“ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน” ต้อนรับศักราชใหม่ด้วยกิจกรรม “FREEDOM ON TOUR THAILAND 2020”

“ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ประเทศไทย” จัดกิจกรรมโรดโชว์สุดยิ่งใหญ่ FREEDOM ON TOUR THAILAND 2020” ครั้งที่ 2 โดยกำหนดกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 2563 เป็นต้นไป นำเสนอสุดยอดสมรรถนะของมอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ รุ่นใหม่ เปิดโอกาสให้แฟน ๆ “ฮาร์ลีย์” ในเมืองไทยได้สัมผัสมอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™กันอย่างใกล้ชิด ทั้งตระกูลทัวร์ริง (Touring) และซอฟเทล (Softail™) เพื่อเลือกมอเตอร์ไซค์ในฝันคันใหม่ได้ตรงใจและสื่อถึงตัวตนได้มากที่สุด

หนึ่งในความพิเศษของกิจกรรมทัวร์ครั้งนี้คือ ราคามอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ตระกูลทัวร์ริงรุ่นปี 2020 ซึ่งประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อตุลาคมที่ผ่านมา โดยเฉพาะรุ่นไฮไลต์ อย่าง “อิเล็กตร้า ไกลด์ สแตนดาร์ด” (Electra Glide™ Standard) มอบการขับขี่ที่ทรงพลังพร้อมดีไซน์เพื่อนักขี่ทางไกลตัวจริง ซึ่งต้องการเพลิดเพลินกับประสบการณ์การเดินทางที่แท้จริงโดยไร้สิ่งปรุงแต่งใด ๆ นำเสนอโทนสีดำ Vivid Black ในราคาเริ่มต้น 1,299,000 บาท

หนึ่งในฟีเจอร์การทำงานหลักในมอเตอร์ไซค์ตระกูลทัวร์ริงรุ่นปี 2020 คือ Reflex™ Defensive Rider System ซึ่งเป็นชุดเทคโนโลยีรูปแบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อผสานสมรรถนะของมอเตอร์ไซค์ให้สอดคล้องกับการยึดเกาะถนนในขณะเร่งความเร็ว ลดความเร็ว และเบรก โดยใช้ระบบการควบคุมแชสซี การควบคุมเบรกด้วยระบบไฟฟ้า และเทคโนโลยีการส่งกำลังแบบใหม่ล่าสุด

นายธนบดี กุลทล (มาร์ค) ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการการตลาด ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน ประเทศไทย กล่าวว่า

“ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน คือแบรนด์ที่อยู่คู่ท้องถนนมาอย่างยาวนาน และเราต้องการสานต่อความสำเร็จของงาน Freedom on Tour จากปีที่ผ่านมา เพื่อแนะนำมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ล่าสุดให้แฟน ๆ ทั่วประเทศไทยได้มาสัมผัสและทดลองขับขี่ด้วยตนเอง กิจกรรม Freedom on Tour ถือเป็นแนวทางที่ดีเยี่ยมในการนำเสนอมอเตอร์ไซค์รุ่นปี 2020 ของเราสู่กลุ่มลูกค้าที่กำลังมองหามอเตอร์ไซค์คันใหม่และต้องการเข้าร่วมในครอบครัวฮาร์ลีย์-เดวิดสัน เป็นครั้งแรก”

ผู้จำหน่ายฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ ในประเทศไทยทั้ง 9 ราย จะเข้าร่วมในกิจกรรม Freedom on Tour 2020 โดยขบวนโร้ดโชว์นี้จะจัดขึ้นในวันเสาร์และอาทิตย์ในแต่ละจังหวัดของผู้จำหน่าย นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมการทดลองขับขี่ Daily Ride ซึ่งจะจัดขึ้นในวันจันทร์-ศุกร์อีกด้วย

มอเตอร์ไซค์ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน™ รุ่นปี 2020 ซึ่งร่วมในการทดสอบสมรรถนะงาน FREEDOM ON TOUR THAILAND 2020 มีดังนี้

ตระกูลทัวร์ริง

  • โร้ด คิง (Road King™)
  • โร้ด คิง สเปเชียล (Road King™Special)
  • สตรีท ไกลด์ สเปเชียล (Street Glide™ Special)
  • โร้ด ไกลด์ สเปเชียล (Road Glide™ Special)
  • อิเล็กตร้า ไกลด์ สแตนดาร์ด (Electra Glide™ Standard)
  • อัลตร้า ลิมิเต็ด (Ultra Limited)

ตระกูลซอฟเทล

  • โลว์ ไรเดอร์ (Low Rider™)
  • แฟตบ๊อบ 114 (Fat Bob™ 114)
  • เบรกเอาท์ 114 (Breakout™ 114)
  • เฮอริเทจ คลาสสิก 114 (Heritage Classic 114)

กำหนดการและสถานที่จัดกิจกรรม FREEDOM ON TOUR THAILAND 2020

วันที่                         จังหวัด                                       ผู้จำหน่าย

12–19 ม.ค.                  เชียงใหม่                       Richco Harley-Davidson®

25 ม.ค.–2 ก.พ.           พิษณุโลก                      TNR Harley-Davidson® Phitsanulok

8–16 ก.พ.                    ขอนแก่น                       POISE Harley-Davidson® Khon Kaen

22 ก.พ.–1 มี.ค.            อุบลราชธานี                  Harley-Davidson® of Ubon Ratchathani

7–15 มี.ค.                     ชลบุรี                             AAS Harley-Davidson® of Pattaya

21–29 มี.ค.                  ภูเก็ต                              Harley-Davidson® of Phuket

25 เม.ย.–3 พ.ค.          สงขลา, หาดใหญ่          Harley-Davidson® of Hat Yai

9–17 พ.ค.                    กรุงเทพฯ                       Harley-Davidson® of Bangkok

23-31 พ.ค.                   กรุงเทพฯ                       AAS Harley-Davidson® of Bangkok

ติดตามรายละเอียดกิจกรรม Freedom On Tour Thailand 2020 ที่เว็บไซต์ https://www.harley-davidson.com/th/th/events/Freedom_On_Tour_2020.html

 

 

Synology® เปิดตัว UC3200 เทคโนโลยีเพื่อการดูแลจัดเก็บข้อมูลขององค์กร

Synology Inc. ประกาศเปิดตัว Unified Controller UC3200 แบบใช้ตัวควบคุมคู่ หรือ Dual Controller เครื่องแรก มอบการเชื่อมต่อข้อมูลระบบ iSCSI เสถียรภาพสูงเพื่อการปกป้องข้อมูลสำคัญทางธุรกิจ พร้อมเปิดตัวยูนิตเสริมเพื่อเพิ่มพื้นที่จัดเก็บ RXD1219sas

นายเจสัน แฟน ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ ของ Synology Inc. กล่าวว่า การหาโซลูชันที่ตอบโจทย์การเชื่อมต่อ iSCSI เสถียรภาพสูงที่มาพร้อมกับอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่าย รวมถึงมีราคาที่เป็นมิตรนั้นถือเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผู้ดูแลระบบไอทีในบริษัทเกือบทุกแห่ง Unified Controller UC3200 ใหม่ล่าสุดนี้จึงออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว โดยเป็นโซลูชัน IP SAN แบบ Active-Active ที่ทำให้ Service Uptime มากสุดเท่าที่จะทำได้ พร้อมระบบปฏิบัติการที่ช่วยให้แอดมินสามารถจัดการ Controller สองตัวได้ผ่านพอร์ทัลเดียว ทำให้การจัดการเป็นเรื่องง่ายและไม่ยุ่งยาก

ออกแบบเพื่อความน่าเชื่อถือสูงสุด

ขับเคลื่อนด้วย Intel® Xeon® 4 คอร์, 2.4 GHz CPU, และ สล็อตหน่วยความจำ DDR4 ECC UDIMM ขนาด 8GB ต่อ Controller นอกจากนี้ UC3200 ยังมอบประสิทธิภาพการเขียนแบบสุ่มระดับ 4K ได้ 140,000 IOPS โดย Aggregation 10GbE

  • หน่วยความจำ : DDR4 ECC UDIMM ขนาด 8GB ขยายได้สูงสุด 64GB
  • พอร์ต 10GbE built-in : 10GbE 1 พอร์ต และ 1GbE 2 พอร์ต เพื่อรองรับ Failover และ Link Aggregation
  • ส่วนเพิ่มขยาย PCIe : สล็อต PCIe 3.0 เพื่อเพิ่มการ์ดเครือข่ายอินเตอร์เฟซเสริม
  • การปรับขยาย : 12 สล็อตไดรฟ์อินเตอร์เฟซ SAS ที่ติดตั้งมาเบื้องต้น สามารถเพิ่มความจุรวมได้สูงสุด 500TB ด้วย RXD1219sas 2 ตัว
  • ส่วนประกอบแบบถอดแยกชิ้นส่วน : ส่วนประกอบหลักอย่างโมดูล SAS และพัดลมระบายความร้อน สามารถถอดเปลี่ยนได้เพื่อยืดเวลาการ Uptime ของระบบให้ได้มากที่สุด

Unitech Computer ได้มีส่วนร่วมในการทดลองโปรแกรมเบต้าก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เพื่อทดสอบความเสถียรของ UC3200 ในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง โดย นายโทนี เฉิน ผู้จัดการฝ่ายสนับสนุนด้านเทคนิคของ Unitech Computer กล่าวว่า UC3200 จาก Synology สามารถทำงานได้เหนือความคาดหมายของเราอย่างยอดเยี่ยม การติดตั้งไม่ยุ่งยาก รวมถึงการซัพพอร์ตเมื่อเกิด failover ระหว่าง Active- Active Controller ทั้ง 2 ตัวได้อย่างลื่นไหล เมื่อเกิดความผิดพลาดกับหน่วยเก็บเสมือนของเรา นอกเหนือจากการแจ้งเตือนผ่านอีเมลแล้ว บริษัทยังไม่เคยได้รับการร้องเรียนปัญหาใด ๆ จากเพื่อนร่วมงานเลย จึงขอแนะนำ UC3200 จาก Synology สำหรับบริษัทที่กำลังมองหาพื้นที่จัดเก็บ iSCSI สำหรับ virtualization เนื่องจากมีความเสถียรสูง เชื่อถือได้ และมีประสิทธิภาพสูงพร้อมกับราคาที่คุ้มค่า

High availability

UC3200 มีการออกแบบฮาร์ดแวร์แบบเอ็กซ์คลูซีฟ ทำให้ UC3200 ช่วยธุรกิจให้ทำงานแบบแทบไม่มีการหยุดชะงักและรองรับการทำงานด้านไอทีอื่น ๆ ด้วย

  • Non-Transparent Bridge (NTB) : Controller ทั้งสองตัวสามารถรับช่วงการทำงานต่อจากอีกตัวได้อย่างไร้รอยต่อ ในกรณีที่อีกตัวประสบปัญหา
  • Self-Encrypting Drive (SED) : รองรับการเข้ารหัสข้อมูลสำคัญเพื่อความปลอดภัยของข้อมูลได้ถึงระดับฮาร์ดแวร์
  • Built-In SATA-DOM : แยกระบบปฏิบัติการออกจากข้อมูลสำคัญ
  • Resilient Cache Protection : ซิงค์ข้อมูลที่จัดเก็บไว้ระหว่าง Controller 2 ตัว เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูลในกรณีการทำงานล้มเหลวของ controller ตัวใดตัวหนึ่งก่อนข้อมูลจะถูกบันทึกถาวรในฮาร์ดไดร์ฟ
  • รับประกัน 5 ปี : มอบประสบการณ์จัดการข้อมูลที่เชื่อถือได้ ด้วยการประกันถึง 5 ปี

ออกแบบเพื่อการทำงานในสภาพแวดล้อม Virtualization โดยเฉพาะ

UC3200 มอบการทำงานแบบไร้รอยต่อ มาพร้อมกับ iSCSI ที่ผ่านการรับรองและสามารถทำงานร่วมกับไฮเปอร์ไวเซอร์ทั่วไปได้

  • iSCSI ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม ALUA : ช่วยให้เครื่องโฮสต์สามารถระบุ Optimized Paths เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของการถ่ายโอนข้อมูล
  • Application-Aware Snapshot : มีการวางแผนกู้คืนข้อมูลสำคัญได้ทันทีเมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน
  • Virtualization-Ready : รองรับ VMware vSphere® 6.5, Microsoft Hyper-V®, Citrix XenServer® และ OpenStack® Cinder

เพิ่มพื้นที่จัดเก็บให้กับ UC3200 ด้วยยูนิต RXD1219sas

RXD1219sas เป็นยูนิตเสริมขนาด 2U เป็นโซลูชันพื้นที่จัดเก็บเสริมทรงประสิทธิภาพสำหรับ UC3200 โดยสามารถเพิ่มส่วนขยาย SAS ขนาด 2.5 นิ้วและ 3.5 นิ้ว ได้สูงสุดถึง 12 เบย์ ทันทีเมื่อเชื่อมต่อ UC3200 โดยตรง กับ RXD1219sas ด้วยสายเคเบิล mini-SAS HD 2 สาย และส่วนประกอบหลักแบบถอดเปลี่ยนได้อย่าง โมดูล SAS และพัดลมระบายความร้อน เพื่อยืดเวลาการใช้งานของระบบให้ได้มากที่สุด

  • เชื่อถือได้ : พาวเวอร์ซัปพลายสำรองช่วยเพื่อขยายเวลาการใช้งานของระบบให้ได้มากที่สุด
  • ความจุยืดหยุ่นมากขึ้น : ดีไซน์แบบ Plug-and-Play เพื่อการเพิ่มการจัดเก็บที่ไม่มีสะดุด
  • สมรรถนะสูง : Mini-SAS HD ให้การเชื่อมต่อที่มีประสิทธิภาพสูงสุดระหว่างการถ่ายโอนข้อมูล

สามารถดูข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมของ UC3200 ได้ที่ https://www.synology.com/products/UC3200

และสามารถดูข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมของ RXD1219sas ได้ที่ https://www.synology.com/products/RXD1219sas

 

“ธัญญาพาร์ค” ปั้นฝันวัยจิ๋วสู่บทบาท “นักแสดงละครสัตว์”

alivesonline.com : นักแสดงละครสัตว์” เป็นอีกหนึ่งความฝันของเด็กไทยจำนวนไม่น้อยที่อยากก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงในคณะละครสัตว์ระดับโลก ด้วยความตื่นตาตื่นใจ สีสัน ความอลังการ รวมไปถึงความสนุกสนานที่ล้วนดึงดูดให้อยากเข้าไปสัมผัส

ล่าสุด ศูนย์การค้า “ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์” เตรียมจัดงานวันเด็กแห่งชาติ Thanya Park Happy Kids Day 2020 : The Carnival of Wonder Circus” เพื่อให้น้อง ๆ มาสนุก พร้อมฝึกทักษะการแสดงโชว์ในแบบฉบับเซอร์คัส วันที่ 11-12 มกราคม 2563 ณ ศูนย์การค้า “ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์”

นางสุนันทา สมบุญธรรมประธานกรรมการบริหาร ศูนย์การค้า ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์กล่าวว่า กิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ เป็นกิจกรรมที่ ศูนย์การค้า “ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์” จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อมอบความสนุก ความสุข ให้แก่เยาวชนอันเป็นแรงกำลังสำคัญของชาติ โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นนอกจากจะสอดแทรกความสนุกแล้ว ยังมอบองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ พร้อมทั้งทักษะการใช้ชีวิต และที่สำคัญคือการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนไทย โดยในปีนี้ทางศูนย์การค้าฯ ได้จัดกิจกรรมวันเด็กชื่อ Thanya Park Happy Kids Day 2020 : The Carnival of Wonder Circus” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ความมหัศจรรย์ในคณะละครสัตว์” เพื่อให้น้อง ๆ ออกมาสนุกพร้อมสานฝันให้เด็กหลายคนที่อยากเป็นนักแสดงคณะละครสัตว์ชื่อดังระดับโลก

ภายในงานมีการจำลองโชว์ยอดนิยมมาให้น้อง ๆ ได้ฝึกฝีมือเบื้องต้นด้วยการสวมบทบาทการเป็นนักแสดงละครสัตว์ อาทิ “ลอดห่วงไฟ” (Flaming Hoops) กิจกรรมทดสอบความแข็งแกร่งของร่างกายด้วยการฝึกกระโดดลอดห่วงไฟจำลอง โดยกิจกรรมนี้น้อง ๆ จะได้ใช้ทักษะด้านกีฬายิมนาสติก พร้อมทั้งฝึกการใช้ประสาทสัมผัสและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขนและลำตัว

ต่อมาคือ “เดินบาร์” (Walking Balance) การเดินทรงตัวบนบาร์ไม้ขนาดเล็ก ซึ่งเป็นการจำลองมาจากโชว์เดินบนเส้นลวดในคณะละครสัตว์ ให้น้อง ๆ ได้ทดสอบทักษะการบาลานซ์ร่างกาย การสร้างสมาธิ รวมไปถึงการดึงทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าออกมาใช้

กิจกรรม “จั๊กกลิ้ง” (Juggling Show) ชวนประลองการใช้ประสาทสัมผัส  ทดสอบความแม่นยำของสายตา ในการโยนลูกบอล 3 ลูก สลับไปมากลางอากาศ ด้วย 2 มือ และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย

น้อง ๆ ที่มีความฝันอยากเป็นนักแสดงละครสัตว์ชื่อดังระดับโลก มาร่วมทดสอบความสามารถและสนุกกับกิจกรรมต่าง ๆ ในงานวันเด็กแห่งชาติ “Thanya Park Happy Kids Day 2020 : The Carnival of Wonder Circus” ฟรี! ตั้งแต่วันที่ 11-12 มกราคม 2563 เวลา 10.00-18.00 น. ณ ศูนย์การค้า “ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์” สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0 2108 6000 หรือติดตามรายละเอียดได้ที่ www.facebook.com/thanyapark

ALL จัดกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟเอาใจสมาชิก “อินสไปร์ ฮับ”

ถือเป็นของขวัญส่งท้ายปีสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับสมาชิก “อินสไปร์ ฮับ” โดยเฉพาะ เมื่อ ‘ธนากร ธนวริทธิ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL จัดกิจกรรมให้กับลูกบ้านผู้โชคดีเข้าร่วมบรรยากาศดินเนอร์สุดหรูภายในงาน THE INSPIRED NIGHT with The Exclusive Fine Dining” ในโรงภาพยนตร์สุดหรู Enigma ณ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ ชั้น 6 สยามพารากอน เมื่อเร็ว ๆ นี้

‘ธนากร ธนวริทธิ์’ (ขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)

บรรยากาศภายในงานดินเนอร์สุดหรูกับเชฟมิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาวชาวฝรั่งเศสอย่าง เชฟโอลิวิเยร์ ลิมูแซง (Olivier Limousin) มารังสรรค์เมนูอาหารชั้นเลิศควบคู่ไปกับ Wine Pairing ให้ได้สัมผัสรสชาติและดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงเพราะๆ จาก “ลีเดีย – ศรัณย์รัชต์ ดีน” และปิดท้ายด้วยการชมภาพยนตร์ “Star Wars: The Rise of Skywalker” (สตาร์ วอร์ส : กำเนิดใหม่สกายวอล์คเกอร์) ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของภาพยนตร์มหากาพย์ไตรภาคสงครามแห่งจักรวาล ในบรรยากาศ Enigma : The Shadow Screen โรงภาพยนตร์สไตล์คลับแห่งแรกแห่งเดียวในไทย พร้อมให้บริการในระดับโรงแรมห้าดาว ที่นั่งแบบเตียงนอนปรับเอนนอนได้อีกด้วย

เชฟโอลิวิเยร์ ลิมูแซง

ลีเดีย – ศรัณย์รัชต์ ดีน

หรูหราอลังการแบบนี้ จัดให้เฉพาะสมาชิกอินสไปร์ ฮับ เท่านั้น ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตตามสโลแกน “Class of Living” สนใจชีวิตดี ๆ แบบนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0 2029 9999 หรือ www.allinspire.co.th

นักศึกษา ม.ขอนแก่น คว้ารางวัล “Häfele Kitchen Design Award 2019”

นายโฟลเคอร์ เฮลสเติร์น (แถวหลัง ที่ 4 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นประธานมอบรางวัลชนะเลิศการประกวด “Häfele Kitchen Design Award 2019” ภายใต้แนวคิด “Cultural Heritage Design” ให้แก่ น.ส. กัณฐษร ลนขุนทด และ น.ส.จานิจ สุพรรณวงศ์ นักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ด้วยผลงาน “เฮือนครัว บ้านเฮา” ที่ผสานทุกโจทย์อันซับซ้อน ออกมาเป็นผลงานห้องครัวที่สะท้อนวิถีชีวิตของชาวอีสานได้อย่างลงตัวที่สุด คว้ารางวัลชนะเลิศ และเงินรางวัลกว่า 60,000 บาท ณ เฮเฟเล่ ดีไซน์ สตูดิโอ สุขุมวิท 64 เมื่อเร็ว ๆ นี้

คาดสิ้นปี 63 เงินบาทอยู่ในกรอบ 29.5-30.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ

ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ / วชริวัฒน์ บานชื่น / พงศกร ศรสีกาวกุล

Economic Intelligence Center (EIC)

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

ค่าเงินบาทในปี 2563 จะยังคงเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นในอัตราที่น้อยลงจากปี 2562 โดยคาดว่าเงินบาท ณ สิ้นปี 2563 จะอยู่ในกรอบ 29.5-30.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เนื่องจากประเทศไทยยังต้องเผชิญปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุลในระดับสูง ขณะที่ความต้องการลงทุนในต่างประเทศยังต่ำ (Home Bias ยังคงสูง) จึงทำให้มีความต้องการเงินบาทเทียบเหรียญสหรัฐในปริมาณมาก อีกทั้งดัชนีค่าเงินเหรียญสหรัฐมีโอกาสปรับอ่อนค่าลงได้เล็กน้อยทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นโดยเปรียบเทียบ

อย่างไรก็ดี ปัจจัยหนุนที่ช่วยให้เงินบาทจะไม่แข็งค่าขึ้นเร็วมากเท่าในปี 2562 คือ การลงทุนในต่างประเทศของภาคธุรกิจไทยอาจมีแนวโน้มปรับดีขึ้นบ้าง การขายทำกำไรทองคำมีแนวโน้มลดลง และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทย-สหรัฐฯ ที่อาจกว้างขึ้นได้

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่าการแข็งค่าอย่างรวดเร็วนี้เป็นผลจากสภาพคล่องในตลาดเงินที่อยู่ในระดับต่ำในช่วงวันหยุดเทศกาล ทำให้การทำธุรกรรมซื้อขายเงินตราไม่สมดุล อีกทั้งยังเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินเหรียญสหรัฐด้วยเช่นกัน

ในโอกาสนี้ Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จึงได้นำเสนอบทวิเคราะห์มุมมองค่าเงินบาทในปี 2563 เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเตรียมตัวพร้อมรับมือต่อความผันผวนของค่าเงินในระยะต่อไป

จากคาดการณ์เดิม ณ รายงาน Outlook ของไตรมาสก่อนที่ 30-31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ โดยค่าเงินบาทในปี 2562 เฉลี่ยอยู่ที่ 31.05 บาทต่อเหรียญสหรัฐ แข็งค่าขึ้น 4.1% จากปี 2561 ขณะที่ดัชนีค่าเงินบาท (Nominal Effective Exchange Rate : NEER) ในปี 2562 เฉลี่ยอยู่ที่ 123.2 ปรับแข็งค่าขึ้น 6.6% จากปี 2561 เช่นกัน สำหรับในปี 2563 เงินบาทมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าอยู่ต่อเนื่อง แต่อยู่ในอัตราที่น้อยลงจากปี 2562

  • คาดเงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐจากปัจจัยดังต่อไปนี้

1.ดลุบัญชีเดินสะพัดไทยในปี 2563 จะยงัคงเกินดุลสูง โดย EIC ประเมินว่าดุลบัญชีเดินสะพัดไทยในปี 2563 จะยังเกินดุลในระดับสูงใกล้เคียงในปี 2562 เนื่องจาก 1) มูลค่าการส่งออกและนำเข้าในปี 2563 มีแนวโน้มทรงตัวจากปีก่อน 2) ภาคการท่องเที่ยวจะยังคงขยายตัวแม้ในอัตราที่ชะลอลง และ 3) การลงทุนในประเทศจะยังอยู่ในภาวะซบเซา จึงทำให้โดยรวมแล้วการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยแม้จะชะลอลงแต่ยังคงเกินดุลในระดับสูงที่ประมาณ 6% ต่อ GDP (6.3% ต่อ GDP ในปี 2562)

ขณะที่ความต้องการนำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศยังมีต่ำ (Home Bias ยังคงอยู่ในระดับสูง) ซึ่งจะทำให้ความต้องการเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐยังมีอยู่มาก นอกจากนี้ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูง เงินทุนสำรองต่อหนี้ต่างประเทศที่มากก็จะยังทำให้เงินบาทมีสถานะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยของภูมิภาค (Regional Safe Haven) ต่อไป ซึ่งจะทำให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงน้อยกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาคในช่วงที่ความเชื่อมั่นลดลง

2.ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกปรับลดลง ส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (EM-Asia) รวมถึงไทย โดย EIC มองว่า การเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนที่มีความคืบหน้า (Phase 1 Deal) ไปนั้น เป็นปัจจัยที่ลดความเสี่ยงด้านต่ำของภาคส่งออกและเศรษฐกิจโดยรวมของกลุ่มประเทศ EM-Asia อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนความเสี่ยงจากสถานการณ์ Brexit ก็ปรับดีขึ้นเช่นกัน หลังพรรค Conservative ชนะการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับลดลงในปี 2563 ซึ่ง EIC มองว่าจะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับสูงขึ้นและมีเงินทุนไหลกลับเข้ากลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ได้

3.ดัชนีค่าเงินเหรียญสหรัฐมีโอกาสปรับอ่อนค่าลงได้เล็กน้อย ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นโดยเปรียบเทียบ โดย EIC พบว่า ในเวลาที่เศรษฐกิจโลกปรับแย่ลงจะทำให้มีความต้องการถือเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นสกุลเงินหลักของโลกและมีความเสี่ยงต่ำ ทั้งนี้ในระยะต่อไปที่เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับดีขึ้น ความเสี่ยงของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโลกลดลงก็จะทำให้ความต้องการถือครองเงินเหรียญสหรัฐปรับลดลงมา ซึ่งจากข้อมูลปริมาณสัญญาที่เก็งกำไรในเงินเหรียญสหรัฐก็เริ่มสะท้อนให้เห็นแนวโน้มนี้ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 บ้างแล้ว

อย่างไรก็ดี EIC มองว่าแม้เงินเหรียญสหรัฐจะไม่อ่อนค่าลงมากนัก เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา(Federal Reserve) จะมีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตลอดปี 2563 (จากที่เคยมองว่ามีโอกาสลดดอกเบี้ยได้ 1 ครั้ง) แต่ธนาคารกลางสำคัญอื่น ๆ มีแนวโน้มดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายกว่า โดยธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan : BOJ) มีแนวโน้มคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2563 แต่ก็จะยังดำเนินมาตรการผ่อนคลายทางการเงินผ่านการทำ Quantitative Easing (QE) ต่อไป นอกจากนี้โอกาสที่ ECB และ BOJ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปี 2563 ก็มีสูงกว่า Fed ดังนั้นจึงมีโอกาสที่เงินยูโรและเงินเยนจะอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเหรียญสหรัฐได้ ขณะเดียวกันความไม่แน่นอนของการเจรจาเขต (Balance Of Payment) การค้าเสรี (FTA) ระหว่างอังกฤษและยุโรปอาจทำให้เงินยูโรและเงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเหรียญสหรัฐ

4.ข้อจำกัดของ ธปท. ในการผ่อนคลายนโยบายการเงินและเข้าดูแลอัตราแลกเปลี่ยน การผ่อนคลายนโยบายการเงิน เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีส่วนช่วยให้อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศนั้น ๆ อ่อนค่าลงได้ อย่างไรก็ดี ด้วยขีดความสามารถในการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ที่มีจำกัดมากขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำสุดในประวัติการณ์ทำให้ความสามารถในการดูแลค่าเงินบาทผ่านช่องทางนี้ลดลงนอกจากนี้ ประเทศไทยยังต้องเผชิญต่อความเสี่ยงที่อาจถูกจัดเป็นประเทศผู้บิดเบือนค่าเงิน (Currency Manipulator) โดยกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกา จึงทำให้ ธปท. อาจไม่สามารถดูแลค่าเงินบาทได้มากเท่ากับในอดีต ดังนั้นโอกาสที่เงินบาทต้องเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าจึงจะมีอยู่ต่อไป

5.เงินหยวนที่มีแนวโน้มแข็งค่าอาจทำให้ค่าเงินในภมูิภาครวมถึงเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นตาม ในช่วงที่สงครามการค้าทวีความรุนแรง เงินหยวนปรับอ่อนค่าลงค่อนข้างมาก ทำให้สินค้าจีนมีความได้เปรียบในการแข่งขันด้านราคาต่อประเทศอื่น ส่งผลต่อแนวโน้มการส่งออกและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าคู่แข่งของจีน ค่าเงินสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาคโดยเฉพาะประเทศที่ส่งออกสินค้าคล้ายคลึงกับจีนจึงปรับอ่อนค่าลงตาม ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็พบว่าเงินบาทปรับอ่อนค่าตามหยวนในช่วงสงครามการค้าทวีความรุนแรงเช่นกัน อย่างไรก็ดี สำหรับในระยะต่อไปที่สงครามการค้ามีแนวโน้มลดความรุนแรงลง ความเชื่อมั่นของนักลงทุนโลกมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น จึงทำให้เงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น และด้วยเสถียรภาพต่างประเทศของไทยที่แข็งแกร่งจะยิ่งทำให้เงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นตามเช่นกัน

  • การแข็งค่าของเงินบาทในปี 2563 จะลดน้อยลงเมื่อเทียบกับปี 2562 เนื่องจาก

1.ดุลบัญชีการเงินไทย (Financial Account) อาจขาดดุลมากขึ้นได้เล็กน้อย จากแนวโน้มการออกไปลงทุนต่างประเทศที่เพิ่มสูงขี้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2558 โดยคาดว่าในปี 2563 มีโอกาสที่ภาคธุรกิจไทยจะออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยปัจจัยสนับสนุนให้ภาคเอกชนออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้นส่วนหนึ่งมาจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค รวมถึงความไม่แน่นอนภายในประเทศที่ยังมีค่อนข้างมาก นอกจากนี้การผ่อนคลายกฎเกณฑ์การออกไปลงทุนของ ธปท. น่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ภาคธุรกิจไทยมีแนวโน้มออกไปซื้อ หรือควบรวมกิจการต่างประเทศ รวมถึงช่วยให้การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ EIC จึงประเมินว่าดุลบัญชีการเงินไทยอาจขาดดุลมากขึ้นซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อเงินบาทผ่านการเกินดุลการชำระเงิน (Balance Of Payment) ที่ลดลง

2.แรงกดดันจากการขายทำกำไรทองคำมีแนวโน้มลดลง ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น ความเชื่อมั่นของนักลงทุนปรับลดลง (Risk-Off Sentiment) และหันไปถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำมากขึ้น ราคาทองคำจึงปรับสูงขึ้นในช่วงดังกล่าว ซึ่งนักลงทุนทองคำในไทยบางส่วนมักจะขายทองคำออกสู่ตลาดทองคำโลกเพื่อทำกำไรจากราคาที่ปรับขึ้น ทำให้มีความต้องการแลกเงินเหรียญสหรัฐที่ได้จากการขายทองคำกลับมาเป็นเงินบาท ค่าเงินบาทจึงมักปรับแข็งค่าขึ้นในช่วงดังกล่าวเช่นกัน

อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มปรับลดลงในปี 2564 การเพิ่มขึ้นของราคาทองคำอาจมีแนวโน้มชะลอลง หรือปรับลดลงได้ จึงทำให้แรงกดดันต่อเงินบาทจากปัจจัยนี้มีน้อยลง นอกจากนี้การผ่อนคลายกฎเกณฑ์ด้านการแลกเปลี่ยนเงินของ ธปท. ที่อนุญาตให้ผู้ค้าทองคำสามารถเก็บเงินตราต่างประเทศจากการขายทองคำไว้ในบัญชี FCD โดยไม่ต้องแลกเป็นบาทเพื่อรอลงทุนในครั้งต่อไปจะช่วยลดแรงกดดันด้านแข็งค่าของเงินบาทในปีหน้าได้เพิ่มขึ้น

3.แนวโน้มส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายระหว่างไทยและประเทศเศรษฐกิจหลัก หากเศรษฐกิจไทยปรับแย่ลงกว่าที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คาดจนทำให้ต้องมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ก็จะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นของไทยยิ่งปรับลดลงต่ำกว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ทำให้มีโอกาสที่นักลงทุนอาจเลือกออกไปลงทุนในสินทรัพย์ประเทศอื่นที่มีผลตอบแทน (Carry Return) สูงกว่าเงินทุนเคลื่อนย้ายที่คาดว่าอาจไหลเข้าไทยได้ก็อาจมีน้อยลง หรืออาจมีการไหลออก เงินบาทจึงอาจอ่อนค่าได้ อย่างไรก็ดี จากการศึกษาของ EIC ที่ผ่านมาพบว่า ปัจจัยด้านส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยมีผลต่อค่าเงินบาทเพียงเล็กน้อยและมีอิทธิพลน้อยกว่าปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น ขนาดดุลบัญชีเดินสะพัด

โดยสรุป เงินบาทในปี 2563 จะยังคงเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าอยู่ต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่น้อยลงจากปี 2562 โดยคาดว่า ณ สิ้นปี 2563 เงินบาทจะอยู่ในกรอบ 29.5-30.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เนื่องจากประเทศไทยยังต้องเผชิญปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุลในระดับสูง ขณะที่ความต้องการลงทุนในต่างประเทศยังต่ำ (Home Bias ยังคงสูง) จึงทำให้มีความต้องการเงินบาทเทียบเหรียญสหรัฐในปริมาณมาก อีกทั้งดัชนีค่าเงินเหรียญสหรัฐมีโอกาสปรับอ่อนค่าลงได้เล็กน้อยทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นโดยเปรียบเทียบ

อย่างไรก็ดี ปัจจัยหนุนที่จะช่วยให้เงินบาทไม่แข็งค่าขึ้นเร็วมากเท่าในปี 2562 คือ การลงทุนในต่างประเทศของภาคธุรกิจไทยอาจมีแนวโน้มปรับดีขึ้นบ้าง การขายทำกำไรทองคำมีแนวโน้มลดลง และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไทย-สหรัฐฯ ที่อาจกว้างขึ้นได้

“ไทยแลนด์ ยอชท์ โชว์” แพลตฟอร์มธุรกิจท่องเที่ยวทางเรือระดับโลก

alivesonline.com : มหกรรมงานแสดงเรือยอชท์และไลฟท์สไตล์สุดหรู “ไทยแลนด์ ยอชท์ โชว์ ครั้งที่ 5” เตรียมจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ในประเทศไทยอีกครั้ง ณ รอยัล ภูเก็ต มารีน่า จังหวัดภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 9-12 มกราคม 2563

การจัดงาน “ไทยแลนด์ ยอชท์ โชว์” มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บรรดาผู้รักและหลงใหลในเรือยอชท์และไลฟ์สไตล์สุดหรูจากทั่วภูมิภาค มาเยี่ยมชมและสัมผัสงานแสดงที่จะช่วยสร้างชื่อเสียงของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางเรือยอชท์ระดับโลกในเอเชีย ถือเป็นแพลตฟอร์มทางการตลาดสำคัญที่จะช่วยสร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจท้องถิ่น พร้อมพบกับการเปิดตัวเรือยอชท์สุดหรูใหม่ในเอเชียและประเทศไทยเป็นครั้งแรกจากหลากหลายแบรนด์ชั้นนำจากทั่วโลก

ตลอด 4 วัน ของงาน “ไทยแลนด์ ยอชท์ โชว์ ครั้งที่ 5” ซึ่งจัดขึ้นในช่วงไฮซีซันของเกาะภูเก็ต จะทำให้มารีน่าแห่งนีเป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์สุดหรู ช่วยเสริมสร้างชื่อเสียงของภูเก็ตในฐานะจุดหมายปลายทางการล่องเรือยอชท์ชั้นนำของเอเชียและเป็นสวรรค์ของผู้รักท้องทะเลและการล่องเรือสำราญ โดยภายในงานจะประกอบไปด้วยการจัดแสดงเรือยอชท์หรูระดับเฟิร์สท์คลาสจากบรรดาตัวแทน ผู้ผลิตและอู่ต่อเรือระดับชั้นนำของโลก ซึ่งจะนำเรือมาเปิดตัวและจัดแสดงครั้งแรกหลายลำในงานนี้ ตลอดจนถึงเจ้าของสินค้าทั้งแบรนด์ชั้นนำ เอเจนซีตัวแทนเรือเช่าเหมาลำ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพท์และยนตกรรมหรู รวมทั้งธุรกิจโรงแรม อาหารและเครื่องดื่มต่าง ๆ รอให้การต้อนรับผู้เข้าเยี่ยมชมงานและลูกค้าผู้มั่งคั่งในระดับ High-Net-Worth รวมทั้งกลุ่มผู้ซื้อและเจ้าของเรือยอชท์จำนวนมากซึ่งพร้อมที่จะเลือกซื้อและจับจ่ายใช้สอยภายในงาน

งาน “ไทยแลนด์ ยอชท์ โชว์ ครั้งที่ 5” ยังคงดึงดูดแบรนด์ชั้นนำในธุรกิจเรือและไลฟ์สไตล์หรูมาร่วมแสดงผลงานเช่นเคย 

นายริชาร์ด อัลเลน ผู้จัดการทั่วไป “ซิมป์สัน มารีน” กล่าวถึงเรือที่จะนำมาแสดงในงานนี้ว่า เรามีความยินดีที่ได้เข้าร่วมงาน “ไทยแลนด์ยอชท์โชว์ 2020” อีกครั้ง โดยเตรียมนำเรือยอชท์ 6 ลำ ซึ่งจะเปิดตัวครั้งแรกในเอเชียอย่างน้อย 3 ลำ เพื่อนำเสนอความสำเร็จและความก้าวหน้าของ “ซิมป์สัน มารีน” ในฐานะแบรนด์ชั้นนำของโลก โดยเรามีเรือรุ่นใหม่จาก “ซาน ลอเรนโซ” (San Lorenzo) “มอนติ คาร์โล ยอชท์” (Monte Carlo Yachts) “แฟร์ไลน์ ยอชท์” (Fairline Yachts) “เบนเนเทว” (Benneteau) “ลากูน คาตามารัน” (Lagoon Catamarans) และ “อกิล่า พาวเวอร์ คาตามารัน” (Aquila Power Catamarans) มาร่วมแสดง นอกจากนี้ เรายังมีบริการพร้อมด้วยข้อเสนอพิเศษสำหรับการเช่าเหมาลำเรือทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ทีมงาน Yacht Care Team ของ “ซิมป์สัน มารีน” ได้จัดเตรียมแพคเกจพิเศษสำหรับเจ้าของเรือยอชท์ที่สนใจการเป็นเจ้าของแบบไม่ต้องดูแล (Care-Free Ownership) ตลอดจนบริการให้คำแนะนำการจดทะเบียนเรือให้ผู้ที่สนใจ เนื่องจาก “ซิมป์สัน มารีน” เป็นเอเจนต์ที่ได้รับอนุญาตสำหรับการจดทะเบียนเรือของ “Langkawi Yacht Registry” ด้วยเช่นกัน

“ลี มารีน” (Lee Marine) ตัวแทนเรือซูเปอร์ยอชท์ชั้นนำและดีลเลอร์ “เฟร์เรตติ” (Ferretti) ยังเตรียมนำเรือที่จะเปิดตัวในเอเชียเป็นครั้งแรก ทั้งจาก “คัสตอม ไลน์” (Custom Line) “ริว่า” (Riva) และ “ริเวียร่า” (Riviera) มานำเสนอในงานนี้ รวมทั้งเรือยอชท์ขนาดใหญ่ 2 ลำ ภายใต้ธง “นอร์ธอร์ป & จอห์นสัน” (Northrop & Johnson) โดย นายโจชัว ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ “ลี มารีน” กล่าวว่า

“เรายังคงให้การสนับสนุนไทยแลนด์ ยอชท์ โชว์ อย่างต่อเนื่อง เพราะถือได้ว่าเป็นงานจัดแสดงเรือยอชท์หลักในไทย เราเชื่อมั่นว่าความพยายามของผู้จัดที่มุ่งเปิดโอกาสการท่องเที่ยวแบบซูเปอร์ยอชท์จะส่งผลประโยชน์ให้กับประเทศไทยและธุรกิจของเราทั้งหมดด้วยเช่นกัน”

ด้าน “โบ๊ท ลากูน ยอชต์ติ้ง” (Boat Lagoon Yachting) เตรียมนำเรือ Princess Y85 เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือพิเศษระหว่าง Pinnafarina กับสตูดิโอออกแบบของ Princess พร้อมกับเทคโนโลยีล่าสุดและคุณภาพการต่อเรืออันล้ำสมัยอันเลื่องชื่อของ Princess นอกจากนี้ ยังมีเรือรุ่นใหม่ Princess F62 ที่จะนำมาแสดงในงาน โดยบริษัทฯ ยังเป็นตัวแทนจำหน่ายเรือ RIBS หรู จาก Sacs Marine และจะนำเรือธง Sacs Rebel 47 ขนาด 15 เมตร ซึ่งเป็นเรือ RIB ดีไซน์หรูสุดในตลาด หนึ่งในรุ่น Sacs มาจัดแสดง พร้อมด้วยเรือ Jeanneau Cap Camarat10.5Wa ที่จะเปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทยด้วยเช่นกัน

หนึ่งในดีลเลอร์เรือคาตามารันรายใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของประเทศไทย “มัลติฮัลล์ โซลูชั่นส์” (Multihull Solutions) เตรียมนำเรือ NEEL Trimarans และ Asia Catamarans เปิดตัวครั้งแรกในเอเชียภายในงานนี้ นายแอนดรูว์ เดอ บรูอิน ผู้จัดการทั่วไปกล่าวว่า

“เรานำเรือที่น่าสนใจมาร่วมงานไทยแลนด์ ยอชท์ โชว์ ในปีนี้ซึ่งพบว่าความต้องการเรือคาตามารันที่มีความพิเศษของเราในตลาดมีการเติบโตสูงขึ้น อีกทั้งเราได้รับผลตอบแทนที่ดีเสมอมาจากการเข้าร่วมงานนี้ และเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ทุกฝ่ายยังคงให้การสนับสนุนการจัดงานซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตแก่อุตสาหกรรมในอนาคต”

 

สำหรับ “เอเชีย ยอชท์ติ้ง” (Asia Yachting) ซึ่งเข้าร่วมงานนี้เป็นครั้งแรกและเป็นดีลเลอร์ที่เติบโตเร็วที่สุดและประสบความสำเร็จอย่างสูงของ Monte Carlo Yachts และ Prestige Yachts จากฮ่องกง และขณะนี้กำลังขยายธุรกิจมายังประเทศไทยและสิงคโปร์ โดย นายโอลิเวียร์ เบสซัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวถึงโอกาสในภูมิภาคและการร่วมงาน “ไทยแลนด์ ยอชท์ โชว์” ว่า

“เราตื่นเต้นที่จะได้เปิดสำนักงานใหม่ในภูเก็ตซึ่งจะช่วยให้เรามุ่งเน้นการจัดจำหน่ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าตลาดจะเติบโตอย่างสูงในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านี้ เราตระหนักดีถึงความพยายามของผู้จัดงานที่มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมนี้และเรามีความยินดีที่ได้ให้การสนับสนุนและคาดว่าเราจะสามารถทำยอดขายได้ในงานนี้”

ส่วนผู้รักผลงานจากอิตาลี จะต้องมีความยินดีที่ผู้ต่อเรือที่มีชื่อเสียงอะซิมุท ยอชท์” (Azimut Yachts) จะนำเรือรุ่นใหม่ถึง 2 รุ่น มาจัดแสดง ขณะที่แบรนด์ดังจากอังกฤษ Sunseeker จะนำเรือยอชท์ระดับแถวหน้ามาจัดแสดงเพื่อโชว์ผลงานเรือหรูระดับไฮแฟชั่นเช่นกัน

ผู้เข้าร่วมงาน “ไทยแลนด์ ยอชท์ โชว์ ครั้งที่ 5” ยังจะได้พบกับการจัดแสดงสินค้าและบริการใหม่สุด รวมทั้งการนำเสนอแบบอินเตอร์แอคทีฟ กิจกรรมพิเศษวันเด็ก การแสดงศิลปะและมาสเตอร์คลาสศิลปะ ดนตรีสด แฟชั่นโชว์ รวมทั้งอาหารและเครื่องดื่มอันหลากหลาย พร้อมกับบาร์ลอยน้ำใหม่ล่าสุดใจกลางมารีน่า

หัวใจสำคัญของงานแสดงในปีนี้คือ เรือยอชท์และเรือระดับเวิลด์คลาสหลากรุ่นและขนาด สำหรับให้ผู้เข้าร่วมงานได้ร่วมชมและสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ ทั้งผู้ที่สนใจเช่าเหมาลำหรือเลือกซื้อได้ตามงบประมาณ ทั้งเรือใบขนาดเล็กไปจนถึงเรือซูเปอร์ยอชท์ เรือ RIB เจ็ตสกี ระบบนำร่องสัญญาณเรือและอุปกรณ์เพื่อการเดินเรือต่าง ๆ ไปจนถึงของเล่นและอุปกรณ์กีฬาทางน้ำ เพื่อเปิดประสบการณ์สุดพิเศษและโอกาสสำหรับผู้เข้าร่วมงานครั้งแรกให้ได้สัมผัสความน่าตื่นเต้นของการแล่นเรือยอชท์จากแพลทฟอร์มจัดแสดงภายในงาน

เกาะรังน้อย ซึ่งเป็นเกาะส่วนตัวซึ่งอยู่ไม่ไกลจากงานจะเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับในวันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2563 และเป็นฉากอันงดงามให้ผู้เข้าชมงานได้ชมเรือหรูระดับซูเปอร์ยอชท์ทอดสมอกลางทะเล

นายแอนดี้ เทรดเวลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เวอร์เวนเทีย” (Verventia) ผู้จัดงาน “ไทยแลนด์ ยอชท์ โชว์” กล่าวถึงอนาคตของภูเก็ตในฐานะศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางเรือสำราญซึ่งมีการจับจ่ายใช้สอยสูงและอุตสาหกรรมเรือยอชท์เรือสำราญในเอเชียว่า ภูเก็ตได้รับการยอมรับในฐานะศูนย์กลางของหนึ่งในจุดหมายปลายทางการแล่นเรือยอชท์และเรือสำราญที่สวยงามที่สุดในโลก ทัดเทียมกับการล่องเรือในเมดิเตอร์เรเนียนและแคริบเบียน จึงควรค่าแก่การเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมและธุรกิจการท่องเที่ยวทางเรือและเรือสำราญในเอเชีย ซึ่งไม่เพียงแต่ความสวยงามของทิวทัศน์ทั้งบนบกและทางทะเล เกาะแก่งต่าง ๆ น้ำทะเลใสและแนวปะการังอันสวยงาม แต่ยังมีความเพียบพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ท่าเรือ มารีน่า โรงแรมและบริการต่าง ๆในระดับเวิลด์คลาส

ความสำเร็จของ “ไทยแลนด์ ยอชท์ โชว์” จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวงการเรือของท้องถิ่น ในฐานะตัวกลางเชื่อมโยงระหว่างแบรนด์ ดีลเลอร์ โบรกเกอร์ และผู้ให้บริการในท้องถิ่นกับธุรกิจและลูกค้าใหม่ ๆ ดังนั้นจึงต้องการการสนับสนุนจากทุกฝ่าย โดยการร่วมมือกันผลักดันสร้างงานที่ได้รับผลสำเร็จจากตลาดที่มีการเติบโตสูง

เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ “Philips 3200 LatteGo” เอาใจคอกาแฟด้วยรสชาติระดับพรีเมียม

 

บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านเทคโนโลยีเพื่อการดูแลสุขภาพและเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เปิดตัวเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ “Philips 3200 LatteGo” (ฟิลิปส์ 3200 ลาเต้โก) มาเอาใจชาวคอกาแฟโดยเฉพาะ

ด้วยรสชาติกาแฟระดับพรีเมียม หอมกรุ่นจากเมล็ดกาแฟสดที่บดใหม่ แต่สะดวกและง่ายดายทำเองได้ที่บ้าน จะเป็นช่วงเช้าก่อนไปทำงานกับกาแฟหอมกรุ่นสักแก้ว หรือช่วงบ่ายในวันพักผ่อนให้คุณจิบกาแฟแก้วโปรดชิลล์ ๆ เพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์ในแบบคนรักกาแฟตัวจริง

Philips 3200 LatteGo โดดเด่นด้วย 4 คุณสมบัติพิเศษ ได้แก่

1.รังสรรค์เมนูโปรดได้ถึง 5 เมนู ฟังก์ชันการชงกาแฟที่สามารถเลือกได้ถึง 5 เมนู ไม่ว่าจะเป็น คาปูชิโน่, ลาเต้, แมคเคียโต, เอสเพรสโซ กาแฟ หรืออเมริกันโน่ แถมเพิ่มความสะดวกยิ่งขึ้นด้วยระบบบันทึกกาแฟที่คุณชื่นชอบเพื่อการใช้งานครั้งต่อไป

2.ออกแบบรสชาติกาแฟที่คุณชื่นชอบด้วยตัวคุณเอง ด้วยความสามารถในการปรับความเข้มของกาแฟ ปริมาณนมและน้ำที่ต้องการ ด้วยการตั้งค่า My Coffee Choice เพื่อออกแบบกาแฟของคุณให้เป็นรสชาติแบบเฉพาะที่คุณต้องการ

3.สะดวกและรวดเร็ว Philips LatteGo มาพร้อมนวัตกรรมใหม่ของการทำฟองนมนุ่มละมุน ไม่มีท่อ มีส่วนประกอบเพียง 2 ชิ้น ติดตั้งและทำความสะอาดได้ง่ายและเร็ว เพียงแค่ล้างน้ำ หรือวางไว้ในเครื่องล้างจานเท่านั้น

 

4.เติมเต็มรสชาติของเมล็ดกาแฟสดคั่วใหม่ ด้วยหัวบดกาแฟเซรามิก 100% ที่มีความแข็งแรงทนทานพร้อมมอบกาแฟหอมกรุ่นเต็มรสชาติ ให้คุณเพลิดเพลินกับเมล็ดกาแฟบดสดใหม่ได้ถึง 20,000 ถ้วย มาพร้อมระบบ AquaClean ที่ไม่จำเป็นต้องขจัดคราบตะกรันแม้ใช้งานมาแล้วถึง 5,000 ถ้วย ด้วยการเปลี่ยนตัวกรอง AquaClean 8 ครั้ง (AquaClean 1 ชิ้นสามารถใช้ได้ 625 ถ้วย) ช่วงเวลาขึ้นอยู่กับการเลือกเครื่องดื่มและจำนวนของการล้างและกระบวนการทำความสะอาด

ดื่มด่ำไปกับรสชาติกาแฟที่คุณโปรดปราน ด้วยเครื่องชงกาแฟ “Philips 3200 LatteGo” วางจำหน่ายแล้วในราคา 45,900 บาท ณ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ตัวแทนจำหน่ายฟิลิปส์ และช่องทางเว็บไซต์, อี-คอมเมิร์ซ สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ข้อมูลผู้บริโภคฟิลิปส์ โทร.0 2614 3340 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.philips.co.th

โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็น ประธานองคมนตรี

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็น ประธานองคมนตรี

วันนี้ (4 ม.ค.63) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศเรื่อง แต่งตั้งประธานองคมนตรี โดยมีรายละเอียด ดังนี้

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า

โดยที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ได้ขอพระราชทานกราบถวายบังคมลาถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๒ และทรงพระราชดำริเห็นเป็นการสมควรแต่งตั้งประธานองคมนตรี

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นประธานองคมนตรี

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ประกาศ ณ วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๓ เป็นปีที่ ๕ ในรัชกาลปัจจุบัน

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา

“ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ใครรับผลกระทบกันบ้าง ?

นพมาศ ฮวบเจริญ
นักวิเคราะห์อาวุโส
Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

จากกรณี “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” ที่ภาครัฐเตรียมจัดเก็บในปี 2563 เพื่อทดแทนภาษีบำรุงท้องที่ ภาษีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง โดยเน้นจัดเก็บตามมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างด้วยอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปตามการใช้ประโยชน์ ซึ่งภาครัฐได้กำหนดข้อยกเว้นและข้อลดหย่อนให้กับผู้ถือครองที่ดิน เช่น เจ้าของบ้านหลังหลัก ผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย นั้น

Close-up Of A Person Hand Doing Property Tax Calculation With House Model On The Table

หากพิจารณาต้นทุนภาษีที่ดินที่ต้องเสียเพิ่มขึ้นจากภาษีที่ดินเดิม สามารถจำแนกผลกระทบทางตรงของผู้ที่เกี่ยวข้องกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ ได้ดังนี้

1.กลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ เจ้าของที่รกร้าง/ผู้เก็งกำไรที่ดิน ซึ่งภาระภาษีอาจมีสูงถึง 16% ของรายได้จากส่วนต่างราคา (พิจารณาจากการขยายตัวของราคาที่ดินเฉลี่ยช่วง 5 ปีที่ผ่านมาในกรุงเทพฯ และปริมณฑล) และสถาบันการเงินที่มีอสังหาฯ รอการขาย (NPA) จำนวนมากและเป็น NPA ที่มีสภาพคล่องต่ำ (ใช้ระยะเวลามากกว่า 5 ปีในการขาย ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ภาครัฐให้สิทธิลดหย่อนภาษี)

2.กลุ่มที่ได้รับผลกระทบปานกลาง ได้แก่ ผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งภาระภาษีที่ดินฯ รวมกันไม่ถึง 1% ของมูลค่าขายโครงการ หากผู้พัฒนาฯ สามารถขายโครงการได้หมดภายใน 3 ปี (ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ภาครัฐให้การลดหย่อน) แต่ผลกระทบอาจรุนแรงขึ้นหากมีสต็อกเหลือขายจำนวนมากหลังพัฒนามา 3 ปีและผู้พัฒนาฯ มีภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสูง ทำให้ความสามารถในการรับมือกับผลกระทบ (Buffer) ต่อภาระภาษีจะมีอยู่ต่ำ เจ้าของอาคารที่อยู่อาศัย/พาณิชย์ให้เช่า ผลกระทบจะแตกต่างกันตามอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่า (Rental yield) โดยอาคารที่มี Yield สูง จะได้รับผลบวกจากภาษีใหม่ที่ประหยัดลงจากภาษีโรงเรือนฯ ขณะที่กลุ่ม Yield ต่ำอาจจะต้องจ่ายภาษีมากขึ้นกว่าเดิม

3.กลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบ/ได้รับผลกระทบต่ำ ได้แก่ เจ้าของที่อยู่อาศัยเพื่อใช้อยู่จริง ได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับบ้านหลังหลักที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท (บ้านพร้อมที่ดิน) ขณะที่บ้านหลังที่สองขึ้นไป ภาระภาษีค่อนข้างต่ำหากเทียบกับฐานะ หรือความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัย ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยปล่อยเช่าและผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อเก็งกำไร ต้นทุนภาษีจากการถือครองที่อยู่อาศัยเพื่อลงทุนค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับรายได้ค่าเช่าและการเพิ่มขึ้นของราคาที่อยู่อาศัย เช่น ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑล ต้นทุนภาษีคิดเป็นประมาณ 0.4-0.7% ของอัตราผลตอบแทนจากการเช่า และประมาณ 1% ของผลตอบแทนที่ได้จากส่วนต่างราคาซื้อขาย

ผลกระทบทางอ้อมที่อาจเห็นคือ ปริมาณที่ดินที่เข้าสู่ตลาดเพื่อขายอาจมีมากขึ้นและส่วนต่างของราคาที่ดินที่ศักยภาพสูงกับศักยภาพต่ำอาจมีมากขึ้น โดยในระยะยาวภาษีที่ดินฯ อาจช่วยลดความเสี่ยงจากการเร่งพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการลงได้บ้าง รวมถึงการระมัดระวังมากขึ้นของผู้ให้สินเชื่อ ท้ายที่สุดอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงภาวะอุปทานส่วนเกินซึ่งจะสนับสนุนตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตอย่างยั่งยืนมากขึ้น

มุ่งเน้นจัดเก็บภาษีตามมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

อัตราภาษีแตกต่างกันไปตามประเภทการใช้ประโยชน์โดยตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 ผู้เป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีหน้าที่ต้องเสียภาษีที่ดินฯ ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยทางการจะจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ตามมูลค่าที่ดินฯ ด้วยอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์การใช้ที่ดิน

ทั้งนี้ ภาษีที่ดินฯ จะถูกนำมาใช้ทดแทนภาษีโรงเรือนและที่ดินที่มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 ซึ่งจัดเก็บภาษีในอัตรา 12.5% ของรายได้ค่าเช่าที่ได้จากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และภาษีบำรุงท้องที่ที่มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2008 ซึ่งจัดเก็บภาษีตามจำนวนไร่และราคาปานกลางของที่ดิน โดยราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้ในปัจจุบันเป็นราคาปานกลางฯ ที่ใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2521-2524

ทั้งนี้ ภาครัฐมีการบรรเทาภาระภาษีในส่วนที่เพิ่มขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2563-2565 โดยผู้เสียภาษีจะชำระภาษีในปี พ.ศ.2563 เท่ากับภาระภาษีเดิม บวกด้วย 25% ของภาระภาษีส่วนเพิ่ม ในปี พ.ศ.2564 จะชำระภาษีเท่ากับภาระภาษีเดิม บวกด้วย 50%ของภาระภาษีส่วนเพิ่ม ในปี พ.ศ.2565 จะชำระภาษีเท่ากับภาระภาษีเดิม บวกด้วย 75% ของภาระภาษีส่วนเพิ่มเสีย และในปี พ.ศ.2566 ผู้เสียภาษีจะเสียภาระภาษีตาม พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ เต็มจำนวน

อย่างไรก็ตาม ภาครัฐได้ลดหย่อนภาษีที่ดินฯ สำหรับที่ดินบางประเภทเพื่อความเหมาะสมกับเศรษฐกิจและการดำเนินกิจการของภาคธุรกิจ ซึ่งช่วยให้ผู้เสียภาษีสามารถปรับตัวได้ดีขึ้น ภายหลังจากที่ พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ ถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่เดือน มีนาคม พ.ศ.2562 โดยได้ทยอยประกาศกฎหมายลำดับรองออกมาหลายฉบับ โดยเฉพาะฉบับล่าสุดเมื่อวันที่3 ธันวาคม พ.ศ.2562 คณะรัฐมนตรี ได้อนุมัติร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ก.) ลดภาษีที่ดินฯ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลดหย่อนภาษีที่ดินฯ สำหรับที่ดินฯ บางประเภทให้เหมาะสมกับสภาพความจำเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม เหตุการณ์ กิจการ หรือสภาพแห่งท้องที่ โดยการลดหย่อนครั้งนี้ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัยจะได้รับการลดค่าภาษี 90% โดยจ่ายค่าภาษีเพียง 10% ของมูลค่าภาษีเต็มจำนวน ซึ่งมีเงื่อนไขดังนี้

1.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่นำมาพัฒนาเป็นอาคารชุด หรือคอนโดมิเนียมตามกฎหมายอาคารชุดไม่เกิน 3 ปีจากวันที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง

2.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่นำมาพัฒนาเป็นโครงการจัดสรรตามกฎหมายจัดสรรที่ดินเพื่ออยู่อาศัยไม่เกิน 3 ปีจากวันที่ได้รับอนุญาตจัดสรร

3.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายจัดสรรและอาคารชุด ก่อนวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2562และยังไม่ได้ขาย (สต็อก) จะได้รับการลดค่าภาษีเป็นเวลา 2 ปีคือปี พ.ศ.2563-2564

นอกจากนี้ ที่ดินฯ ที่เป็นอสังหาฯ รอการขาย (NPA) ของสถาบันการเงินก็ได้รับการลดหย่อนค่าภาษีที่ดินฯ ด้วยเช่นกันโดยลดค่าภาษี 90% ไม่เกิน 5 ปีจากวันที่ได้กรรมสิทธิ์

ผู้รับผลกระทบจากภาระภาษีที่ดินฯ

ผลกระทบทางตรงจากภาระภาษีที่ดินฯ จะมีความรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันตามวัตถุประสงค์การใช้ประโยชน์ของที่ดินฯ และระยะเวลาของการถือครองที่ดินฯ รวมถึงภาระภาษีเกี่ยวกับที่ดินตามกฎหมายเดิม หากพิจารณาเฉพาะผลกระทบที่มีต่อผู้ที่ถือครองที่อยู่อาศัย รวมถึงผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เจ้าของอาคารพาณิชย์ให้เช่า และสถาบันการเงินจะสามารถจำแนกผลกระทบเบื้องต้นออกเป็น 3 กลุ่ม (ผลกระทบอาจมีการเปลี่ยนแปลงหากกฎหมายลูกเกี่ยวกับกระบวนการจัดเก็บและการจำแนกประเภทที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้รับการอนุมัติของกระทรวงที่เกี่ยวข้องและประกาศในราชกิจจานุเบกษาอย่างเป็นทางการ) ได้แก่

กลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูง

1.ผู้ที่ซื้อที่ดินเพื่อเก็งกำไร/สะสมความมั่งคั่ง สำหรับภาษีที่ดินฯ ในกรณีที่ดินว่างเปล่า แม้ว่าจะมีอัตราภาษีเช่นเดียวกันกับที่ดินเชิงพาณิชย์อยู่ในช่วง 0.3-0.7% แต่อัตราภาษีจะมีการเพิ่มขึ้น 0.3% ในทุก 3 ปี และอัตราภาษีรวมสูงสุดไม่เกิน 3% ซึ่งจะเป็นต้นทุนภาษีที่สูง หรือต่ำขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินในแต่ละที่ว่าเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด

ทั้งนี้ หากเทียบกับราคาที่ดินในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตามฐานข้อมูลของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า ที่ดินเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละ 1.9% ขณะที่ต้นทุนภาษีที่ดินฯ คิดเป็น 16% ของผลได้ที่ได้จากส่วนต่างราคา หากเสียภาษีที่ดินในอัตรา 0.3% ของมูลค่าที่ดิน ซึ่งถือว่ามีผลกระทบค่อนข้างมาก ดังนั้น กลุ่มผู้ลงทุนควรต้องพิจารณาคัดเลือกที่ดินที่มีศักยภาพในการเติบโตของราคาในอนาคตให้สูงกว่าต้นทุนภาษีที่ดิน (โดยปกติที่ดินที่มีศักยภาพมีการเติบโตของราคาในอัตราสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่จัดเก็บโดย ธปท. เช่น ที่ดินแถบถนนพหลโยธินและรามอินทราที่ราคาประเมินขยายตัวเฉลี่ยปีละ 6-8% เป็นต้น) นอกจากนี้ ระหว่างที่ถือครองไม่ควรปล่อยให้เป็นที่ดินรกร้างเพื่อลดค่าใช้จ่ายภาษีระหว่างที่ถือครองที่ดิน

2.สถาบันการเงิน โดยเฉพาะสถาบันการเงินที่มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ประเภทอสังหาฯ อยู่จำนวนมาก ทั้งนี้ผลกระทบของภาระภาษีที่ดินฯ จะแตกต่างกันไปตามพอร์ต NPA ของแต่ละสถาบันการเงิน โดยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากคือ สถาบันการเงินที่มี NPA ที่เป็นอสังหาฯ และถือครองมากกว่า 5 ปี ในสัดส่วนสูง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ เช่น โรงงาน ที่ดินเปล่า เป็นต้น นอกจากนี้ หากทรัพย์ที่ถือครองมากกว่า 5 ปีส่วนใหญ่เป็นอสังหาฯ เชิงพาณิชย์ หรือที่ดินรกร้าง ภาระภาษีก็จะอยู่ในอัตราที่สูงที่ 0.3-0.7% ของมูลค่าประเมิน เทียบกับกลุ่มที่อยู่อาศัยและเกษตรกรรมที่มีอัตราภาษีเพียง 0.02-0.1% และ 0.01-0.1% ตามลำดับ (จากการสอบถามข้อมูลเบื้องต้นจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง)

ทั้งนี้ สถาบันการเงินมีแนวโน้มที่จะขาย NPA ให้ได้ภายใน 5 ปี แรกของการถือครอง เนื่องจากสถาบันการเงินได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีที่ดินฯ โดยเสียภาษีเพียง 10% ของภาระภาษีที่ต้องจ่ายในช่วง 5 ปีแรกที่ถือครอง แต่หลังจากถือครองมากกว่า 5 ปีไปแล้ว หากสถาบันการเงินยังไม่สามารถขาย NPA ได้ค่าใช้จ่ายทางภาษีก็จะเพิ่มขึ้น เช่น NPA ที่เป็นบ้านพร้อมที่ดินมูลค่า 10 ล้านบาท มีภาระภาษีในช่วง 5 ปีแรกอยู่ที่ปีละ 200บาท และภาระภาษีจะเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 2,000 บาทในปีที่ 6 เป็นต้นไป ขณะที่ NPA ที่เป็นโรงงานมูลค่า 10 ล้านบาท มีภาระภาษีในช่วง 5 ปีแรกอยู่ที่ปีละ 3,000 บาท และภาระภาษีจะเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 30,000 บาทในปีที่ 6 เป็นต้นไป เป็นต้น ในระยะต่อไปสถาบันการเงินอาจระมัดระวังการให้สินเชื่อมากขึ้นจากปัจจุบันที่ระมัดระวังอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีอสังหาฯ ค้ำประกันอยู่ก็ตาม เนื่องจากค่าใช้จ่ายภาษีที่เพิ่มขึ้นจากการกลายเป็นหนี้เสียของสินเชื่อเหล่านั้น

กลุ่มที่ได้รับผลกระทบปานกลาง

1.ผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โดยรวมจะได้รับผลกระทบไม่มาก หากโครงการของผู้ประกอบการสามารถพัฒนาและขายได้หมดภายใน 3 ปีแรกที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรรสำหรับโครงการบ้านแนวราบและใบอนุญาตก่อสร้างสำหรบโครงการคอนโดมิเนียม เนื่องจาก (1) ทางการให้สิทธิลดหย่อนภาระภาษีที่ดินฯ ในช่วง 3 ปีแรก โดยจ่ายภาษีเพียง 10% ของเม็ดเงินภาษีที่ต้องจ่ายจริง ซึ่งคิดเป็นภาระภาษีรวมกัน 3 ปีไม่ถึง 0.2% ของมูลค่าขายของโครงการ และ (2) ผู้ประกอบการโดยทั่วไปถือที่ดินก่อนพัฒนาโครงการ (Land Bank) ประมาณ 1-2 ปี ขณะที่ที่ดินคิดเป็นต้นทุนประมาณ 20-30% ของมูลค่าขายโครงการ ทำให้ค่าใช้จ่ายภาษีที่ดินฯ จากการถือครอง Land Bank มีไม่ถึง 0.5% ของมูลค่าขายของโครงการ

อย่างไรก็ตาม ภาระภาษีที่ดินฯ อาจเพิ่มสูงขึ้น หากผู้ประกอบการไม่สามารถบริหารสต็อกเหลือขายภายใน 3 ปีนับตั้งแต่ขออนุญาตจัดสรร/ก่อสร้าง โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมที่ไม่สามารถแบ่งการก่อสร้างเป็นเฟสได้แบบที่อยู่อาศัยแนวราบ นอกจากนี้ ผลกระทบจากภาษีจะมีความรุนแรงมากขึ้น หากผู้ประกอบการมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับรายได้จนส่งผลให้อัตรากำไรต่ำและทำให้ Buffer ต่อภาระภาษีที่ดินมีน้อยลง

นอกจากนี้ ในช่วงปี พ.ศ.2563-2565 ซึ่งเป็นช่วง 2 ปีแรกที่เริ่มการจ่ายภาษีที่ดินฯ มีแนวโน้มที่ผู้พัฒนาโครงการจะเร่งระบายสต็อกที่ค้างอยู่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีสัดส่วนที่อยู่อาศัยเหลือขายจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเพื่อได้รับประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีที่ดินฯ สำหรับที่อยู่อาศัยเหลือขายที่มีการขอใบอนุญาตก่อสร้าง/จัดสรรก่อนวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2561 มิเช่นนั้นผู้ประกอบการจะต้องมีค่าใช้จ่ายภาษีที่ดินฯ สูงขึ้น

ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจและการปรับตัวต่อมาตรการ LTV ของผู้ซื้อบ้าน เมื่อผู้ประกอบการต้องมาเผชิญกับภาระภาษีที่ดินฯ แม้ว่าจะคิดเป็นต้นทุนที่ไม่สูงมากนัก แต่ก็อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยเสริมที่ทำให้ผู้ประกอบการระมัดระวังการเปิดตัวใหม่มากขึ้น โดยมุ่งเน้นเปิดตัวโครงการที่มีศักยภาพมากขึ้น รวมถึงการเร่งระบายหน่วยเหลือขายเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเมื่อภาษีที่ดินฯ เริ่มจัดเก็บ

2.เจ้าของอาคารที่อยู่อาศัย/พาณิชย์ให้เช่า เช่น หอพัก อะพาร์ตเมนต์ สำนักงานให้เช่า และพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า เป็นต้น แม้ว่าภาษีที่ดินฯ กรณีใช้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อการพาณิชย์จะมีอัตราภาษีสูงกว่าเพื่อการเกษตร หรือเพื่ออยู่อาศัย แต่หากเปรียบเทียบกับภาระภาษีที่ดินใหม่กับภาษีโรงเรือนฯ ในปัจจุบัน ที่อัตรา 12.5% ของรายได้ค่าเช่า จะพบว่าต้นทุนทางภาษีของผู้ประกอบการจะเพิ่มขึ้นมาก หรือน้อยขึ้นอยู่กับผลตอบแทนจากการให้เช่า โดยอาคารให้เช่าแห่งไหนอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าอยู่ในระดับสูง ต้นทุนภาษีอาจปรับลดลงด้วยซ้ำ แต่หากอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าอยู่ในระดับต่ำมีโอกาสที่ภาระภาษีอาจเพิ่มขึ้นน กดดันผลตอบแทนสุทธิของผู้ประกอบการให้ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะอาคารในพื้นที่ที่ราคาที่ดินอยู่ในระดับสูงและมีการแข่งขันสูงระหว่างผู้ประกอบการ เช่น กรณีอาคารสำนักงานให้เช่าในพื้นที่ย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ของกรุงเทพฯ ที่มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเบื้องต้น (Gross Yield) โดยเฉลี่ยประมาณ 5-9% (จากข้อมูล CBRE และมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย) โดยคิดเป็นรายได้จากค่าบริการ 50% และรายได้จากการเช่า 50% โดยรายได้ส่วนหลังผู้ประกอบการต้องเสียภาษีโรงเรือนฯ คิดเป็น 0.3-0.6% ของมูลค่าอาคาร ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราภาษีที่ดินฯ ที่ 0.3-0.7%

กลุ่มที่ได้รับผลกระทบต่ำ / ไม่ได้รับผลกระทบ

1.เจ้าของที่อยู่อาศัยเพื่อใช้อยู่จริง จำแนกเป็น

– เจ้าของบ้านหลังหลัก ซึ่งทางการได้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีโดยมีเงื่อนไขว่าเจ้าของกรรมสิทธิ์ต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน และมูลค่าบ้านพร้อมที่ดินไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือบ้าน ไม่นับรวมที่ดินไม่เกิน 10 ล้านบาท ขณะที่บ้านพร้อมที่ดินมูลค่าเกินกว่า 50 ล้านบาทก็มีภาระภาษีอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับฐานะ หรือรายได้ของผู้ถือครอง เช่น บ้านพร้อมที่ดินมูลค่า 100 ล้านบาท เสียภาษีเพียง 20,000 บาท/ปี หรือ 1,667 บาท/เดือน

– เจ้าของที่อยู่อาศัยหลังที่สองขึ้นไปเพื่อใช้อยู่อาศัย (ไม่ใช่บ้านหลังหลัก) แม้ว่าภาระภาษีที่ต้องจ่ายตามภาษีที่ดินฯ จะเพิ่มขึ้นจากภาษีบำรุงท้องที่ (ซึ่งเป็นกฎหมายภาษีที่ดินเดิม) แต่เม็ดเงินภาษีที่ดินฯ ที่ต้องจ่ายยังอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับรายได้ของผู้ที่สามารถซื้อบ้านในมูลค่าเหล่านั้น

นอกจากนี้ ภาครัฐยังมีการบรรเทาภาระภาษีในส่วนที่เพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีแรกที่มีการเก็บภาษีที่ดินฯ เช่น กรณีบ้านพร้อมที่ดินราคา 10 ล้านบาททไม่ใช่บ้านหลังหลัก ปัจจุบันเสียภาษีบำรุงท้องที่ปีละ 834 บาท ขณะที่ตาม พ.ร.บ. ภาษีที่ดินฯ เจ้าของบ้านต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นเป็นปีละ 2,000 บาท (อัตราภาษีที่ดินฯ 0.02% ของมูลค่าบ้าน 10 ล้านบาท) ซึ่งคิดเป็นค่าใช้จ่ายไม่ถึง 0.2% ของรายได้ของผู้ที่สามารถกู้ซื้อบ้านในราคา 10 ล้านบาท (รายได้ของผู้กู้ซื้อต้องไม่น้อยกว่า 1 แสนบาทต่อเดือน)

2.ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อปล่อยเช่าเพื่อการอยู่อาศัย/เก็งกำไร จากข้อมูลเบื้องต้นของ กระทรวงการคลัง ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อปล่อยเช่าเพื่อการอยู่อาศัย/เก็งกำไร ภาระภาษีที่ต้องจ่ายตามภาษีที่ดินฯ จะเหมือนกับเจ้าของที่อยู่อาศัยหลังที่สองขึ้นไป โดยมีอัตราภาษีที่ดินฯ อยู่ที่ 0.02% ของมูลค่าที่อยู่อาศัย (กรณีราคาไม่เกิน 50 ล้านบาท) คิดเป็นต้นทุนภาษีจากการถือครองที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับรายได้ค่าเช่าและการเพิ่มขึ้นของราคาที่อยู่อาศัย ดังนั้นภาษีที่ดินฯ ไม่ได้มีผลมากนักต่อความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุน (ยกเว้นในช่วงแรกที่มีการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ที่ผู้ลงทุนซื้อที่อยู่อาศัยยังไม่มั่นใจในภาระภาษีว่าจะมีมากน้อยเพียงใด) กรณีซื้อมาเพื่อเก็งกำไร เช่น ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตามฐานข้อมูลของ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 1.7% สำหรับคอนโดมิเนียม 2.0% สำหรับทาวน์เฮาส์ และ 2.6% สำหรับบ้านเดี่ยว โดยค่าใช้จ่ายจากภาษีที่ดินฯ จะคิดเป็นประมาณ 1% ของผลตอบแทนที่ได้จากส่วนต่างราคาซื้อขาย (Capital Gain Yield) เฉลี่ยที่ 1.7-2.6% ต่อปี ทั้งนี้ ผลกระทบจากต้นทุนภาษีที่กล่าวมามีโอกาสที่จะน้อยกว่าที่กล่าวมาข้างต้น หากผู้ลงทุนเลือกเก็งกำไรในกลุ่มที่อยู่อาศัยที่มีศักยภาพ ซึ่งราคามีแนวโน้มขยายตัวมากกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด

กรณีซื้อมาเพื่อปล่อยเช่า เช่น กรณีคอนโดมิเนียมมูลค่า 5 ล้านบาท ที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่า/เก็งกำไร ต้องเสียภาษีที่ดินฯ ในอัตรา 0.02% ของมูลค่าคอนโดฯ หรือ 1,000 บาท/ปี (เทียบกับในปัจจุบันที่ภาระภาษีเกี่ยวกับที่ดินต่ำมาก เนื่องจากข้อบกพร่องในการจัดเก็บภาษีโรงเรือน ขณะที่ภาษีบำรุงท้องที่ก็อยู่ในอัตราต่ำมาก) คิดเป็นภาระค่าใช้จ่ายประมาณ 0.4-0.7% ของอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่า (Gross Rental Yield) ที่เฉลี่ยประมาณ 3-5%

แต่หากผู้ให้เช่าที่อยู่อาศัยในกรณีตัวอย่างข้างต้น เคยต้องเสียภาษีโรงเรือนฯ จากรายได้ค่าเช่าที่ 12.5% ของรายได้ทั้งปี หรือคิดเป็น 0.4-0.6% ของมูลค่าที่อยู่อาศัย การปรับเปลี่ยนการจัดเก็บภาษีเป็นภาษีที่ดินฯ ที่อัตราขั้นต่ำที่ 0.02% ของมูลค่าที่อยู่อาศัยจะส่งผลด้านบวกต่อผู้ให้เช่าที่จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายภาษีลงไปได้ประมาณปีละ 17,000-30,000 บาท

ผลกระทบทางอ้อมที่อาจเห็นคือ ปริมาณที่ดินที่เข้าสู่ตลาดเพื่อขายอาจมีมากขึ้น และส่วนต่างของราคาที่ดินที่มีศักยภาพสูงกับศักยภาพต่ำอาจมีมากขึ้น ผลจากต้นทุนภาษีที่ดินฯ ที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้ผู้ถือครองที่ดินว่างเปล่าไม่ได้ใช้ประโยชน์บางส่วนอาจทยอยขายที่ดินออกมาในตลาด โดยเฉพาะที่ดินมรดกที่ถือครองมายาวนานซึ่งในอดีตมีต้นทุนในการถือครองที่ดินไม่มากนัก แต่ภาษีที่ดินฯ ที่กำลังจะเริ่มจัดเก็บอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยสนับสนุนให้ผู้ถือครองที่ดินบางส่วนปล่อยที่ดินเข้าสู่ตลาดเพื่อซื้อขายมากขึ้น ส่งผลให้การขยายตัวของราคาที่ดินโดยเฉลี่ยอาจมีแนวโน้มขยายตัวช้าลงไปบ้าง โดยเฉพาะที่ดินที่มีศักยภาพต่ำ (มีการเพิ่มขึ้นของราคาค่อนข้างช้า) ขณะที่ที่ดินที่มีศักยภาพ (มีการเพิ่มขึ้นของราคาค่อนข้างเร็ว) ต้นทุนภาษีที่ดินฯ แทบไม่ส่งผลกระทบ เนื่องจากราคาของที่ดินที่เร่งตัวไปเร็วกว่าต้นทุนภาษี ทำให้ความต้องการถือครองที่ดินดังกล่าวยังมีต่อเนื่อง ผลักดันให้ราคาที่ดินของที่ดินศักยภาพยังมีแนวโน้มขยายตัวสูงต่อเนื่องได้

โดยสรุป ภาษีที่ดินที่กำลังจัดเก็บในปี พ.ศ.2563 ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่จริงและเพื่อการลงทุนจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ทั้งยังจะส่งผลกระทบไม่มากนักต่ออปุสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัย (ปัจจัยจากเศรษฐกิจและความระมัดระวังในการให้สินเชื่อบ้านจะเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบมากกว่าภาษีที่ดินฯ) ขณะที่ผู้พัฒนาโครงการอาจต้องมีการปรับตัวอันเกิดจากภาระภาษีโดยต้องมุ่งเน้นบริหารการขายโครงการให้เหลือหน่วยเหลือขายน้อยที่สุดภายในช่วง 3 ปีแรกที่ได้รับใบอนุญาตก่อสร้าง/จัดสรร เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ได้รับการลดหย่อนภาษีที่ดินฯ รวมถึงในช่วงปี พ.ศ.2563-2564 จะต้องเรง่ ระบายสต็อกซึ่งคงค้างมาก่อนหน้าที่ภาษีที่ดินฯ จะมีผลบังคับใช้ เช่นเดียวกันกับสถาบันการเงินต้องระมัดระวังการให้สินเชื่อมากขึ้นเพื่อไม่ให้ภาระ NPA มีมาก

การจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ในระยะยาวจึงมีโอกาสอาจช่วยลดความเสี่ยงจากการเร่งพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการ (โดยมุ่งเน้นแต่โครงการที่มีศักยภาพอย่างแท้จริง) รวมถึงการระมัดระวังมากขึ้นของผู้ให้สินเชื่อ ท้ายที่สุดก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงภาวะอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) ลงได้บ้างซึ่งจะสนับสนุนให้การใช้ที่ดิน รวมถึงตลาดที่อยู่อาศัยเติบโตได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น