Special Story » “พระราม 4 โมเดล” บิ๊กดาต้ากับแก้ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ

“พระราม 4 โมเดล” บิ๊กดาต้ากับแก้ปัญหาการจราจรในกรุงเทพฯ

4 ธันวาคม 2019
0

alivesonline.com : “ปัญหาการจราจรติดขัด” นับเป็นหนึ่งในประเด็นทางสังคมที่มีความซับซ้อนและส่งผลกระทบต่อคนกรุงเทพฯ มาอย่างยาวนาน อันเป็นผลมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นระบบการวางผังเมือง การขยายตัวทางเศรษฐกิจและชุมชนเมือง การหลั่งไหลของแรงงานจากต่างจังหวัด ปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งระบบขนส่งสาธารณะที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ จนทำให้กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองที่รถติดมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย โดยการจัดอันดับของ INRIX Global Traffic Scorecard

ทั้งนี้ จากข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกร ระบุว่า คนกรุงเทพฯ ต้องใช้เวลาในการเดินทางยาวนานขึ้น 35 นาทีต่อครั้ง ซึ่งหากนำมาคำนวณเป็นค่าเสียโอกาสทางด้านเวลาที่ต้องติดอยู่บนถนน แทนที่จะนำเวลานั้นไปสร้างรายได้หรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น คิดเป็นเม็ดเงินมูลค่าประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปี หรือเฉลี่ยประมาณ 60 ล้านบาทต่อวัน ทั้งยังส่งผลต่อการบริโภคเชื้อเพลิงพลังงานที่เพิ่มขึ้นคิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 6 พันล้านบาทต่อปี

ไม่เพียงแต่ในด้านเศรษฐกิจเพียงเท่านั้น แต่ปัญหาการจราจรยังส่งผลต่ออารมณ์และสุขภาพจิต รวมไปถึงปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งฝุ่นละอองและมลพิษทางอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของคนกรุงเทพฯ ด้วย

หนึ่งในโครงการล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อแก้ปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพฯ คือ โครงการ “พระราม 4 โมเดล” ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา อันประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร กองบัญชาการตำรวจนครบาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แกร็บ ประเทศไทย และมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี โดยมุ่งใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่และข้อมูลขั้นสูง (Advanced Data) จากฐานข้อมูลของหน่วยงานภาคีมาศึกษาวิเคราะห์และคาดการณ์รูปแบบการจราจรตลอดทั้งเส้นทาง เพื่อนำเสนอแนวทางในการปรับปรุงการจัดการจราจรของถนนพระราม 4

(จากซ้ายไปขวา) นายปราส กาเนช กรรมการ มูลนิธิโตโยต้า โมบิลีตี, รศ.ดร.สรวิศ นฤปิติ ผู้จัดการโครงการ “พระราม 4 โมเดล” และนายเอริค เซลเบิร์ก ผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท แกร็บ โฮลดิ้งส์

รศ.ดร.สรวิศ นฤปิติ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้จัดการโครงการ “พระราม 4 โมเดล” กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมหลักภายใต้บันทึกความร่วมมือด้านวิชาการเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งหน่วยงานภาคีได้ร่วมลงนามไปเมื่อเดือนตุลาคมปี 2561 ที่ผ่านมา โดยริเริ่มขึ้นเพื่อมุ่งศึกษาและทดลองนำเอาบิ๊กดาต้าจากฐานข้อมูลเชิงลึก เทคโนโลยีอันทันสมัยและองค์ความรู้จากหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษา มาใช้ในการวิเคราะห์ วางแผนและบูรณาการต่อยอดเพื่อแก้ปัญหาด้านการจราจรและคมนาคมขนส่ง โดยเฟสแรกจะเริ่มจากถนนพระราม 4 และมีแผนที่จะขยายผลไปยังถนนสุขุมวิท ถนนเจริญกรุง และบริเวณถนนโดยรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตามลำดับ

สำหรับการผนึกความร่วมมือภายใต้โครงการ “พระราม 4 โมเดล” จะเริ่มนำร่องดำเนินการบนถนนพระราม 4 เนื่องจากเป็นหนึ่งในถนนที่มีการจราจรหนาแน่นที่สุดในกรุงเทพฯ ครอบคลุมพื้นที่ชุมชนขนาดใหญ่ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง เชื่อมต่อกับถนนเส้นหลักหลายสาย ไม่ว่าจะเป็น ถนนสีลมและถนนสาทร ซึ่งเป็นย่านธุรกิจการค้า โดยมีโครงการสำคัญอย่างสามย่านมิตรทาวน์ และวัน แบงค็อก รวมถึงสถานศึกษา และแหล่งที่พักอาศัยซึ่งมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยโครงการนี้จะทำการศึกษาข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับการจราจรตลอดถนนพระราม 4 ซึ่งมีความยาวประมาณ 12 กิโลเมตร โดยเริ่มจากสถานีรถไฟหัวลำโพงและไปสิ้นสุดที่พระโขนง มีระยะเวลาดำเนินการทั้งสิ้น 18 เดือน นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2562 จนถึงเดือนเมษายน 2564 ภายใต้งบประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิโตโยต้า โมบิลิตี

ตัวอย่างข้อมูลสภาพการจราจรบนถนนพระราม 4 และพื้นที่ใกล้เคียง

โครงการ “พระราม 4 โมเดล” ได้ขยายผลมาจากความสำเร็จของโครงการ “สาทรโมเดล” ซึ่งดำเนินการในระหว่างปี 2557–2560 โดยได้นำมาตรการต่าง ๆ มาใช้เพื่อแก้ปัญหาการจราจรบนถนนสาทร อาทิ การควบคุมสัญญาณไฟจราจร (Traffic Signal Control Optimization) การจัดช่องจราจรพิเศษ (Reversible Lane) การใช้ระบบรถรับส่งอัจฉริยะ (Smart Shuttle Bus) มาตรการเหลื่อมเวลาทำงาน (Flexible Working Time) มาตรการจอดแล้วจร (Park and Ride) เป็นต้น โดยหน่วยงานภาคีได้ส่งมอบแผนงานเพื่อขยายผลไปยังส่วนต่าง ๆ ให้กับหน่วยงานภาครัฐเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แก่นสำคัญของโครงการ “พระราม 4 โมเดล” คือความพยายามในการนำข้อมูลจำนวนมหาศาลและมีความหลากหลายจากฐานข้อมูลของหน่วยงานภาคีทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล GPS ของรถที่ให้บริการการเดินทางผ่านแอปพลิเคชันของ “แกร็บ” รวมถึงขนส่งสาธารณะประเภทอื่น ๆ จากกระทรวงคมนาคม ภาพจากกล้อง CCTV และข้อมูลสภาพการจราจรจาก กรุงเทพมหานคร รวมทั้งสถิติด้านอุบัติภัยจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล เป็นต้น โดย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างระบบ AI และ Machine Learning ผนวกกับการนำองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีและการสัญจรมาบูรณาการ ทำให้ทราบถึงเงื่อนไขและข้อจำกัดของปัญหาด้านการจราจรในปัจจุบัน สามารถคาดการณ์ถึงแนวโน้มและรูปแบบของการจราจรในอนาคต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการออกแบบและวางแผนระบบการจัดการจราจร การพัฒนาโครงข่ายการขนส่ง รวมไปถึงการปรับปรุงการวางผังเมืองให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น”

นายธรินทร์ ธนียวัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ แกร็บ ประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการนี้สะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในการแก้ไขปัญหาในภาคคมนาคมขนส่งอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม โดย “แกร็บ” ในฐานะผู้ให้บริการการเดินทางแบบออนดีมานด์ผ่านแอปพลิเคชันได้มีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลจากระบบ GPS ซึ่งให้รายละเอียดการเดินทางของผู้ใช้บริการ (โดยไม่ระบุตัวตน) ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ อาทิ ระยะทางและช่วงเวลาในการเดินทาง ความเร็วของการขับขี่ และจุดรับ-ส่งผู้โดยสาร ครอบคลุมทั้งข้อมูลแบบเรียลไทม์และข้อมูลย้อนหลัง โดยฐานข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่จะช่วยพัฒนาระบบการจัดการด้านคมนาคม พร้อมบรรเทาปัญหาของเมืองใหญ่ ๆ ที่มีการจราจรหนาแน่นและมีมลพิษทางอากาศอย่างกรุงเทพฯ ลงได้ นอกจากนี้ เรายังได้ส่งทีมวิศวกรเทคโนโลยี (Tech Engineer) และนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) จากสำนักงานใหญ่ในประเทศสิงคโปร์ มาร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ (Know-how) กับทีมงานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและหน่วยงานภาคีด้วย

ความร่วมมือของแกร็บในโครงการ “พระราม 4 โมเดล” นับเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจเพื่อสังคมในระดับภูมิภาค “Grab For Good” (แกร็บเพื่อชีวิตที่ดีกว่า) ซึ่งแกร็บได้ประกาศเป็นโรดแมปภายในระยะเวลา 5 ปี (2563-2568) เมื่อช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปข้างหน้า พร้อมส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนสังคม โดยอาศัยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาทักษะและศักยภาพในการแข่งขัน เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ รวมถึงแก้ไขปัญหาหรือขจัดข้อจำกัดในด้านต่าง ๆ เพื่อให้ทุกคนก้าวทันเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสร้างความยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงสิ่งแวดล้อม