์ภายใต้มาตรฐานอาชีพแบ่งเป็น 2 ระดับทั้งในประเทศและนานาชาติ สำหรับการสร้างมาตรฐานอาชีพในระดับประเทศ ร่วมกับ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน สมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) สมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน และสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) จัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาอาชีพช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ และสาขาช่างไฟฟ้าสำหรับอุตสาหกรรมไมซ์ ซึ่งล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เห็นชอบประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดย คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน กำหนดมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาอาชีพช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ สาขาช่างไฟฟ้าสาหรับอุตสาหกรรมการจัดงานประชุม การเดินทาง เพื่อเป็นรางวัล และการแสดงสินค้า (MICE : Meetings Incentives Conventions Exhibitions) ซึ่งประเทศไทยถือเป็นชาติแรกในโลกที่มีการกำหนดมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติสำหรับบุคลากรวิชาชีพไมซ์ โดยเริ่มต้นจากมาตรฐานสาขาช่างไฟฟ้าสำหรับอุตสาหกรรมไมซ์เป็นสาขาแรก

“การเปิดโอกาสให้แรงงานฝีมือไทยได้รับการยอมรับและสร้างมาตรฐานการทำงานบุคลากรวิชาชีพไมซ์ระดับนานาชาติมีความสำคัญมาก เนื่องจากปัจจุบันการเปิดการค้าเสรีทำให้ต่างชาติเข้ามาจัดกิจกรรมไมซ์ในประเทศไทยมากขึ้นและมักจะนำผู้รับเหมาต่างชาติเข้ามาดำเนินการด้วย ทำให้มีรายได้เข้าประเทศเฉพาะค่าพื้นที่และค่าที่พัก แต่ต้องเสียรายได้ส่วนอื่นไป เช่น ค่าแรงงาน ค่าออกแบบก่อสร้างและตกแต่งบูธ การจัดการระบบไฟฟ้าต่าง ๆ อีกทั้งยังทำให้ผู้ประกอบการไมซ์ของไทยเสียโอกาสในการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจในการจัดงานระดับสากล”

นายจิรุตถ์ กล่าวต่อไปว่า นอกจากมาตรฐานฝีมือแรงงานแล้ว “ทีเส็บ” ยังมีเป้าหมายที่จะเชื่อมโยงมาตรฐานอาชีพกับมาตรฐานการศึกษาภายใต้กรอบคุณวุฒิวิชาชีพแห่งชาติด้วย โดยเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2562 ได้ร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) หรือ สคช. ลงนามความร่วมมือในการพัฒนาศักยภาพบุคคลด้วยระบบคุณวุฒิวิชาชีพและสนับสนุนให้มีการประเมินสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ เพื่อความพร้อมของบุคคลากรด้านไมซ์ พร้อมกันนี้ยังได้ร่วมกับสมาคมด้านไมซ์ อาทิ สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) สมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน และสมาคมการแสดงสินค้าไทย พัฒนาหลักสูตรภาษาไทยในระดับชาติขึ้นเพื่อยกระดับมาตรฐานผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในส่วนภูมิภาคให้พร้อมก้าวเข้าสู่สากล อาทิ หลักสูตรการจัดการการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลอย่างมืออาชีพ (Thailand Incentive Travel Professional – TITP) หลักสูตรการจัดอีเวนต์อย่างมืออาชีพ (Event Professional) และกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาอีกสองหลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรการจัดงานแสดงสินค้าอย่างมืออาชีพและหลักสูตรการจัดงานประชุมอย่างมืออาชีพ

ในส่วนของการพัฒนามาตรฐานอาชีพระดับนานาชาติ “ทีเส็บ” ได้มีการนำเข้าหลักสูตรรับรองระดับนานาชาติภายใต้ลิขสิทธิ์ของสมาคมด้านไมซ์ระดับสากล เช่น หลักสูตรรับรองมืออาชีพด้านการจัดงานแสดงสินค้า (Certified in Exhibition Management) ภายใต้ลิขสิทธิ์และการรับรองของสมาคม International Association of Exhibitions and Events – IAEE ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ได้รับการรับรองแล้วกว่า 147 ราย สูงสุดเป็นลำดับที่ 1 ของอาเซียนและลำดับที่ 3 ของเอเชีย

นอกจากนั้นยังมีหลักสูตรรับรองผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล ภายใต้ลิขสิทธิ์และการรับรองของสมาคม Society of Incentive Travel Excellence – SITE ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ได้รับการรับรองแล้วกว่า 138 ราย สูงสุดเป็นลำดับที่ 1 ของเอเชีย และการจัดหลักสูตรภายใต้การรับรองของสมาพันธ์สมาคม Events Industry Council – EIC ประกอบด้วยหลักสูตรรับรองมืออาชีพด้านการจัดงานอย่างยั่งยืน (Sustainability Event Professional) จำนวน 126 คน มีจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก และหลักสูตรรับรองมืออาชีพด้านการจัดงานประชุม (Certified Meeting Professional) ภายใต้หลักสูตรลิขสิทธิ์ของสมาคม Meeting Professionals International – MPI ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ได้รับการรับรองแล้วกว่า 13 ราย

“การร่วมมือกับหน่วยงานภาคีดังกล่าวในการจัดโครงการพัฒนายกระดับมาตรฐานผู้ประกอบวิชาชีพด้านไมซ์ในทุกระดับที่กำลังดำเนินการอยู่นี้จะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ช่วยให้อุตสาหกรรมไมซ์ไทยก้าวไกลได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายจิรุตถ์ กล่าวในตอนท้าย

รัฐ-เอกชน จัดงาน BIDC 2019 ผลักดันดิจิทัลคอนเทนต์ไทยสู่ตลาดโลก

  • alivesonline.com : 3 องค์กรหลักภาครัฐ หนุน 5 สมาคมด้านดิจิทัลคอนเทนต์ จัดงาน “มหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ ครั้งที่ 6” วันที่ 14-16 สิงหาคม 2562 ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพฯ เชิญกูรูชื่อดังร่วมสัมมนาเชิงปฏิบัติการหลายหัวข้อ ดึง 12 ชาติร่วมจับคู่ธุรกิจกับผู้ประกอบการไทย เร่งผลักดันไทยให้ก้าวสู่ศูนย์กลางอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ในภูมิภาคเอเชีย พร้อมจัดพิธีมอบรางวัล “BIDC Awards 2019” 25 สาขา ใน 5 กลุ่มอุตสาหกรรม

นายนพ ธรรมวานิช ผู้แทนคณะผู้จัดงาน “มหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ ครั้งที่ 6” หรือ “Bangkok International Digital Content Festival 2019” (BIDC 2019) ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 14-16 สิงหาคม 2562 ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพฯ (สุขุมวิท 22) เปิดเผยว่า งาน BIDC 2019 จัดขึ้นโดยภาคเอกชน ได้แก่ LINE CREATORS MARKET โดยบริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด และ 5 สมาคมด้านดิจิทัลคอนเทนต์คือ สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA) สมาคมดิจิทัลคอนเทนต์ไทย (DCAT) สมาคมอีเลิร์นนิ่งแห่งประเทศไทย (e-LAT) และสมาคมธุรกิจบางกอกเอซีเอ็มซิกกราฟ (BASA) สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย (TGA) โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ 3 แห่งคือ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ “ดีป้า” ด้วยแนวคิด “Digital Co-creation” ซึ่งเป็นการร่วมสร้างดิจิทัลคอนเทนต์โดยมีความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมให้เข้มแข็งและยั่งยืน

การจัดงาน BIDC 2019 นับเป็นมหกรรมทางด้านดิจิทัลประจำปีที่จัดต่อเนื่องมาเป็นครั้งที่ 6 และใหญ่ที่สุดของภาคอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์เพื่อแสดงศักยภาพของผู้ประกอบการไทยและส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคเอเซีย สร้างโอกาสในธุรกิจอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ทั้งด้านแอนเมชัน, เกม, อี-เลิร์นนิ่ง, คอมพิวเตอร์ กราฟฟิก และเวอชวล เอฟเฟ็กต์ รวมถึงแสดงความพร้อมของอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ของประเทศไทยให้ต่างประเทศได้รับรู้ถึงฝีมือความสามารถและเข้ามาร่วมทำธุรกิจกับผู้ประกอบการไทย นับเป็นการผนึกความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนเป็นการสนับสนุนและส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมฯ มีความเข้มแข็งและเติบโตได้มากขึ้น เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัลที่สอดคล้องกับนโยบาย Thailand 4.0 และเศรษฐกิจดิจิทัล โดยคณะผู้จัดงานเชื่อมั่นว่า งาน BIDC 2019 จะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนและส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ไทยให้เกิดความแข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับของเวทีโลก

ภายในงานจะมีผู้ประกอบจากต่างประเทศและไทยร่วมกว่า 116 บริษัท พร้อมการเปิดเวทีแสดงผลงานดิจิทัลคอนเทนต์ (Showcase) จากผู้ประกอบการไทยระดับแนวหน้าด้าน e-Learning, Animation & VFX, Game, Original Character, Emerging technology กว่า 40 บริษัท เพื่อเผยแพร่ผลงานให้เป็นที่รู้จักและนำไปสู่การต่อยอดทางธุรกิจให้ภาคอุตสาหกรรม นอกจากนั้นยังจะมีพิธีมอบรางวัลประจำปีด้านดิจิทัลคอนเทนต์ “BIDC Awards 2019” ให้แก่ผู้ประกอบการไทยในสาขาต่าง ๆ ที่มีผลงานโดดเด่นในรอบปีรวม 25 รางวัลจาก 5 กลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อเป็นต้นแบบในอุตสาหกรรม กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาประสบความความสำเร็จในอนาคต

“การจัดงานครั้งนี้มีหนึ่งในไฮไลท์ที่สำคัญคือการจัดกิจกรรมเจรจาการค้า หรือ Business Matching ซึ่งถือเป็นเวทีในการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการใหม่ ๆ ได้จับคู่ธุรกิจกับบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศ โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 40 บริษัทจาก 12 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลี จีน สิงคโปร์ อินเดีย อินโดนีเซีย ไต้หวัน ฟินแลนด์ โปแลนด์ สเปน ฮ่องกง และมาเลเซีย โดยมีผู้ประกอบการไทย 67 รายเข้าร่วมเจรจาจับคู่ธุรกิจ”

ส่วนงานสัมมนาและประชุมเชิงปฏิบัติการโดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิระดับโลก (Seminar & Workshop) อาทิ “Animation key note : The Future of Animation Production and Market” โดย Mr. Shuzo John Shiota, President/CEO of Polygon Pictures จากสตูดิโอที่สร้าง Ajin Blame! และ Godzilla trilogy. นอกจากนั้นยังมี Mr.Chistopher Chen, Chairman of Taiwan VTuber Association มาบรรยายเรื่อง “The VTuber phenomenon from Japan and recommendations for other Asian Nations” พูดถึงปรากฎการณ์ Virtual Youtuber หรือการสร้าง Youtube Channel ที่ไม่ได้ใช้คนเป็นผู้แสดงแต่ใช้ตัวละครที่เป็น Virtual แทน ซึ่งกำลังเป็นกระแสนิยมไปทั่วเอเชียในปัจจุบัน

นอกจากนี้ยังมี  Mr.Arsenio Buck, Udemy Course Content Creator Udemy.com ในหัวข้อ” Artificial Intelligent for e-Learning to Change the World” โดยเจาะถึงเนื้อหาที่จะผนวกปัญญาประดิษฐ์เข้าไปกับการพัฒนาอี-เลิร์นนิงให้ถึงขีดสุด ทลายทุกข้อจำกัดของการใช้งานอี-เลิร์นนิงในอนาคตเพื่อตอบโจทย์ของการพัฒนามนุษย์ให้พร้อมสู่ยุคใหม่ รวมทั้งยังมีคุณลลิดา ธนานุประดิษฐ์ นักออกแบบและสร้างสรรค์สติกเกอร์ไลน์ จาก LINE CREATORS MARKET มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์กับวิธีต่อยอดจากแคแร็กเตอร์ไปเป็นสินค้า และการร่วมงานกับแบรนด์ใหญ่ต้องวางกลยุทธ์โปรโมทและทำการตลาดอย่างไร

ผู้สนใจทั้งในส่วนภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ สตาร์ทอัป นักศึกษาและผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายและติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เฟซบุ๊คแฟนเพจ Bangkok International Digital Content Festival

“ฟู้ดแอนด์โฮเทล ไทยแลนด์ 2019” คาดเงินสะพัด 5.5 พันล้านบาท

alivesonline.com : “อินฟอร์มา มาร์เก็ต” ผู้จัดงาน “ฟู้ดแอนด์โฮเทล ไทยแลนด์ 2019” เชื่อสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยครึ่งปีหลังฟื้นตัว เผยปัจจัยลบไม่กระทบจัดงาน หลังองค์กรและบริษัทชั้นนำของโลกกว่า 450 ราย จาก 30 ประเทศทั่วโลก พร้อมขนนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์พรีเมียมสำหรับธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหารและบริการร่วมจัดงานแน่นจนต้องขยายพื้นที่เพิ่ม 20% คาดปีนี้มีผู้เข้าร่วมชมงานกว่า 3 หมื่นคน เงินสะพัดกว่า 5.5 พันล้านบาท  

นายจัสติน พาว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ต จำกัด ผู้จัดงาน “ฟู้ดแอนด์โฮเทล ไทยแลนด์ 2019” (Food & Hotel Thailand 2019) ระหว่างวันที่ 4-7 กันยายน 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา เปิดเผยว่า แม้ครึ่งปีแรกการท่องเที่ยวไทยจะได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัยทั้งเหตุการณ์ระเบิดครั้งล่าสุด สงครามการค้าสหรัฐ-จีน การแข็งค่าของเงินบาท และจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักจากประเทศจีนที่ลดลง แต่คาดว่าจะส่งผลกระทบเพียงระยะสั้น โดยแนวโน้มสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยในครึ่งปีหลังน่าจะกลับมาฟื้นตัว เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว โดยประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เห็นได้จากการที่ไทยยังคงรักษาอันดับ 1 ใน 4 ของประเทศที่มีรายได้ทางการท่องเที่ยวสูงสุดของโลกไว้ได้

การจัดงาน “ฟู้ดแอนด์โฮเทล ไทยแลนด์ 2019” จึงไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบดังกล่าว ตรงกันข้ามผู้ร่วมจัดแสดงงานไม่ว่าจะเป็นองค์กรภาครัฐ สมาคม และภาคเอกชนไทย-ต่างประเทศกว่า 450 ราย จาก 30 ประเทศทั่วโลกยังมีความมั่นใจและยืนยันการร่วมจัดแสดงงานเต็มพื้นที่จนต้องมีการขยายพื้นที่จัดงานเพิ่มถึง 20% ครอบคลุมพื้นที่ฮอล์ล 102-104  ของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยคาดว่าจะมีผู้ประกอบการและผู้สนใจเข้าร่วมชมงานกว่า 3 หมื่นคน เพิ่มขึ้น 10% มีมูลค่าจากการค้าและการเจรจาธุรกิจภายในงานสูงถึง 5.5 พันล้านบาท

นายจัสติน กล่าวด้วยว่า สำหรับแนวคิดการจัดงานในครั้งนี้คือ “องค์ประกอบหลักแห่งความสำเร็จ” เนื่องจากธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหารและบริการต้องมีการพัฒนาเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันและความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยงาน “ฟู้ดแอนด์โฮเทล ไทยแลนด์ 2019” นอกจากจะนำเสนอถึงนวัตกรรม เทคโนโลยี และสินค้าระดับพรีเมียมจากบริษัทชั้นนำของโลกแล้ว ยังมีกิจกรรม การประชุมและสัมมนาที่ให้ความรู้และเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจอีกมากมายทำให้ได้ทราบถึงแนวโน้มและทิศทางของอุตสาหกรรมเพื่อนำไปปรับใช้ในการพัฒนาธุรกิจ โดยแนวโน้มและทิศทางที่สำคัญของการท่องเที่ยวคือ เรื่องของสุขภาพและการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

การจัดงานครั้งนี้จะมี 2 พาวิลเลี่ยนใหม่เกิดขึ้นคือ พาวิลเลี่ยนจากสหภาพยุโรป (EU Business Avenues in South East Asia) และ กรมการค้าภายใน ประกอบด้วย สมาคมการค้าเกษตรอินทรีย์ไทย (Thai Organic Trade Association – TOTA) สหพันธ์เกษตรกรรมยั่งยืนแห่งประเทศไทย (Thailand Sustainable Agriculture Confederation -TSAC ) มูลนิธิเกษตรอินทรีย์ไทย หรือ มกอท. (Thai Organic Agriculture Foundation – TOAF) ซึ่งถือเป็นอีกไฮไลท์ที่น่าสนใจนอกเหนือจาก 9 พาวิลเลี่ยนนานาชาติจากอิตาลี สหภาพยุโรป เดนมาร์ก ญี่ปุ่น เกาหลี จีน โดยภายในพาวิลเลี่ยนของสหภาพยุโรป และ กรมการค้าภายใน จะมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์และการสัมมนาให้ความรู้ด้านอาหารออร์แกนิกเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก รวมถึงโอกาสของสินค้าออร์แกนิกของไทยในตลาดโลกด้วย

ส่วนโซนการจัดแสดงงานในปีนี้ประกอบด้วย 6 โซน ได้แก่ Coffee & Tea Culture, Food & Drinks, Food Service Equipment, Hospitality & Retail Technology Thailand, Hospitality Style และ Wine & Spirits Thailand พร้อม 2 โซนพิเศษที่จัดขึ้นในปีนี้เป็นครั้งแรกคือ Fine Food Thailand และ Restaurant & Bar Thailand ที่นำเสนอถึงผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องดื่ม อุปกรณ์ เทคโนโลยี และแนวโน้มสำหรับอุตสาหกรรมร้านอาหารและบาร์ รวมถึงเวทีกิจกรรมกลาง (Live Theatre) ซึ่งมีกิจกรรมน่าสนใจมากมาย อาทิ การสร้างสรรค์เมนูพิเศษจากชา การสร้างเครื่องดื่มคอกเทล มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ แนวโน้มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มไทยสู่ศูนย์กลางอาหารและเครื่องดื่มออร์แกนิกของอาเซียน ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจทั้งการแข่งขัน การสัมมนา และงานประชุม เพื่อให้ความรู้ พัฒนาทักษะ และแลกเปลี่ยนมุมมองในการดำเนินธุรกิจแก่ผู้ประกอบการและผู้สนใจอีกมากมาย

ในส่วนของไฮไลท์และกิจกรรมที่สำคัญในงาน “ฟู้ดแอนด์โฮเทล ไทยแลนด์ 2019” ได้แก่ งานประชุมสภาอุตสาหกรรมโรงแรมไทย ครั้งที่ 21 โดยสมาคมโรงแรมไทย, การแข่งขันสุดยอดเชฟ Thailand’s International Culinary Cup (TICC 2019) ครั้งที่ 25 ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, งานสัมมนาสมาคมภัตตาคารไทย, การแข่งขันวาดลวดลายศิลปะบนถ้วยกาแฟ National Thailand Latte Art Championship 2020 และการแข่งขันการสร้างสรรค์เครื่องดื่มจากกาแฟ 2020 (Thailand National Coffee in Good Spirits Championship (TNCIGS) 2020) เพื่อเป็นตัวแทนประเทศไทยในการแข่งขันระดับโลก, การประกวดไวน์ ครั้งที่ 15  The 15th FBAT International Wine Challenge, การสัมมนาไวน์ 2019, งานสัมมนาและการประชุมเชิงปฏิบัติการ สมาคมผู้บริหารงานแม่บ้านแห่งประเทศไทย, งานสัมมนาชมรมผู้บริหารงานวิศวกรรมในโรงแรมและอาคารพาณิชย์, งานสัมมนาวิทยาลัยดุสิตธานี, งานสัมมนาสมาคมสปาไทย, งานประชุม Innolab Forum สำหรับธุรกิจค้าปลีกอาหาร บริการอาหาร และการจัดเลี้ยงอาหาร และการอบรมและการแข่งขันทำไอศกรีมเจลาโต้ (Gelato Workshops) โดย Carpigiani Gelato University

ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อเข้าชมงานได้ที่ www.foodhotelthailand.com โดยงาน “ฟู้ดแอนด์โฮเทล ไทยแลนด์ 2019” จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-7 กันยายน 2562 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลการจัดงานเพิ่มเติมได้ที่ www.foodhotelthailand.com และ Facebook Page www.facebook.com/Food & Hotel Thailand

“สิริ เวนเจอร์ส” จับมือ สวทช. ขับเคลื่อนแผนเพิ่มนวัตกรรมที่อยู่อาศัย

alivesonline.com : “สิริ เวนเจอร์ส” เผยแผนทดสอบนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยในพื้นที่ “SIRI VENTURES Private PropTech Sandbox” เปิดตัว 3 สตาร์ทอัปแห่งอนาคต “AIROVR” เทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ “Fling” นวัตกรรมโดรนเดลิเวอรี่ และ “SoundEye” ระบบเซ็นเซอร์รักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ จับมือ สวทช. สร้าง 3D Mapping เชื่อมโยงรถยนต์ไร้คนขับ เตรียมทดลองวิ่งจริงไตรมาส 4 ครึ่งปีหลัง จ่อลงทุนในสตาร์ทอัป 4 ด้าน รวมมูลค่ากว่า 600 ล้านบาท พร้อมสรุปภาพรวมความสำเร็จครึ่งปีแรกของ 2019 ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยเทคโนโลยีของธุรกิจอสังหาฯ ไทย 

นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด (SIRI VENTURES) กองทุนสำหรับลงทุนด้านเทคโนโลยีขององค์กร (Corporate Venture Capital : CVC) ของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ ได้ประกาศแผนจัดพื้นที่เฉพาะสำหรับทดสอบ พัฒนา และประมวลเสมือนจริงของเหล่าสตาร์ทอัปเพื่อต่อยอดนวัตกรรมสำหรับการพักอาศัยสำหรับลูกบ้าน “แสนสิริ” ภายใต้ชื่อ “SIRI VENTURES Private PropTech Sandbox”  เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ล่าสุดบริษัทฯ ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ 3 สตาร์ทอัปศักยภาพ เพื่อเข้าร่วมพัฒนาและทดลองใช้นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยแห่งอนาคตในช่วงครึ่งปีหลัง ภายในพื้นที่ “SIRI VENTURES Private PropTech Sandbox” ที่โครงการ T77

สำหรับนวัตกรรมที่จะเข้ามาพัฒนาและทดลองใช้ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1.รถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Car) ภายใต้ความร่วมมือกับ AIROVR สตาร์ทอัปผู้พัฒนาระบบสำหรับรถยนต์ไร้คนขับสัญชาติไทย และ สวทช. ในฐานะหน่วยงานชั้นนำของประเทศในด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ โดย AIROVR จะพัฒนาระบบที่จำเป็นสำหรับ “รถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับ” ในการขนส่งผู้โดยสารจากโครงการที่อยู่อาศัยไปยังรถไฟฟ้า (First Mile Transportation) และการขนส่งจากรถไฟฟ้ากลับมายังโครงการที่อยู่อาศัย (Last Mile Transportation) ขณะที่ สวทช. จะช่วยพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่จำเป็น ได้แก่ ระบบ Drive-by-Wire การบูรณาการเซนเซอร์สำหรับรถยนต์ไร้คนขับ ระบบบ่งชี้ตำแหน่งและการนำทาง ระบบควบคุมและสั่งการ และ แผนที่ 3D ความละเอียดสูง เพื่อให้สามารถวิ่งได้จริงในโครงการ T77

“เรื่องการขนส่ง First Mile and Last Mile Transportation เป็นเรื่องที่เริ่มเกิดขึ้นจริงแล้วในต่างประเทศ เรามองเห็นโอกาสที่จะร่วมส่งเสริมและพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวให้เกิดขึ้นจริงในไทย เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายของการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิต เริ่มต้นจากการนำร่องทดลองวิ่งเฉพาะภายในโครงการ T77 ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2562  ซึ่งถือเป็นการทดลองวิ่งรถยนต์ไร้คนขับเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในไทย”

2.โดรน เดลิเวอรี่ (Drone Delivery) ภายใต้ความร่วมมือกับ Fling สตาร์ทอัปผู้พัฒนาโดรนสัญชาติไทย โดย Fling จะนำโดรนมาใช้ทดลองส่งสินค้าจาก Habito Mall ไปยังโครงการคอนโดมิเนียมของ “แสนสิริ” ในพื้นที่โครงการ T77 คาดว่าจะเริ่มทดลองได้ หลังจากผ่านขั้นตอนการขออนุญาตหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และ 3.การดูแลรักษาความปลอดภัย (Security) ภายใต้ความร่วมมือกับ SoundEye สตาร์ทอัปผู้พัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมเทคโนโลยีเรียนรู้เสียงต่าง ๆ เพื่ออาคารอัจฉริยะ (Smart Building) รายแรกของโลก โดยที่ผ่านมาไมโครโฟนเซ็นเซอร์ของ SoundEye ได้เข้าไปมีส่วนช่วยตรวจจับเสียงผิดปกติ อาทิ เสียงร้องขอความช่วยเหลือ เสียงน้ำรั่วซึม เสียงปืน ในอาคารประเภทต่าง ๆ มาแล้วหลายแห่งในสิงคโปร์ รวมถึงในสนามบินชางฮี โดยจะเริ่มทดลองในพื้นที่โครงการ T77 ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2562 ซึ่งถือเป็นการทดลองใช้ระบบของ SoundEye ครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัยอีกด้วย

“หากสามารถพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ได้จริงในอนาคต เราอาจเห็นรถยนต์ไร้คนขับ จนถึงโดรนที่เป็น Air Taxi เข้ามา Disrupt เทรนด์การใช้ชีวิต หรือ Living Trends ให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น พร้อมทั้งจุดประกายแนวทางการยกระดับวงการขนส่งไทย ขณะเดียวกัน ยังสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เพราะการเดินทางของผู้บริโภคจะสะดวกสบายมากขึ้น จนทำเลไม่ใช่ปัจจัยหลักของการเลือกที่อยู่อาศัยอีกต่อไป ดังนั้น การเป็นพันธมิตรระหว่าง สิริ เวนเจอร์ส สวทช. และสตาร์ทอัปทั้ง 3 ด้านในครั้งนี้จึงนับเป็นก้าวที่สำคัญต่อการพัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย”

นายจิรพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 บริษัทฯ ยังมีแผนจะลงทุนในสตาร์ทอัปใน 4 ด้าน ภายใต้งบลงทุน 600 ล้านบาท ได้แก่ 1.เทคโนโลยีด้านการก่อสร้าง (ConsTech) ในสัดส่วน 20% ของงบลงทุน มุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ช่วยควบคุมคุณภาพการก่อสร้าง (QC) 2.เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน (Sustainablity) ในสัดส่วน 30% มุ่งเน้นด้านการใช้ทรัพยากรอย่างฉลาดและการกำจัดของเสียที่มีประสิทธิภาพ 3.เทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ (PropTech) ในสัดส่วน 20% มุ่งเน้นด้านรูปแบบการใช้ชีวิตแบบใหม่และ Tokenization และ 4.เทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยและสุขภาพ (LivingTech & HealthTech) ในสัดส่วน 30% มุ่งเน้นด้านความปลอดภัย ความสะดวกสบาย โดยเฉพาะเรื่องการใช้เสียง ปัจจุบันมีสตาร์ทอัพหลายรายที่ผ่านการพิจารณามาถึงขั้นทดสอบความเป็นไปได้ (Proof of Concept)

ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 การดำเนินงานของบริษัทฯ ถือว่าประสบความสำเร็จและมีความคืบหน้าอย่างมากในหลายด้าน สำหรับในด้านการลงทุน (Investment) สตาร์ทอัปหลายรายที่บริษัทเข้าไปลงทุนในช่วงก่อนหน้านี้ มีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพึงพอใจ อาทิ Semtive สตาร์ทอัปผู้พัฒนากังหันลมพลังงานไฟฟ้าสำหรับที่อยู่อาศัย ได้เริ่มทยอยส่งมอบกังหันลมสำหรับใช้ในครัวเรือนมาให้บริษัทฯ แล้ว Neuron สตาร์ทอัป e-Scooter สัญชาติสิงคโปร์ เริ่มมีให้บริการแล้วในโครงการ “ดีคอนโด พิงค์” และขยายการให้บริการไปในพื้นที่พร้อมพงษ์-อ่อนนุช ตลอดจนในพื้นที่รอบตัวเมืองเชียงใหม่ OnionShack ได้พัฒนา “น้องแสนรู้” หุ่นยนต์พนักงานคนใหม่ของแสนสิริที่จะช่วยเข้ามาตอบเรื่องนวัตกรรมที่ The Cloud ชั้น 3 สยามพารากอน

สำหรับด้านระบบนิเวศสตาร์ทอัพและพันธมิตร (Ecosystem & Partners) บริษัทฯ ได้สร้างความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (NUS) มหาวิทยาลัยชั้นนำซึ่งถือเป็นแหล่งกำเนิดของสตาร์ทอัปสิงคโปร์ ด้วยการพาสตาร์ทอัปที่โดดเด่นของไทยไปร่วมโชว์เคสและขึ้นพูดบนเวทีระดับภูมิภาค ช่วยส่งเสริมระบบนิเวศสตาร์ทอัพของไทยด้าน PropTech และ LivingTech ให้เข้าถึงโอกาสในระดับภูมิภาค พร้อมกันนี้ “สิริ เวนเจอร์ส” ยังเปิดโอกาสให้พนักงาน “แสนสิริ” ก้าวสู่การเป็นสตาร์ทอัปและเจ้าของธุรกิจด้วยเงินทุนเริ่มต้นทำธุรกิจโดยให้การสนับสนุนทั้งด้านเวลา ทรัพยาการ การให้คำปรึกษาและเงินทุนเบื้องต้นกว่าหลายล้านบาทต่อทีมกับโครงการ THE FOUNDER

ขณะที่ด้านการวิจัยและพัฒนา (Lab & Development) บริษัทยังคงตอกย้ำความมุ่งมั่นของ “แสนสิริ” ในการมอบบริการภายใต้แนวคิด “บ้านที่ได้มากกว่าบ้าน” และการเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่ครอบคลุมทุกมิติเพื่อตอบโจทย์ลูกบ้าน ผ่านฟังก์ชั่นใน Sansiri Home Service Application (HSA) เช่น Homestore แพลตฟอร์มออนไลน์แมกกาซีนที่ผู้อ่านสามารถซื้อสินค้าที่ชอบได้ การจับมือกับเครือสมิติเวช ขยายขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมด้านสุขภาพแก่ลูกบ้านผ่าน HSA การเปิดให้บริการด้าน Payment เพื่อให้ลูกบ้านสามารถผ่อนดาวน์ตรงกับธนาคาร รวมไปถึงค่าส่วนกลางโดยเชื่อมต่อตรงกับแอปพลิเคชันธนาคารต่าง ๆ ไม่ว่าจะป็น KPlus และ SCB Easy การติดตั้งเซ็นเซอร์คุณภาพอากาศกว่า 60 พื้นที่ในโครงการทั่วประเทศ เพื่อบอกสภาพค่าฝุ่น ค่าความชื้นและข้อมูลเชิงลึก พร้อมให้คำแนะนำด้านสุขภาพตามสภาพอากาศแก่ลูกบ้าน ขณะเดียวกัน กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา Smart Meter เพื่อให้ลูกบ้านสามารถตรวจสอบสถานะการใช้น้ำประปาและไฟฟ้าของตัวเองได้ตลอดเวลา

“เราเชื่อมั่นว่า พนธกิจหลักทั้ง 3 ด้านที่ สิริ เวนเจอร์ส ดำเนินการอย่างต่อเนื่องจะเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงแก่วงการอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ก้าวล้ำไปในทางที่ดี โดยเราจะยังคงทำงานร่วมกับแสนสิริอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาและผลักดันสตาร์ทอัปด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ในที่อยู่อาศัยจนสำเร็จใช้งานได้จริง ตลอดจนตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่และสังคมที่เปลี่ยนไป เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยแห่งอนาคตให้แก่ลูกบ้านแสนสิริอย่างรอบด้าน” นายจิรพัฒน์ กล่าวในตอนท้าย

ด้าน ดร.เจนกฤษณ์ คณาธารณา รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. ได้มีการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่มาอย่างต่อเนื่อง นับจากเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า จนมาถึงรถยนต์ไร้คนขับ นอกจากนี้ ยังมีความร่วมมือกับกระทรวงคมนาคม เพื่อผลักดันนโยบายและกฎระเบียบต่าง ๆ ในการสนับสนุนและเตรียมความพร้อมประเทศไทยต่อการเข้ามาของเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งยังได้เตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เช่น ศูนย์เฉพาะทางด้านระบบรางและการขนส่งสมัยใหม่ (Focused Center on Rail and Modern Transport) ศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าและศูนย์ทดสอบรถยนต์ไร้คนขับที่เขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) เป็นต้น

ความร่วมมือกับ บริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด และ AIROVR จึงนับเป็นก้าวสำคัญที่จะได้นำเทคโนโลยีที่ สวทช. วิจัยและพัฒนา มาสาธิตการใช้งานในสภาพแวดล้อมจริง เพื่อประโยชน์แก่ทั้งภาคธุรกิจและภาคประชาชน อีกทั้งการจัดทำ 3D Mapping ของโครงการ T77 สามารถนำไปเชื่อมโยงกับ “รถยนต์ไร้คนขับ” ของ AIROVR และ “โดรน เดลิเวอรี่” ของ Fling เพื่อนำไปใช้ในโครงการนำร่องได้อย่างเป็นรูปธรรม

“ความร่วมมือกับ สิริ เวนเจอร์ส และพันธมิตรสตาร์ทอัปทำให้โครงการนำร่องนี้เกิดขึ้นได้จริงเป็นครั้งแรกของไทย เพราะเรื่องรถยนต์ไร้คนขับและโดรนไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกแล้ว หลาย ๆ ประเทศกำลังศึกษาและพัฒนาทั้ง 2 เรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทั้งในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม หากวันนี้เรามีก้าวแรกที่ดี เชื่อว่าเรายังสามารถพัฒนาและประยุกต์รถยนต์ไร้คนขับและโดรนไปพลิกโฉมการใช้ชีวิตของผู้คนได้อย่างมหาศาล” ดร.เจนกฤษณ์ กล่าวในที่สุด

 

“สตาร์มาร์ค” ต่อยอดไลน์ธุรกิจเปิดโชว์รูม “อินทีเรีย”

alivesonline.com : “สตาร์มาร์ค” ผู้นำด้านการออกแบบชุดครัวและเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งเพื่อการพักอาศัยครบวงจร ต่อยอดอินทีเรีย หวังเป็นผู้นำเรื่องการแต่งบ้านของไทย เตรียมเปิดโชว์รูม “สตาร์มาร์ค อินทีเรีย” ที่ “บุญถาวร ดีไซน์วิลเลจ ปิ่นเกล้า” เดือน ก.ย.62 ผลักดันยอดเติบโต 10% หลังมี Backlog ในมือ 1.6 พันล้านบาท ทีมผู้บริหารลั่นปณิธานพร้อมก้าวสู้เวทีระดับสากล

ดร.พัฒน์ปกรณ์ ศรีสกุลภิญโญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สตาร์มาร์คแมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด เปิดเผยว่า จากความเชี่ยวชาญด้านเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินห้องตัวอย่างหลากหลายโครงการที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำต่างให้ความไว้วางใจมานานกว่า 20 ปี บริษัทฯ จึงนำประสบการณ์เหล่านั้นมาต่อยอดแตกไลน์บริการใหม่ในกลุ่มอินทิเรียภายใต้แนวความคิด “PERSONALIZE INTERIOR SOLUTION” เพื่อให้การตกแต่งบ้านแบบมีดีไซน์สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัวเป็นเรื่องไม่ยุ่งยากอีกต่อไป โดยบริษัทฯ มีทีมอินทิเรียมืออาชีพมากประสบการณ์ที่ให้คำปรึกษาพร้อมสร้างให้ลงตัวกับความต้องการใช้งาน และพื้นที่ใช้สอย ด้วยประสบการณ์ยาวนานกับการออกแบบเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินให้มีสไตล์ที่หลากหลายช่วยในการบริหารจัดการพื้นที่ให้คุ้มค่า แมทซ์กับเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ จากพันธมิตรกว่า 100 แบรนด์ สร้างสรรค์เป็นธีมตกแต่งบ้านได้อย่างมากมาย ทั้งสไตส์โมเดิร์นลักซูรี่ โมเดิร์นลอฟท์  คอมเทมโพรารี่ คลาสสิกและวินเทจ

ด้าน นางสาวณัฐปภัสร์ ศรีสกุลภิญโญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์มาร์ค แมนูแฟคเชอร์ริ่ง จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน “สตาร์มาร์ค” โดดเด่นเรื่อง Kitchen Specialist วางกลยุทธ์เน้นเรื่องของการดีไซน์ มีสินค้าครอบคลุมทุกกลุ่มงานครัว ตั้งแต่ชุดครัวบิวท์อินที่สามารถออกแบบได้ตามพื้นที่ ชุดครัวเซ็ตเล็กที่เหมาะกับกลุ่มงานคอนโดมิเนียมและทาวน์โฮม และตอบโจทย์การต่อเติมครัวไทยด้วยบานครัวปูนที่เป็นสินค้าใหม่ในปี 2562 ทำให้บริษัทฯ เล็งเห็นถึงศักยภาพในการนำเสนอสินค้าเพื่อการตกแต่งอื่น ๆ ที่ไม่จำกัดแค่เพียงห้องครัวจนเป็นที่มาของการเปิดตัว “สตาร์มาร์ค อินทีเรีย” ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีในงานบ้านและสวน Midyear ที่เพิ่งจบไป

“กลุ่มสินค้าอินทีเรีย เน้นการทำตลาดไปยังลูกค้าระดับ B+ ที่ต้องการเพิ่มทางเลือกในการแต่งบ้านแบบเน้นสไตล์เป็นของตนเอง โดยรองรับทั้งลูกค้ารายย่อยและโครงการที่ต้องการทำโปรโมชั่นให้กับลูกบ้าน โดยกำลังจะเปิดโชว์รูมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งสาขาที่ บุญถาวร ดีไซน์วิลเลจ ปิ่นเกล้า ในเดือนกันยายน ศกนี้ พร้อมทั้งปรับโลโก้ใหม่เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่และครอบคลุมกับสินค้าได้หลากหลายอีกด้วย

 

นางสาวณัฐปภัสร์ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันฐานลูกค้าหลักของ ”สตาร์มาร์ค” ยังคงเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำคิดเป็นสัดส่วน 60% ที่บริษัทฯ ได้รับความไว้วางใจจากผลงานการส่งมอบที่ประจักษ์ตลอดระยะเวลา 20 ปี และมีกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหม่ ๆ ที่ต้องการนำเสนอเอกลักษณ์ของโครงการ บริษัทฯ ยังเพิ่มช่องทางไปยังกลุ่มธุรกิจที่พักผ่อนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ประเภทโรงแรม รีสอร์ท และ เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ อาทิ โรงแรม Grande Centre Point Terminal Pattaya จ.ชลบุรี ที่ดำเนินการเป็นแห่งที่ 3 ของเครือ Grande Centre Point, The Blue Sky Resort เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ และเซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ในประเทศลาว เป็นต้น

“ในส่วนของลูกค้าทั่วไปจะมีการจำหน่ายผ่านโชว์รูม โมเดิร์นเทรด และดีลเลอร์กว่า 80 สาขาทั่วประเทศ ในขณะที่ภาพรวมตลาดเฟอร์นิเจอร์มีการชะลอตัวจากนโยบายการเพิ่มเงินดาวน์ ทำให้ลูกค้าระดับกลางลงล่างและกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในประเทศชะลอตัว ส่วนลูกค้ากลุ่ม B+ และกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์จากต่างประเทศที่ต้องการเฟอร์นิเจอร์ที่เน้นเอกลักษณ์เฉพาะตนยังมีหนทางที่สดใสสะท้อนได้จากรายได้ที่รอการรับรู้ หรือ Backlog แล้วกว่า 1.6 พันล้านบาท” นางสาวณัฐปภัสร์ กล่าวในตอนท้าย

 

“ออลล์ อินสไปร์ฯ” เดินแผนพัฒนาอสังหาฯ แนวรถไฟฟ้า มุ่งรายได้ 4.5 พันล้านบาท

alivesonline.com : “ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์” โชว์ผลงานครึ่งปีแรก ทำกำไร 213 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% ขณะที่รายได้รวมแตะ 1,692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 4 โครงการ ด้าน CEO “ธนากร ธนวริทธิ์” เผยครึ่งปีหลัง เตรียมวางเกมรุกเปิดโครงการใหม่ หลังประสบความสำเร็จกับโครงการ “The Excel Ladprao – Sutthisan” คิดเป็นมูลค่าโครงการรวม 1.25 หมื่นล้านบาท ส่งซิกตุน Blacklog ปัจจุบันแล้ว 8 พันล้านบาท มั่นใจทั้งปีรายได้แตะ 4.5 พันล้านบาท  

นายธนากร ธนวริทธิ์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL ผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยหลากหลายประเภท เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มแบบครบวงจร (Total Real Estate Solutions) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 1,692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 555 ล้านบาท หรือคิดเป็น 49% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,137 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 213 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48 ล้านบาท หรือคิดเป็น 29% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 165 ล้านบาท กำไรขั้นต้นรวม 628 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 38% เนื่องจากการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นจากการโอนกรรมสิทธิ์ 4 โครงการ มูลค่ารวม 1,619 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ The Excel Groove มูลค่ารวม 12 ล้านบาท โครงการ The Excel Khukhot มูลค่ารวม 189 ล้านบาท โครงการ Rise Rama 9 มูลค่ารวม 1,101 ล้านบาท โครงการ Hue มูลค่ารวม 16 ล้านบาท และโครงการ The Vision Ladprao – Nawamin มูลค่ารวม 146 ล้านบาท รวมถึงรายได้พิเศษจากการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง มูลค่ารวม 155 ล้านบาท

โครงการ The Excel Groove

โครงการ The Excel Khukhot

โครงการ Rise Rama 9

โครงการ The Vision Ladprao – Nawamin

ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2562 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2562 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 839 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 277 ล้านบาท หรือคิดเป็น 49% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีรายได้รวม 562 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35 ล้านบาท หรือคิดเป็น 44% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 81 ล้านบาท และกำไรขั้นต้นรวม 331 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 41% เนื่องจากการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ The Excel Khukhot โครงการ Rise Rama 9 และโครงการ The Vision Ladprao – Nawamin

นายธนากร กล่าวด้วยว่า จากการเติบโตของผลการดำเนินงานอย่างแข็งแกร่งในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ถือเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารของบริษัทฯ ที่มีความมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในแนวรถไฟฟ้า เพื่อเจาะเข้าถึงกลุ่ม Real Demand อย่างแท้จริง จึงส่งผลให้โครงการของเรามีการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดีและมีรายได้รอการรับรู้ (Backlog) ในมือแล้วประมาณ 8 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้อย่างต่อเนื่องในอีก 2-3 ปีข้างหน้า หรือประมาณปี 2562-2565

“ในครึ่งปีหลัง 2562 ว่า บริษัทฯยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นยึดทำเลตามแนวรถไฟฟ้า พร้อมทั้งเตรียมที่จะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมที่เน้นกลุ่ม Real Demand หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการเปิดตัวโครงการ The Excel Ladprao – Sutthisan เมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพียงวันเดียวลูกค้าแห่จองกวาดยอดขายแล้วกว่า 850 ล้านบาท หรือคิดเป็นกว่า 70% ของมูลค่าโครงการ 1.2 พันล้านบาท จึงคาดว่าจากการวางยุทธศาสตร์ทั้งหมด ส่งผลให้ในปี 2562 บริษัทฯ จะมีอัตราการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ระดับ 4.5 พันล้านบาท”

อนึ่ง ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 บริษัทฯ ยังจะมีโครงการสร้างเสร็จใหม่ จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 5 พันล้านบาท ประกอบด้วย 1.โครงการ The Vision Ladprao – Nawamin มูลค่าโครงการ 1.4 พันล้านบาท จะเริ่มทยอยส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 2/2562 2.โครงการ Impression Phuket มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท จะเริ่มส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 4/2562 และ 3.โครงการ The Excel Hideaway Sukhumvit 71 มูลค่าโครงการ 1.6 พันล้านบาท จะเริ่มส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 4/2562

“ธุรกิจรับสร้างบ้าน” มั่นใจเสถียรภาพ “รัฐบาล” เอื้อตลาดฟื้นตัว

alivesonline.com : สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน หวังรัฐบาลใหม่กระตุ้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค หลังทิศทางการเมืองมีความชัดเจน เผยบ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาทขึ้นไปยังเติบโตดี ยกเว้นระดับ 2.5-5 ล้านบาทที่ยังขยายตัวน้อย เตรียมจัดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ” 29 สิงหาคม – 1 กันยายน 2562 ดึงบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำร่วมเสนอโปรโมชันพิเศษให้ผู้บริโภค มั่นใจยอดขายในงานไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท

นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในปี 2562 น่าจะได้รับผลดีเพิ่มขึ้น หลังจากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยซึ่งคาดว่าจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคที่กำลังคิดจะปลูกสร้างบ้านมากยิ่งขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาโดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่ 1 พบว่าการขยายตัวของตลาดยังมีอย่างต่อเนื่อง แต่ในไตรมาสที่ 2 ตลาดมีการชะลอตัวลงบ้างตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศและภาวะของเศรษฐกิจโลก แต่ผลจากที่ไตรมาสที่ 1 ที่ตลาดขยายตัวและมียอดขายที่ค่อนข้างดี ทำให้ภาพรวมในครึ่งปีแรกไม่มีผลกระทบมากนัก

ในช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะตัดสินใจปลูกสร้างบ้านในช่วงนี้เป็นหลักอยู่แล้ว ซึ่งน่าจะทำให้มูลค่าการขายของแต่ละบริษัท รวมถึงภาพรวมของตลาดจะมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยจากข้อมูลของสมาคมฯ พบว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มูลค่าตลาดรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่มูลค่าตลาดรวมรับสร้างบ้านในปี 2562 คาดว่าน่าจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

“ภาพรวมครึ่งปีแรกถือว่าตลาดได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมพอสมควร โดยเฉพาะบ้านระดับราคา 2.5 – 5 ล้านบาทมีการขยายตัวที่น้อย ขณะที่บ้านระดับราคา 5-10 ล้านบาท และบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปยังถือว่าเติบโตได้ค่อนข้างดี เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนัก คาดว่าในครึ่งปีหลังตลาดน่าจะเติบโตได้ดีขึ้น เนื่องจากรัฐบาลมีความชัดเจน ผู้บริโภคเริ่มมีความมั่นใจและจะเริ่มกลับเข้ามาปลูกสร้างบ้านมากขึ้น และเรายังคาดว่าหลังจากนี้รัฐบาลน่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น เนื่องจากธุรกิจนี้ถือเป็นกลไกหลักสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในภาพรวมด้วยเช่นกัน”

นางศิริพร กล่าวด้วยว่า สมาคมฯ มีแนวทางกระตุ้นตลาดในช่วงครึ่งปีหลังด้วยการจัดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder Expo 2019” ในระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม – 1 กันยายน 2562 ณ อิมแพค ฮอลล์ 6 เมืองทองธานี โดยภายในงานจะเป็นการรวบรวมบริษัทรับสร้างบ้านระดับชั้นนำมาไว้ในงาน พร้อมด้วยแบบบ้านจากบริษัทต่าง ๆ มากกว่า 1 พันแบบ นอกจากนี้ ยังมีบ้านในทุกระดับราคาให้ผู้บริโภคได้เลือก ตั้งแต่ 1–100 ล้านบาทขึ้นไป ทั้งยังมีผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านอีกมากมาย โดยในปีนี้สมาคมฯ ให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องของนวัตกรรมใหม่ ๆ และการให้ความใส่ใจในด้านของสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ด้าน นายวรวุฒิ กาญจนกูล เลขาธิการ สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า งาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder Expo 2019” ถือเป็นโอกาสที่ดีของผู้บริโภคที่จะมีโอกาสได้บ้านระดับคุณภาพในราคาพิเศษจริง ๆ โดยหลังจากนี้คาดว่าราคาบ้านน่าจะมีการปรับตัวขึ้นอย่างแน่นอน หลังราคาวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ โดยภายงานนอกจากจะมีโปรโมชันพิเศษจากบริษัทรับสร้างบ้านที่ร่วมออกงานแล้ว สมาคมฯ ได้จัดเตรียมโปรโมชันพิเศษภายในงานอีกด้วยโดยผู้ที่ลงทะเบียนเข้างานล่วงหน้าผ่าน  www.hba.th.org และจองปลูกสร้างบ้านจะได้รับส่วนลดพิเศษเพิ่มสูงสุด 10,000 บาท และยังมีสิทธิ์ร่วมลุ้นรางวัลทองคำมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาทอีกด้วย

“สมาคมฯ คาดว่าการจัดงานครั้งนี้จะสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 3 พันล้านบาท โดยยังได้จัดงานควบคู่กับงาน “NPA Grand Sale and Home Loan 2019” ซึ่งเป็นงานที่รวมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยไว้มากที่สุดจากธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ พร้อมด้วยสินทรัพย์รอการขาย หรือ NPA ซึ่งผู้ที่สนใจปลูกสร้างบ้านสามารถที่จะขอสินเชื่อภายใต้เงื่อนไขสุดพิเศษได้อีกด้วย หรือ ผูที่สนใจหาที่ดินเปล่าเพื่อปลูกสร้างบ้านก็สามารถเข้ามาเดินชมงานได้ด้วยเช่นกัน” นายวรวุฒิ กล่าวในที่สุด

“อะคาร่า” รับสร้างบ้าน เสิร์ฟโปรแรง รวมมูลค่ากว่า 925,000 บาท

ร้างบ้านทั้งทีจะพลาดโปรดี ๆ ได้ไง!

ว่าแล้วก็แวะมายลโฉม Sales Gallery ใหม่ของ “อะคาร่า” (ACARA by EMPEROR) รับสร้างบ้านโมเดิร์น ลักซ์ชัวรี่ ภายใต้ บริษัท ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ จำกัด ที่นอกจากจะการันตีด้วยมาตรฐานการก่อสร้างที่เหนือกว่าทั่วไปและผ่านการรับรองมาตรฐาน ISO 9001 : 2015 แล้ว ยังมาพร้อมผลงานแบบบ้านลักซ์ชัวรี่หลากสไตล์จากดีกรีนักออกแบบมืออาชีพรุ่นใหม่ไฟแรง ในงาน “ACARA by EMPEROR : The Privilege Days” ที่จะจัดขึ้ วันศุกร์ที่ 16 – วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.30 น.

เมื่อจองสร้างบ้านภายในงานได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติม อาทิ  สวนลดเงินสดมูลค่าสูงสุด 500,000 บาท พร้อมเลือกรับของแถมเพิ่มเติมในรายการมูลค่า 350,000 บาท หรือบัตรกำนัลเฟอร์นิเจอร์ 400,000 บาท และรับทันที! กระเป๋าเดินทาง Rimowa Essential Lite ขนาด 26” หรือ Apple Watch มูลค่า 25,000 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 925,000 บาท

เท่านั้นยังไม่พอ! ยังจะได้พบกับซินแซชื่อดัง อ.ภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ที่พร้อมมาให้คำปรึกษาเรื่องฮวงจุ้ยในการสร้างบ้านแบบตัวต่อตัว ในวันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2562 เวลา 13.00 – 16.00 น. ณ อะคาร่า Sales Gallery ถนน พหลโยธิน

โปรแรงขนาดนี้ พร้อมมาตรฐานการก่อสร้างที่เหนือกว่า ด้วยราคาเริ่มต้น 17 ล้านบาท…คนอยากสร้างบ้านไม่ควรพลาด ! ลงทะเบียนร่วมงานเพื่อจองสิทธิ์ที่ Line : @ACARA รือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0 2970 3080-3, 08 1376 4999 และ Facebook : Acara.Official

บริการใหม่ Viu (วิว) ชมคอนเทนต์ผ่าน Big Screen คมชัด พลังเสียงเต็มอารมณ์

หลังจากประสบความสำเร็จในการเป็นบริการสตรีมมิงอันดับต้น ๆ ของไทย วันนี้คอซีรีส์เกาหลีและสาวกคอนเทนต์เอเชียเฮได้แล้ว เพราะ Viu (วิว) ยกประสบการณ์การดูรายการบันเทิงระดับเอเชียที่คัดสรรมาให้เลือกกันอย่างเต็มอรรถรสกับการรับชมบนจอใหญ่ (Big Screen) ภาพชัดเต็มจอ คุณภาพระดับ Full HD มาพร้อมคุณภาพเสียงสุดปังให้ดูกันอย่างเต็มอารมณ์

บริการนี้สำหรับสมาชิก Viu Premium ซึ่งใช้งานได้อย่างง่ายดายด้วย Interface ภาษาไทย พร้อมดูได้เลยทันทีไม่ต้องใช้อุปกรณ์เพิ่มเติมผ่านสมาร์ตทีวีรุ่นที่รองรับ ได้แก่

  • Samsung Smart TV รองรับระบบ 2016 5 Series ขึ้นไปจนถึง 2018 Q Series 8
  • Sony Smart TV และ Sony Android TV รองรับระบบแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 6 หรือใหม่กว่า
  • LG Smart TV รองรับระบบ webOS TV x – 4.x เป็นต้นไป
  • ช่องทางการส่งผ่านจากอุปกรณ์แอนดรอยด์ไปยัง Google Chromecast และจากอุปกรณ์ iOS ไปยัง Apple TV ง่าย ๆ ผ่าน AirPlay (รองรับระบบ tvOS 10 หรือใหม่กว่า)

พิเศษสำหรับผู้ใช้ LG ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 สิงหาคม 2562 แค่กดปุ่ม Home ก็ฟินกับ Viu ได้เลยบนจอใหญ่ หรือใครที่ยังไม่ได้ดาวน์โหลดแอป Viu อย่าช้า! โหลดแอปฯ พร้อมสมัคร Viu Premium ก็เพลิดเพลินกับคอนเทนต์หลากหลายบนจอใหญ่ได้แล้ววันนี้ ติดตามหรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางแอปพลิเคชัน Viu หรือ www.viu.com

“ฮอกไกโด โรส เซรั่ม” อีกขั้นของเซรั่มบำรุงผิวใต้วงแขนจาก “นีเวีย”

เมื่อพูดถึงปัญหาผิวใต้วงแขน เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนอยากจะมีวงแขนที่ขาวเรียบเนียน น่าสัมผัส แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำร้ายผิวใต้วงแขนผ่านการถอน การโกน แว็กซ์ เลเซอร์ซ้ำ ๆ ยิ่งนานไปผิวยิ่งคล้ำเสียสะสม เกิดปัญหาผิวใต้วงแขนฝังลึก ทั้งรูขุมขนกว้าง เกิดปัญหาหนังไก่และไม่เรียบเนียน จนทำให้สาว ๆ ขาดความมั่นใจกับผิวใต้วงแขนของตนเอง

“นีเวีย” แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวระดับโลก ในฐานะผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายผู้หญิงมายาวนานกว่า 10 ปี จึงได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหานี้ให้กับผู้หญิงทุกคน ด้วยความไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผิวใต้วงแขนของผู้หญิงทุกคนจนเป็นนวัตกรรมเพื่อการบำรุงผิวใต้วงแขนระดับพรีเมียมล่าสุด นีเวีย ฮอกไกโด โรส เซรั่ม ที่ช่วยพลิกฟื้นผิวใต้วงแขนให้กลับมากระจ่างใส เรียบเนียน น่าสัมผัส ด้วยส่วนผสมทรงประสิทธิภาพสำคัญอย่าง ไมโครเซรั่มกุหลาบฮอกไกโด ที่มีอนุภาคเล็กแบบเข้มข้น จึงสามารถซึมเข้าบำรุงผิวได้อย่างล้ำลึก พร้อมเข้าฟื้นฟูผิวใต้วงแขนที่คล้ำเสียให้ขาวใส เนียนนุ่มยิ่งขึ้น

‘จีนนี่ สถาวรมณี’ ผู้จัดการ ผลิตภัณฑ์ “นีเวีย” ระงับกลิ่นกายผู้หญิง บริษัท ไบเออร์สด๊อรฟ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่านับเป็นครั้งแรกของตลาดที่มีการนำ “ไมโครเซรั่มกุหลาบฮอกไกโด” มาใส่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวใต้วงแขน “นีเวีย ฮอกไกโด โรส เซรั่ม” เพราะปัจจุบันจะเป็นเพียงการใช้กลิ่นน้ำหอมเท่านั้น โดยความพิเศษของเซรั่มที่ใช้นั้นจะอยู่ที่การสกัดเข้มข้นจากกุหลาบฮอกไกโดแท้ ๆ กว่า 1,000 กลีบ ผสานเข้ากับน้ำแร่ฮอกไกโด จนกลายเป็น “ไมโครเซรั่ม” อนุภาคเล็ก จึงสามารถซึมได้ล้ำลึกยิ่งขึ้น พร้อมเข้าฟื้นฟูผิวใต้วงแขน ให้ขาวใส และยังเนียน นุ่ม น่าสัมผัส นอกนั้นแล้วยังช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าถึง 36 เท่า พร้อมช่วยระงับกลิ่นกายและให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของกุหลาบยาวนานตลอดวันอีกด้วย

ทางด้านนักแสดงสาวมากความสามารถ ญาญ่า อุรัสยา สเปอร์บันด์’ พรีเซ็นเตอร์ “นีเวีย ฮอกไกโด โรส เซรั่ม” กล่าวว่า รู้สึกยินดีและตื่นเต้นกับการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ “นีเวีย ฮอกไกโด โรส เซรั่ม” เพราะคุ้นเคยกับแบรนด์นี้มาตั้งแต่เด็ก ส่วนตัวแล้วเชื่อว่าผิวใต้วงแขนก็ควรได้รับการดูแลอย่างดีไม่แพ้ผิวกายและผิวหน้า เพราะด้วยความเป็นนักแสดงที่ทำให้ต้องแต่งตัวได้ทุกรูปแบบและบางครั้งอาจจะต้องโชว์ผิวใต้วงแขนอยู่บ่อยครั้ง ทำให้การดูแลผิวใต้วงแขนถือเป็นสิ่งสำคัญไม่ต่างกับผิวหน้าและต้องพร้อมในทุกสถานการณ์ ซึ่งตัว ญาญ่า ได้ลองใช้จริงด้วยตัวเองยิ่งรู้สึกประทับใจกับสินค้าเพราะรู้สึกได้ถึงผิวใต้วงแขนที่ขาวเนียนขึ้นจริง ๆ และอยากให้ทุกคนได้ทดลองใช้ค่ะ

พบกับ “นีเวีย ฮอกไกโด โรส เซรั่ม” ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ ทั้งรูปแบบโรลออน ขนาด 40 ml. ในราคา 109 บาท และ แบบสเปรย์ ขนาด 150 ml. ในราคา 129 บาท ได้แล้ววันนี้ที่ร้านสะดวกซื้อและร้านค้าชั้นนำทั่วประเทศ