[ชมคลิป] 1,000 ผู้นำสตรีโลกเยือนไทย ร่วมประชุม “พลังสตรีพลิกเศรษฐกิจ”

alivesonline.com : ผู้นำสตรีจากทุกภาคส่วนกว่า 1 พันคนจาก 60 ประเทศทั่วโลก เตรียมเยือนไทย ร่วม “งานประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2020” วันที่ 23-25 เม.ย.63 มุ่งส่งเสริมธุรกิจสตรีและขยายโอกาสทางเศรษฐกิจให้สตรีทั่วโลก หลังพบสตรีไทยโดดเด่นเรื่องการมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ระบุสตรีไทย 40% นั่งเก้าอี้ผู้บริหารระดับซีอีโอ และ 42% ดูแลด้านการเงินองค์กรต่าง ๆ มั่นใจผู้ร่วมประชุมจะได้เห็นศักยภาพและบทบาทนักธุรกิจสตรีไทยในการพัฒนาประเทศ

นางสาวไอรีน นาทิวิแดท ประธานการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2020 เปิดเผยว่า ในปี 2563 ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัด “งานประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2020” (GLOBAL SUMMIT OF WOMEN 2020) ในระหว่างวันที่ 23-25 เมษายน 2563 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์แอนด์บางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ กรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด “Women Revolutionizing Economies” (พลังสตรีพลิกเศรษฐกิจ) โดยการสนับสนุนของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” และบริษัทเอกชนชั้นนำของประเทศไทยที่เล็งเห็นถึงความสำคัญและบทบาทของสตรีในเวทีโลก

กลุ่มสตรีถือเป็นผู้มีความรับผิดชอบทางธุรกิจและลูกค้าของชุมชนต่าง ๆ โดย สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า กลุ่มสตรีเกินครึ่งหนึ่งของประชากรทั่วโลกมีส่วนสำคัญต่อผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวม โดยมากกว่า 80% เป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ นอกจากนั้นยังมีสัดส่วนเป็น 1 ใน 2 ของกลุ่มคนทำงานทั้งโลก ทั้งยังมีสัดส่วนเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กเล็กสูงถึง 1 ใน 3”

“ในส่วนของประเทศไทยถือว่ามีความโดดเด่นเด่นในเรื่องการมีส่วนร่วมของสตรีในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จากการเป็นแรงงาน ผู้ประกอบการ จนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจ ดังจะเห็นได้ว่า ประเทศไทยมีซีอีโอที่เป็นกลุ่มสตรีสูงถึง 40% ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีเพียง 5% นอกจากนั้นกลุ่มสตรีไทยยังเป็นผู้ดูแลการเงินขององค์การต่าง ๆ สูงถึง 42% แสดงให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของกลุ่มสตรีไทยในภาคธุรกิจที่เป็นส่วนสำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคมทั้งในระดับประเทศและระดับโลก”

นางสาวไอรีน กล่าวในตอนท้ายว่า “งานประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก” เป็นเวทีระดับโลกเพื่อให้สตรีจากทุกภาคส่วน ทั้งองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร มาร่วมประชุมเพื่อส่งเสริมธุรกิจของสตรีและขยายโอกาสทางเศรษฐกิจให้สตรีทั่วโลก โดยผู้บริหารสตรีที่มีบทบาทสำคัญทั้งในระดับประเทศและระดับโลกจะมาแบ่งปันประสบการณ์ พร้อมให้มุมมองในมิติต่าง ๆ นำเสนอประเด็นปัญหาและแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบทางธุรกิจและเศรษฐกิจในอนาคต ตลอดจนแนวทางการการบริหารและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ดังนั้น “งานประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2020” จึงมีความสำคัญในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และการส่งเสริมความเสมอภาคทางเศรษฐกิจให้กับสตรีทั่วโลก ทั้งยังถือเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการเป็นศูนย์ประชุมในระดับโลกให้ประเทศไทยอีกด้วย

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ประธานบริษัทโตชิบาไทยแลนด์ และประธานกรรมการจัดงานของไทย กล่าวว่า “งานประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2020” ถือเป็นเวทีระดับโลกที่มีความสำคัญ เชื่อมนักธุรกิจ นักวิชาชีพ ผู้บริหารทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคสังคมจากทั่วโลก สร้างเครือข่ายความร่วมมือและแบ่งปันประสบการณ์เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของโลกอย่างยั่งยืน

“งานประชุมในปีนี้ยังมีความสำคัญเนื่องจากเป็นปีฉลองครบรอบ 30 ปีของจัดประชุม จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับประเทศไทยในการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ประเทศไทยในสู่สายตาเวทีโลก โดยจะเป็นการประชุมที่น่าจะสร้างแรงบันดาลใจให้ก่อเกิดพลังสตรีไทยในการเรียนรู้และเติบโตจากสตรีผู้นำจากทั่วโลก พร้อมนำเสนอสินค้าชุมชนท้องถิ่นจากทั่วประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นพัฒนาเป็นนักธุรกิจระดับนานาชาติ โดยได้พัฒนาเครือข่ายความเข้มแข็งทางธุรกิจ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือของคนทุกภาคส่วน สร้างคนรุ่นใหม่ รวมพลังไทย อาเซียน และโลก ที่จะปฏิวัติเศรษฐกิจเพื่อโลกที่ดีขึ้น”

นางศรีสุดา วนภิญโญศักดิ์ รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การจัด “งานประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2020” ถือเป็นโอกาสอันดีที่ประเทศไทยจะได้ต้อนรับกลุ่มสตรีที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของโลกให้ได้เห็นศักยภาพและความพร้อมในการจัดการประชุมขนาดใหญ่และเปิดประสบการณ์ในการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่มีความเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มสตรี รวมไปถึงสามารถเน้นย้ำภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยอีกทางหนึ่งด้วย

“ททท. มีนโยบายการส่งเสริมการท่องเที่ยวในกลุ่มสตรีอย่างจริงจัง เนื่องจากเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูงและสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ เนื่องจากสัดส่วนของผู้หญิงทำงานเพิ่มขึ้น มีแนวโน้มรายได้เฉลี่ยสูงกว่าผู้ชาย ทั้งยังเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง ดังนั้นผู้หญิงจึงกลายเป็นกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่และเป็นตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งผู้หญิงยังเป็นผู้นำทางความคิดที่สามารถสร้างแรงจูงใจในการเดินทางและใช้จ่ายของคนรอบข้าง เช่น เพื่อน คู่รัก และครอบครัวอีกด้วย”

นางศรีสุดา กล่าวด้วยว่า จากการสำรวจกลุ่มนักท่องเที่ยวสตรี พบว่า นิยมดูแลสุขภาพ สนใจการท่องเที่ยวเชิงผจญภัยมากขึ้น แสวงหาประสบการณ์การท่องเที่ยวที่แปลกใหม่ นิยมการท่องเที่ยวเป็นกลุ่มโดยใช้โซเชียลมีเดียในการหาข้อมูล ทั้งยังมุ่งหาประสบการณ์และจ่ายเงินสู่ท้องถิ่นโดยตรง โดยกลุ่มสตรีสูงวัยมีแนวโน้มเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ๆ พอ ๆ กับกลุ่มกลุ่มวัยรุ่น ในขณะที่ประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่ตอบสนองพฤติกรรมการท่องเที่ยวดังกล่าว สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการใช้การท่องเที่ยวเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง โดยในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2562 พบว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวสตรีมีการใช้จ่ายกับการดูแลสุขภาพและความงาม กิจกรรมการดำน้ำ กีฬากอล์ฟ อาหาร และกิจกรรมการผจญภัย ตามลำดับ

นางนิชาภา ยศวีร์ รองผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” กล่าวว่า “ทีเส็บ” เป็นหน่วยงานรัฐภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักนายกรัฐมนตรี มีพันธกิจหลักในการผลักดันและพัฒนาธุรกิจการจัดประชุมและงานแสดงสินค้า หรืออุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทย มีภารกิจสำคัญในการดึงงานประชุมและงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติเข้าสู่ประเทศไทย โดยคาดว่า การจัด “งานประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2020” จะมีโอกาสต้อนรับกลุ่มผู้บริหารสตรีระดับสูงกว่า 1 พันคนจาก 60 ประเทศทั่วโลก พร้อมสร้างรายได้ประมาณ 80 ล้านบาท

“การจัดงานประชุมครั้งนี้ยังเป็นการตอบสนองนโยบายรัฐบาลตามแผนพัฒนาสตรีฉบับใหม่ ภายใต้ชื่อยุทธศาสตร์การพัฒนาสตรี พ.ศ.2560-2564 สอดคล้องกับทิศทางของยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี พ.ศ.2560-2579 และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ.2560-2564 ที่มุ่งเน้นการพัฒนาคนให้เป็นศูนย์กลาง โดยเน้นการพัฒนาคนในทุกช่วงวัย การมีส่วนร่วมของทุกคน และการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ พร้อมกันนี้ยังเน้นการประชุมเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ปลอดก๊าซเรือนกระจก หรือ Carbon Neutral อีกด้วย”

นางนิชาภา กล่าวด้วยว่า สำหรับการดำเนินงานของ “ทีเส็บ” ในการสนับสนุน “งานประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2020” จะประกอบด้วยการสนับสนุนทั้งในเชิงงบประมาณ การร่วมเป็นคณะกรรมการจัดงาน รวมทั้งการประชาสัมพันธ์การจัดงาน โดยจะประสานกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) และอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศไทยในโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลางการจัดการประชุมของสุดยอดผู้นำสตรีโลก ภายใต้แคมเปญการสื่อสารอุตสาหกรรมไมซ์ที่สอดคล้องกับแนวคิดการจัดประชุมคือ “Thailand : Redefine Your Business Events”

“งานประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2020 จะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทย ทั้งในด้านการเป็นจุดหมายปลายทางการจัดประชุมระดับโลก การสร้างโอกาสทางธุรกิจ ตลอดจนความสำเร็จที่จะได้จากการจัดงานประเทศไทย ทั้งด้านการสร้างเครือข่ายและถ่ายทอดแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระดับนานาชาติร่วมกัน ซึ่งจะทำให้ผู้ร่วมประชุมจากทั่วโลกได้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทยและบทบาทของนักธุรกิจสตรีไทยในการพัฒนาประเทศ” นางนิชาภา กล่าวในที่สุด

อนึ่ง ในพิธีเปิด “งานประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2020” จะได้รับเกียรติจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ พร้อมด้วยการประชุมโต๊ะกลมสำหรับรัฐมนตรีหญิงจากประเทศต่าง ๆ พร้อมประชุมหารือแลกเปลี่ยนแนวคิดและส่งเสริมบทบาทสตรีในภาคธุรกิจ ตลอดจนการมอบรางวัลผู้นำดีเด่นระดับโลกในการส่งเสริมสตรีอีกด้วย

คาดตรุษจีนปีหนูสร้างเม็ดเงินท่องเที่ยว 2.17 หมื่นล้านบาท

alivesonline.com : ททท.จัดเทศกาลตรุษจีนกรุงเทพฯ พร้อม 8 จังหวัดชุมชนชาวจีนขนาดใหญ่ เปิดบ้านรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1,016,000 คน เพิ่มขึ้น 1.5% พร้อมรายได้รวม 21,739 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.6% ส่วนนักท่องเที่ยวจีนคาดเดินทางเยือนไทยประมาณ 312,000 คน เพิ่มขึ้น 2% สร้างรายได้ประมาณ 8,392 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2%

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า การจัดเทศกาลตรุษจีนในประเทศไทย เป็นความร่วมมือระหว่าง ททท. กับ กระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว สาธารณรัฐประชาชนจีน และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “ตรุษจีนสำหรับคนรุ่นใหม่” เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน โดยนำกิจกรรมทางวัฒนธรรมจากสาธารณรัฐประชาชนจีนให้เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากยิ่งขึ้น พร้อมมีการจัดกิจกรรมในพื้นที่ชุมชนชาวจีนขนาดใหญ่ที่เก่าแก่และมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจ ได้แก่ ชุมชนชาวจีนเยาวราช กรุงเทพฯ และสนับสนุนการจัดงานใน 8 จังหวัดคือ เชียงใหม่ นครสวรรค์ สุพรรณบุรี ราชบุรี ชลบุรี  อุดรธานี สงขลา (อำเภอหาดใหญ่) และภูเก็ต

ททท. คาดการณ์ว่าในช่วงเทศกาลตรุษจีน ปี 2563 จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศทั้งหมด 1,016,000 คน เพิ่มขึ้น 1.5% สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 21,739 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.6% โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าไทยประมาณ 312,000 คน เพิ่มขึ้น 2% สร้างรายได้ประมาณ 8,392 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% โดยมีปัจจัยเสริมในการเดินทางคือการขยายเวลายกเว้นค่าธรรม VoA จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2563

สำหรับตลาดในประเทศในพื้นที่หลักที่ ททท. จัดงานและให้การสนับสนุนการจัดงานเทศกาลตรุษจีนทั้ง 9 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ นครสวรรค์ สุพรรณบุรี ราชบุรี ชลบุรี อุดรธานี สงขลา (อำเภอหาดใหญ่) และภูเก็ต ในภาพรวมคาดว่าจะมีผู้เยี่ยมเยือนคนไทยเดินทางเข้าพื้นที่ดังกล่าวไม่น้อยกว่า 4.37 แสนคน-ครั้ง มีการใช้จ่ายสร้างรายได้หมุนเวียนในพื้นที่กว่า 2,236 ล้านบาท และมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 80%

“การจัดงานเทศกาลตรุษจีนในประเทศไทยถือเป็นโอกาสดีในการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ที่ดีของไทยผ่านสื่อมวลชนของสาธารณรัฐประชาชนจีนในระดับประเทศที่เดินทางเข้ามาร่วมงานฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว และเป็นการแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างกัน ซึ่งรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ให้ความสำคัญและให้การสนับสนุนอย่างดี พร้อมกล่าวชื่นชมว่าการจัดเทศกาลตรุษจีนในประเทศไทยเป็นกิจกรรมตรุษจีนที่ใหญ่ที่สุดที่จัดนอกแผ่นดินจีน” นายยุทธศักดิ์ กล่าวในตอนท้าย

“โฮมโปร” ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์เบอร์ 5

นายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พร้อมด้วย นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามความร่วมมือ กิจกรรมส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์เบอร์ 5 ในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 เพื่อส่งมอบของขวัญปีใหม่และส่งความสุขให้กับประชาชนทั่วประเทศ ด้วยการมอบคูปองส่วนลดพิเศษ มูลค่า 300 บาท สำหรับนำไปซื้อผลิตภัณฑ์เบอร์ 5 ที่ โฮมโปร ทุกสาขา ณ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เมื่อเร็ว ๆ นี้

“บริดจสโตน ประเทศไทย” ร่วมช่วยเหลือเด็ก ๆ ทั่วโลก

 

นายฮิเดยูกิ ทาเคดะ(ซ้ายสุด) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด และ นายเทรุโอะ คูนิทาเกะ (ที่ 2 จากขวา) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บริดจสโตน เอเชีย แปซิฟิค เทคนิคอล เซ็นเตอร์ จำกัด ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับ นายฮวน แซนทานเดอร์ (ที่ 2 จากซ้าย) รองผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย และ นางสาวอิมาน โมโรโอกะ (ขวาสุด) หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กรยูนิเซฟ ประเทศไทย.เนื่องในโอกาสเดินทางไปร่วมงาน “เดอะ บลู คาร์เพท โชว์ ฟอร์ ยูนิเซฟ : The Blue Carpet Show for unicef” รายการวาไรตี้การกุศลรูปแบบใหม่หนึ่งเดียวในประเทศไทย ตามที่ องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ออกอากาศสดทางช่อง 7HD ณ มูนสตาร์ สตูดิโอ เมื่อเร็ว ๆ นี้. โดยงานนี้ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรหลากหลายองค์กร รวมถึงกลุ่มบริษัทในเครือบริดจสโตนประเทศไทยที่เล็งเห็นความสำคัญของการปกป้องคุ้มครองเด็กจากความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ตอกย้ำเจตนารมณ์การแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมของบริดจสโตน “Our Way To Serve” ในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต

“แลตตาซอย” ร่วมงานวันเด็กปี 63

บริษัท แลตตาซอย จำกัด นำขบวนโดยมาสคอสสุดน่ารัก “น้องถั่วเหลือง” ร่วมออกบูธกิจกรรมสร้างสีสันในงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2563 พร้อมทั้งนำนมถั่วเหลืองแลตตาซอยหลากหลายรสชาติมาแจกน้อง ๆ ให้ได้ดื่มเติมพลังกันอย่างเต็มอิ่ม เพื่อให้น้อง ๆ สนุกสดใสไปกับงานวันเด็กตลอดทั้งวัน ณ โรงเรียนนายเรือ และพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ จ.สมุทรปราการ เมื่อเร็ว ๆ นี้

“ไบเทค ฮาล์ฟ มาราธอน” The Heart Runners วิ่งด้วยใจ ให้ด้วยรัก

ดร.ประสาน ภิรัช บุรี (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย นางสาวประพีร์ บุรี (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน นางปนิษฐา บุรี (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค นายวุธิชัย ทรัพย์เพิ่มพงศ์ (ขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท อะเบ๊าท์ฟู้ด จำกัด และ นายปิติภัทร บุรี กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี (ซ้าย) ร่วมเปิดการแข่งขันวิ่ง “ไบเทค ฮาล์ฟ มาราธอน 2020” The Heart Runners วิ่งด้วยใจ ให้ด้วยรัก ครั้งที่ 8 เมื่อเร็ว ๆ นี้

3 เมนูใหม่พร้อมเสริ์ฟจาก “แมคโดนัลด์”

“แมคโดนัลด์” เอาใจคนรักไก่ ส่งพรีเมียมเบอร์เกอร์ เมนูใหม่ในตระกูล The Signature Collection by McDonald’s สัมผัสรสชาติกลมกล่อมของ “สไปซี่ บาร์บีคิว ชิกเก้น” (Spicy BBQ Chicken) เต็มปากเต็มคำกับเนื้อไก่ชิ้นหนาขนาดใหญ่ขึ้นถึง 50% เสิร์ฟพร้อมซอสบาร์บีคิวและผักกาดแก้วสดใหม่จากโครงการหลวง ดับเบิ้ลความอร่อยกับชีสเต็มแผ่น 2 ชั้น นำเข้าจากประเทศนิวซีแลนด์ ประกบด้วยขนมปังรูปลักษณ์ใหม่ ใช้เทคนิคการตัดกลางขนมปังด้วยน้ำก่อนนำเข้าอบ (Water Split Bun) ให้สัมผัสนุ่ม หอมกรุ่นกลิ่นนมเนย ในราคาเริ่มต้นเพียงชิ้นละ 129 บาท หรือเลือกอร่อยเป็นชุดสุดคุ้มเต็มอิ่มพร้อมเฟรนช์ฟรายส์ขนาดกลาง และเครื่องดื่มโค้กขนาด 16 ออนซ์ ราคาเริ่มต้นเพียง 199 บาท (จากปกติ 255 บาท) สัมผัสความพรีเมียมแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

อีกหนึ่งเมนูใหม่จากแดนอาทิตย์อุทัยที่คนไทยต้องว้าวกับ “แมคข้าวไก่กรอบเทอริยากิ” (McKao Teriyaki Chicken) อิ่มอร่อยกับไก่ทอดกรอบเนื้อแน่น ราดซอสเทอริยากิ รสกลมกล่อม รับประทานกับข้าวหอมมะลิแท้ 100% เพิ่มความฟินด้วยฟุริคาเกะ (Furikake) หรือผงโรยข้าวญี่ปุ่น หอม อร่อยลงตัวด้วยส่วนผสมของปลาโออบแห้ง ไข่อบ งาขาวคั่ว สาหร่าย เสิร์ฟพร้อมผักกาดแก้วสด ๆ จากโครงการหลวง อิ่มจบครบ 5 หมู่ ในราคาเริ่มต้นเพียงจานละ 75 บาท หรืออร่อยเป็นชุดพร้อมเครื่องดื่มโค้ก 16 ออนซ์ ราคาเริ่มต้นเพียง 85 บาท ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2563 – 31 มีนาคม 2563 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

ตบท้ายด้วยพายแสนอร่อยที่สายหวานรอคอยกับ “พายช็อกโกแลต” (McDonald’s Choco Pie) เสิร์ฟร้อน ๆ กรุบกรอบ สอดไส้ช็อคโกแลตเข้มข้น หอม อร่อย ละลายในปาก ราคาเริ่มต้นเพียง 29 บาท ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

เลือกอิ่มอับอร่อยกับทุกเมนูได้ที่ “แมคโดนัลด์” สาขาที่ร่วมรายการทั่วประเทศ รวมทั้งบริการจัดส่งอาหารถึงบ้าน “แมคดิลิเวอรี” ผ่านทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของแมคโดนัลด์

[ชมคลิป] “อาร์เอส” โชว์กลยุทธ์ Entertainmerce รับปี 2020

alivesonline.com : “อาร์เอส” เดินหน้าเต็มตัว ซุ่มปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในรอบ 37 ปี พร้อมลงทุนด้านเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ ก้าวสู่ S-Curve ในธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ มุ่งรายได้ 3.2 พันล้านบาท พร้อมรายได้รวม 5.25 พันล้านบาทในปี 63 ก่อนทะยานสู่เป้า 1 หมื่นล้านบาทในปี 65 ด้วยสัดส่วนอี-คอมเมิร์ซ 80% สื่อและบันเทิง 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 60:40

นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2563 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของบริษัทฯ สำหรับการดำเนินธุรกิจในรอบ 37 ปี เพื่อก้าวสู่อุตสาหกรรมใหม่ หรือ New S-Curve ในส่วนของธุรกิจพาณิชย์ซึ่งบริษัทฯ ได้เริ่มดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลา 5 ปี โดยในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 ได้มีการปรับโครงสร้างทีมงานและผู้บริหาร พร้อมลงทุนในเครื่องมือ เทคโนโลยี และซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างเต็มที่

ในปี 2563 บริษัทฯ จะเน้นกลยุทธ์ หลัก 4 ด้านคือ 1.Entertainmerce เป็นการขับเคลื่อนและต่อยอดโมเดลธุรกิจพาณิชย์ในการจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ RS Mall สินค้าในกลุ่มแฟชั่น-เครื่องประดับ กลุ่มความสวย-ความงาม กลุ่มอาหาร-อาหารเสริม, กลุ่มของใช้ในบ้าน และกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 2.Data Driven Company เป็นการนำข้อมูลต่าง ๆ ของผู้บริโภคและลูกค้า หรือ “บิ๊ก ดาต้า” ที่เก็บสะสมมาตลอดระยะเวลา 5 ปีมาใช้เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคให้มากที่สุด

3.Strategic Partnership เป็นการเพิ่มพันธมิตรเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้มากขึ้นจากปัจจุบันที่มีพันธมิตรแล้วหลายราย เช่น ไทยรัฐทีวี, เวิร์คพอยท์ทีวี, อมรินทร์ทีวี เป็นต้น 4.M&A (Mergers and Acquisitions) เป็นการควบรวมกิจการซึ่งถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการสร้างธุรกิจแห่งอนาคต หรือ Ecosystem ในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อให้องค์กรมีขนาดใหญ่ มีมูลค่าทางธุรกิจ มีศักยภาพในการแข่งขัน และมีความยั่งยืนมั่นคงระยะยาว

“จากกลยุทธ์ข้างต้นมีเป้าหมายสำคัญคือทำให้บริษัทฯ มีรายได้ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2565 โดยคาดว่าในปี 2563 จะมีรายได้รวม 5.25 พันล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 30% แบ่งเป็นธุรกิจพาณิชย์ 3.2 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60% ส่วนธุรกิจสื่อและบันเทิง คาดว่าจะได้รายได้ประมาณ 2.05 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 40% แบ่งเป็นโทรทัศน์ ช่อง 8 ดิจิทัล 1.25 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25% ธุรกิจดนตรีและอื่น ๆ 500 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 10% และวิทยุ คูล ฟาเรนไฮต์ 300 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5% โดยคาดว่าเมื่อบริษัทฯ มีรายได้รวม 1 หมื่นล้านบาท สัดส่วนรายได้ของธุรกิจพาณิชย์จะเพิ่มเป็น 80% ส่วนธุรกิจสื่อและบันเทิง จะมีประมาณ 20%” นายสุรชัย กล่าวในตอนท้าย

(จากซ้ายไปขวา) ดร.ชาคริต พิชญางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด, นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) และนางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ กลุ่มธุรกิจสินค้าและแพลตฟอร์ม บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน)

ด้าน นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ กลุ่มธุรกิจสินค้าและแพลตฟอร์ม บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจ Entertainmerce มาจากคำว่า Entertainment กับคำว่า Commerce ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ โดยนักจิตวิทยาได้มีการระบุว่าประสบการณ์ของการชอปปิงมาจาก 3 คำคือ Fun สนุก Exploration การค้นหา และ Entertainment ความบันเทิง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซทั่วโลกมีการเติบโตสูงเฉลี่ย 1.7% ในขณะที่ประเทศจีนกลับมีการเติบโตสูงกว่าถึง 10 เท่า เพราะจีนมีเรื่องราวที่ทำให้ลูกค้าและผู้บริโภคมีประสบการณ์ด้าน Entertainment ในการชอปปิงได้มากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ นั่นเอง

ในขณะที่บริษัทฯ ถือได้ว่ามีสินทรัพย์ (Assets) ด้าน Entertainment ที่พร้อมมากกว่าผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซรายอื่น โดยเฉพาะใน 4 ส่วนสำคัญคือ 1.TV Audiences ผู้ชมโทรทัศน์ทั้งในช่องหลักของบริษัทฯ คือช่อง 8 และช่องพันธมิตรคือ ไทยรัฐทีวี, เวิร์คพอยท์ทีวี, อมรินทร์ทีวี รวมแล้วประมาณ 2.63 ล้านคนต่อวัน 2.Listeners ผู้ฟังวิทยุ “คูล ฟาเรนไฮต์ 1.62 แสนคนต่อวัน ครั้งละ 3.4 ชั่วโมง 3.Digital Consumes ในส่วนของโซเชียลมีเดียต่าง ๆ พบว่าบริษัทฯ มียอดผู้ติดตามรวมมากกว่า 100 ล้านคน แบ่งเป็น Subscribe ผ่านยูทูป 57 ล้านคน ไอจี มีผู้ติดตาม 12 ล้านคน และเฟซซุ๊ก มีผู้ติดตาม 38 ล้านคน 4.On Ground Audiences การจัดอีเวนต์ต่างของบริษัทฯ มีผู้เข้าร่วมประมาณ 1.2 แสนคน ขณะที่การจัดคอนเสิร์ตมีผู้เข้าร่วม 1 แสนคน

“จากข้อได้เปรียบดังกล่าว บริษัทฯ จึงกำหนดเป็นกลยุทธ์หลักด้านอี-คอมเมิร์ซบนแพลตฟอร์ม RS Mall ในปี 2563 คือ Technology, Product, Content และ Marketing โดยมีเป้าหมายมีลูกค้า 1.6 ล้านคน เติบโตขึ้น 20% เพิ่มความถี่ในการซื้อซ้ำเป็น 2.5 ครั้ง จากเดิมคือ 1.7 ครั้ง หรือเติบโตขึ้น 38% โดยมียอดการซื้อต่อครั้งประมาณ 2.5 พันบาท เติบโตขึ้น 4%” นางพรพรรณ กล่าวในตอนท้าย

ดร.ชาคริต พิชญางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด บริษัทในเครืออาร์เอส กล่าวเสริมว่า กลยุทธ์ทางด้านเทคโนโลยี (Technology) จะมีการนำเครื่องมือในการเชื่อมโยงฐานข้อมูลลูกค้าให้อยู่บนศูนย์กลางเดียวกัน (Customer Data Platform) เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า พร้อมกันนี้ยังมีการนำ Customer Engagement Analytics มาใช้เพื่อนำเสนอทางเลือกให้ลูกค้าได้ตรงใจที่สุดไม่ว่าจะเป็นวิธีการให้บริการ ช่องทางการให้บริการ วิธีการชำระเงิน ประเภทของสินค้าและโปรโมชัน นอกจากนั้นยังจะรับฟังความคิดเห็นของลูกค้าผ่านทุกช่องทางที่เป็น Earned Media ผ่านเครื่องมือ Social Listening Tool เพื่อนำมาปรับปรุงการให้บริการ รวมถึงเป็นเครื่องมือในการวัดสุขภาพของแบรนด์ในช่วงปีแรกของการดำเนินการด้วย โดยจะมีการนำข้อมูลจากหลาย  ๆ ส่วนมาประมวลผลด้วยคณิตศาสตร์หรือสถิติ (Data Analytics) เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อการตัดสินใจในเชิงธุรกิจบางอย่างเพื่อปรับปรุงกระบวนการทำงานการตลาด การปรับปรุงการให้บริการลูกค้า รวมถึงการนำเสนอสินค้าใหม่ หรือแม้แต่การวิเคราะห์ผลของแต่ละแคมเปญที่ทำออกไปว่าได้ผลลัพธ์ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ หรือควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร

สำหรับ กลยุทธ์ทางด้านสินค้า (Product) จะประกอบไปด้วยการเพิ่มความหลากหลายของประเภทสินค้า(Category) ใน 4 หมวดคือ เครื่องประดับ (Personal Accessories) เสื้อผ้า-รองเท้า (Appare & Footwear) ท่องเที่ยวและบริการ (Travel & Services) และอิเล็กทรอนิกส์ (Consumer Electronics) โดยมีเป้าหมายเพิ่มสินค้าใหม่เดือนละ 30 รายการ นอกจากนั้นยังจะมีการนำเสนอสินค้าสำหรับเทศกาลต่าง ๆ (Seasonal Products, Festival Products) เข้ามาสร้างสีสันในโอกาสพิเศษ หลังทดลองทำตาดพบว่าทำยอดขายได้เพิ่มถึง 250% ขณะเดียวกันยังจะมีการทำสินค้าเฉพาะสำหรับ RS Mall หรือเปิดตัวเฉพาะ RS Mall เท่านั้น (First & Only RS Mall) รวมถึงการทำ Brand Collaboration

ในส่วนของ กลยุทธ์ทางด้านการนำเสนอ (Content) จะมีการสร้างรูปแบบการนำเสนอประเภทไลฟ์สด การสาธิตการใช้จริง รวมถึงการนำผู้มีประสบการณ์ในการใช้งานจริงมาร่วมให้ความคิดเห็นและแบ่งปันประสบการณ์ (Storytelling Commerce) ขณะที่ กลยุทธ์การตลาด (Marketing) จะมีการจัดแคมเปญต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี

“ห้างเซ็นทรัล” มอบอั่งเปา ฉลองตรุษจีนปีหนูทอง

นางสาวปิยวรรณ ลีละสมภพ (กลาง) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัดในเครือกลุ่มเซ็นทรัลรีเทล ร่วมกับ นายอธิศ รุจิรวัฒน์ (ขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด นางสาวไอลีน ชูว (ซ้าย) ผู้จัดการประจำประเทศไทย และ เมียนมาร์ บริษัท มาสเตอร์การ์ด (ประเทศไทย) ชวนชอปฯ รับทรัพย์รับโชคกับโปรโมชันพิเศษฉลองตรุษจีนปีหนูทอง ในงาน “CENTRAL CHINESE NEW YEAR 2020” (เซ็นทรัลไชนีสนิวเยียร์ 2020) ในคอนเซ็ปต์ “THE LUCKIEST STORE IN TOWN” ด้วยกิจกรรมหลากหลาย สินค้าราคาปกติลดสูงสุด 30 % พร้อมรับสิทธิพิเศษจากบัตรเครดิตชั้นนำ พิเศษสุด! สำหรับผู้มียอดชอปฯ สูงสุด 5ท่านแรกเมื่อชอปฯสะสม 300,000 บาทขึ้นไป ผ่านบัตร Master Card รับสิทธิ์ดูฮวงจุ้ยที่บ้านฟรี! โดยหมอดูชื่อดัง “อาจารย์ช้าง-ทศพร ศรีตุลา” พร้อมแจกอั่งเปาคนปีชง รับคูปองแทนเงินสดสูงสุด 200 บาท (จำกัด 88 ท่าน/สาขา) ร่วมแต่งกายเก็บภาพความประทับใจที่ “โฟโต้บูธสไตล์จีน” และกิจกรรมเสริมมงคลอีกมากมาย ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 2 ก.พ. 63 ที่ “ห้างเซ็นทรัล” ทุกสาขา

ภาวะชะลอตัวของ “โลกาภิวัตน์” ส่งผลเศรษฐกิจโลกโต 3.4%

alivesonline.com : คาดเศรษฐกิจโลกในปี 63 เติบโตประมาณ 3.4% หลังรับแรงหนุนจากภาวะทางการเงินที่ผ่อนคลายลงและการพึ่งพาการบริโภคภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น PwC ประเทศไทย คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตต่ำกว่า 3% โดยได้ปัจจัยหนุนจากภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนภาครัฐ แต่ต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงเรื่องสงครามระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่านว่าจะขยายวงกว้างมาก-น้อยเพียงใด รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่ยังคงดำเนินต่อไป ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย รวมถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

นายศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน “Global Economy Watch” ฉบับล่าสุดว่า ในปี 2563 คาดว่า เศรษฐกิจโลกจะเติบโต 3.4% (ตามหลักความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ หรือ Purchasing Power Parity : PPP) เปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวของศตวรรษที่ 21 ที่ 3.8% ต่อปี โดย PwC คาดการณ์ว่า ปี 2563 จะเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะชะลอตัวของโลกาภิวัตน์ (Slowbalisation) โดยได้รับแรงกดดันจากความตึงเครียดทางการค้าที่ยังคงเป็นความท้าทายต่อการจัดระเบียบห่วงโซ่อุปทานและการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศต่าง ๆ ในระยะต่อไป

อย่างไรก็ตาม ภาคบริการจะยังคงเป็นดาวเด่นของการค้าโลก โดยคาดว่าในปี 2563 มูลค่าของการบริการส่งออกทั่วโลกจะสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 212.56 ล้านล้านบาท โดยสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรจะยังคงเป็นประเทศผู้ส่งออกบริการชั้นนำของโลกและคาดว่า สาธารณรัฐประชาชนจีนจะสามารถแซงหน้าฝรั่งเศสขึ้นเป็นอันดับที่ 4

แนวโน้มการค้าโลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอน

ด้าน นาย บาร์เร็ต คูเพเลียน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ PwC ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า ภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2563 ยังคงเป็นไปในระดับทรงตัว โดยเศรษฐกิจหลักของโลกจะได้รับแรงหนุนจากภาวะทางการเงินที่ผ่อนคลายลงและการพึ่งพาการบริโภคภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น ทดแทนการส่งออกและการลงทุน

โลกาภิวัตน์เป็นตัวขับเคลื่อนปรากฏการณ์และทิศทางของเศรษฐกิจโลกมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 แต่ในช่วงที่ผ่านมาปริมาณของสินค้าที่ได้มีการซื้อขายกันทั่วโลกได้มีการชะลอตัวอย่างมากและเกือบเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีที่ผ่านมา ประกอบกับประเด็นเรื่องกลไกระงับข้อพิพาทขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization หรือ WTO) ที่ยังคงชะงักงันแม้จะได้มีการหารือไปเมื่อเดือนธันวาคม 2562 แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุปของการแก้ปัญหา จึงทำให้คาดว่าจะเป็นประเด็นที่ท้าทายการค้าโลกในระยะต่อไป

“เป็นที่แน่ชัดว่า เรากำลังเข้าสู่ภาวะชะลอตัวของโลกาภิวัตน์ หรือ Slowbalisation โดยการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจและการค้ายังคงดำเนินต่อไปแต่จะเติบโตในอัตราที่ช้าลง โดยเมื่อเชื่อมโยงภาพของปริมาณการค้าและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน ทำให้คาดว่าในปี 2563 จะเห็นการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย”

การจ้างงานเพิ่มมากขึ้น แต่ยังไม่มีการกระจายตัวอย่างเท่าเทียมกัน

สำหรับกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก 7 ประเทศ (G7) จะยังคงสร้างงานต่อไป โดยจะมีตำแหน่งงานใหม่เกิดขึ้นประมาณ 2 ล้านตำแหน่ง โดย 4 ใน 5 ของตำแหน่งงานใหม่ในกลุ่ม G7 จะอยู่ในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และญี่ปุ่น ในขณะที่แหล่งทรัพยากรแรงงานในกลุ่ม G7 จะค่อย ๆ ลดลง โดยประเมินว่า ผลประกอบการจะยังคงอยู่ในภาวะขาขึ้น แต่การขาดการปรับปรุงการเพิ่มผลผลิตอาจจะทำให้อัตรากำขั้นต้นของบริษัทถูกบีบได้

เช่นเดียวกัน องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization หรือ ILO) คาดว่า กลุ่ม E7 จะสร้างงานประมาณ 8 ล้านตำแหน่ง โดย ILO คาดการณ์ว่า การจ้างงานในกลุ่ม G7 จะมีการกระจายตัวอย่างเท่าเทียมระหว่างผู้ชายและผู้หญิง แต่การจ้างงานภายในกลุ่ม E7 จะมีการกระจายตัวอย่างเท่าเทียมกันน้อยกว่าทั่วทุกเพศ

คาดอินเดียขยับขึ้นติด 1 ใน 3 ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก

ตามประมาณการล่าสุดของ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund หรือ IMF) ระบุว่า ในปี 2562 อินเดียได้แซงหน้าอังกฤษและฝรั่งเศสขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของโลก และมีแนวโน้มว่า ในปี 2568 อินเดียจะแซงหน้าเยอรมนี และญี่ปุ่นก่อนปี 2073 ขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของโลกเป็นอันดับที่ 3 รองจากจีนและสหรัฐอเมริกา ขณะที่ฝรั่งเศสและอังกฤษจะแข่งกันเป็นอันดับที่ 6 โดยมีตัวแปรสำคัญคือ ค่าเงินปอนด์เทียบกับเงินยูโรซึ่งจะยังคงมีความผันผวนอยู่ในปี 2563

การผลิตน้ำมันของสหรัฐอเมริกาเทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งของกำลังการผลิตของโอเปก

PwC ยังคาดการณ์ด้วยว่า การใช้พลังงานหมุนเวียนและพลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลกจะมีสัดส่วนมากกว่า 20% ของการใช้พลังงานทั่วโลก สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยการใช้พลังงานทดแทนที่เพิ่มขึ้นนี้สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวและการปรับทัศนคติของภาคธุรกิจ ภาคครัวเรือน และภาครัฐ

ทั้งนี้ คาดว่าจีนจะเป็นผู้ใช้พลังงานประเภทนี้รายใหญ่ที่สุดของโลกตามมาด้วยยุโรป อย่างไรก็ตาม คาดว่า น้ำมันจะยังคงเป็นแหล่งพลังงานที่มีการบริโภคมากที่สุดในปี 2563 ตามมาด้วยถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ โดยสหรัฐอเมริกาและจีนจะยังคงเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกในปีนี้

จำนวนประชากรโลก-ผู้สูงอายุสูงสุดเท่าที่เคยมีมา

ในปี 2563 คาดว่า จำนวนประชากรโลกจะสูงถึง 7.7 พันล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณ 10% เมื่อเทียบกับทศวรรษที่ผ่านมา โดยคาดว่าจีน อินเดีย และ แอฟริกาใต้เขตตอนใต้ทะเลทรายซาฮาราจะช่วยผลักดันการเติบโตของประชากรโลกให้เพิ่มขึ้นกว่าครึ่งหนึ่งในทุก ๆ ปี ในขณะเดียวกันก็คาดว่าจำนวนประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปีทั่วโลกจะมีมากกว่า 1 พันล้านคน โดยจีนจะมีจำนวนประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปีสูงกว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ใหญ่ที่สุดของโลก 6 แห่งรวมกันด้วย

นายศิระ กล่าวในตอนท้ายว่า สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยปี 2563 ก็กำลังเผชิญกับภาวะชะลอตัวของโลกาภิวัตน์ไม่แตกต่างจากเศรษฐกิจโลก โดยคาดว่า GDP ปีนี้จะเติบโตต่ำกว่า 3% โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยวและแรงหนุนจากการลงทุนของภาครัฐและการบริโภคภายในประเทศ แต่อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทุกคนต้องติดตามในปีนี้คือ สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่านว่า จะยืดเยื้อและขยายผลออกไปในวงกว้างหรือไม่ ยังไม่รวมถึงปัจจัยลบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา และจีนที่ยังคงกดดันเศรษฐกิจไปทั่วโลก และทำให้ค่าเงินบาทผันผวนอยู่ในเวลานี้ซึ่งอาจส่งผลต่อภาคการส่งออกของไทยอย่างต่อเนื่อง