Special Story » ธนาคารกลางหลายชาติปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งสัญญาณวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่

ธนาคารกลางหลายชาติปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งสัญญาณวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่

5 สิงหาคม 2019
0

alivesonline.com  : “ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ชี้ธนาคารกลางหลายประเทศประกาศลดดอกเบี้ย ส่งสัญญาณวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในรอบ 10–12 ปี ระบุสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ยังยืดยาวไปอีกเป็นปี แนะนักลงทุนจับตาเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด พร้อมจับตาจังหวะเอาคืนของจีน ในกรณีสงครามการค้ากับสหรัฐ

 ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับ “Bangkok ASEAN Tour 2019” งานสัมมนาด้านธุรกิจและการลงทุนที่จัดโดย “ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล” กลุ่มบริษัทผู้ให้บริการด้านการเงินระดับโลก โดยในครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายมาริโอ้ ซิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล มาร่วมคาดการณ์เศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง 2562 ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจ ณ ปัจจุบัน เริ่มส่งสัญญาณเกิดวิกฤติ ซึ่งจากที่มีการศึกษาวิกฤติการณ์ในอดีต ตั้งแต่ Energy Crisis ในปี 2518 Back Monday ปี 2530 Asian Financial Crisis ในปี 2540 และ Subprime Crisis ในปี 2551 ซึ่งแต่ละเหตุการณ์มีระยะห่าง 10-12 ปี ตรงกับช่วงเวลานี้”

“เมื่อพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบันจากทั่วโลกพบว่า สัญญาณสำคัญของวิกฤติการณ์เริ่มเกิดขึ้นแล้ว โดยธนาคารกลางในหลายประเทศเริ่มมีนโยบายปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อลดแรงจูงใจในการเก็บออมเงินของผู้บริโภคและเพิ่มแรงจูงใจในการกู้ยืมเพื่อลงทุน หรือขยายกิจการของภาคธุรกิจ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกลางยุโรปที่เพิ่งส่งสัญญาณความตั้งใจที่จะลดอัตราดอกเบี้ย โดยอาจเป็นภายในเดือนกันยายน 2562 และเริ่มดำเนินการซื้อสินทรัพย์รอบใหม่ในปีนี้ ขณะที่อินเดียที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่ำสุดในรอบ 9 ปี ส่วนออสเตรเลียปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1% เกาหลีที่ลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 3 ปี ตุรกีปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งยิ่งใหญ่ในรอบ 17 ปี เศรษฐกิจสิงคโปร์มีอัตราการเติบโตที่น้อยกว่า 0.1% เมื่อเทียบเป็นรายปีในไตรมาสที่ 2 ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี หรือแม้แต่เฟดก็มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการแถลง FOMC ในสัปดาห์ที่ผ่านมา” นายมาริโอ้ กล่าว

ด้าน นายจิมมี่ ซู หัวหน้าฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ “ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ระบุว่า ให้จับตาสงครามการค้าอย่างต่อเนื่อง เพราะมีโอกาสที่จะเกิดความผันผวนครั้งใหญ่ ความยืดเยื้ออาจจะมองได้ 2 กรณี กรณีแรกคือก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐ ซึ่งยังมองไม่เห็นข้อสรุปใด  ๆในขณะนี้ ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นนั้นความจริงแล้ว นายโดนัล ทรัมป์ เพียงต้องการให้จีนให้ความร่วมมือกับสหรัฐในการทำธุรกิจขนาดใหญ่กับจีน เพราะที่ผ่านมาจีนมีนโยบายสนับสนุนภาคธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็กในประเทศให้เติบโต เป็นการสร้างความแข็งแรงให้เศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งจีนมีขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เป็นคู่แข่งสำคัญของสหรัฐนั่นเอง กรณีที่ 2 ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งยังไม่มีความแน่นอน และไม่สามารถตัดสินได้ นับจากนี้ไปอีก 12 เดือน ประเทศต่าง ๆ จึงยังคงได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า ซึ่งนำมาต่อความผันผวนของการค้าและค่าเงินในหลายประเทศ

“สิ่งที่น่าจับตามองมากที่สุดคือการตอบโต้จากจีน โดยเมื่อพิจารณาฝั่งของ นายโดนัล ทรัมป์ พบว่า ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการประคองภาวะตลาดหุ้นในสหรัฐ นั่นก็เป็นเพราะดุลการค้าการส่งออกไปยังจีนมีมูลค่า เพียงประมาณ 1 พันล้านเหรียญ ขณะที่การนำเข้าสูงถึง 5–6 พันล้านเหรียญ การตอบโต้จากจีนจึงไม่น่าเป็นการตอบโต้ในทางการค้า แต่ด้วยการเป็นประเทศขนาดใหญ่ มีสินทรัพย์มาก ตลาดหุ้นอาจเป็นหนทางในการที่จีนจะเอาคืน มีความเป็นไปได้สูงที่จีนจะเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อเมริกา เมื่อราคาหุ้นร่วงดิ่งลงก็จะนำมาสู่ปัญหาการเลย์ออฟพนักงาน ทำให้เกิดว่างงานเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจเป็นชนวนที่จะนำไปสู่ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจโลก”

นายจิมมี่ ยังกล่าวต่ออีกว่า ผลของสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบกับทุกภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยซึ่งได้รับผลกระทบจึงต้องเตรียมรับมือ เพราะถ้าจีนถูกกำแพงภาษีที่ 25% นั่นหมายความว่าจะส่งผลกระทบต่อ GDP ของจีนลดลง 0.9% และจะส่งผลกระทบต่อ GPD ของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 0.4% และการที่จีนมีขนาดเศรษฐกิจขนาดใหญ่จึงติดตามดัชนีภาคการผลิตของจีนซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดที่มีผลกระทบต่อการลงทุนในประเทศไทยอย่างใกล้ชิด

เศรษฐกิจไทยนับจากนี้จึงค่อนข้างท้าทายของรัฐบาล เพราะการเติบโตของเศรษฐกิจโลกก็อยู่ในภาวะที่ตกต่ำ ขณะที่อัตราความเติบโตของการบริโภคในประเทศค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับขนาดและจำนวนประชากรในประเทศ ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ก็คงไม่สามารถที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ แม้ในหลายประเทศได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงไปแล้ว เพราะอัตราเงินเฟ้อของไทยที่ค่อนข้างสูงยังเป็นแรงกดดันให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย อาจจะต้องคงนโยบายเพิ่มอัตราดอกเบี้ยต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของนโยบายรัฐบาลอาจจะมีนโนบายต่าง ๆ ในเรื่องการลงทุนในสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ออกมากระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ เพื่อเกิดการจ้างงานและสร้างกำลังซื้อเข้ามากระตุ้นระบบเศรษฐกิจ

กูรูทั้งสองจาก “ฟูลเลอร์ตัน มาร์เก็ตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ส่งท้ายด้วยการเน้นย้ำนักธุรกิจและนักลงทุนให้จับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและมองหาโอกาสในการเพิ่มมูลค่าในการทำธุรกิจและการลงทุน ตลอดจนต้องศึกษาเครื่องมือและผลิตภัณฑ์การเงินและการลงทุนใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพ สามารถต่อยอดทำกำไรได้แม้อยู่ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอย