ขนส่งสินค้าผ่านแดนไปเวียดนาม…โอกาสที่ไม่ควรมองผ่าน

กมลมาลย์ แจ้งล้อม

Economic Intelligence Center (EIC)

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

การค้าผ่านแดนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านมีบทบาททางเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะเวียดนามซึ่งถือเป็นประเทศคู่ค้าผ่านแดนสำคัญ มีสัดส่วนปริมาณการค้ากว่า 60% ของปริมาณการค้าผ่านแดนโดยรวม

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2557-2561) การค้าชายแดนไปเมียนมาร์ ลาว กัมพูชา และมาเลเซียขยายตัวราว 3%CAGR ขณะที่การค้าผ่านแดนไปจีนตอนใต้ สิงคโปร์ และเวียดนาม เติบโตกว่า 12%CAGR โดยในปี 2561 การค้าผ่านแดนของไทยมีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท หรือมีปริมาณสูงกว่า 2 ล้านตัน

ถึงแม้ว่ามูลค่าการค้าผ่านแดนไทยกับจีนตอนใต้จะสูงถึง 1 แสนล้านบาท แต่กลับมีสัดส่วนปริมาณการค้าไม่มากนัก เนื่องจากสินค้าส่งออกผ่านแดนส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง เช่น ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ปริมาณการค้าผ่านแดนไปเวียดนามสูงถึง 1.3 ล้านตัน หรือมีสัดส่วนกว่า 60% ของปริมาณการค้าผ่านแดนโดยรวม และกว่า 95% เป็นการส่งออก

เวียดนามจึงเป็นตลาดที่น่าจับตามองและเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการขนส่งสินค้า ซึ่งสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทยไปเวียดนาม ได้แก่ ผลไม้สด แช่แข็งและอบแห้ง, เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และชิ้นส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

ในระยะกลาง (2562-2564) การค้าผ่านแดนของไทยกับเวียดนามมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นราว 30%CAGR ตามทิศทางเศรษฐกิจเวียดนามที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากภาคการผลิตและการบริโภคภายในประเทศ โดยเวียดนามถือเป็นประเทศที่มีการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกและยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติในการตั้งฐานการผลิตเพื่อการส่งออก โดยเฉพาะนักลงทุนจากจีนที่มีแนวโน้มย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนามมากขึ้นเพื่อเลี่ยงสงครามการค้า อย่างไรก็ดี อุตสาหกรรมการผลิตของเวียดนามส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลางจากต่างประเทศ ซึ่งส่งผลบวกให้การส่งออกชิ้นส่วนผลิตภัณฑ์ของไทยขยายตัวต่อเนื่องเพื่อป้อนให้กับโรงงานเหล่านี้

ด้วยจำนวนประชากรชาวเวียดนามที่มากถึง 90 ล้านคน โดยประมาณ 15% เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงส่งผลให้ความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพ รวมถึงสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการขยายสาขาอย่างรวดเร็วของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) สัญชาติไทย เช่น Big C เวียดนามในเครือกลุ่มเซ็นทรัล และ Metro ธุรกิจในเครือ TCC ที่ถือเป็นผู้เล่นหลักในธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในเวียดนามจะผลักดันให้สินค้าไทยเป็นที่นิยมและมีการนำเข้ามากขึ้น

ในช่วงที่ผ่านมา ปัญหาสภาพถนน ความแตกต่างของกฎหมายขนส่ง และความซับซ้อนของพิธีการศุลกากร ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขนส่งสินค้าผ่านแดนจากไทยไปเวียดนาม ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการขนส่ง โดยส่วนใหญ่การขนส่งสินค้าผ่านแดนจากไทยไปเวียดนามใช้เส้นทาง R12 (กรุงเทพฯ-นครพนม/ท่าแขก-นาพาว/จาลอ-วินห์-ฮานอย) เป็นหลัก เนื่องจากระยะทางที่สั้นกว่าเส้นทางอื่นและเป็นเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังนครหนานหนิง มณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีนได้ โดยเส้นทางนี้ยังคงเป็นถนน 2 เลนข้างทางเป็นหุบเขาสลับพื้นที่การเกษตร และบางช่วงเป็นหลุมเป็นบ่อทำให้มีการซ่อมแซมถนนเป็นระยะ

ในด้านกฎหมายขนส่งของเวียดนามที่ไม่อนุญาตให้รถขนส่งสัญชาติไทยข้ามพรมแดนไปเวียดนามทำให้การขนส่งสินค้าผ่านแดนไปเวียดนามต้องใช้วิธีถ่ายสินค้าลงรถขนส่งสัญชาติลาวที่พรมแดนลาว แล้วจึงส่งต่อไปยังเวียดนาม

นอกจากนี้ กฎหมายจราจรทางบกของลาวและเวียดนามยังมีความแตกต่างจากไทย เช่น การกำหนดน้ำหนักบรรทุก และการจำกัดความเร็ว ขณะที่พิธีปฏิบัติด้านศุลกากรและกฎระเบียบด้านการค้าระหว่างประเทศของแต่ละประเทศมีความซับซ้อนหลายขั้นตอนทำให้เกิดความแออัดของรถขนส่งสินค้าที่จอดรอบริเวณหน้าด่านศุลกากร ซึ่งอุปสรรคเหล่านี้ส่งผลโดยตรงต่อระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งของผู้ประกอบการขนส่งสินค้าผ่านแดนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าผ่านแดน เมื่อเดือนมิถุนายน 2561 กลุ่มประเทศสมาชิกในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงจึงเริ่มเปิดเดินรถขนส่งสินค้าผ่านแดนอย่างเป็นทางการภายใต้ความตกลง GMS-CBTA ซึ่ง Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า จะช่วยลดระยะเวลาการขนส่งลงราว 45% และลดต้นทุนการขนส่งลงกว่า 20% ในระยะเริ่มต้น

กลุ่มประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งประกอบด้วย กัมพูชา จีน ลาว เมียนมาร์ ไทย และเวียดนาม ได้เห็นชอบเปิดเดินรถขนส่งสินค้าผ่านแดนตามกรอบความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกด้านการขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างประเทศ (GMS-CBTA) เพื่อลดข้อจำกัดและอุปสรรคของการขนส่งสินค้าผ่านแดนรูปแบบเดิม ครอบคลุมทั้งทางด้านพิธีการศุลกากรและระบบการจราจร เช่น การดำเนินพิธีการศุลกากรแบบเบ็ดเสร็จจุดเดียว (Single Window Inspection : SWI) การปฏิบัติการร่วมกันในการตรวจสอบสินค้า ณ จุดผ่านแดน (Single Stop Inspection : SSI) และการกำหนดเส้นทางเดินรถที่ชัดเจน โดยใช้เส้นทางเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East West Economic Corridor : EWEC) หรือเส้นทาง R9 ที่จุดผ่านแดนมุกดาหาร-สะหวันเขต/แดนสะหวัน-ลาวบาว-ดานัง เป็นเส้นทางนำร่องและในระยะแรกได้กำหนดโควตาใบอนุญาตไว้ที่ 500 คันต่อประเทศ

ตามกรอบความตกลงดังกล่าวจะอนุญาตให้รถบรรทุกสัญชาติไทยสามารถขนส่งสินค้าไปถึงเวียดนามได้โดยไม่ต้องขนถ่ายสินค้าที่พรมแดนลาวซึ่งขณะนี้มีผู้ประกอบการขนส่งสินค้าจำนวน 12 รายรวมเป็นรถขนส่งสินค้าจำนวน 400 คันได้รับใบอนุญาตแล้ว โดยในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2562 กรมขนส่งทางบก ได้ประกาศโควตารถขนส่งเพิ่มเติมอีก 200 คัน

เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบต้นทุนและระยะเวลาการให้บริการขนส่งสินค้าผ่านแดนจากกรุงเทพฯ ผ่านพรมแดนลาวต่อไปยังฮานอย เวียดนาม EIC ประเมินว่า ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าผ่านแดนภายใต้โควตา GMS-CBTA จะสามารถลดระยะเวลาขนส่งลงราว 45% จากการลดขั้นตอนการดำเนินพิธีการศุลกากรและการขนถ่ายสินค้า ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนขนส่งถูกลงกว่า 20% เมื่อเปรียบเทียบกับการให้บริการขนส่งสินค้าผ่านแดนรูปแบบปกติ

จากการเติบโตของการค้าผ่านแดนที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้ผู้ประกอบการเติบโตเฉลี่ยราว 10% และอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ราว 20% และคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยของผู้ประกอบการภายใต้โควตา GMS-CBTA จะมีแนวโน้มสูงขึ้นจากต้นทุนการขนส่งที่ลดลง

เมื่อมองภาพรวมธุรกิจขนส่งสินค้าผ่านแดนพบว่า กว่า 80% ของตลาดให้บริการโดยผู้ประกอบการขนาดใหญ่และกลางที่มีรถขนส่งสินค้าจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกตั้งแต่ 30 คันขึ้นไป โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2556-2560) พบว่า จำนวนรถขนส่งสินค้าที่จดทะเบียนไม่ได้แสดงถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ สะท้อนจากอัตรากำไรขั้นต้นของผู้ประกอบการที่จดทะเบียนรถขนส่งสินค้าน้อยกว่า 30 คันเฉลี่ยสูงถึงราว 23% และการเติบโตของรายได้ผู้ประกอบการที่จดทะเบียนรถขนส่งสินค้าระหว่าง 30-100 คันอยู่ที่ 13%

ขณะที่ผลประกอบการของผู้ประกอบการที่จดทะเบียนรถขนส่งสินค้ามากกว่า100 คันนั้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภาพรวมผลประกอบการในตลาดขนส่งสินค้าผ่านแดน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ใช้รถหัวลากตู้คอนเทนเนอร์เป็นหลักในการขนส่งสินค้าผ่านแดนทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสูงกว่าผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ให้บริการขนส่งสินค้าโดยรถบรรทุก 6 ล้อและรถบรรทุก 10 ล้อ

หลังจากเปิดการเดินรถขนส่งสินค้าผ่านแดนภายใต้กรอบความตกลง GMS-CBTA มีการประเมินว่า ผู้ประกอบการที่ถือโควตาจะสามารถควบคุมต้นทุนการขนส่งและลดระยะเวลาในการขนส่งให้แข่งขันได้มากขึ้นจากการลดการพึ่งพาผู้ประกอบการท้องถิ่น ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยมีแนวโน้มสูงขึ้น

นอกจากนี้ การขนส่งสินค้าผ่านแดนจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ต้องการขนส่งสินค้าไปเวียดนามเนื่องจากระยะเวลาขนส่งที่รวดเร็วและสามารถให้บริการส่งสินค้าได้ถึงมือผู้รับ (Door-to-Door) ขณะที่ ต้นทุนการให้บริการขนส่งสูงกว่าการขนส่งทางเรือเพียงเล็กน้อย ซึ่งผู้ใช้บริการขนส่งสินค้าไปเวียดนามทางเรืออาจหันมาใช้บริการขนส่งสินค้าผ่านแดนเพิ่มมากขึ้น นั่นหมายถึงโอกาสในการสร้างรายได้ของผู้ประกอบการในอนาคต

EIC ประเมินว่า ความเชี่ยวชาญของบุคลากร การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจและการให้บริการขนส่งสินค้าแบบครบวงจรถือเป็น 3 กลยุทธ์สำคัญสู่ความสำเร็จของธุรกิจขนส่งสินค้าผ่านแดน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำธุรกิจขนส่งสินค้าผ่านแดนจำเป็นต้องอาศัยความชำนาญเส้นทางและความเชี่ยวชาญในการดำเนินพิธีการศุลกากรตั้งแต่ประเทศต้นทางจนถึงประเทศปลายทาง รวมถึงความได้เปรียบในเรื่องภาษาท้องถิ่นซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการทำงานและลดต้นทุนการขนส่ง ประกอบกับการมีพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีและมีเครือข่ายที่มีศักยภาพในการกระจายสินค้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตสินค้า หรือร้านค้าปลีกจะช่วยให้ผู้ประกอบการมีฐานลูกค้าที่แน่นอนและสามารถจัดการต้นทุนการขนส่งทั้งขาไปขากลับลดความเสี่ยงในการวิ่งรถเปล่าที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นโดยเปล่าประโยชน์ นอกจากนี้ การให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรเชื่อมต่อการขนส่งทางเรือ ทางรถไฟ และทางอากาศ จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าผ่านแดนจะต้องเตรียมพร้อมเผชิญกับความท้าทาย 3 ประการ ได้แก่ ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน, การแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรง และการขยายโครงข่ายขนส่งระบบราง ในอนาคตธุรกิจขนส่งสินค้าผ่านแดนมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้มากขึ้น อีกทั้งความร่วมมือของภาครัฐในกลุ่มภูมิภาคยังส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาการค้าและโครงข่ายโลจิสติกส์อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ธุรกิจขนส่งสินค้าผ่านแดนเป็นธุรกิจที่ผู้ประกอบการในหลายกลุ่มจับตามองเพื่อสร้างโอกาสในการขยายกิจการ

ขณะที่ ความท้าทายสำคัญของธุรกิจนี้ ได้แก่ 1) ข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นสภาพถนนที่ยังต้องการการพัฒนาและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น จุดพักรถ สถานีบริการน้ำมัน ร้านซ่อมรถ ยังมีจำนวนไม่เพียงพอที่จะรองรับการขยายตัวของภาคโลจิสติกส์ในอนาคต 2) การแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากจำนวนผู้ประกอบการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่จดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และจากผู้ประกอบการต่างชาติภายใต้โควตา GMS-CBTA และ 3) การขยายโครงข่ายขนส่งระบบรางในภูมิภาคอาเซียน เช่น รถไฟรางคู่ของไทยที่เชื่อมต่อเส้นทางรถไฟสายทรานส์เอเชีย (Trans-Asian Railway) จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้ต้องการขนส่งสินค้าไปเวียดนามเนื่องจากมีต้นทุนขนส่งที่ต่ำกว่า

“ซิมเพิ้ล ฟู้ดส์” ร่วมส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ณ จังหวัดกาญจนบุรี

 

“อริสา กุลปิยะวาจา” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิมเพิ้ล ฟู้ดส์ จำกัด ผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายนมอัลมอนด์ นมวอลนัท และนมพิสตาชิโอยอดขายอันดับหนึ่งในประเทศไทย ภายใต้แบรนด์ “137ดีกรี” นำทีมจิตอาสากว่า 50 คน จัดกิจกรรม “ยิงเมล็ดพันธุ์พืช คืนต้นไม้ให้ป่า” สร้างสมดุลให้ระบบนิเวศ ณ ศูนย์ศึกษาธรรมชาติและสัตว์ป่าเขาน้ำพุ อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี  โดยร่วมปลูกไม้ท้องถิ่นและการยิงกระสุนเมล็ดพันธุ์ที่ปั้นจากเมล็ดพันธุ์พืชห่อด้วยดินเหนียวผสมปุ๋ยหมักแล้วยิงเข้าไปในบริเวณป่าและเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นจะเติบโตเป็นป่าที่สมบูรณ์ยั่งยืนต่อไป

พร้อมกันนั้นยังจัดกิจกรรมมอบนม “137ดีกรี” ที่อุดมไปด้วยสารอาหารจากถั่วคั้นสดเต็มเมล็ด อาทิ แคลเซียม, วิตามินบี, วิตามินอี, โปแตสเซียม, โอเมก้า เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่แพ้นมวัว ผู้เป็นโรคเบาหวาน ไขมันและหัวใจ ให้แก่ โรงพยาบาลท่ากระดาน โดยมี นายแพทย์ธีรเวทย์ เวชสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการเป็นผู้รับมอบ เพื่อส่งต่อให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคหัวใจที่อยู่ในความดูแลของโรงพยาบาลจำนวนประมาณ 220 คน

นิสิต จุฬาฯ โชว์ผลงานนิทรรศการ Interactive สุดล้ำ

นิสิตชั้นปีที่ 2 หลักสูตรการออกแบบสถาปัตยกรรม (นานาชาติ) หรือ INDA จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โชว์ไอเดียสุดล้ำกับนิทรรศการ Interactive ภายใต้ชื่อ IoT GARDEN ซึ่งเป็นการผสมผสานความสามารถด้านการออกแบบเข้ากับเรื่องเทคโนโลยียุคดิจิทัลได้อย่างน่าทึ่ง

การจัดนิทรรศการครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจาก AIS ในการนำเอาข้อมูล IoT หรือ Internet of Things ซึ่งเป็นบริการข้อมูลที่ได้จากเครือข่าย AIS IoT มาออกแบบและผลิตเป็นนิทรรศการในรูปแบบที่ทำให้เกิดความน่าสนใจ รวมถึงสร้างความตระหนักให้กับประชาชนทั่วไปและสามารถเข้าใจถึงข้อมูล สภาวะแวดล้อมต่าง ๆ รอบ ๆ ตัว

กลุ่มนิสิตผู้สร้างสรรค์ผลงานของ INDA จำนวน 12 คน ได้นำเสนอแนวคิดการออกแบบให้เป็น “สวนดอกไม้ดิจิทัล” หรือ IoT Garden และจัดทำให้เป็นนิทรรศการแบบ Interactive ที่ผู้เข้าชมสามารถปฏิสัมพันธ์กับดอกไม้ได้ โดยดอกไม้แต่ละดอกสามารถสื่อข้อมูล IoT จากการวัดค่าความชื้น ค่า PM 2.5 และค่าความถี่เสียงจากเขตต่าง ๆ ภายในกรุงเทพฯ จำนวน 12 เขตที่สามารถกดเลือกให้แสดงผลให้ชมได้ โดยการแสดงผลมีดังนี้ ค่า PM 2.5 แสดงผ่านการเปลี่ยนสีของดอกไม้จากสีเขียว-สีเหลือง ไปจนถึงสีแดง ซึ่งหมายถึงค่า PM สูงเกินค่าที่กำหนด สำหรับค่าความชื้นและค่าความถี่เสียงแสดงผลโดยการหุบและบานของดอกไม้

การสร้างสรรค์ผลงานนิทรรศการของน้อง ๆ กลุ่มนิสิต INDA ครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการเรียนการสอนในรายวิชา Design-Build Project ที่เน้นการออกแบบและผลิตผลงานการออกแบบรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงปานกลาง เพื่อให้นิสิตได้นำความรู้มาผลิตเป็นผลงานการออกแบบจริง ๆ เป็นการสร้างประสบการณ์การทำงานจริงให้นิสิตซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของหลักสูตร

ผู้สนใจชมนวัตกรรมล้ำ ๆ “IoT GARDEN : สวนดอกไม้ดิจิทัล” สามารถเข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2562 โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ณ บริเวณ AIS D.C. ศูนย์การค้าเอ็มโพเรียม ชั้น 5 หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0 2218 4330 หรือ www.cuinda.com และ fanpage : IoT Garden

BEDO มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพรอบด้าน

alivesonlime.com : สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) พร้อมจัดงาน “เผยแพร่ผลงาน สพภ.” ในโอกาสครบรอบ 12 ปี เพื่อแสดงผลการดำเนินงานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน มุ่งเดินหน้าเพิ่มความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจของไทย สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนเผยถึงทิศทางการดำเนินงานในอนาคต

นางจุฬารัตน์ นิรัติศยกุล ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ สพภ. (Biodiversity-Based Economy Development Office : BEDO) เปิดเผยว่า สพภ. เป็นองค์การมหาชน สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก่อตั้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อประยุกต์ใช้ทรัพยากร ความหลากหลายทางชีวภาพ และภูมิปัญญาของชุมชนและท้องถิ่น ผสานด้วยวิทยาการใหม่ ๆ ให้เกิดประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์อย่างมีดุลยภาพ รวมทั้งการสนับสนุนให้มีการวางแผนบริหารจัดการทรัพยากรชีวภาพอย่างเป็นระบบ พร้อมผลักดันนวัตกรรมเพื่อสร้างโอกาสให้เกิดกระบวนการสร้างงาน สร้างรายได้ และกระตุ้นให้เกิดผู้ประกอบการใหม่ นับเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio Economy) เพื่อช่วยเพิ่มความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนสร้างความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาประเทศได้อย่างยั่งยืน

ตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมา สพภ. มุ่งมั่นปรับรูปแบบการดำเนินงานให้สอดคล้องกับแนวนโยบาย และวิสัยทัศน์ 20 ปีของรัฐบาลคือ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” โดยนำหลักการ “Bedo Concept” เป็นกลไกหลักในการดำเนินงาน ได้แก่ 1) ใช้ความหลากหลายทางชีวภาพ หรือภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นองค์ประกอบหลัก 2) มีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับความหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น และ 3) มีการปันรายได้ส่วนหนึ่งกลับไปสู่วิถีการอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรชีวภาพในชุมชน โดยรูปแบบการทำงานจะเน้นการสร้างความร่วมมือและทำงานประสานความเชื่อมโยง (Network) กับหน่วยงานภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นชุมชนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน พร้อมกำหนดบทบาทเป็นแหล่งให้ความรู้ (Knowledge) ด้านเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ และเป็นผู้อำนวยความสะดวก (Facilitator) แก่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน

นางจุฬารัตน์ กล่าวด้วยว่า ในช่วงที่ผ่านมา สพภ. มีรูปแบบการดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพที่ครอบคลุมอย่างรอบด้าน ประกอบด้วย การพัฒนาระบบศูนย์กลางข้อมูลพันธุกรรมเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ช่วยสร้างความพร้อมด้านข้อมูลเชิงเศรษฐกิจ ก่อตั้งธนาคารความหลากหลายทางชีวภาพระดับชุมชน (Community BioBank) ซึ่งรับฝาก หรือดูแลทรัพย์สินชีวภาพของชุมชน ริเริ่มศูนย์ส่งเสริมธุรกิจจากทรัพยากรชีวภาพ เพื่อมอบตราสัญลักษณ์ BioEconomy Promotion Mark การันตีคุณภาพของสินค้าที่มีการนำทรัพยากรชีวภาพมาใช้เป็นทุนในการประกอบธุรกิจ

นอกจากนั้นยังส่งเสริมและสนับสนุนชุมชนให้เกิดการคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้าให้แก่ผู้ผลิต เช่น ลำไยเบี้ยวเขียวลำพูน ผ้าครามธรรมชาติสกลนคร เป็นต้น ตลอดจนการสร้างป่าแบบพอดีตามวิถีพอเพียง เพื่อการพึ่งพาอย่างยั่งยืน สร้างสรรค์โครงการชุมชนไม้มีค่า เพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์ในการค้ำประกัน รวมทั้งกระตุ้นให้เยาวชนมีส่วนร่วมผ่านโครงการ “BIO GANG เยาวชนรักษ์โลก” นับเป็นการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ได้เป็นอย่างดี ตลอดจนการตอบแทนคุณระบบนิเวศตามหลักการ PES ให้กับผู้ทำหน้าที่ดูแลรักษา อนุรักษ์ และฟื้นฟูระบบนิเวศนั้น ๆ เพื่อให้คงไว้ซึ่งบริการ หรือประโยชน์อย่างยั่งยืน

ในโอกาสครบรอบ 12 ปีของการก่อตั้งสำนักงานในปี 2562 สพภ. ได้กำหนดจัดงานเผยแพร่ผลการดำเนินงานขึ้น เพื่อแสดงถึงศักยภาพ ขีดความสามารถ บทบาทในการดูแลใส่ใจการทำงานทุกส่วนให้ราบรื่น (Care) และก่อให้เกิดบรรยากาศแห่งความสมดุล (Balancing) สรรสร้างผลการดำเนินงานที่สร้างความสุขร่วมกัน (Happy Together) บนพื้นฐานของการอนุรักษ์ (Conservation) เพื่อเดินหน้าสู่ความสุขมวลรวมชุมชน (Gross Community Happiness) ให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ตลอดจนแถลงทิศทางการดำเนินงานในอนาคต โดยเฉพาะการเชื่อมประสานในการพัฒนาเศรษฐกิจจากความหลากหลายทางชีวภาพ ผ่านการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบ Exposition ที่สะท้อนผลการดำเนินในภารกิจสำคัญที่เกิดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ การจัดทำฐานข้อมูล และการสร้างการมีส่วนร่วม นำเสนอกิจกรรมที่สามารถเชื่อมต่อกับภารกิจขององค์กรภาคีต่าง ๆ การจัดแสดงผลงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชน ซึ่งหากสาธารณชน หน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ได้รับทราบ และเข้าใจบทบาทของ BEDO ที่ชัดเจนแล้ว จะก่อให้เกิดความร่วมมือในการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพในระดับต่าง ๆ นำไปสู่ระบบเศรษฐกิจในรูปแบบใหม่ที่มีความเข้มแข็ง ก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้อย่างเต็มภาคภูมิ ขณะเดียวกัน สพภ. ก็จะมุ่งมั่นและขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ เพื่อเดินหน้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป (Sustainable Development)

ทั้งนี้ งาน “เผยแพร่ผลงาน สพภ.” ในโอกาสครบรอบ 12 ปี ประกอบด้วย การจัดแสดงผลการดำเนินงานของ BEDO ที่ผ่านมา พร้อมทั้งทิศทางการดำเนินงานและภารกิจในอนาคตของ BEDO ตลอดจนจัดแสดงผลงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชนกว่า 25 ชุมชน ซึ่งงานจะจัดขึ้นระหว่างวันจันทร์ที่ 22 – วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2562 (ระยะเวลารวม 5 วัน) ณ บริเวณศูนย์ส่งเสริมธุรกิจจากทรัพยากรชีวภาพ ชั้น 1 อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร

ชวนชมผลงาน 12 ปี สพภ.

สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO ภายใต้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนดจัดงาน “เผยแพร่ผลงาน สพภ.” ในโอกาสครบรอบ 12 ปี ในการส่งเสริม พัฒนา และสนับสนุนเศรษฐกิจจากฐานทรัพยากรชีวภาพผ่านนิทรรศการ 12 ผลงานแห่งความสำเร็จ

ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย ประกอบด้วย การจัดแสดงผลการดำเนินงานของ BEDO อาทิ BEDO CONCEPT หลักการดำเนินงาน, COMMUNITY BIOBANK ธนาคารความหลากหลายทางชีวภาพระดับชุมชน, BIOECONOMY PROMOTION MARK ศูนย์ส่งเสริมธุรกิจจากทรัพยากรชีวภาพ และ ป่าครอบครัว การสร้างป่าแบบพอดี ตามวิถีพอเพียง เพื่อการพึ่งพาอย่างยั่งยืน เป็นต้น รวมถึงการจัดแสดงทิศทางการดำเนินงาน/ภารกิจในอนาคตของ BEDO  และจัดแสดงผลงานการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากความหลากหลายทางชีวภาพของชุมชนกว่า 25 ชุมชน

นอกจากนี้ ยังมีสาธิตเวิร์คชอปรังสรรค์ผลงานทำพวงกุญแจเชือกถักมาคราเม่, ประดิษฐ์ดอกไม้กระดาษ, ทำ Floral Box ช่อบูเก้ในกล่องไม้, ทำผ้ามัดย้อมคราม, ทำแผ่นน้ำหอมปรับอากาศ พร้อมด้วยมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังอีกมากมาย

งาน “เผยแพร่ผลงาน สพภ.” ในโอกาสครบรอบ 12 ปี สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรือ BEDO จะจัดขึ้นระหว่างวันจันทร์ที่ 22–วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2562 เวลา 9.00–15.30 น. บริเวณศูนย์ส่งเสริมธุรกิจจากทรัพยากรชีวภาพ หน้าธนาคารกรุงไทย และหน้าธนาคารกสิกรไทย ชั้น 1 ณ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคารรัฐประศาสนภักดี อาคารบี

งานสุดครีเอทีฟ ‘AP WORLD’ 1-7 ส.ค.62 กลางลานพาร์ค พารากอน

‘วิทการ จันทวิมล’ บอสคนเก่งแห่ง “เอพี ไทยแลนด์” ชวนคนในสังคมตั้งคำถามว่า “คุณชอบโลกที่คุณอยู่แล้วหรือยัง?” พร้อมชวนคนเมืองร่วมกันออกแบบโลกในอุดมคติ ในงาน ‘AP WORLD’  สัมผัสบริบทใหม่ของชีวิตคุณภาพ…ที่ที่สัญชาตญาณจะหล่อหลอมรวมเข้ากับกระบวนการออกแบบพื้นที่และนวัตกรรมสมัยใหม่ จนเกิดเป็นนิยามใหม่ของชีวิตคุณภาพ พบกับโลกที่ออกแบบมาเฉพาะคุณภายในงาน ‘AP WORLD’ ระหว่างวันที่ 1-7 สิงหาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ลานพาร์ค พารากอน

“ไฮเซ่นส์” ขยายไลน์อัปทีวีไซส์ใหญ่รุกตลาดไทย

alivesonline.com : “ไฮเซ่นส์” กางแผนธุรกิจครึ่งปีหลัง 2562 เตรียมขยายส่วนแบ่งการตลาดในไทย ด้วยการเพิ่มจำนวนไลน์อัปกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าโดยเฉพาะโทรทัศน์และตู้เย็น รองรับความต้องการผู้บริโภคมากขึ้น ชูจุดเด่นขนาดใหญ่ ให้คุณภาพสูง ดีไซน์หรู และคุณภาพคุ้มค่าในราคาที่ผู้บริโภคจับจ่าย) พร้อมประกาศจำหน่าย 4K Laser TV อย่างเป็นทางการ

 

นายยี่ เสี่ยวผิง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮเซ่นส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ไฮเซ่นส์” (Hisense) เป็นแบรนด์ผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่ครองส่วนแบ่งการตลาดโทรทัศน์เป็นอันดับหนึ่งในประเทศจีนถึง 15 ปีซ้อน ส่วนในเวทีการตลาดระดับโลกก็ยังคงไต่อันดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดติดอันดับท็อปเท็นของ “BrandZ Top 10 Chinese Global Brand Builders” ต่อเนื่องเป็นปีที่สาม โดยไต่อันดับจากที่ 9 ขึ้นสู่อันดับที่ 6 ซึ่งเกิดจากความมุ่งมั่นในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อให้ผู้บริโภคทั่วโลกเกิดความเชื่อมั่นในคุณภาพของแบรนด์

ปัจจุบัน “ไฮเซนส์” เป็นเจ้าของบริษัทที่ตั้งอยู่ทั่วโลกจำนวนทั้งสิ้น 54 แห่ง มีฐานการผลิตตั้งอยู่ในต่างประเทศ 5 แห่ง และยังมีศูนย์ R&D อีก 7 แห่งที่ทำการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์อันทันสมัยสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงที่ผ่านมาเน้นกลยุทธ์สปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง (Sport Marketing) เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ โดยได้ให้การสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลโลก หรือ “ฟีฟ่า เวิลด์คัพ 2018” (FIFA World Cup™) และขณะนี้ได้เป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 หรือ “UEFA EURO 2020” ควบคู่ไปกับการทำการตลาดในแต่ละประเทศ ซึ่งมั่นใจว่าจะทำให้แบรนด์ “ไฮเซนส์” ได้รับความสนใจและเป็นที่จดจำในตลาดระดับนานาชาติเพิ่มมากขึ้น

“ประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีความสำคัญสำหรับไฮเซ่นส์ โดยเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2559 ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ทำการศึกษาความต้องการของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง มีการคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อรองรับกับไลฟ์สไตล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเทคโนโลยีจอภาพที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและมีคุณภาพที่ดีขึ้น รวมถึงด้านการเข้าถึงคอนเทนต์ที่ต้องสะดวกและง่ายเพียงปลายนิ้ว ขณะที่ผลิตภัณฑ์ของไฮเซ่นส์นั้นนอกจากคุณภาพที่ให้ความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งแล้ว ยังเน้นดีไซน์ที่สวยงาม ให้ความรู้สึกถึงความพรีเมี่ยม และการรับประกันหลังการขายยาวนานถึง 3 ปี เพราะเป้าหมายของแบรนด์คือการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่คุ้มค่าในราคาที่ผู้บริโภคจับจ่ายออกมา หรือ Best Value for Money”

นายยี่ เสี่ยวผิง กล่าวอีกว่า ในปี 2563 “ไฮเซ่นส์” จะขยายไลน์อัปกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะโทรทัศน์และตู้เย็นซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานของผู้บริโภค โดยเชื่อว่าการอยู่ร่วมกันของครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นโทรทัศน์มีขนาดใหญ่และให้คุณภาพระดับ 4K ขึ้นไป จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ จะเน้นการทำตลาดภายใต้แนวคิด “4K Bigger Is Better” พร้อมด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ตู้เย็นขนาดใหญ่หลายประตูที่พัฒนาออกแบบดีไซน์ทุก ๆ 3 ปี โดยผลิตภัณฑ์เรือธงของแบรนด์ที่เคยสร้างการรับรู้ไปเมื่อปีที่ผ่านมาอย่าง 4K Laser TV จะนำเข้ามาจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้วในปี 2563 เพื่อมอบความบันเทิงภายในบ้านได้อย่างเต็มอิ่มทั้งภาพและเสียง

ด้าน นายฉันท์ชาย พันธุฟัก ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไฮเซ่นส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ไฮเซ่นส์” มีผลิตภัณฑ์ที่รองรับความต้องการของผู้บริโภคตั้งแต่ระดับกลางถึงพรีเมียมที่คิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมของแบรนด์เอง มีไลน์อัปที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างหลากหลายความต้องการ ดีไซน์สวยหรู พรีเมี่ยม โดยในปีที่ผ่านมา “ไฮเซ่นส์” ได้แนะนำ 4K Laser TV ขนาด 100 นิ้ว ให้ผู้บริโภคได้รับรู้ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการความบันเทิงภายในบ้าน สามารถรับชมได้อย่างสบายตาในระยะเพียง 4 เมตรจากหน้าจอ ซึ่งในปีนี้ได้นำเข้ามาจำหน่ายอย่างเป็นทางการแล้ว

“ผลิตภัณฑ์กลุ่มโทรทัศน์ที่ไฮเซ่นส์เพิ่มไลน์อัปในปีนี้คือกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ 75 นิ้ว และ 65 นิ้ว เพราะช่วงที่ผ่านมาขนาด 55 นิ้ว ถือเป็นขนาดมาตรฐานของผู้บริโภคไปแล้ว ได้แก่ ได้แก่ ULED TV รุ่น B8000 ขนาด 65 นิ้ว OLED TV รุ่น A91 ขนาด 55 นิ้ว แอนดรอยด์ โทรทัศน์ (Android TV) รุ่น B7700 ขนาด 65 นิ้ว ที่ใช้งานง่าย รองรับภาษาไทย ค้นหาด้วยเสียง ทั้งยังเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเป็นรีโมทอัจฉริยะผ่านแอปพลิเคชัน RemoteNOW เหมาะกับทุกห้องภายในบ้าน และ Premium UHD TV รุ่น B7500 ซึ่งมีตั้งแต่ขนาด 75 นิ้ว – 43 นิ้ว เพื่อรองรับการใช้งานของผู้บริโภคทุกกลุ่ม”

คุณสมบัติเด่นของโทรทัศน์ทุกรุ่นนั้นให้คุณภาพของภาพระดับ 4K มีโหมดภาพที่เหมาะกับการชมในแต่ละประเภท เน้นความเข้มชัดของสีและความมืด ความสว่าง (Dolby Vision HDR/HDR 10) บางรุ่นเหมาะกับการเล่นเกมและการรับชมกีฬา ง่ายต่อการเชื่อมต่อเพียงปลายนิ้ว เข้าชมคอนเทนต์ยอดนิยมอย่าง Netflix และ Youtube ง่ายดายด้วยทางเข้าลัดที่หน้าจอ ระบบเสียงที่มีคุณสมบัติพิเศษจาก dbx-tv และ Dolby Atmos, DTS Studio SoundTM เต็มอิ่มกับคุณภาพเสียงที่ดีทัดเทียมกับคุณภาพของภาพโดยไม่ต้องใช้ซาวด์บาร์ ที่สำคัญยังเป็นโทรทัศน์ที่เหมาะกับการชมการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020

ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์กลุ่มตู้เย็นที่ “ไฮเซ่นส์” เพิ่มไลน์อัปเข้ามา ยังเน้นขนาดใหญ่ด้วยเช่นกัน คือ Multi Door Pure Flat Series 16 คิว และ ตู้เย็น 2 ประตู แบบ Bottom Freezer 16 คิว รวมถึง Side by Side และ 2 ประตู ที่มีดีไซน์เรียบหรู มีช่องบรรจุอาหารในตู้เย็นที่หลากหลายทั้งอาหารสด อาหารแช่แข็ง และเครื่องดื่ม อีกทั้งยังเปลี่ยนดีไซน์ทุกๆ 3 ปี ซึ่งถือว่ามีความถี่มากกว่าแบรนด์อื่น ๆ ในตลาด และช่วงเปิดตัวยังนำเสนอราคาโปรโมชั่นราคาที่ดึงดูดใจผู้บริโภค

นายฉันท์ชาย กล่าวด้วยว่า สำหรับแผนการตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 “ไฮเซ่นส์” ยังคงเน้นการสร้างการรับรู้แบบเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายพันธมิตรอย่าง เทสโก้ โลตัส, โฮมโปร และเพาเวอร์บายทุกสาขา หรือมาร์เก็ตเพลซออนไลน์ต่าง ๆ พร้อมทั้งเน้นการใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการให้อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) รีวิวผลิตภัณฑ์แบบใช้งานจริง เพราะต้องการให้ผู้บริโภครับรู้ถึงคุณสมบัติที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์ การใช้ Facebook AD, Line AD, Youtube AD เป็นต้น โดยในช่วงเดือนกันยายน 2562 แบรนด์ “ไฮเซ่นส์” จะครบรอบ 50 ปี จึงได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษมอบให้กับผู้บริโภคทั่วโลกด้วย

ผู้สนใจทดลองผลิตภัณฑ์ได้ที่เทสโก้ โลตัส, โฮมโปร และเพาเวอร์บายทุกสาขา หรือสั่งซื้อออนไลน์ผ่านทาง ลาซาด้า, ช้อปปี้ และเจดี เซ็นทรัล, แอลซีดีโทรทัศน์ไทยแลนด์ ติดตามข้อมูลไฮเซ่นส์ (Hisense) ได้ทาง http://www.hisense.co.th/ หรือ facebook.com/Hisensethai

 

“พร้อมลอง พร้อม LEARN แคมป์ ครั้งที่ 2”

นางสาวอรญา หอมเศรษฐี (กลาง) ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด บริษัท แบรนด์ ซันโทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ นางสาวสุทธิพัฒน์ ชมะนันทน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ แผนกจัดซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี  ร่วมปฐมนิเทศเตรียมความพร้อมให้กับน้อง ๆ ผู้โชคดีจำนวน 20 ครอบครัว ก่อนเดินทางเข้าร่วมแคมป์ “พร้อมลอง พร้อม LEARN แคมป์ ครั้งที่ 2 ตอนนักสำรวจจิ๋วตะลุยแหล่งน้ำ” ซึ่งจัดขึ้นเป็นปีที่ 2 ที่เขาใหญ่ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เกี่ยวกับแหล่งน้ำผ่านการสังเกต และทดลองวิทยาศาสตร์ ปลูกฝังให้น้อง ๆ อนุรักษ์สิ่งมีชีวิตในน้ำ รวมทั้งดูแลรักษาแหล่งน้ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของทุกชีวิตบนโลกใบนี้ โดยมี “อเล็กซ์ เรนเดล” จากอีอีซี ไทยแลนด์ ร่วมงานดังกล่าว ณ ห้องประชุมชั้น 15 บริษัท แบรนด์ ซันโทรี่ (ประเทศไทย) จำกัด อาคารเคี่ยนหงวน 2 ถนนวิทยุ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับครอบครัวแบรนด์จูเนียร์ เพียงกดติดตาม FB: BRAND’S Junior Thailand

“แม่แอฟ” พร้อมไลฟ์สดทุกคำถามกับ “ลาซาด้า”

ใครที่ติดตามอินสตาแกรมคุณแม่คนสวย “แอฟ-ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ” จะรู้ดีว่าลูกสาวสุดที่เลิฟ “น้องปีใหม่” เป็นเด็กน่ารัก กล้าแสดงออก ช่างคิด ช่างพูด ส่วนหนึ่งก็มาจากวิธีการการเลี้ยงดูของแม่แอฟนั่นเอง เหล่าคุณแม่ที่อยากรู้ว่า “แม่แอฟ” มีวิธีเลี้ยงลูกอย่างไร  ต้องไม่พลาดไลฟ์สดๆ บนแอปพลิเคชัน “ลาซาด้า” กับแคมเปญ HI-Q 1 Plus Super Gold X Lazada ลดสูงสุด 15% วันที่ 19 กรกฎาคม 2562 เวลา 15.00 น. งานนี้พูดเลย “แม่แอฟ”พร้อมตอบสดทุกคำถามเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก พร้อมแชร์ “เคล็ดลับการเลี้ยงลูกสไตล์ แอฟ-ทักษอร” ให้คุณแม่ คุณพ่อได้ดูไปพร้อม ๆ กันจ้า

“เอซ เอสเตท กรุ๊ป” รุกพัฒนาโครงการอสังหาฯในเมือง

alivesonline.com : ตลาดคอนโดฯ ย่านสุขุมวิท 71 เติบโตเฉลี่ย 11% ต่อปี “เอซ เอสเตท กรุ๊ป” สบจังหวะเปิดตัวโครงการ ‘Arti Sukhumvit 71’ คอนโดมิเนียมแบบ High rise 21 ชั้น 115 ยูนิต ชูจุดขายทำเลที่มีความลงตัว – ดีไซน์เด่น – ระดับราคาจับต้องได้ เริ่มต้นเพียง 2.69 ล้านบาท เจาะกลุ่ม Young Adult อายุ 28-40 ปี เตรียมเปิด Pre-Sales วันที่ 20-21 ก.ค.62

 

 นายณัฐพล จินตนา กรรมการบริหาร บริษัท เอซ เอสเตท กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งแนบราบและแนวสูง เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ ประสบความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการ “KUUN ราชพฤกษ์” บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่จนมียอดขาย 100% ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เปิดขายโครงการ “Arti Sukhumvit 71” คอนโดมิเนียมแบบ High rise ความสูง 21 ชั้น จำนวน 115 ยูนิต ในซอย สุขุมวิท 71 (ปากซอยปรีดีพนมยงค์ 36) รวมมูลค่าโครงการ 525 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 4 ปี 2562 และมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 โดยมี บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาด้านการตลาดและการขาย

โครงการ “Arti Sukhumvit 71” ออกแบบภายใต้แนวคิด “Live Out Life…ใช้ชีวิตที่เป็นคุณ” สะท้อนถึงการใช้ชีวิตตามความต้องการ ช่างเลือก กล้าตัดสินใจ และหลุดจากกรอบเดิม ให้ความเป็นส่วนตัวสูงแก่ผู้พักอาศัย ด้วยจำนวนเพียง 5–8 ยูนิตต่อชั้นเท่านั้น ขณะเดียวกันทุกห้องยังถูกออกแบบโดยเน้นการใช้กระจกให้มองเห็นภายนอกได้อย่างเต็มที่ สามารถมองเห็นทัศนียภาพเมืองของถนนสุขุมวิทและถนนเพชรบุรี

นายณัฐพล กล่าวอีกว่า ในการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ นั้นดำเนินงานภายใต้แนวคิด “ Attentive Living Solution” ที่พร้อมรองรับการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์และความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค จึงพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยจากการนำความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ที่มีมายาวนานของผู้บริหารและทีมงานในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผนวกกับความใส่ใจ การเรียนรู้พฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภค รวมถึงการศึกษาตลาดและรวบรวมเพื่อพัฒนาโครงการที่เติมเต็มความต้องการ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของ

ห้องชุดพักอาศัยภายในโครงการ “Arti Sukhumvit 71” ถูกออกแบบเพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลาย ตั้งแต่ห้อง Studio, ห้อง 1 bedroom และ Loft ที่ให้พื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น รวมถึงแบบ 2 ห้องนอน และ Penthouse ขนาดกว่า 100 ตร.ม. รองรับลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ เป็นคอนโดมิเนียมที่เหมาะกับกลุ่มคนอายุ 28-40 ปี หรือกลุ่ม Young Adult ราคาเริ่ม 2.69 ล้านบาท

นอกจากการออกแบบโครงการที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแล้ว โครงการ ‘Arti Sukhumvit 71’ ยังมีจุดเด่นในด้านทำเลตรงสุขุมวิท 71 เป็นทำเลที่มี ‘ความลงตัว’ ในหลาย ๆ จุด คือเป็นทำเลที่ไม่ได้พลุกพล่าน และใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งสำนักงาน ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน และซูเปอร์มาร์เก็ต ตลอดจนมีความสะดวกสบายในการเดินทาง อีกทั้งระดับราคาขายโครงการ ‘Arti Sukhumvit 71’ ที่ไม่ได้สูงเกินไปแต่ก็สามารถใช้ชีวิตย่านเอกมัยและทองหล่อได้เพียงไม่กี่นาที นอกจากนี้ทางโครงการยังนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการการใช้ชีวิต เช่น ระบบ Automatic Parking , Nasket ระบบสั่งซื้อสินค้าและบริการผ่าน Smart Display, Digital Door Lock, Smart Mirror และ Smart Switchในราคาเริ่มต้นเพียง 2.69 ล้านบาท โดยบริษัทฯ จะเปิด Pre-Sales ในวันที่ 20-21 กรกฎาคม 2562 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.aceestate.co.th/condo/arti หรือสอบถามได้ที่ โทร.0 81999 7799

“การพัฒนาอสังหาฯ ในแต่ละโครงการเราคำนึงถึงทำเลเป็นสำคัญอันดับแรกก่อนเสมอ เพราะเป็นสิ่งที่จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยมากที่สุด และทุกครั้งก่อนเริ่มทำโครงการ เราจึงมีทีมลงพื้นที่สำรวจ รวมทั้งทีมผู้บริหารของ ACE Estate เอง ก็จะลงพื้นที่ด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นนำข้อมูลที่ได้รับมาปรึกษาวิเคราะห์กันและที่นี่สุขุมวิท 71 เป็นทำเลที่มี ความลงตัว ที่สุดอีกแห่ง ” นายณัฐพล กล่าวในตอนท้าย

ด้าน นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ที่ปรึกษาด้านการตลาดและการขาย โครงการ ‘Arti Sukhumvit 71’ กล่าวว่า โครงการ ‘Arti Sukhumvit 71’ เป็นคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้ที่ชอบใช้ชีวิตในเมืองที่ต้องการความสะดวกสบายในราคาที่เอื้อมถึง ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตรอบด้าน จึงเหมาะกับทั้งกลุ่มผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือการซื้อเพื่อลงทุนเอง ดังจะเห็นได้จากชาวต่างชาติที่เริ่มเข้ามาอยู่ในบริเวณนี้มากขึ้นเพราะค่าครองชีพที่ถูกกว่าพร้อมพงษ์-ทองหล่อ แต่สามารถเดินทางด้วยรถไฟฟ้า BTS ได้อย่างสะดวกสบายเทียบเท่ากับในเมือง

ด้วยศักยภาพของทำเลนี้จึงสามารถดึงดูดดีมานด์ได้แน่นอน ทั้งลูกค้าชาวไทยและต่างชาติโดยตั้งเป้าสัดส่วนของลูกค้าไทยและลูกค้าต่างชาติที่ 80:20 โดยการพัฒนาโครงการดังกล่าว บริษัทฯ ได้ทำงานกับบริษัท เอซ เอสเตท กรุ๊ป จำกัด ในลักษณะการเป็นพันธมิตรที่มีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนาโครงการ โดยเน้นการตอบโจทย์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า เพราะการเข้าใจความต้องการของลูกค้าคือสิ่งสำคัญ โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นกลุ่ม Young Adult ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่วัยทำงานที่อยู่ในเมือง จึงต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางและการใช้ชีวิต จึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ที่สำคัญสุดคือการตั้งราคาที่กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงได้ โดยวางกลุ่มเป้าหมายเป็นคนซื้ออยู่อาศัยเอง 70 % และซื้อลงทุน 30%

นางสาวสมสกุล ยังให้ความเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงราคาที่ดินทำเลสุขุมวิท 71 ด้วยว่า เมื่อปี 2561 ราคาที่ดินเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4.5 แสนบาทต่อตารางวา ปรับเพิ่มสูงขึ้นถึง 60% จากช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา หรือเติบโตขึ้นเฉลี่ยกว่า 13% ต่อปี ราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นย่อมมีผลทำให้คอนโดมิเนียมในย่านนี้มีมูลค่าที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยพบว่าคอนโดฯ ที่ขายในโซนนี้ราคาเติบโตขึ้นเฉลี่ย 11% ต่อปี ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าสนใจ ทั้งในแง่การซื้ออยู่เองที่จะได้โครงการที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต หรือซื้อเพื่อลงทุนก็มีแนวโน้มจะได้ผลตอบแทนที่ดีจากส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้นทุกปีเช่นเดียวกัน

สำหรับราคาขายคอนโดฯ โซนสุขุมวิท 71 พบว่าระดับราคาที่ 1–1.5 แสนบาทต่อตารางเมตรนั้นจะขายได้ดีสุด โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอัตราการขายโครงการในเซ็กเมนต์นี้สูงกว่าอัตราการขายเฉลี่ยรวมในพื้นที่ เนื่องจากไม่มีโครงการเปิดใหม่และโครงเก่าขายได้เกือบทั้งหมด โดยยอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 95 % ส่วนในด้านผลตอบแทนการลงทุนก็น่าสนใจเช่นกัน โดยการปล่อยเช่าที่มีดีมานด์จากทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ในโซนนี้มีอัตราผลตอบแทนการปล่อยเช่า (Rental Yield) เฉลี่ย 5-7%