Universal VMS ตัวแรกของเอเชีย : เชื่อมต่อทุกระบบทุกอุปกรณ์เข้าด้วยกัน

alivesonline.com : เอเอสดี ดิสทริบิวชั่น” (ASD) ตอกย้ำความเป็นผู้นำ Smart Security & Smart Factory ด้านเทคโนโลยีระบบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยครบวงจร เปิดตัว Universal VMS (Video Management System) ตัวแรกของเอเชียเป็นนวัตกรรมที่จะทลายทุกข้อจํากัดที่จะทำให้การเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่เป็นวิดีโอต่างยี่ห้อ ต่างระบบ หรือต่างประเภทกัน ให้สามารถเชื่อมต่อเข้ากันเป็นระบบเดียวกันได้อย่างง่ายดาย

ASD เป็นบริษัทรายแรกและเป็นรายเดียวในประเทศไทยที่ได้ร่วมกันพัฒนาและได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของเทคโนโลยี ในประเทศเกาหลีใต้ที่ได้รับมาตรฐาน ISO14001 และ ISO9001 ให้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว โดยมุ่งจับกลุ่มเป้าหมายทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยแก้ปัญหาการเชื่อมต่อวิดีโอที่เป็นอุปกรณ์ต่างระบบ ต่างยี่ห้อ ต่างประเภท หรืออยู่ต่างสถานที่กัน ให้สามารถเชื่อมต่อมายังส่วนกลางหรืออยู่ในหน้าจอเดียวกันได้อย่างง่ายดาย ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการ หรือการให้บริการต่า งๆ เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประหยัดค่าใช้จ่าย หรืองบประมาณได้เป็นอย่างมาก พร้อมวางตลาดแล้ววันนี้ผ่านช่องทางจำหน่ายต่าง ๆ ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ

สุนทร ทองมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเอสดี ดิสทริบิวชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ASD เป็นบริษัทผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายระบบอุปกรณ์สำหรับ Smart Security & Smart Factory เช่น ระบบกล้องวงจรปิดทุกระบบครบวงจร รวมถึงอุปกรณ์ต่อพ่วงคุณภาพสูงมากว่า 10 ปี โดยบริษัทฯ ได้รับการแต่งตั้งและไว้วางใจจากบริษัทผู้ผลิตโดยตรงที่มีชื่อเสียงระดับโลก ทั้งจากประเทศสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ สาธารณรัฐประชาชนจีน และไต้หวัน ให้เป็นผู้จัดจำหน่ายหลักแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย โดยมีตัวแทนจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งยังมีการจัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้แทนจำหน่ายทั้งในด้านสินค้าและการให้บริการ อีกทั้งจัดให้มีการสัมมนาเปิดตัวสินค้าใหม่เพื่อให้ความรู้ ได้เห็นสินค้าจริงและได้ทดลองใช้ รวมถึงการออกบูธจัดแสดงสินค้าตามงานต่าง ๆ และเผยแพร่ข้อมูลสินค้าผ่านสื่อต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่หลาย ๆ องค์กรมีปัญหาเรื่องการรวมระบบจากความหลากหลายของระบบ หรือต่างยี่ห้อ ต่างประเภทของอุปกรณ์ หรืออยู่ต่างสถานที่กัน แต่ต้องการจะเชื่อมต่อระบบให้สามารถควบคุมมารวมกันที่ศูนย์เดียวกันได้ หรือจะแสดงบนหน้าจอเดียวกัน (Single Screen Monitoring) และสามารถสื่อสารแบบสองทางได้ ASD จึงได้เปิดตัวสินค้าตัวแรกของเอเชียที่เป็นระบบรวมศูนย์ที่ชื่อว่า “Universal VMS” (Video Management System) ภายใต้แบรนด์ “EdgeHandler” จากประเทศเกาหลีใต้

“Universal VMS” เป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่จะทลายทุกข้อจํากัดของความแตกต่างที่จะช่วยให้การเชื่อมต่อและรวมศูนย์ทุกระบบสำคัญไว้ในที่เดียวกัน หรืออยู่ในหน้าจอเดียวกันได้ โดยจะทำการเชื่อมต่อให้อุปกรณ์ปลายทางที่เป็นสัญญาณภาพ (Video) ทั้งในระบบเดียวกัน หรือต่างระบบ หรือจากหลากหลายยี่ห้อ หรือหลากหลายชนิดอุปกรณ์ หรืออยู่ต่างสถานที่กัน ไม่ว่าจะเป็นระบบ CCTV (IP/Analog), Display Viewboard, Access Control, Fire Alarm, POS, File Server หรืออุปกรณ์ที่เป็นเครื่องจักรต่าง ๆ ที่อยู่ปลายทาง ด้วย HDMI Port ให้สามารถเชื่อมต่อและรวมมายังศูนย์ควบคุมกลาง (Service& Security Center) โดยผ่านระบบเครือข่าย LAN หรือ WAN เพื่อแสดงภาพ (Monitor) หรือจะเป็นการควบคุม (Control) อุปกรณ์ปลายทางให้มาอยู่ในหน้าจอเดียวกันได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

“Universal VMS” ยังรองรับการพูด-คุย หรือสื่อสารแบบ 2 Way Communication ซึ่งจะช่วยให้การบริหารจัดการ หรือการให้บริการดูแล (Maintenance and Onsite Service) ระบบต่าง ๆ ภายในองค์กรให้เป็นไปได้ง่าย สะดวก ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายได้อีกมากมาย จึงเหมาะอย่างยิ่งกับองค์กร หรือหน่วยงานที่มีระบบขนาดใหญ่ หรือมีหลากหลายระบบ หรือมีจำนวนสาขาหลายแห่ง รวมถึงการออกแบบระบบ (Solution Design) สำหรับการทำ Smart City Solution หรือ Smart Security ก็จะยิ่งช่วยให้ผู้ให้บริการและผู้ใช้งานลดข้อจำกัดในเรื่องต่าง ๆ ไปอีกมาก รวมถึงจะช่วยให้มีการประหยัดค่าใช้จ่า ยหรืองบประมาณได้มาก

สำหรับจุดเด่นของ Universal VMS มีมากมาย เช่น

– สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างระบบ, ต่างยี่ห้อ, ต่างประเภทของอุปกรณ์ ต่างสถานที่ ให้สามารถเชื่อมต่อเข้ามารวมอยู่ในระบบ หรือหน้าจอเดียวกัน (Single Screen Monitoring)

– สามารถควบคุม(Control) อุปกรณ์ปลายทางด้วย Mouse/ Keyboard เพื่อปรับ หรือ Setup ค่าต่าง ๆ ในซอฟต์แวร์ หรือจะสั่งรีบูทอุปกรณ์ปลายทางก็ได้

– สามารถสื่อสารด้วยเสียงจากต้นทาง-ปลายทาง (Support Audio) แบบ 2 Way Communication

– ตัวอุปกรณ์ Universal VMS เป็นแบบ Hardware Appliance ไม่ต้องใช้ OS หรือซอฟต์แวร์ จึงมีความเสถียรสูง ไม่มีค่าใช้จ่ายเรื่อง License Software อีกทั้งเป็นเทคโนโลยีการบีบอัดแบบใหม่ที่เป็น H.265 มีการบีบอัดข้อมูลมากและมีประสิทธิภาพ ทำให้การจัดเก็บ หรือส่งผ่านข้อมูลในระบบ LAN/ WAN จะใช้ Bandwidth ที่ต่ำกว่าและได้ภาพที่คมชัด และ Realtime มากกว่า

– ทำให้การจัดการและบริหารระบบอุปกรณ์ CCTV Monitoring หรือระบบ Security ประเภทต่าง ๆ ที่มีต่างรุ่น ต่างยี่ห้อ หรือต่างระบบกัน สามารถเชื่อมต่อรวมเข้ามาอยู่ในระบบ หรือในหน้าจอเดียวกันได้อย่างง่าย สะดวก ไม่ซับซ้อน และทำให้ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ ได้อีกจำนวนมาก

– มีทีมงานวิศวกรที่มีความรู้และมีประสบการณ์ในการออกแบบระบบต่าง ๆ คอยให้คำแนะนำ หรือปรึกษาการออกแบบ Solution ต่าง ๆ หรืออบรมให้ความรู้กับลูกค้าอย่างใกล้ชิด เช่น กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม กลุ่มธุรกิจที่มีสาขา บริษัท องค์กรขนาดใหญ่ รวมทั้งหน่วยงานราชการ

ASD Distribution ยังมีทีมวิศวกรและช่างผู้ชำนาญการที่มีประสบการณ์ในด้านการออกแบบระบบ และ Hotline Call Center คอยให้บริการ หรือให้คำปรึกษาในด้านต่าง ๆ รวมถึงการอบรมให้ความรู้ในการออกแบบ หรือการใช้งานระบบให้ผู้ใช้งานเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการรับประกันสินค้า รวมทั้งมีอะไหล่สำรองในกรณีฉุกเฉิน สนใจเป็นเจ้าของหรือต้องการเป็นตัวแทนจำหน่าย Universal VMS ได้แล้ววันนี้ที่ www.asd.co.th , LINE ID : @asd.co.th หรือ โทรศัพท์ 0 2451 1055

 

ภาพประกอบ

 

นายสุนทร ทองมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเอสดี ดิสทริบิวชั่นจำกัด

 

Universal VMS (Video Management System) ตัวแรกของเอเชียเป็นนวัตกรรมที่จะทลายทุกข้อจํากัดของความแตกต่างที่จะช่วยให้การเชื่อมต่อและรวมศูนย์ทุกระบบสำคัญไว้ในที่เดียวกัน หรืออยู่ในหน้าจอเดียวกัน

เปิดตัว โปรตีนโสม “ฟรามิน่า อินเตอร์ไพรส์” เอาใจคนรักสุขภาพ

alivesonline.com : บริษัท ฟรามิน่า อินเตอร์ไพรส์ จำกัด ผู้นำทางด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ มิติใหม่แห่งวงการคนรักสุขภาพ จัดงาน “Framina Young Family Grand Opening” เปิดตัวผลิตภัณฑ์โปรตีนโสมคุณภาพพรีเมียม “ฟรามิน่า” (FRAMINA) ที่มีส่วนผสมสกัดหลักจากส่วนประกอบสำคัญกว่า 20 ชนิด เช่น โสม, แป๊ะก๊วย, เห็ดหลินจือ, งาดำ, เมล่อนฝรั่งเศส ฯลฯ พร้อมประกาศแคมเปญ “The Next Life” อย่างเป็นทางการ

“ฟรามิน่า” ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ช่วยสร้างกล้ามเนื้อให้สมส่วน มีรูปร่างที่ดี สัดส่วนกระชับ เต่งตึง อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุจากธรรมชาติ100% ที่จำเป็นต่อร่างกาย ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ทำให้โครงสร้างผิวยืดหยุ่น แข็งแรง ชุ่มชื้น และช่วยต้านอนุมูลอิสระให้กับผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินให้ผิวพรรณ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ หรือต้องการบำรุงร่างกาย และให้สารอาหารที่จำเป็น รวมถึงผู้ที่อยากมีรูปร่างดีโดยสร้างมวลกล้ามเนื้อและลดมวลไขมัน หรือแม้แต่ผู้สูงอายุที่ขาดโปรตีนและกล้ามเนื้ออ่อนแรง

‘ชัยภัสส์ สาธิตสมมนต์’ (กลาง) ประธานกรรมการผู้บริหาร บริษัท ฟรามิน่า อินเตอร์ไพรส์ จำกัด พร้อมด้วยแขกรับเชิญในวันเปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างเป็นทางการ

‘ชัยภัสส์ สาธิตสมมนต์’ ประธานกรรมการผู้บริหาร บริษัท ฟรามิน่า อินเตอร์ไพรส์ จำกัด กล่าวด้วยว่า ในโอกาสเดียวกันนี้ “ฟรามิน่า” ยังได้จัดแคมเปญ “The Next Life” เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนที่ซื้อผลิตภัณฑ์ “ฟรามิน่า” สามารถเขียนเรื่องราวพร้อมแนบกล่องผลิตภัณฑ์ส่งกลับมาหาเรา โดยเรื่องราวที่ชนะใจจะถูกนำมาถ่ายทอดผ่านซีรีย์ บน YouTube และ Facebook FraminaThailand ผู้ชนะจะได้รางวัลที่สุดแห่งประสบการณ์ ร่วมบินลัดฟ้าท่องเที่ยวต่างประเทศแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับเหล่าผู้บริหาร บริษัท ฟรามิน่า อินเตอร์ไพรส์ จำกัด

เริ่มส่งเรื่องราวของได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 ประกาศผลในวันที่ 8 มีนาคม 2562 โดยสามารถติดตามข่าวสารและเกร็ดความรู้คู่สุขภาพดีได้ทาง www. framinaprotein.com, FB: Framina Thailand, IG : @Framina.official, Line : @framinathailand, Hotline Tel. 09 4329 9645

 

 

ส่งต่อสัมผัสแห่งความห่วงใยผ่าน “NIVEA Crème Limited Edition” รุ่นฝา NIVEA Tales

เมื่อลมหนาวใกล้เข้ามาทุกที หลายคนคงไม่อาจปฎิเสธได้ว่าช่างเวลานี้ช่างเหมาะแก่การรับสัมผัสอบอุ่นอย่างแท้จริง “นีเวีย” จึงไม่รีรอที่จะส่งต่อสัมผัสแห่งความห่วงใยด้วยนีเวียครีมสุดฮอตจากรุ่นสู่รุ่นมายาวนานกว่า 100 ปีที่ครองใจหลายครอบครัวทั่วโลก กับ NIVEA Crème Limited Edition รุ่นฝา NIVEA Tales ชวนให้คุณเปิดโลกนิทานชวนฝันด้วยฝีมือการสร้างสรรค์จากนักออกแบบภาพประกอบชื่อดังระดับโลกอย่าง “โจแอล ทัวร์โลเนียส” ซึ่งถ่ายทอดถึงเรื่องราวในนิทานอันแสนประทับใจจาก “อูโด ไวเกิล” นักเขียนนิทานเด็กชื่อที่มีผลงานคุณภาพมากมาย

NIVEA Crème Limited Edition รุ่นฝา NIVEA Tales มีมาให้เลือกสะสมกันแล้วถึง 4 ลาย ขนาด 60 มล. ราคาชิ้นละ 59 บาท เท่านั้น พิเศษแบบนี้ให้คุณได้ดูแลผิวตัวเองและคนที่คุณรัก ด้วยเนื้อครีมสีขาว พร้อมกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เหมาะกับทุกวัย ใช้ได้ทุกวัน และทุกฤดูกาล เริ่มวางขายให้สะสมกันแล้วที่ “เซเว่น อีเลฟเว่น” และร้านค้าชั้นนำทั่วไป พร้อมกันนี้ยังสามารถติดตามอ่านนิทานชุดพิเศษ “NIVEA Tales” ฉบับภาษาอังกฤษได้แล้วที่ Tales.NIVEA.com

“กิน ช้อป เที่ยว รับดับเบิ้ล แคชแบ็ค”

นายสมหวัง โตรักตระกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด จัดโปรโมชั่นสุดคุ้มรับเทศกาลแห่งความสุข “กิน ช้อป เที่ยว รับดับเบิ้ล แคชแบ็ค” มอบสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิตกรุงศรีทุกประเภท รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 75,000 บาทต่อบัญชีบัตรหลักตลอดรายการ เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรในหมวดร้านอาหาร หมวดท่องเที่ยว หรือหมวดซูเปอร์มาร์เก็ต ณ ร้านค้าที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขที่กำหนด ตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไปต่อเซลส์สลิป และมียอดใช้จ่ายสะสมตั้งแต่ 5,000 บาทขึ้นไปต่อเดือน และรับสิทธิแลกคะแนนสะสมเท่ายอดใช้จ่าย เพื่อรับเครดิตเงินคืนเพิ่มสูงสุด 50,000 บาทต่อบัญชีบัตรหลักต่อเดือน ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2561 เพียงพิมพ์ SPP (วรรค) ตามด้วยหมายเลขบัตร 16 หลัก ส่งมาที่ 08 1927 9999 หรือลงทะเบียนผ่าน UCHOOSE เพื่อรับสิทธิก่อนทำรายการ รายละเอียดเพิ่มเติม www.krungsricard.com/spp418

 

“อะโป พลัส สเตชั่น” แต่งตั้งตัวแทนจำหน่าย

นายสุทัศน์ ทองประเสริฐ (นั่งขวา) ประธาน บริษัท อะโป พลัส สเตชั่น (ประเทศไทย) จำกัด และ นายเอจิ ทาเกะมะซะ (นั่งซ้าย) ประธาน บริษัท ฟูจิ ฟาร์ม่า (ประเทศญี่ปุ่น) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์ ชั้นนำแห่งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีบริษัทในเครือในประเทศไทยคือ บริษัท โอลิค (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมลงนามสัญญาแต่งตั้งให้ บริษัท อะโป พลัส สเตชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนทำการตลาดและส่งเสริมการขายเวชภัณฑ์ในประเทศไทย อย่างเป็นทางการ โดยมี นายยาซุตะกะ อะเบะ (แถวหลังที่ 3 จากซ้าย) ประธาน บริษัท อะโป พลัส สเตชั่น (ประเทศญี่ปุ่น) จำกัด และคณะผู้บริหารร่วมเป็นสักขีพยานและแสดงความยินดี โดยบริษัทฯ วางแผนนำเวชภัณฑ์ต่าง ๆ จากประเทศญี่ปุ่นเข้าตลาดประเทศไทย ในช่วงต้นปี 2562

“ธุรกิจเสริมสวย 4.0 #โตอย่างสตรอง”

นายพิชัย อร่ามเจริญ (ขวาสุด) นายกสมาคมอินเตอร์เคอร์ฟัวร์ ไทยแลนด์ (Intercoiffure Thauland : ICD Thailand) และเจ้าของร้านทำผมชื่อดัง “คัท แอนด์ เคิร์ล” (Cut & Curl) จัดสัมมนาเรื่อง “ธุรกิจเสริมสวย 4.0 #โตอย่างสตรอง” (Thailand Hairdressing 2019 The Year of TRANSFORMATION) เพื่อพัฒนาศักยภาพธุรกิจเสริมสวยไทยยุค 4.0 โดยมี น.ส.นิสากร จึงเจริญธรรม (ที่ 2 จากขวา) รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และ นายศุภชัย บำรุงศรี (ที่ 2 จากซ้าย) นักวิชาการสรรพากรชำนาญการพิเศษ มาร่วมแลกเปลี่ยนความรู้ ณ ห้องบอลรูม โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

 

เปิดตัวคอนโดฯ หรู “S61 SUKHUMVIT BY KWG”

นายเฮนรี ชาน (กลาง) รองประธานกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่จากฮ่องกง เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมหรู Low Rise แห่งแรก “S61 SUKHUMVIT BY KWG” เน้นตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยที่ใช้ชีวิตอยู่ใจกลางเมืองในกรุงเทพฯ ด้วยพื้นที่เงียบสงบเป็นส่วนตัว  พร้อมเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกครบครันและความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม โดยมี นายเดฟ กึง ประธานฝ่ายบริหาร (ที่ 3 จากขวา) และทีมผู้บริหารโครงการร่วมให้การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนในงานเปิดตัว ณ สำนักงานขาย (Living Gallery) โครงการฯ ถ.พระราม 4 กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้

 

ยักษ์ใหญ่อสังหาฯ ฮ่องกง มั่นใจตลาดไทย เปิดคอนโดฯ หรูแห่งแรกกลางเอกมัย

 

alivesonline.com : “คิง ไว กรุ๊ป” เชื่อมั่นศักยภาพของตลาดอสังหาฯ เมืองไทย ต่อยอดจากความสำเร็จในการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว “วิลล่า อะคาเดีย ศรีนครินทร์” เดินหน้าเปิดโครงการคอนโดมิเนียมหรู Low Rise แห่งแรก “S61 SUKHUMVIT BY KWG” ลักซ์ชัวรีคอนโดฯ กลางเมืองย่านเอกมัย พร้อมนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เริ่มต้นยูนิตละ 7.69 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการกว่า 1.5 พันล้านบาท คาดปิดการขายภายในปี 2562

นายเฮนรี ชาน รองประธานกรรมการบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คิง ไว กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อย่อหลักทรัพย์ “KWG” เปิดเผยว่า .”คิง ไว กรุ๊ป” เป็นกลุ่มบริษัทจากฮ่องกงที่มีฐานอยู่ในประเทศจีน ดำเนินธุรกิจหลากหลายประเภท ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจการเงิน และธุรกิจค้าปลีกข้ามพรมแดน โดยมีโครงการ IMX (International Merchandise Exhibition and Exchange Center) หรือศูนย์จัดแสดงสินค้าครบวงจร รองรับโอกาสในการขยายตลาดนำเข้าสินค้าไปยังประเทศจีน โดยได้พัฒนาธุรกิจดังกล่าวอย่างเต็มรูปแบบ ตามโมเดล “Store-Warehouse-Exhibition-Customer” โดยมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างช่องทางออนไลน์-ออฟไลน์ทั้งในและต่างประเทศ

“คิง ไว กรุ๊ป” มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญที่สั่งสมชื่อเสียงในธุรกิจมายาวนานกว่า 30 ปีในประเทศจีนและฮ่องกง โดยเริ่มขยายธุรกิจออกนอกประเทศหลังการปรับใช้นโยบาย “Belt and Road Initiative” (BRI) ของรัฐบาลจีน จึงเล็งเห็นว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว อีกทั้งยังเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศที่พร้อมก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางและประตูสู่การทำธุรกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอนาคต

นายเฮนรี กล่าวอีกว่า ชื่อของ “คิง ไว กรุ๊ป” อาจยังไม่คุ้นกับคนไทยมากนัก แต่ถ้าเอ่ยถึงโครงการระดับเมกะโปรเจคที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดคือ โครงการ “King Wai City Oasis” ซึ่งตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้และเทียนจินมีพื้นที่ใช้สอยรวมกันมากกว่า 1.8 ล้านตารางเมตร และได้รับการรับรองจากศูนย์พิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กระทรวงปกป้องสิ่งแวดล้อม แห่งชาติจีน ให้เป็น “ที่อยู่อาศัยที่เป็นเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” และ “อาคาร Low-Carbon Building” นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “Bauhinia Valley” ในเขตเป่าซาน มหานครเซี่ยงไฮ้ อันเป็นผลงานชิ้นเอกของ “คิง ไว กรุ๊ป” ในด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ มุ่งเน้นการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม นวัตกรรมและเทคโนโลยี เชื่อมโยงแบรนด์ระดับโลกสร้างฐานอุตสาหกรรมของอนาคต

“ในส่วนของภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีที่ผ่านมาจะเติบโตไม่มากนัก แต่เศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังคงมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากรัฐบาลมีโครงการมากมายสนับสนุนให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ระบบขนส่งมวลชนที่ทำให้การคมนาคมสะดวกขึ้น หรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ ของภาครัฐเพื่อสนับสนุนการเติบโตของภาคธุรกิจ เราจึงคิดว่าด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลและจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยนี้จะส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเราสามารถเติบโตไปได้ดี โดยเฉพาะแผนการขยายเมืองของไทยและกลยุทธ์การสร้างไทยให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจในอาเซียนจะส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโต”

นายเฮนรี กล่าวอีกว่า ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าไม่ได้มีเพียงคนไทยเท่านั้นที่ลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่มีนักลงทุนต่างชาติมากมายโดยเฉพาะจีนที่เข้ามาลงทุนในธุรกิจคอนโดมิเนียมไทย ในขณะที่ “คิง ไว กรุ๊ป” มีความถนัดด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยยึดแนวคิดสำคัญคือ “เราไม่ใช่แค่สร้างสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น แต่เราสร้างสังคมที่มีคุณภาพด้วย” ดังนั้น โครงการของ “คิง ไว กรุ๊ป” จึงเน้นที่คุณภาพที่สมราคา เลือกทำเลที่เหมาะกับการทำโครงการ วางแผนการทำธุรกิจอย่างรัดกุมและแสวงพันธมิตรทางธุรกิจที่เหมาะสม จึงมั่นใจว่า การขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มในประเทศไทยจะได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนทั้งในไทยและต่างชาติ

แม้ว่าบริษัท คิง ไว กรุ๊ป จะเข้ามาในเมืองไทยได้ไม่นาน แต่เราก็ได้มีการสร้างพื้นฐานที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน โดยในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ “คิง ไว กรุ๊ป” มีการเริ่มต้นที่ดีจากการขายโครงการ “วิลล่า อะคาเดีย ศรีนครินทร์” ไปจนหมดแล้ว ขณะเดียวกันพื้นที่ของอาคาร “จูเวลเลอรี่ เซ็นเตอร์” ที่ “คิง ไว กรุ๊ป” เป็นเจ้าของร่วมก็ได้รับการปล่อยเช่าไปร้อยละ 90 แล้ว “คิง ไว กรุ๊ป” จึงมุ่งมั่นที่จะขยายฐานธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์ต่อไป

 

นายเฮนรี กล่าวด้วยว่า ล่าสุด “คิง ไวกรุ๊ป” ได้พัฒนาโครงการ “S61 SUKHUMVIT BY KWG” และเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ถือเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแห่งแรกในประเทศไทย เน้นกลุ่มลูกค้าหลักคือ ผู้ต้องใช้ชีวิตอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ แต่ก็ต้องการมีพื้นที่เงียบสงบส่วนตัว โดยเน้นเรื่องทำเลที่ตั้ง การออกแบบดีไซน์ และเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์กับกลุ่มลูกค้า คิดเป็นมูลค่าโครงการกว่า 1.5 พันล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายปิดการขายภายในปี 2562

โครงการ “S61 SUKHUMVIT BY KWG” เป็นคอนโดมิเนียมหรูแบบ Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร บนพื้นที่ 1-1-98 ไร่ เป็นส่วนตัวสูงสุดด้วยจำนวนยูนิตเพียง 126 ยูนิต หรือ 9 ยูนิตต่อชั้นเท่านั้น ด้วยพื้นที่อยู่อาศัยกว้างขวางเริ่มต้น 40-160 ตารางเมตร มีแบบห้องให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ 1-Bedroom ขนาด 40-46 ตารางเมตร 2-Bedrooms ขนาด 56-70 ตารางเมตร 3-Bedrooms ขนาด 79–95 ตารางเมตร และ Penthouse ขนาด 135–160 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นต่อหน่วยที่ 1.92 แสนบาทต่อตารางเมตรโดยประมาณ ในราคาเริ่มต้นที่ 7.69-10 ล้านบาท

โครงการ “S61 SUKHUMVIT BY KWG” ยังเพียบพร้อมด้วย Fully-Furnished ตกแต่งครบด้วยเฟอร์นิเจอร์และวัสดุระดับพรีเมียม มอบทุกองค์ประกอบชีวิตที่เหนือกว่า ด้วย Timeless ดีไซน์ที่สะท้อนความหรูหรา มาพร้อมความสะดวกสบายครบครัน สะท้อนความหรูหราสง่างาม ด้วยดีไซน์ Facade ที่พิถีพิถัน จากการเลือกใช้กระจก EURO Grey ที่โดดเด่นเรื่องความปลอดภัย แข็งแรงทนทาน ช่วยดูดซับความร้อน และลดเสียงรบกวนจากภายนอกอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการติดตั้งแผง Solar Panel เพื่อช่วยผลิตกระแสไฟฟ้าสำหรับใช้ในพื้นที่ส่วนกลางและทางเดินภายในอาคารจากพลังงานธรรมชาติช่วยสะท้อนแนวคิดของความใส่ใจสังคมส่วนรวม

นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมล้ำสมัยเพื่อความสะดวกสบายของชีวิตเมือง ด้วย Automatic Car Parking ระบบจอดรถอัตโนมัติช่วยประหยัดเวลา เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่และความปลอดภัย มอบชีวิตที่สะดวกสบายอย่างแท้จริง ทำชีวิตให้เป็นเรื่องง่ายแค่ปลายนิ้ว ด้วยการนำ Smart Home Technology เทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้ในการควบคุมการเปิดปิดไฟและการตั้งอุณหภูมิภายในห้องผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือ Security System เพื่อความปลอดภัยและอุ่นใจสูงสุดของผู้อยู่อาศัย ด้วย Digital Door Lock ที่ให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบายโดยการเข้าออกยูนิตด้วยรหัสส่วนตัว และการใช้ระบบ Key Card Access สำหรับทางเข้าหน้าโครงการและบริเวณที่จอดรถอัตโนมัติ

 

นายเฮนรี กล่าวในตอนท้ายว่า “คิง ไว กรุ๊ป” มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย โดยใช้ความเชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อยกระดับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดยเฉพาะทำเลที่ตั้งย่านทองหล่อ-เอกมัยถือเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในปัจจุบัน โดยในปี 2561 มีจำนวนโครงการใหม่ ๆ ที่เปิดขายทั้งโครงการ High Rise และ Low Rise เป็นจำนวนมาก ย่อมทำให้ลูกค้ามีข้อเปรียบเทียบมากและส่งผลกระทบต่อระยะเวลาการตัดสินใจของลูกค้าที่จะใช้เวลานานขึ้น โดยผู้สนใจสามารถลงทะเบียนรับข้อเสนอพิเศษรับส่วนลดสูงสุด 4 แสนบาท และ iPhone Xs และข้อมูลโครงการเพิ่มเติมได้ที่คลิก www.s61condo-kwg.com

 

 

[ชมคลิป] เปิดตัว “ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก” อีกหนึ่งความภูมิใจที่ “ศิริราช” มอบให้แผ่นดิน

alivesonline.com : คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล เปิดตัว “ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก” เป็นส่วนหนึ่งของ “ศิริราช” เพิ่มศักยภาพการรักษาพยาบาล และเชื่อมต่อระบบสาธารณสุขพื้นที่ภาคใต้ตอนบน รวมถึงการเรียนการสอน และการฝึกอบรม  ชวนคนไทยสร้างศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกส่วนขยาย (ระยะที่ 2) ด้วยภาพยนตร์ชุด “ต้นกล้าศิริราช”

สืบเนื่องจาก สภามหาวิทยาลัยมหิดล มีมติให้ “ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก” อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ภายใต้สังกัดสำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2560 การรวมกันของทั้งสององค์กรนับเป็นการประสานเกื้อกูลซึ่งกันและกัน กล่าวคือ โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งอยู่ภายใต้คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มีการรักษาแบบตติยภูมิ (อาการรุนแรง ซับซ้อน) และมีพันธกิจในการให้บริการต่อเนื่อง ครอบคลุมพื้นที่เขต 5 หรือภาคใต้ตอนบน (นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี เพชรบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และประจวบคีรีขันธ์)

ในขณะที่ “ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก” ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก ให้บริการทางการแพทย์ทั่วไปและการรักษาเฉพาะทางในระดับทุติยภูมิ ประกอบกับสถานที่ตั้งอยู่ระหว่างโรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลในเขตภาคใต้ตอนบน การรวมกันจะทำให้เกิดการพัฒนาการรักษาพยาบาลและการเชื่อมต่อการให้บริการระบบสาธารณสุขของเขต 5 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งเพิ่มศักยภาพด้านการเรียนการสอนและการฝึกอบรม รวมถึงพัฒนาระบบการบริหารโรงพยาบาลแบบองค์รวม เพื่อประโยชน์แก่ผู้ป่วยให้ได้รับบริการอย่างเท่าเทียมและครบวงจร

ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ศิริราช มีความมุ่งมั่นหาแนวทางในการรักษาผู้ป่วยจำนวนมากท่ามกลางทรัพยากรที่มีจำกัด ทั้งเรื่องสถานที่ บุคลากร และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาได้ทั่วถึงมากขึ้น จึงได้มุ่งเน้นการบริหารจัดการเชิงรุก เพิ่มศักยภาพ “ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก” ในการรักษาพยาบาล โดยมี ศิริราช ในฐานะรุ่นพี่ ให้การสนับสนุนด้านวิชาการ เชื่อมโยงองค์ความรู้ และฝึกฝนอบรมต่อยอดวิชาชีพแก่กัน ช่วยให้ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงตลอดจนพื้นที่เขต 5 ได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมถึงพัฒนาระบบเครือข่ายและการส่งต่อผู้ป่วยซึ่งนอกจากเป็นการขยายโอกาสการรักษาไปสู่ประชาชน ยังเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การขยายพื้นที่ฝึกฝนให้นักศึกษาแพทย์และแพทย์ได้เรียนรู้และลงมือปฏิบัติงานเพื่อดูแลประชาชนอย่างเชี่ยวชาญ โดยมีบุคลากรศิริราชให้คำปรึกษาและร่วมวางแผนการดำเนินงานเพื่อก้าวต่อไปในอนาคต

รศ.นพ.ธีระ กลลดาเรืองไกร ผู้อำนวยการ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก กล่าวถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการผสานความร่วมมือครั้งนี้ว่า สิ่งที่ ศิริราช และ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก กำลังทำหน้าที่เติมเต็มซึ่งกันและกัน ไม่ใช่แค่การเพิ่มสถานที่ บุคลากร หรืออุปกรณ์ในการรองรับผู้ป่วย แต่เราจะพัฒนาการบริหารจัดการทรัพยากรให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์สูงสุด โดยประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงสามารถรับการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพที่ศูนย์การแพทย์ฯ โดยไม่ต้องไปถึงโรงพยาบาลศิริราช

ปัจจุบันจึงมีการพัฒนาอาคารส่วนขยาย ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก เพื่อให้สามารถรองรับผู้ป่วยโรคทั่วไปและโรคเฉพาะทางที่ไม่ซับซ้อนในเขตพื้นที่นี้ได้มากขึ้นกว่าเดิม จากปกติมีเพียง 60 เตียง จึงวางแผนเพิ่มเป็น 200 เตียง เพื่อดูแลผู้ป่วยในและผู้ป่วยหนักในห้องไอซียูได้มากขึ้น โดยที่ปัจจุบันมีผู้ป่วยรับบริการ 3.5 แสนคนต่อปี หลังจากก่อสร้างเสร็จคาดว่าจะสามารถรองรับผู้ป่วยเพิ่มเป็น 7 แสนคนต่อปี ซึ่งต้องใช้งบประมาณการก่อสร้างและจัดหาครุภัณฑ์ทั้งหมด 850 ล้านบาท โดยได้รับงบประมาณจากรัฐบาล 500 ล้านบาท ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก จึงต้องระดมทุนอีก 350 ล้านบาท

“เมื่อโครงการนี้แล้วเสร็จยังจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่เรียนรู้และฝึกประสบการณ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดลได้อีกด้วย พื้นที่ตรงนี้จะช่วยให้นักศึกษาได้ลงมือฝึกปฏิบัติในโรคต่าง ๆ ได้มากขึ้น โดยมีอาจารย์หมอให้คำแนะนำ ได้ใกล้ชิดกับประชาชน รวมทั้งขยายขอบเขตการทำวิจัยด้านสุขภาพให้ครอบคลุมทั้งในระดับทุติยภูมิและตติยภูมิร่วมกันระหว่างแพทย์ทั้งสองโรงพยาบาล เพื่อสร้างคนให้เติบโตเป็นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขต่อไป” รศ.นพ.ธีระ กล่าวเสริม

ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก จึงเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจที่ศิริราชมอบให้แผ่นดิน ในวันนี้เปรียบเสมือน “ต้นกล้า” ที่พร้อมเติบโตเป็นร่มเงาให้ประชาชนได้พึ่งพิงยามเจ็บไข้ สร้างความยั่งยืน ด้วยการพัฒนาการเรียนการสอน การฝึกอบรม การวิจัยแก่บุคลากรทางการแพทย์ และยังเป็นจุดเชื่อมโยงการให้บริการระบบสาธารณสุขในเขตพื้นที่ปริมณฑลและภาคใต้ตอนบนของประเทศไทย

ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมสมทบทุนพัฒนาศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ส่วนขยาย (ระยะที่ 2) เพิ่มโอกาสการรักษาอย่างทั่วถึงเพื่อคนไทย บริจาคได้ที่ (1.) ศิริราชมูลนิธิ กองทุนศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ธนาคารกรุงเทพ เลขที่บัญชี 901-7-00988-8 (2.) มูลนิธิศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี 280-200388-2 (3.) งานการคลัง ชั้น 4 ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี 316-304130-9 (4.) สแกนผ่าน QR CODE ทาง Application ธนาคารต่าง

ผู้ประสงค์ต้องการขอรับใบเสร็จรับเงินเพื่อนำไปลดหย่อนภาษี กรุณาส่งหลักฐานการโอนเงิน พร้อมแจ้งชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ พร้อมระบุว่าบริจาคสมทบทุนสร้างอาคารส่วนขยายศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก (D003884) โดยส่งผ่านทาง e-Mail : donate_siriraj@hotmail.com, Line Offical : @sirirajfoundation, โทรสาร 0 2419 7687 ทางไปรษณีย์ : ศิริราชมูลนิธิ เลขที่ 2 ตึกมหิดลบำเพ็ญ ชั้น 1 โรงพยาบาลศิริราช ถนนวังหลัง  แขวงศิริราช  เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ 10700 เพื่อจะได้จัดส่งใบเสร็จให้ท่านต่อไป

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ งานกิจกรรมพิเศษและสิทธิประโยชน์ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก โทร.0 2849 6799 วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 08.00-16.00 น.

 

 

ครั้งแรกในเมืองไทย “Bangkok Illumination at ICONSIAM” อลังการขบวนต้นคริสต์มาสยาว 400 เมตร ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

alivesonline.com : “ไอคอนสยาม” อภิมหาโครงการเมืองแห่งการใช้ชีวิตสู่โลกอนาคต สัญลักษณ์แห่งความรุ่งโรจน์ของไทยริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา จัดงาน “Bangkok Illumination at ICONSIAM” (แบงค็อก อิลลูมิเนชั่น แอท ไอคอนสยาม) ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2562 ณ ไอคอนสยาม ถ.เจริญนคร กรุงเทพฯ เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการจัดงานด้านศิลปะของไทยให้ปรากฏแก่สายตาของนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

นางชฎาทิพ จูตระกูล กรรมการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด ร่วมกับ บริษัท ดิ ไอคอนสยาม เรสซิเดนซ์ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด พร้อมด้วย บริษัท ดิ ไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จัดงาน “Bangkok Illumination at ICONSIAM” (แบงค็อก อิลลูมิเนชั่น แอท ไอคอนสยาม) ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการจัดแสดงงานด้านศิลปะร่วมสมัยที่ผสมผสานงานออกแบบลวดลายศิลปะไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติเข้าด้วยกัน รวมทั้งเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมอันโดดเด่นของประเทศไทยในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างแพร่หลายในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ รวมถึงเป็นการตอกย้ำสถานภาพของกรุงเทพฯ ในฐานะจุดหมายปลายทางที่เป็นสุดยอดของโลกแห่งหนึ่ง ด้วยการนำเสนอปรากฏการณ์ที่เป็น “ครั้งแรกในโลก” และ “ครั้งแรกในประเทศไทย” มาไว้ด้วยกัน

ผู้เยี่ยมชมงานจะได้พบกับขบวนต้นคริสต์มาสที่ยาวที่สุดกว่า 400 เมตร ตบแต่งประดับไฟสุดตระการตา โดดเด่นด้วยการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ผ่านแรงบันดาลใจจากเรื่องราวที่เป็นอัตลักษณ์ของไทย ด้วยการนำ “ดอกบัว” สัญลักษณ์แห่งชีวิต มาตีความแทนการสักการะขอพรจากแม่น้ำ เพื่อการเริ่มต้นของความสุข อีกทั้งนำ “บายศรีสู่ขวัญ” แทนการส่งมอบของขวัญแก่ทุกชีวิตเพื่อต้อนรับเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง

ภายในงานยังมีกิจกรรมการฉายภาพผนวกระบบแสงไฮเทคอันสดใสสุดอัศจรรย์ (Interactive Multimedia Mapping) หรือ Floor Mapping ชื่อชุด “Magic Carpet Bangkok” by Miguel Chevalier & Software Cyrille Henry & Antoine Villeret ผลงานสร้างสรรค์โดย “มิเกล เชอวาลิเยร์” (Miguel Chevalier) ศิลปินชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียงระดับโลกในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกศิลปดิจิทัลและศิลปเสมือนจริง ซึ่งถือเป็นผลงานศิลปะขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ศิลปินชื่อก้องโลกชาวฝรั่งเศสผู้นี้เคยสร้างสรรค์มาในชีวิต

พรมวิเศษสุดมหัศจรรย์ผืนนี้เกิดจากแสงหลากสีที่จะโลดแล่นไปบนพื้นขนาดใหญ่ซึ่งผสมผสานเรื่องราวการออกแบบลวดลายศิลปะไทยและเอกลักษณ์ของชาติเข้าด้วยกันในรูปแบบอินเตอร์แอคทีฟที่เชิญชวนให้ผู้ชมก้าวข้ามขอบเขตของความเป็นจริงเข้าสู่โลกเสมือนจริง

ผู้ชมงานยังจะได้ร่วมชมการฉายภาพผนวกระบบแสงไฮเทคอันสดใสสุดอัศจรรย์ที่จะจัดแสดง ระหว่างวันนี้จนถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2561 และวันที่ 5–31 มกราคม 2562 โดยทุกวันเสาร์และอาทิตย์ตลอดระยะเวลา 8 สัปดาห์ ยังจะได้รับชมการแสดงสุดพิเศษที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมามอบสีสันแห่งความสุข โดยแบ่งเป็น 2 รอบคือ เวลา 18.00 น. และ 20.00 น. ตลอดเดือนธันวาคม

นอกจากนั้น ยังจะได้พบกับการแสดงร่วมสมัยในชุด “สายน้ำ หลอมรวม” ยิ่งไปกว่านั้นในวันที่ 25 ธันวาคม 2561 ยังมีไฮไลท์พิเศษต้อนรับวันคริสต์มาส ชวนร่วมตื่นตาตื่นใจไปกับเหล่าซานต้าและซานตี้ที่พร้อมใจกันมาส่งมอบความสุขดื่มด่ำไปกับเพลงฮิตประจำเทศกาลที่ขับกล่อมโดยคณะนักร้องประสานเสียง

จากนั้นตลอดเดือนมกราคม 2562 ยังจะได้เพลิดเพลินไปกับขบวนกลองสีสันสดใสตีประสานจังหวะเร้าใจ ในคอนเซ็ปต์ “The Colorful Rhythm” และในวันที่ 12 มกราคม 2562 คุณหนู ๆ ต้องห้ามพลาดขบวนแห่งความสุขที่จะรอมอบของขวัญเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง “เทศกาลวันเด็กแห่งชาติ” อีกด้วย.