“คาเฟ่ แคนทารี” จัดโปรฯ วันเด็ก ซื้อไอศกรีม 1 แถม 1 


“คาเฟ่ แคนทารี” ทุกสาขา ได้แก่ อยุธยา, บางแสน, เชียงใหม่, เกาะยาวน้อย, โคราช, ภูเก็ต, ปราจีนบุรี, ระยอง และศรีราชา เชิญชวนทุกท่านพาเด็ก ๆ มาฉลองวันเด็ก วันที่ 12  มกราคม 2562 กับโปรโมชั่นสุดพิเศษ เมื่อซื้อไอศกรีม 1 สกู๊ป แถม 1 สกู๊ปฟรี!  

พิเศษ! เฉพาะที่สาขาบางแสน, ศรีราชา และระยอง ห้ามพลาดชมการแสดงบิดลูกโป่งเป็นรูปต่าง ๆ และรับฟรีของที่ระลึก โดย “โบโซ่ เดอะคลาวน์” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center : 1627 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.cafekantary.com

“Tipco Fruity Mix” น้ำผักและผลไม้รวมขนาดใหม่!

บริษัท ทิปโก้ เอฟแอนด์บี จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผลไม้ภายใต้แบรนด์ “ทิปโก้” และผู้นำตลาดน้ำผลไม้ในเมืองไทย  ขอแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ Tipco Fruity Mix” (ทิปโก้ ฟรุ๊ตตี้ มิกซ์) น้ำผักและผลไม้รวมขนาดใหม่! กับคอนเซปต์ “อร่อย สดชื่น กลมกล่อม คุณประโยชน์เต็มกล่อง” อีกหนึ่งทางเลือกของคนรักสุขภาพและใส่ใจตัวเอง มีให้เลือก 5 รสชาติคือ  1.น้ำผลไม้รวมผสมน้ำผักรวม 2. น้ำผลไม้ผสมน้ำผักรวม สูตรแครอทม่วง 3. น้ำมัลเมอรร์รี่ น้ำบลูเบอร์รี่ 4. น้ำลิ้นจี่ผสมน้ำองุ่นขาว 5.น้ำผลไม้ผสมน้ำผักรวม สูตรบร็อกโคลี่  ทุกกล่องล้วนอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี  คุณประโยชน์ครบถ้วน พร้อมการันตีด้วยเครื่องหมายทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice)

ผู้สนใจสามารถหาซื้อได้แล้วที่เทสโก โลตัส และเทสโก โลตัส เอกเพรส ทุกสาขา ร้านค้าปลีก และซูเปอร์มาร์เก็ตท้องถิ่นต่างจังหวัดทั่วประเทศ ขนาด 750 มล. อิ่มกำลังดีในราคาเพียงกล่องละ 42 บาทเท่านั้น!

ใหม่ ! ผลิตภัณฑ์เสริมความงามจาก “โอซีซี”

บมจ.โอซีซี แนะนำ “SUNGRACE” (ซันเกรซ) แบรนด์เครื่องสำอางจากประเทศญี่ปุ่น นำเสนอ SUNGRACE Covering Essence Rouge ลิปสติกซีรีส์ใหม่ เนื้อเอสเซนส์ ให้สัมผัสเนียนนุ่ม บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ พร้อมกักเก็บความชุ่มชื้น ไม่ทำให้ริมฝีปากแห้ง เป็นคราบระหว่างวันด้วย Ceramide 3 เม็ดสีคมชัด กลบสีปากได้เรียบเนียนด้วยส่วนผสมของ Covering Powder  มาพร้อม 5 เฉดสี ในราคา 300 บาท วางจำหน่ายแล้ว ณ เทสโก้โลตัส และเคาน์เตอร์ SUNGRACE และห้างโรบินสันทั่วประเทศ

พร้อมกันนั้นยังแนะนำ “BSC HAIR CARE” (บีเอสซี แฮร์แคร์) แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมในความดูแลของ “BSC HAIR GLOW TONIC (บีเอสซี แฮร์ โกลว์ โทนิค) ผลิตภัณฑ์บำรุงผมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ ช่วยลดปัญหาผมขาดหลุดร่วง ทำให้เส้นผมแลดูแข็งแรงขึ้น เปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ที่มีความมั่นใจ ไร้กังวล

พิสูจน์ด้วยตัวคุณเองได้แล้ววันนี้ ที่ LAZADA, SHOPEE, ร้านเสริมสวย และร้านค้าส่งชั้นนำทั่วประเทศ

“สปาชา” คว้ารางวัล “แบรนด์ที่โดดเด่นประจำปี”


“สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” (ที่ 2 จากซ้าย) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานมอบรางวัล “สุดยอดผู้บริหารและแบรนด์ชั้นนำในเอเชีย” ประเภท “แบรนด์ที่โดดเด่นประจำปี” ให้แก่ “นภสร ประนิช” (ที่ 2 จากขวา) ประธานกรรมการบริหาร สปาชา กรุ๊ป ในโอกาสที่สถาบันลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วน “สปาชา สลิมมิ่ง เซ็นเตอร์” ได้รับการคัดเลือกให้เป็นแบรนด์ที่มีความโดดเด่นจาก “อินฟลูเอ็นเชี่ยล แบรนด์” ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานด้านการวิจัยตลาดที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญด้านการสร้างแบรนด์ในเอเชียมากว่า 20 ปี โดยได้มีการจัดงานมอบรางวัลดังกล่าวขึ้นในภูมิภาคเอเชียมาแล้ว 5 ปี โดยปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นที่ประเทศไทย ณ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกท กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

“กรุงศรี คอนซูมเมอร์” มอบทุนการศึกษาให้เยาวชน 3 จังหวัดชายแดนใต้

“ฐากร ปิยะพันธ์” (ที่ 3 จากขวา) ประธานกรรมการกรุงศรี คอนซูมเมอร์ และ “ฐิติพล ธนะแพทย์” (ที่ 2 จากขวา) ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานบริหารทรัพยากรบุคคล มอบทุนการศึกษาจำนวน 500,000 บาท แก่เยาวชนและบุตรหลานของทหารที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พลโทชลิต พวงมาลีประดับ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้อำนวยการศูนย์สันติวิธี ผู้แทน ผอ.รมน.ภาค 4 เป็นตัวแทนรับมอบ ณ ค่ายเสนาณรงค์ จังหวัดสงขลา

ทั้งนี้ ทุนการศึกษาดังกล่าวได้จากการจัดกิจกรรมวิ่งการกุศลสำหรับพนักงาน “2018 Krungsri Consumer Fun Run for Change” (วิ่งสุด Fun, Run เพื่อเปลี่ยน) ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ “กรุงศรี คอนซูมเมอร์” ริเริ่มขึ้นเพื่อจุดประกายให้พนักงานของบริษัท ร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยการหันมาออกกำลังกายและดูแลสุขภาพของตน พร้อมร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมผ่านกิจกรรมการกุศล

“นิช คาร์ กรุ๊ป” สนับสนุนกิจกรรมรณรงค์การขับขี่อย่างปลอดภัย

“อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” (ขวา) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีโครงการ “GS BATTERY พร้อมเป็นพลังให้คุณทุกเส้นทาง” สนับสนุนกิจกรรมรณรงค์การขับขี่อย่างปลอดภัย รวมถึงป้องกันและลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ภายใต้แนวคิด “ปีใหม่ เดินทางปลอดภัย ครอบครัวรอเราอยู่” ตามนโยบายของ กระทรวงคมนาคม และ กองบังคับการตำรวจทางหลวง พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้ “วิทวัส ชินบารมี” (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิช คาร์ กรุ๊ป จำกัด ในฐานะผู้สนับสนุนกิจกรรมดังกล่าว ณ หน่วยบริการตำรวจทางหลวงวังมะนาว จังหวัดราชบุรี

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ตั้งวอร์รูม “ปาบึก” ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว

alivesonline.com : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดตั้ง “ศูนย์อำนวยการช่วยเหลือนักท่องเที่ยว กรณีพายุโซนร้อน ปาบึก” ณ ห้องประชุม 2 ชั้น 3 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ถ.ราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ เพื่อเป็นศูนย์อำนวยการร่วมระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนในการช่วยเหลือนักท่องเที่ยว, ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้การช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ และติดตาม/รายงานสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยว/นักท่องเที่ยว กรณีพายุโซนร้อน “ปาบึก” โดยมีเจ้าหน้าที่ของศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (Tourist Assistance Center : TAC) และตำรวจท่องเที่ยว ทำหน้าที่ให้ข้อมูลตลอด 24 ชั่วโมง สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ โทรศัพท์ : 0 2356 0662, 2356 0688 มือถือ 06 55041 484 โทรสาร : 0 2356 0655

นายสันติ ป่าหวาย รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และโฆษกกระทรวงฯ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ฯ เปิดเผยว่าการจัดตั้งศูนย์อำนวยการช่วยเหลือนักท่องเที่ยว เป็นไปตามนโยบายของ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่สั่งการให้หน่วยงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาบูรณาการงานร่วมกันกับในพื้นที่ ทั้งท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด เจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตำรวจท่องเที่ยว ช่วยดูแลและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการอำนวยความสะดวก ช่วยเหลือและดูแลนักท่องเที่ยวอย่างเต็มความสามารถ

“ง่วงไม่ขับ พักดื่มแบรนด์” โดยตำรวจทางหลวงและ “แบรนด์” ซุปไก่สกัด

พลตำรวจตรี ชัช สุกแก้วณรงค์ ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง เป็นประธานในพิธีโบกธงปล่อยขบวนแห่งความปลอดภัย ซึ่งเป็นโครงการรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนน “ง่วงไม่ขับ พักดื่มแบรนด์”  เพื่อรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนน ส่งต่อความห่วงใยให้ผู้ขับขี่ ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2562 ด้วยการแจกผลิตภัณฑ์แบรนด์ ซุปไก่สกัด  จำนวน 45,000 ขวด  ใน 6 เส้นทางผ่านทั่วไทย ช่วยลดอาการอ่อนเพลียจากการขับรถ  เพื่อให้เดินทางสู่จุดหมายอย่างปลอดภัย โดยจัดหมุนเวียนไปตามจังหวัดต่าง ๆ โดยมี ‘นันทนา ขาวปลื้ม’ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แบรนด์ ซันโทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิต “แบรนด์” ซุปไก่สกัด ร่วมงาน ณ ลานสังคีตศาลา สวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม จังหวัดอุดรธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้

[ชมคลิป] GS BATTERY คืนกำไรตอบแทนสังคม จัด 3 จุดบริการมุ่งลดอุบัติเหตุบนถนนช่วงปีใหม่

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ (ขวา) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้เกียรติเยี่ยมชมโครงการ “GS Battery พร้อมเป็นพลังให้คุณทุกเส้นทาง” ครั้งที่ 6 ณ หน่วยบริการประชาชนตำรวจทางหลวงวังมะนาว จ.เพชรบุรี

alivesonline.com : กระทรวงคมนาคม ปลื้มนโยบายรณรงค์ลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนนของรัฐบาลได้ผลเกินคาด ส่งผลสถิติโลกลดลงจากอันดับ 2 เหลืออันดับ 9 ประกาศมาตรการ “คนพร้อม รถพร้อม ถนนพร้อม” มุ่งลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนนช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่ ชื่นชม “สยามยีเอสเซลส์” ร่วมมือ กองบังคับการตำรวจทางหลวง จัดกิจกรรมคืนกำไรสู่สังคมปีที่ 6 สานต่อโครงการ “GS BATTERY พร้อมเป็นพลังให้คุณทุกเส้นทาง” ระหว่างวันที่ 27–29 ธ.ค.61 เปิดให้บริการตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่รถยนต์ฟรี พร้อมมอบน้ำดื่ม 9 พันขวด ผ้าเย็น 2 พันผืน และเสื้อยืด 400 ตัว หวังลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุช่วงวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลต้อนรับปีใหม่ 2562 กระทรวงคมนาคม ได้ประกาศมาตรการ “คนพร้อม รถพร้อม ถนนพร้อม” เพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน โดยในส่วนของ “คนพร้อม” คือ ตรวจวัดแอลกอฮอล์พนักงานขับรถโดยสาร รวมถึงตรวจความพร้อมร่างกาย ตรวจสารเสพติดในปัสสาวะ ส่วน “รถพร้อม” คือตรวจความพร้อมตัวรถและอุปกรณ์ส่วนควบด้านความปลอดภัยของรถโดยสารสาธารณะทุกคัน รวมถึงตั้งจุดตรวจความพร้อมของรถโดยสารสาธารณะ และ “ถนนพร้อม” คือการเตรียมความพร้อมเส้นทางให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัย และติดตั้งไฟแสงสว่าง 100% โดยตรวจตราเครื่องหมายและอุปกรณ์จราจรให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ขณะที่บริเวณที่มีงานก่อสร้างให้คืนผิวจราจรและหยุดงาน โดยมีการติดตั้งไฟฟ้าส่องสว่างอย่างน้อย 1 ดวงต่อระยะทาง 2 กิโลเมตร นอกจากนั้น ยังมีการนำรถตำรวจทางหลวง และรถกรมทางหลวงชนบท จอดริมทางพร้อมเปิดไฟเตือนผู้ใช้ทางให้ขับขี่อย่างปลอดภัย รวมถึงมีการตั้งจุดให้บริการบริเวณทางขึ้นเขา เป็นต้น

นายอาคม กล่าวด้วยว่า การรณรงค์ลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนนช่วงวันหยุดยาวในเทศกาลปีใหม่ให้มีประสิทธิผลจำเป็นต้องมีการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการของหน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชน ดังเช่น โครงการ “GS BATTERY พร้อมเป็นพลังให้คุณทุกเส้นทาง” ครั้งที่ 6 ระหว่างวันที่ 27–29 ธันวาคม 2561 ซึ่ง บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด ผู้นำตลาดแบตเตอรี่รถยนต์ในประเทศไทย ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินงานของ กองบังคับการตำรวจทางหลวง โดยจัดกิจกรรมจุดพักรถ และตรวจความพร้อมการใช้งานแบตเตอรี่เพื่อเตรียมความพร้อมให้ประชาชนผู้เดินทางไกลทั้งหมด 3 จุดทั่วประเทศ ณ หน่วยบริการกรมทางหลวง 3 แห่ง ได้แก่ จุดที่ 1 หน่วยบริการประชาชนตำรวจทางหลวงวังมะนาว จ.เพชรบุรี (จุดใหญ่) จุดที่ 2 จุดพักรถถนนมอเตอร์เวย์ ฝั่งขาออก จ.ฉะเชิงเทรา และจุดที่ 3 หน่วยบริการประชาชนตำรวจทางหลวงวังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา

“แม้ปัจจุบันประเทศไทยจะยังคงมีสถิติการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมถึงผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในอัตราที่สูงเมื่อเทียบกับหลาย ๆ ประเทศ แต่จากนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ในการรณรงค์การลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุบนท้องถนนของรัฐบาลภายใต้การนำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ทำให้ตั้งแต่ปี 2559 ประเทศไทยมีอัตราการสูญเสียผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในสัดส่วนประชากร 1 แสนคน เหลือเพียง 32.7 คน เมื่อเทียบกับจำนวน 36.2 คน เมื่อช่วงปี 2557 ก่อนรัฐบาล ฯพณฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเข้ามาบริหารประเทศ ขณะเดียวกันสถิติในอันดับโลกยังลดลงจากอันดับ 2 เหลือเพียงอันดับ 9 แสดงให้เห็นว่าความพยายามในการทำงานของทุกฝ่ายไม่ได้สูญเปล่าและเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม” นายอาคม กล่าวในที่สุด

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ (ขวา) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบของที่ระลึกให้ นายวรนินทร์ อัษฎามงคล (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด และนายเกริก เกียรติเฟื่องฟู (ซ้าย) คุณ เกริก เกียรติเฟื่องฟู ผู้จัดการทั่วไปอาวุโสฝ่ายการพาณิชย์ ในฐานะผู้สนับสนุนโครงการ “GS Battery พร้อมเป็นพลังให้คุณทุกเส้นทาง” ครั้งที่ 6

ด้าน นายวรนินทร์ อัษฎามงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด ผู้นำตลาดแบตเตอรี่รถยนต์ในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตระหนักถึงเรื่องการรณรงค์ลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุช่วงวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ จึงได้จัดกิจกรรมคืนกำไรสู่สังคม โดยร่วมกับ กองบังคับการตำรวจทางหลวง ภายใต้ชื่อโครงการ “GS BATTERY พร้อมเป็นพลังให้คุณทุกเส้นทาง” ซึ่งดำเนินกิจกรรมต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 6

สำหรับกิจกรรมหลักของโครงการมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งเน้นรณรงค์ให้คนไทยเดินทางกลับบ้านในช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างปลอดภัยและลดอุบัติเหตุระหว่างการเดินทาง โดยใช้งบประมาณ 5 ล้านบาทในการมอบแบตเตอรี่ “Hybrid Extra 135” และ แบตเตอรี่ รุ่น “MFX Series” ให้แก่ กองบังคับการตำรวจทางหลวง เพื่อใช้ประโยชน์ในหน่วยงานราชการ รวมทั้งเปิดให้บริการตรวจเช็คสภาพแบตเตอรี่รถยนต์ฟรี พร้อมมอบน้ำดื่ม จำนวน 9 พันขวด และผ้าเย็น จำนวน 2 พันผืน ให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนในช่วงเวลาดังกล่าว

“ในปี 2561 บริษัทฯ ยังได้จัดทำเสื้อยืดเพื่อร่วมรณรงค์ความปลอดภัยบนท้องถนน เป็นนโยบายของทางหน่วนงานราชการ มีทั้งหมด 4 แนวทาง โดยจัดพิมพ์บนเสื้อยืดจำนวน 400 ตัว ได้แก่ 1.ขับช้าตามที่กฏหมายกำหนด ช่วยลดอุบัติเหตุถึงบ้านปลอดภัย 2.คาดเข็มขัด ทุกครั้ง ทุกที่นั่ง ขณะขับขี่และโดยสาร 3.เปิดไฟหน้าในเวลากลางวัน ช่วยลดอุบัติเหตุในเวลากลางวัน 30% และ 4.มอเตอร์ไซค์ ใส่หมวกกันน็อก สามารถลดความรุณแรงของอุบัติเหตุได้ 69%”

นายวรนินทร์ กล่าวในตอนท้ายว่า GS Battery เป็นผู้นำตลาดแบตเตอรี่ในประเทศไทยมากว่า 60 ปี ซึ่งมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าใหม่ 2 รุ่นล่าสุดคือ “GS MFX” ไม่จำเป็นต้องเติมน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน เหมาะสำหรับรถยนตร์ทุกประเภท และ “GS Extra Dry Hybrid” เหมาะเป็นพิเศษสำหรับรถกระบะที่ใช้งานเชิงพาณิชย์ มีกำลังไฟแรงโดยไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยครั้ง

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ (ที่ 3 จากขวา) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีปล่อยแถวผู้ปฏิบัติงานตามโครงการ “GS Battery พร้อมเป็นพลังให้คุณทุกเส้นทาง” ครั้งที่ 6 โดยมี นายวรนินทร์ อัษฎามงคล (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด ให้การสนับสนุนโครงการ โดยมี พล.ต.อ. ชัช สุกแก้วณรงค์ (ที่ 2 จากขวา) ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง พ.ต.อ.เอกราช ลิ้มสังกาศ รองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง และนายเกริก เกียรติเฟื่องฟู (ซ้ายสุด) คุณ เกริก เกียรติเฟื่องฟู ผู้จัดการทั่วไปอาวุโสฝ่ายการพาณิชย์ บริษัท สยามยีเอสเซลส์ จำกัด ร่วมเป็นเกียรติในงาน ณ หน่วยบริการประชาชนตำรวจทางหลวง วังมะนาว จ.เพชรบุรี

 

 

 

 

 

[ชมคลิป] “เชียงใหม่ไมซ์เพื่อชุมชน” โมเดลใหม่ของ “ทีเส็บ” เพื่อความยั่งยืนของเศรษฐกิจฐานราก

 

alivesonline.com : ถือเป็นก้าวสำคัญที่น่าจับตามอง “เชียงใหม่” ไม่น้อยสำหรับการพัฒนาจังหวัดให้มีความโดดเด่นครบทุกมิติ เมื่อมีการประกาศใช้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์จังหวัดเชียงใหม่ (2561-2564) เป็นจังหวัดแรกของประเทศไทย เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2561

ความเอาจริงเอาจังของ “เชียงใหม่” ครั้งนี้เป็นผลมาจาก การจัดอันดับการประชุมของ International Congress and Convention Association (ICCA) ในด้านสถิติการจัดอันดับ เมืองที่ไม่ใช่เมืองหลวงที่มีการประชุมมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน พบว่า ในปี 2559 เชียงใหม่มีการจัดประชุมนานาชาติเป็นอันดับที่ 2 โดยมีการประชุมถึง 20 ครั้ง โดยในปี 2560 เชียงใหม่ มีโอกาสต้อนรับนักเดินทางกลุ่มไมซ์จากต่างประเทศ จำนวน 50,881 คน พร้อมรายได้ 4,700.38 ล้านบาท และมีนักเดินทางกลุ่มไมซ์ในประเทศไทยเดินทางไปจัดกิจกรรม หรือเข้าร่วมงาน จำนวน 2,210,000 คน สร้างรายได้ 4,914.53 ล้านบาท

นายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่

เชียงใหม่ จึงเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในการพัฒนาระดับสูงแทบจะรอบด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจการลงทุน การท่องเที่ยว อุตสาหกรรม หัตถอุตสาหกรรม เกษตรกรรม การบริการสุขภาพ การศึกษา และอื่น ๆ โดยเฉพาะการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ ตามที่ นายคมสัน สุวรรณอัมพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถึงแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์จังหวัดเชียงใหม่ว่า เป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่าง จังหวัดเชียงใหม่, สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ”, คณะกรรมการส่งเสริมและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์จังหวัดเชียงใหม่ ตลอดจนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง โดยได้กำหนดวิสัยทัศน์เป็น “เชียงใหม่ นครที่เป็นที่สุดแห่งความสง่างามทางวัฒนธรรม จุดหมายปลายทางของกิจกรรมไมซ์ในเอเชีย” (Chiang Mai The Splendid City of Culture and Destination for MICE in Asia)

สำหรับพันธกิจในยุทธศาสตร์ดังกล่าวจะมุ่งสนับสนุนการจัดงานไมซ์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและกระจายรายได้สู่ชุมชน พร้อมส่งเสริมภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมไมซ์ด้วยการบริการชั้นเลิศและมีอัตลักษณ์ของความเป็นวัฒนธรรม รวมถึงพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์บนฐานความรู้และพัฒนาผู้ประกอบการไมซ์ในพื้นที่ให้ได้มาตรฐานสากล ตลอดจนส่งเสริมแนวปฏิบัติด้านความยั่งยืน เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว โดยมีเป้าประสงค์เพิ่มจำนวนรายได้และนักเดินทางของกิจกรรมไมซ์ รวมถึงจำนวนนักเดินทางจากอุตสาหกรรมไมซ์จังหวัดที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจสมดุลและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

ส่วนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์จะเน้นส่งเสริมการประชาสัมพันธ์และการตลาดไมซ์แบบมุ่งเป้าตลาดเอเชีย พร้อมยกระดับการบริการและพัฒนาสินค้าท่องเที่ยวเพื่อสร้างโอกาสในกิจกรรมไมซ์โดยใช้ทุนทางวัฒนธรรม รวมถึงพัฒนายกระดับบุคลากรที่มีส่วนสนับสนุนอุตสาหกรรมไมซ์ในพื้นที่ ตลอดจนยกระดับและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการจัดกิจกรรมไมซ์

นายคมสัน ยังกล่าวด้วยว่า เชียงใหม่ มีพื้นที่ประมาณ 12.56 ล้านไร่ ประชากร 1.74 ล้านคน มีผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัด (GPP) จำนวน 222,434 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากภาคบริการถึงร้อยละ 70.3 จึงมีการกำหนดวิสัยทัศน์ในการพัฒนาจังหวัด โดยมีเป้าหมายในการพัฒนาเป็น “นครแห่งชีวิตและความมั่งคั่ง” และกำหนดตำแหน่งการพัฒนา (Positioning) ให้เป็น “เมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวและบริการสากล” : “MICE CITY, Wellness City”

“ในปี 2560 เชียงใหม่ มีรายได้จากการท่องเที่ยว จำนวน 95,899.6 ล้านบาท นักท่องเที่ยว จำนวน 10,084,521 คน โดยคาดว่าในปี 2561 จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 104,820.36 ล้านบาท ด้วยเหตุนี้การพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์จึงเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจังหวัด ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการดำเนินการด้านการท่องเที่ยวให้เกิดแรงดึงดูดในการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน”

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ “ทีเส็บ”

 แนวทางการพัฒนาเมือง “เชียงใหม่” สู่การเป็น “ไมซ์เพื่อชุมชน”

ด้าน นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ “ทีเส็บ” กล่าวว่า “ทีเส็บ” มีแนวทางในการผลักดันอุตสาหกรรมไมซ์ให้เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นตามนโยบายรัฐบาล โดยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ.2561-2564) ในยุทธศาสตร์ที่ 9 การพัฒนาภาค เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจนั้น มีเป้าหมายในการพัฒนาพื้นที่ภาคเหนือให้เป็นฐานเศรษฐกิจสร้างสรรค์มูลค่าสูง เชียงใหม่ จึงเป็นหนึ่งในพื้นที่หลักตามแนวทางของ “ทีเส็บ” ในการพัฒนาเมืองสู่การเป็น “ไมซ์เพื่อชุมชน”

เนื่องเพราะ เชียงใหม่ จัดเป็นหนึ่งในห้าของ “ไมซ์ ซิตี้” ซึ่งมีสถานประกอบการประเภท ห้องประชุมและประเภทสถานที่จัดงานแสดงสินค้า เป็นจำนวนถึง 18 แห่ง รวม 51 ห้องที่ผ่าน “มาตรฐานสถานที่จัดงานประเทศไทย” (Thailand MICE Venue Standard :TMVS) ที่ใช้เป็นเกณฑ์การประเมินสถานประกอบการไมซ์

ขณะเดียวกันในปี 2561 ยังได้มีการยกระดับงานไมซ์ของจังหวัดให้เป็นระดับนานาชาติมากขึ้น พร้อมทั้งขยายขอบเขตของผู้เข้าร่วมงานและรูปแบบกิจกรรมที่จะส่งเสริมให้เกิดการต่อยอดทางธุรกิจได้เพิ่มขึ้น อาทิ งาน Chiang Mai Bloom 2018 มีผู้เข้าร่วมงาน 183,569 คน และงาน Lanna Expo มีผู้เข้าร่วมงาน 253,504 คน

นอกจากนี้ ยังมีการประมูลสิทธิ์การจัดงานในระดับนานาชาติเข้ามาจัดที่เชียงใหม่อย่างต่อเนื่องทุกปี อาทิ งาน World Robot Olympaid 2018 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2561 มีผู้เข้าร่วมงาน 10,000 คน งาน Chiangmai Design Week 2018 เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2561 คาดว่ามีผู้เข้าร่วมงาน 400,000 คน งาน Endoscopic and Laparoscopic Surgeons of Asia 2019 คาดว่ามีผู้เข้าร่วมงาน 1,500 คน และงาน Route Asia 2020 คาดว่ามีผู้เข้าร่วมงาน 1,200 คน

เพิ่มรายได้อุตสาหกรรมไมซ์เชียงใหม่ผ่าน 6 เส้นทางหลัก

นายจิรุตถ์ กล่าวด้วยว่า จากวิสัยทัศน์ “นครที่เป็นที่สุดแห่งความสง่างามทางวัฒนธรรม จุดหมายปลายทางของกิจกรรมไมซ์ในเอเชีย” ของเชียงใหม่นั้น “ทีเส็บ” จะดำเนินการสร้างโปรแกรมหลังการประชุมที่เป็นมาตรฐาน ตลอดจนการพัฒนากิจกรรมและการบริการที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ซึ่งถือเป็นรูปแบบสำคัญในการขับเคลื่อนเพื่อให้เป้าหมายการกระจายรายได้ผ่านอุตสาหกรรมไมซ์นั้นบรรลุผล ใน 6 เส้นทางหลัก ได้แก่

1.เส้นทางกิจกรรม CSR และการประชุมเชิงอนุรักษ์ อาทิ สหกรณ์นิคมแม่แตงจำกัด อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก รวมถึงการเปิดประสบการณ์ผู้เข้าร่วมประชุมให้ได้สัมผัสกับวิถีชุมชนท้องถิ่น ณ ชุมชนบ้านออนใต้ ซึ่งได้รับการพัฒนาให้เป็น “ต้นแบบโครงการหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์” (Creative Industry Village : CIV) ซึ่งถือเป็นการนำทุนวัฒนธรรม วิถีชีวิตดั้งเดิม มาผนวกกับความคิดสร้างสรรค์ โดยการออกแบบและสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าที่ระลึกและผลิตภัณฑ์ ตลอดจนบริการต่าง ๆ ในชุมชน ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมจะได้เรียนรู้ ชมการสาธิตขั้นตอนการสร้างสรรค์ชิ้นงานต่าง ๆ และทดลองลงมือทำด้วยตนเอง

2.เส้นทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม การเยี่ยมชมสถานที่ที่มีประวัติความเป็นมาและมีความผูกพันทางจิตใจของคนรุ่นหลัง อาทิ บ้านถวาย, กิจกรรรมบวชต้นยางนา อ.สารภี ซึ่งเป็นประเพณีโบราณของชาวจังหวัดเชียงใหม่ และการประดิษฐ์โคมและทดลองประดิษฐ์โคมโดยปราชญ์ชาวบ้าน “แม่ครูโคมล้านนา” หรือ“แม่ครูบัวไหล คณะปัญญา” แห่งชุมชนเมืองสาตรหลวง ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มงานหัตถกรรมการทำโคมล้านนาโดยประดิษฐ์ขึ้นจากวัสดุพื้นบ้าน

3.เส้นทางการสร้างทีมเวิร์ค ผ่านกิจกรรมที่ระดมความคิดแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน อาทิ ศูนย์ศึกษาพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า และปันผลฟาร์ม เป็นต้น

4.เส้นทางการผจญภัย ที่มีกิจกรรมทางกายภาพ สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ อาทิ อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก

5.เส้นทางกิจกรรมนำเสนออาหารไทย ในทุกการจัดงานที่หลากหลาย เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเดินทาง อาทิ บ้านหัวฝาย ชุมชนบ้านดงบัง เป็นต้น

6.เส้นทางการจัดงานและกิจกรรมหรูหรามีระดับ ซึ่งเป็นที่นิยมเพิ่มมากขึ้นในระยะหลังเพื่อมอบประสบการณ์สุดพิเศษในกับนักเดินทางกลุ่มไมซ์

 

 

 

ผนึกชุมชนสหกรณ์ทั่วประเทศขับเคลื่อน “ไมซ์เพื่อชุมชน”

นายจิรุตถ์ กล่าวด้วยว่า หลังจากที่ “ทีเส็บ” ร่วมมือกับ กรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดตัวโครงการ “ไมซ์เพื่อชุมชน” เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2561 เพื่อพัฒนาศักยภาพชุมชนให้เป็นจุดหมายปลายทางใหม่รองรับการจัดงานไมซ์ในรูปแบบใหม่ซึ่งจะเป็นการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค พร้อมสนับสนุนให้ชุมชนท้องถิ่นที่มีความพร้อมได้พัฒนาสู่การรองรับธุรกิจการจัดงานไมซ์ โดยเฉพาะในเรื่องของการเป็นสถานที่ศึกษาดูงาน กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกับชุมชน หรือจัดกิจกรรมพิเศษตามวาระโอกาสขององค์กรธุรกิจต่าง ๆ ด้วยจุดแข็งด้านความคิดสร้างสรรค์บนพื้นฐานทรัพยากรและอัตลักษณ์ของแต่ละชุมชน ซึ่งจะสามารถเป็นช่องทางใหม่ด้านรายได้แก่สหกรณ์ได้

“การส่งเสริมให้เกิดการศึกษาดูงานในชุมชน นับเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะสร้างรายได้ให้ชุมชน โดยมีสหกรณ์การเกษตรเป็นศูนย์กลางของชุมชนเป็นตัวกลางประสานงานรวบรวมสินค้าพื้นบ้านที่เป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ทั้งสินค้าประเภทอาหาร ขนมพื้นบ้าน สินค้าเกษตรแปรรูปและอื่น ๆ ที่ชุมชนภาคภูมิใจมาเล่าสู่ผู้ที่เข้าไปศึกษาดูงาน ขณะเดียวกันจากการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างแข็งแกร่ง ถือเป็นการส่งเสริมให้การพัฒนาเชียงใหม่เป็นเมืองไมซ์ซิตี้ศูนย์กลางของภาคเหนืออย่างเต็มรูปแบบ ด้วยการสร้างการมีส่วนร่วมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ”

นายเชิดชัย พรหมแก้ว รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์

“แม่แตง-ดอยสะเก็ดพัฒนา” 2 สหกรณ์นำร่อง “เชียงใหม่ไมซ์ชุมชน”

นายเชิดชัย พรหมแก้ว รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวถึงการเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการ “ไมซ์เพื่อชุมชน” ว่า ปัจจุบันมีสหกรณ์ทั่วประเทศ 8,171 แห่ง และกลุ่มเกษตรกรอีก 4,924 แห่ง สมาชิกสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรรวมกว่า 12 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 5.5 ของประชากรประเทศไทย โดยเฉพาะสหกรณ์ในภาคการเกษตรที่ทำหน้าที่ในการส่งเสริมเกษตรกรที่เป็นสมาชิกผลิตสินค้าการเกษตรที่สำคัญหลากหลายชนิด ทั้งสินค้าเพื่อการบริโภค ได้แก่ ข้าว ผัก ผลไม้ นม กาแฟ ไข่ไก่ โคเนื้อ รวมถึงสินค้าทางเศรษฐกิจระดับประเทศ ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา และอ้อย ซึ่งหากสหกรณ์ได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสม ย่อมส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจระดับชุมชน และส่งผลต่อการยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตให้กับชาวบ้านในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ ได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

โครงการ “ไมซ์เพื่อชุมชน” ถือเป็นการบูรณาการความร่วมมือทั้งหน่วยงานราชการ องค์กรธุรกิจ มูลนิธิ และภาคประชาสังคม โดยมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับฐานราก ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการส่งเสริมการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และนับเป็นโอกาสอันดีสำหรับสหกรณ์ในพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีความพร้อมและมีศักยภาพในด้านการผลิตสินค้าและบริการ จะได้เปิดพื้นที่ต้อนรับตัวแทนของภาคเอกชนซึ่งเป็นคณะผู้เข้าร่วมประชุมกับ “ทีเส็บ” ได้เข้ามาศึกษาดูงาน และนำไปสู่การแลกเปลี่ยนประสบการณ์องค์ความรู้ด้านธุรกิจระหว่างสหกรณ์กับภาคเอกชน

เบื้องต้น กรมส่งเสริมสหกรณ์ คัดเลือกสหกรณ์ 35 แห่งใน 27 จังหวัดเข้าร่วมโครงการ “ไมซ์เพื่อชุมชน” โดยมีเป้าหมายเพิ่มเป็น 235 แห่งในปี 2562 ในขณะที่ เชียงใหม่ มีสหกรณ์และชุมชนมากกว่า 100 แห่ง โดยในระยะแรกสหกรณ์ที่มีความพร้อมดำเนินงานดังกล่าว ได้แก่ สหกรณ์นิคมแม่แตงจำกัด และ สหกรณ์การเกษตรดอยสะเก็ดพัฒนา จำกัด ซึ่งถือเป็นพื้นที่นำร่องในการนำงานเพื่อสังคมของภาคเอกชนเข้าไปจัดกิจกรรมไมซ์

“กรมส่งเสริมสหกรณ์ มีการทำงานร่วมกับ ทีเส็บ ในการพัฒนาสหกรณ์และชุมชนต่าง ๆ ให้มีความพร้อมและปรับตัวในด้านต่าง ๆ ทั้งบุคลากร สถานที่ สินค้าและบรรจุภัณฑ์ และอื่น ๆ เพื่อต้อนรับนักเดินทางกลุ่มไมซ์ โดยเน้นใน 5 กิจกรรมหลักคือ กิจกรรมเกษตรปลอดภัย กิจกรรมฟาร์มปศุสัตว์สุขใจ กิจกรรมประมงสัตว์น้ำไทย กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ท้องถิ่น และกิจกรรมตามรอยพ่อเศรษฐกิจพอเพียง โดยคาดว่าหลังเทศกาลสงกรานต์ 2562 จะมีสหกรณ์ 5-6 แห่งทั่วประเทศที่สามารถดำเนินงานได้ครบทั้ง 5 กิจกรรม จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 70-90 แห่งภายในปี 2562”

จากนี้ไป “เชียงใหม่ไมซ์เพื่อชุมชน” จึงเป็นที่น่าติดตามว่าจะสัมฤทธิ์ผลตามเป้าประสงค์ของ “ทีเส็บ” และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการมุ่งพัฒนาเมืองให้เป็น “ไมซ์ ซิตี้” ได้อย่างยั่งยืนดั่งเจตนารมย์ในเร็ววันเกินคาดหรือไม่.