Special Story » HUNGRY HUB ตอบโจทย์นักชิม ดันรายได้ให้ร้านอาหารพันธมิตรกว่า 100 ล้านบาท

HUNGRY HUB ตอบโจทย์นักชิม ดันรายได้ให้ร้านอาหารพันธมิตรกว่า 100 ล้านบาท

8 ธันวาคม 2018
0

‘สุรสิทธิ์ สัจจะเดว์’ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HUNGRY HUB

alivesonline.com : แอปพลิเคชันจองร้านอาหารออนไลน์ HUNGRY HUB (ฮังกรี้ ฮับ) ชูคอนเซ็ปต์สร้างความแตกต่างตอบสนองความต้องการนักชิม ด้วยแพคเกจพิเศษ สร้างรายได้รวมให้ร้านอาหารที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรสูงขึ้นถึง 50%

HUNGRY HUB มีแพคเกจการรับประทานที่แตกต่างบนแอปพลิเคชั่นที่ไม่เหมือนใคร ได้แก่ All You Can Eat โปรโมชั่นอิ่มอร่อยแบบไม่อั้นแบบบุฟเฟ่ต์, a la carte (อาลาคาร์ท) เฉพาะร้านอาหารที่มีเมนูอาหารตามสั่งเท่านั้น, Party Pack แพคเกจที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคม 2561 ซึ่งนำเสนอเมนูชุดพิเศษสำหรับกลุ่มนักรับประทานในร้านตั้งแต่ 2-4 คนขึ้นไป พร้อมส่วนลดอย่างน้อย 20% สำหรับร้านอาหารที่ไม่ค่อยมีส่วนลด และ Buffet Plus ที่เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2561 กับข้อเสนอตัวเลือกเมนูพิเศษสำหรับลูกค้า HUNGRY HUB เท่านั้น

การดำเนินงานของ HUNGRY HUB จะคิดค่าดำเนินการเพียงเล็กน้อยกับลูกค้าแต่ละรายเท่านั้น พร้อมจำกัดข้อเสนอแบบบุฟเฟ่ต์เพียง 10–15% ของที่นั่งทั้งหมดในร้านเท่านั้น โดยในส่วนของบุฟเฟ่ต์ HUNGRY HUB มีการทำงานร่วมกับร้านอาหาร 130 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ในราคาเริ่มต้นเพียง 249–2,000 บาทต่อคน โดยมีผู้ใช้บริการกว่า 4.3 พันคนต่อร้านอาหาร 1 แห่ง แต่ละเดือนสร้างรายได้ให้แต่ละร้านถึง 1.9 ล้านบาท

จากแพคเกจดังกล่าวจึงทำให้ HUNGRY HUB มีผู้ใช้บริการจองโต๊ะร้านอาหารกว่า 2.8 แสนคน สร้างรายได้รวมให้ร้านอาหารที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรมากกว่า 100 ล้านบาท นับเป็นการเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืนสูงขึ้นถึง 50% โดยมียอดค่าใช้จ่ายต่อการจองโต๊ะเฉลี่ย 2.1 พันบาท

‘สุรสิทธิ์ สัจจะเดว์’ ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HUNGRY HUB เปิดเผยว่า ปัจจุบัน HUNGRY HUB ดำเนินธุรกิจในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ โดยมีร้านอาหารพันธมิตรชื่อดังหลายแห่ง อาทิ Audrey Cafe, Arno’s, Cafe Pla (กลุ่ม iberry), Maisen (กลุ่ม S&P), Yuutaro, Outback Steakhouse, Hongmin, Hong Kong Noodle, โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ และโรงแรมบันยันทรี กรุงเทพฯ เป็นต้น ส่วนในปี 2562 มีแผนขยายธุรกิจไปยังเขตชายฝั่งตะวันออก (Eastern Seaboard) และเมืองอื่น ๆ ในประเทศไทย พร้อมตั้งเป้าเปิดตัวในระดับนานาชาติอีกด้วย

“HUNGRY HUB มีส่วนช่วยให้ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มเข้าถึงโอกาสในวงกว้างขึ้น โดยเฉพาะการจองโต๊ะแบบกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นงานเฉลิมฉลอง หรืองานเลี้ยงอาหารค่ำของแต่ละบริษัทซึ่งสามารถควบคุมงบประมาณได้ ขณะเดียวกันลูกค้ายังมั่นใจได้ว่าจะได้ร้านอาหารที่มีสถานที่ อาหาร และบรรยากาศเหมาะสมที่สุด โดยเราจะแนะนำร้านอาหารใหม่ ๆ ให้ผู้ใช้บริการ ขณะเดียวกันยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจและเพิ่มยอดขายให้เติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย”

ด้าน ร้าน “ออเดรย์ คาเฟ่” (Audrey Cafe) ร้านอาหารชื่อดังที่มี 8 สาขาในไทย และเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เป็นพันธมิตรกับ HUNGRY HUB มากว่า 2 ปีจนประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น โดยมีผู้ใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันกว่า 6 หมื่นคน ได้รับการแสดงความคิดเห็นกว่า 4.7 พันรีวิว มากกว่า Google และ Wongnai 4–5 เท่า ด้วยคะแนนที่สูงขึ้น 4.5/5

‘บีท-ชวิทย์ เสรีวัฒโนภาส’ ผู้อำนวยการบริษัท ออเดรย์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า เราได้ทำงานร่วมกับ HUNGRY HUB มาเกือบ 2 ปีแล้ว และรู้สึกประทับใจกับจำนวนลูกค้าที่ได้รับ โดยเราได้ทำงานอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีเยี่ยมและสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าของเรา

‘เจฟฟรีย์ สปีลแมน’ ผู้อำนวยการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ และโรงแรมดับเบิ้ลทรี บาย ฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ อีกหนึ่งในพันธมิตรที่เป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก กล่าวว่า

“เราได้มีโอกาสร่วมงานกับ HUNGRY HUB โดยได้นำห้องอาหาร Scalini ที่โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท กรุงเทพฯ เข้าร่วมแคมเปญ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายในตลาดและรักษาระดับค่าเฉลี่ยของเราไว้ ทั้งในขณะที่ยังช่วยให้มีโอกาสขายเพิ่มขึ้นด้วย HUNGRY HUB จึงเป็นแอปพลิเคชันที่ไม่ซ้ำแบบใคร รวมถึงมีสมาชิกหลากหลายและมีความสามารถในการใช้จ่าย”

ในช่วงที่ผ่านมา HUNGRY HUB ได้รับรางวัลสตาร์ทอัประดับนานาชาติต่าง ๆ มากมาย อาทิ รางวัลชนะการนำเสนอแอปพลิเคชัน ในงาน “The Pitch Corner” ในการประชุมสุดยอด “The Seedstars World Summit 2018” ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งมีนักลงทุนต่างชาติและผู้เข้าร่วมประชุมเข้าแข่งขันจาก 14 ประเทศทั่วโลก รวมถึงการได้รับรางวัลชนะเลิศในงาน “Echelon Asia Summit 2018” ในการแข่งขัน The Pitch สาขาอี-คอมเมิร์ซ ณ ประเทศสิงคโปร์

การขยายตัวของ HUNGRY HUB ที่ครอบคลุมร้านอาหารที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรมากขึ้น จึงเท่ากับเป็นการเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น เพราะธุรกิจร้านอาหารยังได้ขยายตัวสำหรับกลุ่มผู้ใช้บริการที่ต้องการรับประทานอาหารมื้อใหญ่ ๆ ด้วยแนวคิดการรับประทานอาหารแนวใหม่นั่นเอง.