alivesonline.com : บริษัท Strategy & ของ PwC คาดการใช้ยานพาหนะร่วมกันและระบบอัตโนมัติจะเข้ามาปฏิวัติวงการยานยนต์ทั่วโลก โดยจะเปลี่ยนโฉมหน้าการผลิตและกำลังแรงงานของอุตสาหกรรมนี้ภายในปี 2573 โดยยานยนต์ที่ถูกออกแบบเฉพาะความต้องการของบุคคลและเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีจะยิ่งเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น
นางสาววิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน Transforming vehicle production by 2030 : How shared mobility and automation will revolutionize the auto industry ซึ่งจัดทำโดยบริษัท Strategy& (สแตร็ดติจี้ แอนด์) ของ PwC ว่า รายงานดังกล่าวระบุว่า กระแสของการใช้ยานพาหนะร่วมกันและระบบอัตโนมัติจะเข้ามาปฏิวัติวงการยานยนต์ทั่วโลก โดยจะเปลี่ยนโฉมหน้าการผลิตและกำลังแรงงานของอุตสาหกรรมนี้ภายในปี 2573 โดยยานพาหนะที่ถูกออกแบบเฉพาะบุคคลและเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีจะยิ่งเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่า แนวโน้มดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงต่อกำลังแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะหุ่นยนต์จะเข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้นทั้งในส่วนของสายการประกอบและในด้านของการวิจัยและพัฒนา
ภายในปี 2573 การผลิตยานพาหนะจะถูกแบ่งออกเป็นการผลิตเพื่อใช้จำนวนมาก โดยส่วนใหญ่จะถูกผลิตออกมาแบบเรียบง่ายและผลิตตามความต้องการ (Cars On Demand) ซึ่งรถยนต์ในลักษณะนี้จะถูกนำไปใช้ให้เช่าเพื่อการเดินทางในแต่ละครั้ง (Journey-By-Journey) ในขณะที่อีกส่วนจะเป็นการผลิตยานพาหนะที่ออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้ที่ยังคงต้องการเป็นผู้ขับขี่ หรือเป็นผู้นั่งในยานพาหนะของตัวเอง
แนวคิดการแบ่งปันยานพาหนะร่วมกัน (Shared Mobility) และระบบอัตโนมัติดังกล่าว จะทำให้ผู้ประกอบการที่รับจ้างผลิตสินค้า หรือชิ้นส่วนให้กับค่ายรถยนต์ (Original Equipment Manufacturers : OEMs) ต่างต้องเร่งพัฒนารูปแบบของโรงงาน 2 ประเภท ประกอบด้วย 1) โรงงานที่มุ่งเน้นไปที่การผลิตยานพาหนะที่เป็นแบบมาตรฐาน สามารถเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์และทำงานได้อย่างอัตโนมัติ (Plug and Play Vehicles) เพื่อดึงดูดผู้ใช้รถในเมืองที่มีอายุน้อย และ 2) โรงงานที่ผลิตยานพาหนะตามความต้องการเฉพาะของผู้บริโภคซึ่งมีความคล้ายคลึงกับตลาดรถหรูในปัจจุบัน
รายงานดังกล่าวยังคาดว่า แนวโน้มดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงต่อกำลังแรงงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพราะหุ่นยนต์ได้เข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้นทั้งในส่วนของสายการประกอบและในด้านของการวิจัยและพัฒนา โดยคาดว่า 40-60% ของแรงงานที่มีทักษะร่วมสมัยจะเป็นที่ต้องการเพื่อประจำการในพื้นที่หน้างาน ขณะที่จำนวนความต้องการวิศวกรข้อมูลและวิศวกรซอฟต์แวร์จะเพิ่มขึ้นถึง 90%
ด้าน นายไฮโค เวเบอร์ หุ้นส่วนบริษัท Strategy& ของ PwC ประเทศเยอรมนี กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญมาเป็นเวลานานแล้ว นับตั้งแต่สายการผลิตของรถยนต์ฟอร์ดเปิดตัวขึ้นเมื่อกว่าศตวรรษที่ผ่านมา โดยเราหวังว่าจะเห็นกระแสของการเปลี่ยนแปลงเริ่มทยอยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอีกตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป
“ผู้ประกอบการ OEMs ต้องเริ่มสร้างกำลังแรงงานที่ตัวเองจะต้องการในอีก 10 ปีข้างหน้าตั้งแต่ตอนนี้ ทั้งการจ้างบุคลากรที่มีทักษะที่ใช่ การรักษาพรสวรรค์ และการฝึกอบรมทักษะเดิมของพนักงานที่มีอยู่ โดยภายในปี 2573 จำนวนความต้องการวิศวกรข้อมูลจะเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวในโรงงานที่ผลิตรถยนต์ตามความต้องการเฉพาะของลูกค้า และเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 80% ในโรงงานที่ผลิตรถยนต์ประเภทปลั๊ก แอนด์ เพลย์ และเช่นเดียวกันความต้องการวิศวกรซอฟต์แวร์จะเพิ่มขึ้นถึง 90% ในโรงงานที่ผลิตรถยนต์ตามความต้องการเฉพาะของลูกค้าและ 75% ในโรงงานผลิตประเภทปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ตามลำดับ”
รายงานยังชี้ว่า กระแสของการเปลี่ยนแปลงในด้านอื่น ๆ จะมีให้เห็นด้วยเช่นกัน เช่น ระยะเวลาระหว่างการทำวิจัยและพัฒนากับการผลิตจะสั้นลงเหลือแค่ 2 ปี เปรียบเทียบกับปัจจุบันที่ราว 3-5 ปี นอกจากนี้ ผู้ประกอบการผลิตแบบ OEMs จะเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากบริษัทด้านเทคโนโลยีที่เข้ามาให้บริการระบบขนส่งเคลื่อนที่ (Mobility-as-a-Service: MaaS) ทั้งในลักษณะของการบริการยานยนต์เคลื่อนที่อัตโนมัติเชิงพาณิชย์ และบริการระบบขนส่งมวลชนเคลื่อนที่ให้แก่ลูกค้าได้โดยตรง ในขณะเดียวกัน ผู้ผลิตแบบ OEMs จะได้รับแรงกดดันในการต้องสร้างกระบวนการผลิตให้เกิดคุ้มค่ามากขึ้นกว่าเดิม เพื่อรองรับกับรูปแบบของยวดยานพาหนะและการออกแบบที่มีความหลากหลายมากขึ้น
นายเวเบอร์ กล่าวในตอนท้ายว่า อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังจะเกิดการปฏิวัติครั้งสำคัญ โดยการจัดการข้อมูลและความสามารถในการปรับตัวจะมีความสำคัญมากต่อการอยู่รอด ผู้ประกอบการผลิตแบบ OEMs จึงจำเป็นต้องปรับตัวตั้งแต่ตอนนี้ โดยเลือกสิ่งที่ใช่ที่สุดสำหรับรูปแบบการผลิตและกำลังแรงงานในอนาคตของตน
นางสาววิไลพร กล่าวเสริมว่า ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตและประกอบยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ที่สำคัญของโลก ทำให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาการผลิตยานพาหนะที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ (Connected Car) รวมไปถึงการผลิตยานพาหนะตามความต้องการเฉพาะของผู้บริโภค และการเป็นผู้ให้บริการธุรกิจเคลื่อนที่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะพลิกโฉมรูปแบบการผลิตยานยนต์ รวมถึง Mindset ในการเดินทางขนส่งให้เปลี่ยนไปจากเดิม
ภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์กำลังจะเปลี่ยนไป ด้วยวิวัฒนาการของเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ระบบขับขี่อัตโนมัติ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดเรื่อง MaaS ที่จะทำให้ธุรกิจด้านงานบริการมีแนวโน้มที่จะเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องกับผู้ผลิตยานยนต์มากยิ่งขึ้น หรือผู้ผลิตยานยนต์อาจลงเข้าสู่ตลาดด้วยตนเองทั้ง Ride Sharing และ Car Sharing ที่กำลังเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในตลาดยุโรป
“ดิฉันมองว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน แต่สิ่งที่ยังเป็นความท้าทายคือ การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะขั้นสูง เช่น วิศวกรข้อมูลและหุ่นยนต์ และเรายังคงต้องสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการวิจัยและพัฒนาใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดรับกับแนวโน้มการใช้ยานพาหนะที่กำลังจะเปลี่ยนไป นอกจากนี้ ยังจำเป็นที่จะต้องวางโครงสร้างพื้นฐาน ระบบการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ต กฎระเบียบในการใช้ท้องถนน รวมถึงความปลอดภัยของข้อมูลให้สอดคล้องกับการใช้งานยานพาหนะในอนาคตด้วย”