Special Story » เหล่ากูรูร่วมเผยทิศทางขับเคลื่อนวงการบล็อกเชนไทย

เหล่ากูรูร่วมเผยทิศทางขับเคลื่อนวงการบล็อกเชนไทย

6 ธันวาคม 2018
0

alivesonline.com : “Blockchain Thailand Genesis” งานมหรรมเทคโนโลยีบล็อกเชนงานแรกที่จัดโดยคนไทย เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับนักลงทุนรายย่อยที่มองหาสินทรัพย์เพื่อการลงทุนรูปแบบใหม่ในยุคเริ่มต้น รวมไปถึงผู้ประกอบการที่ต้องการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้ เช่น การระดมทุนรูปแบบใหม่คือ ICO ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงปี 2560-2561 คาดว่ามีจำนวนเงินทั้งหมดที่กระทำผ่าน ICO ทั่วโลกมีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท

หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้การระดมทุนแบบ ICO เติบโตอย่างต่อเนื่องคงหนีไม่พ้นการทำให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ทั่วโลก ไม่จำกัดแค่เพียงในประเทศตนเอง เพราะการให้ความรู้ การส่งเสริมพัฒนาและสนับสนุนจากทั้งทางภาครัฐและเอกชนให้ผู้ประกอบการจะช่วยทำให้มีเงินทุนนอกประเทศไหลเข้ามาภายในประเทศไทยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีมากยิ่งขึ้น

‘ดร.ประเวทย์ ตันติสัจจธรรม’ เลขาธิการสมาคมไทยบล็อกเชน กล่าวถึงงาน “Blockchain Thailand Genesis” เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า งานนี้ถือเป็นงานครั้งแรกและใหญ่ที่สุด สำหรับคนไทยที่จัดโดยคนไทย โดยที่จะรวมผู้เชี่ยวชาญและคนในวงการเกี่ยวกับ “บล็อกเชน” (Blockchain) “คริปโตเคอเรนซี” (Cryptocurrency) และ “ฟินเทค” (Fintech) เข้าด้วยกัน โดยผู้ที่เข้ามาเป็นวิทยากรมาจากหลากหลายสายอาชีพ จึงถือว่างานนี้เป็นงานที่จัดได้ไม่แพ้ของต่างชาติที่มาจัดในไทยเลยทีเดียว จึงทำให้คนเข้ามาร่วมสัมมนาในงานนี้อย่างล้นหลาม

 

จุดบกพร่องของ “เงิน” คือจุดเริ่มต้นของ “คริปโตเคอเรนซี”

‘กรณ์ จาติกวณิช’ ประธานสมาคมฟินเทคประเทศไทย กล่าวว่า เงินคือนวัตกรรมอย่างหนึ่งของมนุษย์ จุดบกพร่องของเงินทำให้เกิดจุดเริ่มต้นของคริปโตเคอเรนซีโดยมีเทคโนโลยีบล็อกเชนมาแก้ไขปัญหาจุดบกพร่องดังกล่าว ยกตัวอย่างเช่น เงินในสกุลเงินดอลลาร์มีธนาคารกลางเป็นตัวกำหนดว่าจำนวนเงินดอลลาร์ในระบบจะมีเท่าใด แต่เงินในคริปโตเคอเรนซี เช่น “บิทคอยน์” มีจำนวนที่ตายตัวและการโอนคริปโตเคอเรนซียังมีต้นทุนต่ำกว่าสกุลเงินทั่วไปด้วย แต่ปัญหาของ “บิทคอยน์” คือต้นทุนการผลิตสูงเพราะใช้ไฟฟ้ามากและขาดความสะดวกในการใช้ เนื่องจากต้องใช้เวลาในการตรวจสอบการทำธุรกรรม รวมถึงปัญหาที่บิทคอยน์โดนแฮก เพราะถ้าเป็นเงินฝากในธนาคารหายไป เราสามารถเรียกร้องเงินคืนได้ แต่ในโลกของคริปโตเคอเรนซียังทำไม่ได้ จึงถือเป็นข้อเสียเปรียบ แต่เชื่อว่าวันหนึ่งจะมีเทคโนโลยีที่เข้ามาแก้ไขจุดนี้ จึงเชื่อว่าในอนาคตบล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซีจะเติบโตอย่างแน่นอน

สู่การเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนด้วย “Tokenization”

‘ดร.การดี เลียวไพโรจน์’ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ICORA หนึ่งในหญิงเก่งและแกร่งที่ขับเคลื่อนวงการสตาร์ทอัปไทย จนมาถึงยุคฟินเทค กล่าวว่าTokenization หรือกระบวนการออกเหรียญ เป็นสิ่งที่มีความปลอดภัยสูง เพราะเป็นการหลีกเลี่ยงการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยตรง เช่น เลขบัตรเครดิต โดยการแปลงข้อมูลบัญชีส่วนบุคคลให้กลายเป็นโทเคน แล้วจึงนำโทเคนไปใช้ดำเนินการชำระเงิน สามารถทำให้เรามีส่วนร่วมด้วยกันมากขึ้นและมันจะไม่ใช่แค่การซื้อถูกขายแพง แต่เราจะมองไปไกลกว่านั้น มองไปสู่การเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจซึ่งสามารถสร้างความยั่งยืนได้มากกว่าและในด้านของเทคโนโลยี เช่น AI Big Data หรือ AV สิ่งเหล่านี้ล้วนสามารถผลักดันให้เกิดการเติบโตของ Tokenization และทุกอุตสาหกรรมกำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็นฟินเทคมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร ร้านค้า ที่ดิน และอื่น ๆ ก็สามารถเข้าสู่การเป็นฟินเทคได้ โดยการใช้แนวคิดแบบ Tokenization”

 

กรุงเทพฯ เมืองหลวง “คริปโตเคอเรนซี” ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

‘ศิวนัส ยามดี’ ผู้ก่อตั้ง “คอยน์ แอสเซท” กระดานเทรดเงินดิจิทัลที่กระแสแรงสุดในขณะนี้ หลังประกาศเดินหน้าพัฒนาปัญญาประดิษฐ์และเหรียญดิจิทัลบนกระดานเทรดเป็นรายแรก กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับที่ดีมาก เพราะเป็นเอ็กเซนจ์ที่มีแนวคิดที่อยากสนับสนุนวงการคริปโตเคอเรนซีของไทยให้เติบโตขึ้น ประการแรกคือบนกระดานของเราลิสต์เหรียญที่มีคุณภาพของคนไทยขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประการที่สองเราเพิ่ม QR Payment ที่แก้ไขปัญหาการลงทุนระยะสั้น ฝากเงินได้รวดเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป้าหมายของเราในวันนี้จึงไม่ใช่แค่การแข่งขันในประเทศ แต่เราจะทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองหลวงของคริปโตเคอเรนซีในภูมิภาคนี้ แต่ต้องการให้ร้านค้าต่าง ๆ รองรับจ่ายเงินด้วยคริปโตด้วยระบบที่พัฒนาขึ้นมาให้ใช้ได้จริง

 

“บล็อกเชน” หนึ่งในฟันเฟืองของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

‘พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์’ ผู้ก่อตั้ง “แบไต๋ไฮเทค” ชุมชนคนรักไอทีชื่อดังของเมืองไทยที่ครองความนิยมมาอย่างยาวนาน กล่าวว่า AI หรือที่ย่อมาจาก Artificial Intelligence เป็นปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถคิดและสอนได้ หลายคนกลัว AI เพราะมองว่า AI คือสมองของคอมพิวเตอร์ เพราะฉะนั้นเราต้องรีบพัฒนาตัวเองก่อนถูกแทนที่ด้วย AI เพราะ AI ถูกนำไปพัฒนาหลายด้าน ทั้งการสร้างหุ่นยนต์เลียบแบบมนุษย์ หรือแม้กระทั่งสัตว์ ยกตัวอย่างธนาคารในยุคปัจจุบันที่กลายเป็น Digital Banking ถ้าธนาคารไม่มีสาขาแล้ว ความต้องการคนทำงานก็น้อยลง ถ้า AI ถูกใช้ในแวดวงธนาคาร อาจทำให้อีกหลายตำแหน่งงานถูกยุบลงไปอีก ด้วยเหตุนี้การมาถึงของบล็อกเชนก็ยิ่งอาจทำให้ผู้บริโภคพึ่งพาธนาคารน้อยลง นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นอยากให้มองภาพใหญ่ของเศรษฐกิจและสังคมที่จะเปลี่ยนไป Blockchain AI หรือ IoT เป็นเพียงฟันเฟืองของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ดังนั้นการตามทันเทคโนโลยีเป็นสิ่งสำคัญมากในการขับเคลื่อนประเทศในยุคนี้

ก.ล.ต.ร่วมกำกับดูแลให้ประชาชนใช้ “สินทรัพย์ดิจิทัล” ได้อย่างมั่นใจ

‘อัญชิสา ฐาปนากรวุฒิ’ เจ้าหน้าที่อาวุโสแผนกฟินเทค สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ตนมองตลาดของสินทรัพย์ดิจิตทัล ว่าเป็นตลาดของแฟนพันธุ์แท้ เนื่องจากคนที่อยู่ในวงการล้วนต้องอาศัยการศึกษาอย่างเข้าใจ รู้ลึก รู้จริง ทั้งในเชิงเทคโนโลยี และการซื้อขาย อีกทั้งยังรู้ถึงความเสี่ยงและวิธีการรับมือ โดยปัญหาที่ ก.ล.ต. เป็นห่วงมากที่สุดในขณะนี้เป็นเรื่อง ICO เพราะทั่วโลกมี ICO ที่หลอกลวงนักลงทุนเป็นจำนวนมาก อันนำมาสู่ความจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการในการกำกับดูแล เพื่อป้องกันการหลอกลวงประชาชน ตลอดจนการฟอกเงินและความเสี่ยงอื่น ๆ โดยมุ่งสร้างความชัดเจน ความสุจริต ให้ประชาชนสามารถใช้สินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ

ต่างประเทศวางกลยุทธ์และนโยบายใช้ “ปัญญาประดิษฐ์และบล็อกเชน

‘ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร’ ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมวิสาหกิจดิจิทัลเริ่มต้น สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กล่าวว่า ทั่วทั้งโลกกำลังตื่นตัวที่จะพัฒนาบล็อกเชนเพื่อนำไปใช้มากขึ้น ส่งผลให้เกิดการแข่งขันเพิ่มขึ้น ในต่างประเทศเริ่มมี AI National Strategy หรือการวางกลยุทธ์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในระดับชาติ รวมถึงมีการวางนโยบายที่จะทำให้บล็อกเชนเข้ามามีผลในการการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนผ่านในทางเศรษฐกิจมากขึ้น ได้แก่ จีน สวิตเซอร์แลนด์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ความมุ่งหวังในการใช้บล็อกเชนอย่างแพร่หลายในประเทศไทยยังคงต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่ง เพราะแม้ว่าบางอุตสาหกรรมสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว เช่น การเงิน การประกันภัย หรือการขนส่ง แต่โจทย์สำคัญคือทำอย่างไร อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่สำคัญของประเทศจะสามารถนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ได้เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศ เช่น การเกษตร การผลิตอาหาร การแพทย์ อีกประเด็นสำคัญคือเรื่องกฎหมายที่อาจต้องมีการปลดล็อกบางส่วนแทนการปิดกั้น เพื่อทดสอบว่าระบบใหม่ ๆ เหมาะกับเมืองไทยหรือไม่ ตลอดจนมีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใด.