“วิชัย ศรีวัฒนประภา” ไม่เคยมีความผูกพันอะไรกับสโมสร “เลสเตอร์ ซิตี้” มาก่อน
เขาชอบฟุตบอล และชอบพรีเมียร์ลีกก็จริง แต่ทีมแรกที่เขาสนับสนุนเป็นการส่วนตัวคือ “เชลซี”
“วิชัย” ซื้อ “บ็อกซ์ วีไอพี” ในสนาม “สแตมฟอร์ด บริดจ์” ของสโมสรเชลซี อย่างต่อเนื่องหลายซีซั่นติดต่อกัน แม้ “เชลซี” จะขึ้นราคาทุกปี แต่ด้วยความชื่นชอบ เขายอมจ่ายเพื่อให้ได้ที่นั่งชมเกมในสนาม
ไม่เพียงแค่ซื้อ “บ็อกซ์ วีไอพี” เท่านั้น แต่ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าของ “คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ ฟรี” ยังเอาเงินไปซื้อบอร์ดโฆษณาของ “คิง เพาเวอร์” ในสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ของ “เชลซี” อีกด้วย
สนับสนุนกันเต็มที่ ทั้งเป็นสปอนเซอร์ ทั้งซื้อบ็อกซ์ !
อย่างไรก็ตาม มันมีจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ “วิชัย” เปลี่ยนความคิดของตัวเองกับ “เชลซี”
ในปี 2005 ก่อนเกม “ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก” ที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ เจ้าหน้าที่จะตรวจร่างกายผู้เข้าชมการแข่งขันอย่างเข้มงวดมาก เช่นเดียวกับที่ครอบครัว “ศรีวัฒนประภา” เดินทางไปชมเกมกันพร้อมหน้า โดยทุกคนเดินเข้าสนามไปหมดแล้ว เหลือเพียง “วิชัย” ที่เดินรั้งท้าย
ปรากฏว่า ในจังหวะตรวจร่างกาย เจ้าหน้าที่สนามเกือบเอาเครื่องสแกนมากระแทกคาง “วิชัย” เขาจึงเอามือปัด ไป ๆ มา ๆ กลับทำให้เจ้าหน้าที่สนามไม่พอใจที่โดนตอบโต้ จนมีเรื่องมีราวกันใหญ่โต
“ต๊อบ-อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ลูกชายจึงต้องรีบกันคุณพ่อออกห่างจากเจ้าหน้าที่สนาม ก่อนที่จะมีเรื่องบานปลายไปยิ่งกว่านี้
“วิชัย” มองว่า เขาเป็นแขกของสนาม เป็นทั้งสปอนเซอร์ และลูกค้าที่ซัปพอร์ตทีมฟุตบอล “เชลซี” อย่างดีมาตลอด แต่กลับมาถูกเจ้าหน้าที่สนามหาเรื่องกันแบบนี้
คือตรวจดี ๆ เขาก็ไม่ว่า แต่เกือบทำเขาเจ็บตัวแล้วไม่ขอโทษ พร้อมกล่าวยังหาว่าเขาทำผิด แบบนี้ “มันไม่โอเค”
“วิชัย” ไม่พอใจมาก ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาส่งจดหมายเพื่อตำหนิเรื่องทั้งหมดต่อผู้บริหารสโมสร “เชลซี”
จากนั้น เขาก็ตัดสินใจเด็ดขาด คือ หยุดการสนับสนุน “เชลซี” ทุกหนทาง
“วิชัย” ไม่ซื้อ “บ็อกซ์ วีไอพี” อีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้นเขาตัดสินใจไม่เข้ามาชมเกมในสแตมฟอร์ด บริดจ์ ในฐานะแฟนฟุตบอล “สิงโตน้ำเงินคราม” อีกต่อไป
“วันหนึ่งเราจะซื้อทีม แล้วเอามาสู้เชลซีให้ได้”
เขาบอกกับ “อัยยวัฒน์” ลูกชายไว้ในวันนั้น
แต่ไม่มีใครคิดหรอกว่า เขาจะเอาจริงเอาจัง
“ตอนนั้นผมก็คิดว่าท่านคงพูดไปอย่างนั้นแหละ ท่านคงอารมณ์เสีย” อัยยวัฒน์ เผย
—————————————-
ตราบจน ปี 2007 ผ่านไป 2 ปี หลังจากที่ “วิชัย” เลิกเข้าไปดูฟุตบอลที่สนามสแตมฟอร์ด บริดจ์
เขายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจในการหาซื้อสโมสร แต่ว่าสโมสรฟุตบอลไม่ได้ซื้อขายกันง่าย ๆ ต่อให้คุณมีเงิน แต่ถ้าเจ้าของมองว่าคุณไม่เหมาะ เขาก็ไม่ขายให้อยู่ดี
ในที่สุด “วิชัย” ก็ได้โอกาสแรก เขาได้ติดต่อกับ สโมสรเรดดิ้ง ทีมน้องใหม่ของศึกพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนั้น
“เซอร์ จอห์น มาเดจสกี้” เจ้าของทีม “เรดดิ้ง” พร้อมจะขายทีม แต่ก่อนอื่นต้องการคุยกับคนที่คิดจะมาซื้อก่อน
“เรดดิ้ง” เป็นสโมสรที่เป็นทางเลือกที่ดีคือ อยู่ในพรีเมียร์ลีก และมีที่ตั้งด้วยระยะทางไม่ห่างจากกรุงลอนดอนมากนัก เดินทางง่าย ที่สำคัญราคาตั้งขายก็ไม่แพงเกินเหตุด้วย
อย่างไรก็ตาม การเจรจาในวันนั้นล้มเหลว “วิชัย” ไม่สามารถซื้อ สโมสรเรดดิ้ง เพราะเจ้าของไม่ขาย !
“ทางเราบอกว่า เราชอบฟุตบอล เราดูฟุตบอล” อัยยวัฒน์ เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์วันนั้น
“แต่เขาถามกลับมาว่า ยูเคยทำทีมฟุตบอลมั้ย เราบอกไม่เคย เขาบอกว่าถ้ายูไม่ได้อยู่ในวงการนี้ ยูอย่าเข้ามาเลย เสียเวลา”
“เขาบอกว่า วงการนี้ถ้าไม่เข้าใจจริง ๆ ไม่ควรเข้ามายุ่งหรอก ยูไม่สำเร็จหรอก”
ความล้มเหลวในการติดต่อกับ สโมสรเรดดิ้ง กลายเป็นคำถามในใจขึ้นมา เพราะต่อให้คุณมีเงิน แต่การจะเป็นเจ้าของสโมสร มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เมื่อการเจรจาล้มเหลว “วิชัย” ก็กลับมาบริหารงานที่ “คิง เพาเวอร์” ตามปกติ เรื่องสโมสรฟุตบอลอังกฤษก็เหมือนเป็นเรื่องไกลตัวที่อาจไม่มีวันเกิดขึ้นจริง
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดก็มีจุดเปลี่ยนสำคัญ และเป็นความบังเอิญ ให้เขามาผูกพันกับทีมเล็ก ๆ ในระดับแชมเปี้ยนชิพ
ในปี 2010 สโมสร “เลสเตอร์ ซิตี้” ติดต่อเข้ามาหา “วิชัย”
—————————————-
“เลสเตอร์ ซิตี้” ในเวลานั้นเล่นอยู่ในระดับแชมเปี้ยนชิพ ลีกรองของอังกฤษ
พวกเขาติดต่อเข้ามาหา “วิชัย”
ไม่ใช่เพื่อให้ช่วยซื้อสโมสร แต่ต้องการขอสปอนเซอร์จาก “คิง เพาเวอร์”
“เลสเตอร์ ซิตี้” อยากให้ “คิง เพาเวอร์” มาเป็นสปอนเซอร์หลักที่หน้าอกของเสื้อการแข่งขันของนักฟุตบอล โดยคิดค่าใช้จ่าย 3 แสนปอนด์ต่อปี
“คุณพ่อถามผมว่า เลสเตอร์ เป็นยังไง ผมก็บอกไปว่า จำไม่ได้เหรอ ที่เราไปดูกันตอนเด็ก ๆ” อัยยวัฒน์ เล่า
“วิชัย” กับ “อัยยวัฒน์” เคยไปดู “เลสเตอร์ ซิตี้” ลงเล่นลีกคัพ รอบชิงชนะเลิศในปี 1997 ที่สนามเวมบลีย์ หรือเมื่อ 13 ปีก่อน แต่เหตุการณ์นั้นผ่านมานานมากแล้ว “เลสเตอร์ ซิตี้” จากที่เคยมีนักเตะดังระดับ ‘สตาร์’ อยู่ในพรีเมียร์ลีก ก็หล่นลงไปอยู่ระดับแชมเปี้ยนชิพ และไม่มี ‘สตาร์’ คนไหนโดดเด่น
“ถามจริง คนที่ดูพรีเมียร์ลีกเคยสนใจลีกแชมเปี้ยนชิพไหม สนแต่ว่าใครขึ้นชั้นมา ใครตกชั้นไป” อัยยวัฒน์ เผยต่อ
“ผมเลยบอกคุณพ่อไปว่า ถ้าซื้อสปอนเซอร์หน้าอกเสื้อ มันไม่ได้อะไรเลยนะ ไม่มีใครดูหรอก”
อย่างไรก็ตาม “วิชัย” เห็นต่างจากลูกชาย เขาบอกว่า “อยากลองดูก่อน”
วันรุ่งขึ้น “วิชัย” กับ “อัยยวัฒน์” เดินทางไปที่สนามวอล์คเกอร์ส สเตเดี้ยม สนามเหย้าของ “เลสเตอร์ ซิตี้” เพื่อตัดสินใจว่า จะเป็นสปอนเซอร์ให้ดีหรือไม่
พอไปถึงสนาม เขาเห็นความบังเอิญที่ “โทนสี” ของสโมสร “เลสเตอร์ ซิตี้” กับ “คิง เพาเวอร์” เหมือนกันคือ “สีน้ำเงินเข้ม”
เป็นความรู้สึกลงตัวบางอย่าง !
จากนั้น “วิชัย” มานั่งคุยกับเจ้าของสโมสร “มิลาน มันดาริช” โดย “มันดาริช” ทำม็อกอัพเสื้อแข่งจำลองมาให้ “วิชัย” ดูว่าถ้าสโมสร “เลสเตอร์ ซิตี้” ใส่โลโก้ “คิง เพาเวอร์” ที่หน้าอกเสื้อแล้วจะเป็นอย่างไร
ทว่า คำถามแรกที่ “วิชัย” ถาม “มันดาริช” ไม่ได้เกี่ยวกับสปอนเซอร์อะไรทั้งสิ้น
“ยูขายทีมไหม?”
—————————————-
“ขาย”
“มันดาริช” ยืนยันมาแบบนั้น
“มันดาริช” ซื้อ “เลสเตอร์ ซิตี้” มาในปี 2006 ด้วยราคาประมาณ 25 ล้านปอนด์ แต่ทำทีมไปก็ไม่ได้ผลกำไรเท่าใดนัก
ในช่วง 4 ปีที่เขาเป็นเจ้าของ “เลสเตอร์ ซิตี้” วนเวียนในระดับแชมเปี้ยนชิพ แถมเคยตกชั้นไปเล่นลีกวันมาแล้ว 1 ซีซั่น
ว่ากันตรง ๆ “มันดาริช” ไม่เห็นอนาคตของ “เลสเตอร์ ซิตี้” เพราะมีแต่จะจมดิ่งลงเรื่อย ๆ ดังนั้นถ้าได้ข้อเสนอดี ๆ และทำกำไรได้ เขาก็พร้อมจะขาย
“เท่าไหร่”
“วิชัย” ถามกลับไป
ปรากฏว่าการคุยกันในวันนั้น จากที่จะซื้อสปอนเซอร์หน้าอกเสื้อ 3 แสนปอนด์ ไป ๆ มา ๆ “วิชัย”กลับจ่ายเงิน 40 ล้านปอนด์ เพื่อสโมสร “เลสเตอร์ ซิตี้”
นี่เป็นการตัดสินใจที่ฉับไวมาก
สายตาของ “วิชัย” มีความมั่นใจอะไรบางอย่าง
เขาเชื่อว่า “เลสเตอร์ ซิตี้” ไปไกลกว่านี้ได้
ด้วยความปุบปับของการตอบตกลงซื้อขายทีม จึงยังไม่มีเอกสารอะไรเป็นทางการ “มิลาน มันดาริช” ขอเวลาเล็กน้อยเพื่อจัดการเรื่องเอกสารทั้งหมด
เช่นเดียวกับ “วิชัย” ที่ต้องเดินทางกลับมาประเทศไทย เพื่อจัดการเตรียมเงินให้เรียบร้อย เพราะตัวเลข 40 ล้านปอนด์ คิดเป็นเงินไทยในตอนนั้นคือ 1,920 ล้านบาท !
ในตอนนี้ ยังไม่ได้เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ เป็นการตกลงปากเปล่าก่อนเท่านั้น มีเพียงการเขียนในกระดาษนิดหน่อยเป็นสัญญาใจ แต่ยังไม่ได้ผูกมัด 100%
เกมแรกของฤดูกาล “เลสเตอร์ ซิตี้” พบกับ “คริสตัล พาเลซ” ปรากฏว่าครึ่งแรกโดนนำไป 3 เม็ด ก่อนจบเกมจะแพ้ 3-2
ตอนนั้น “วิชัย” กับ “อัยยวัฒน์” อยู่ที่ไทย โดยเกมนั้นไม่มีถ่ายทอดสดกลับมาที่ไทย
“อัยยวัฒน์” จึงให้เพื่อนที่อังกฤษไปช่วยดูฟอร์ม “เลสเตอร์ ซิตี้” ที่ สนามเซลเฮิร์ส พาร์ก ว่าเป็นไงบ้าง
“เพื่อนโทรมาบอกว่าเล่นห่วยมาก เราเริ่มคิดว่า นี่เราซื้อถูกหรือผิดกันแน่”
อย่างไรก็ตาม “วิชัย” ไม่ไขว้เขวแม้แต่น้อย เมื่อเขาสัญญาไปแล้วว่าจะซื้อ เขาก็จะซื้อ เขาเปลี่ยนใจได้ แต่ไม่ทำ
“คุณพ่อเป็นคนมีวิสัยทัศน์ประหลาด มองไกลจนผมตามไม่ทัน เวลาท่านพูดอะไรจะทำให้ได้ เอาให้ได้” อัยยวัฒน์ กล่าว
แม้เขาจะลังเล แต่ “วิชัย” กลับมั่นใจ
“ท่านบอกว่าจะพลาดหรือไม่พลาด ไม่มีใครรู้แล้ว แต่เราต้องทำให้สำเร็จ”
—————————————-
สิงหาคม 2010 การซื้อขายเรียบร้อย “วิชัย ศรีวัฒนประภา” ซื้อสโมสร “เลสเตอร์ ซิตี้” ท่ามกลางเสียงสบประมาทมากมาย ว่า “แค่ของเล่นคนรวยหรือเปล่า?” แต่เขาก็ยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปเงียบ ๆ
เขา ร่วมกับลูกชาย “อัยยวัฒน์” แก้ปัญหาหลังบ้านมากมาย และค่อย ๆ ปฏิวัติ “เลสเตอร์ ซิตี้” จากทีมที่ดิ้นรนหนีการตกชั้นไปสู่ลีกวัน ค่อย ๆ กลายมาเป็นทีมกลางตารางและยกระดับเป็นทีมที่เข้าเพลย์ออฟ ลุ้นเลื่อนชั้น
ในปี 2013 วันที่ “เลสเตอร์ ซิตี้” แพ้ “วัตฟอร์ด” ในเกมเพลย์ออฟเลื่อนชั้น ทำให้ทุกคนในสโมสรรู้สึกดาวน์และจมดิ่งไปในความเศร้า
เกมนั้น ถ้าชนะคุณจะได้เข้ารอบชิงชนะเลิศที่ “เวมบลีย์” และมีโอกาสกลับมาสู่พรีเมียร์ลีก แต่ “เลสเตอร์ ซิตี้” มาถูกยิงนาที 90+7
ทั้งสโมสรไม่มีแรงใจจะเดินหน้าต่อไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนักเตะ ทั้งสตาฟฟ์ แม้แต่ “อัยยวัฒน์” ก็ยังจมดิ่งด้วยความท้อแท้
แต่คนที่เปลี่ยนความรู้สึกของ “อัยยวัฒน์” ให้กลับมาลุกขึ้นสู่อีกครั้งคือ “วิชัย”
“ก็เหมือนชีวิตแหละ มันยากน่ะดีแล้ว จะได้รู้ว่าความล้มเหลวเป็นยังไง”
คำนั้นได้ปลุก “อัยยวัฒน์” ให้ลุกขึ้นมา
นี่คือวิธีปลอบใจของ “วิชัย” ที่แน่นอนว่าเสียใจไม่แพ้กัน แต่ความพ่ายแพ้มันคือบทเรียนและเป็นโอกาสที่เขาจะได้สอนลูกชายไปในตัว
เพราะชีวิต มันไม่เคยง่าย ไม่เคยเลย
—————————————
หลังจากตกรอบเพลย์ออฟ ซีซั่นต่อมา “เลสเตอร์ ซิตี้” กลับมาด้วยความแข็งแกร่งกว่าเดิม
นักเตะแกนหลักของทีมยังคงอยู่ช่วยทีมต่อ จากนั้นก็มีการซื้อตัว “ริยาด มาห์เรซ” จากสโมสร “เลอ อาฟร์” เข้ามาเสริมทีม
คราวนี้ “เลสเตอร์ ซิตี้” พุ่งทะยานติดปีก ความเจ็บปวดจากการแพ้เพลย์ออฟ เป็นแรงผลักดันให้นักเตะทุกคนเล่นอย่างรัดกุมกว่าเดิม และคราวนี้พวกเขาคว้าแชมป์ “แชมเปี้ยนชิพ “เลื่อนชั้นไปเลยแบบสง่างาม ไม่ต้องมาลุ้นเพลย์ออฟอะไรกันอีก
ในวันที่ “เลสเตอร์ ซิตี้” ได้แชมป์แชมเปี้ยนชิพ “วิชัย” ประกาศสิ่งหนึ่งขึ้นมาซึ่งเป็นความทะเยอทะยานของเขา
“เรามีแผนจะขึ้นไปอยู่อันดับท็อปโฟร์ของพรีเมียร์ลีก และไปเล่นยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีกให้ได้ใน 3 ปี”
ฝรั่งที่ได้ยินตอนนั้น “ขำกลิ้ง” มันไม่มีทางจะเป็นไปได้อยู่แล้ว อันดับท็อปโฟร์ ทีมใหญ่ ๆ ยังแย่งกันเหนื่อย แล้วกับ “เลสเตอร์ ซิตี้” ที่เป็นน้องใหม่จะไปทำได้อย่างไร ประธานสโมสรก็ได้แต่พูดไปเรื่อย
แต่ทว่า 2 ปี หลังจากที่ “วิชัย” ประกาศออกไป
“เลสเตอร์ ซิตี้” ได้แชมป์พรีเมียร์ลีก และได้ไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกจริง ๆ
คราวนี้ไม่มีฝรั่งคนไหนขำออกอีกแล้ว !
—————————————-
ฤดูกาล 2015-16 ปีที่ “เลสเตอร์ ซิตี้” เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก
เกมสุดท้ายของฤดูกาล “เลสเตอร์ ซิตี้” ต้องไปเยือน “สแตมฟอร์ด บริดจ์” ของ “เชลซี”
ด้วยธรรมเนียมการต้อนรับทีมแชมป์ นักเตะของ “เชลซี” ยืนเรียงแถวกันก่อนเกมเริ่ม เพื่อตั้ง “ซุ้มแถวเกียรติยศ” หรือ “Guard of Honour” เพื่อปรบมือให้กับนักเตะ “เลสเตอร์ ซิตี้” ที่เดินลงสู่สนาม
นักเตะ “เชลซี” และแฟนบอล “เชลซี” ปรบมือกันอย่างเกรียวกราวเพื่อให้เกียรติสโมสร “เลสเตอร์ ซิตี้” ที่ได้แชมป์ลีกสูงสุดในซีซั่นนั้น
“วิชัย ศรีวัฒนประภา” เคยบอกไว้
“วันหนึ่งเราจะซื้อทีม แล้วเอามาสู้เชลซีให้ได้”
Cr: https://www.facebook.com/jingjungfootball
11 ปีต่อมา เขาทำได้อย่างที่พูดจริงๆ