ททท. ดึง “พีทีที บลูการ์ด” เปิดแคมเปญ “เที่ยวเมืองรองความสุขยกกำลัง 2”

alivesonline.com : ททท. จับมือ ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก เปิดแคมเปญ “เที่ยวเมืองรอง ความสุขยกกำลัง 2 กับ พีทีที บลูการ์ด” ชวนคนไทยออกเดินทางไปสัมผัสความงามทางธรรมชาติ วัฒนธรรม วิถีชุมชน และภูมิปัญญาท้องถิ่นอันน่าประทับใจในพื้นที่เมืองรอง ให้สิทธิสมาชิกบัตรสะสมคะแนน “พีทีที บลูการ์ด” ใช้บริการที่พัก เติมน้ำมัน “ชอป ชิม ชิล” แบบเต็มอิ่ม พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์สาวสวย “แพทตี้ – อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา” เป็นตัวแทนชวนคนไทยออกเดินทางท่องเที่ยวเมืองรอง

 

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า แคมเปญ “เที่ยวเมืองรองความสุขยกกำลัง 2 กับ พีทีที บลูการ์ด” เป็นกิจกรรมทางการตลาดที่กระตุ้นให้คนไทยออกไปเที่ยวเมืองรองอย่างจริงจังมากขึ้น โดยสิ่งที่นักท่องเที่ยวจะได้รับจากเมืองรองนั้น คือประสบการณ์ที่เปี่ยมไปด้วยความหมาย ผ่านการสัมผัสเรียนรู้วิถีชีวิตแบบท้องถิ่นและวัฒนธรรมพื้นบ้านที่ยังคงกลิ่นอายความเป็นไทยไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความสุขเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ของคนในปัจจุบัน

“ททท. ยังคงดำเนินนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศและกระจายรายได้เข้าสู่ชุมชนท้องถิ่น โดยในปี 2561 มีนักท่องเที่ยวชาวไทยออกเดินทางท่องเที่ยวเมืองรอง 83.66 ล้านคน เติบโตเพิ่มขึ้น 4.89% สร้างรายได้ 230,998.17 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 9.35%”

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีกจำกัด (มหาชน) หรือ “พีทีที โออาร์” กล่าวว่า แคมเปญ “เที่ยวเมืองรองความสุขยกกำลัง 2 กับ พีทีที บลูการ์ด” ถือเป็นแคมเปญที่ “พีทีที โออาร์” มีความภูมิใจที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจในพื้นที่นำร่องในเมืองรอง 24 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย เพชรบูรณ์ แม่ฮ่องสอน แพร่ สุโขทัย ลำปาง น่าน สมุทรสงคราม ราชบุรี ลพบุรี สุพรรณบุรี อุบลราชธานี อุดรธานี นครพนม เลย บุรีรัมย์ นครศรีธรรมราช ตรัง ชุมพร ระนอง สตูล ตราด จันทบุรี และนครนายก ให้ดียิ่งขึ้น ผ่านบัตร “พีทีที บลูการ์ด” ของ “พีทีที โออาร์” ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกมากกว่า 4.5 ล้านราย ด้วยปัจจุบันการเดินทางท่องเที่ยวเมืองรองได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวมากขึ้นดังจะเห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวในเมืองรองที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละจังหวัดจะมีความหลากหลายทั้งทางธรรมชาติ เอกลักษณ์วิถีชุมชนท้องถิ่น รวมถึงประเพณี ศิลปวัฒนธรรมที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นอันควรค่าแก่การรักษาและศึกษาค้นคว้า

สำหรับสิทธิพิเศษที่สมาชิกบัตร “พีทีที บลูการ์ด” จะได้รับเมื่อใช้จ่ายเติมน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น (PTT Station) หรือซื้อสินค้าที่ร้าน “คาเฟ่ อเมซอน” (Café Amazon) ร้านสะดวกซื้อ “จิฟฟี่” (Jiffy) “ฮั่วเซ่งฮงติ่มซำ” และศูนย์บริการการยานยนต์ “ฟิต ออโต้” (FIT Auto) กว่า 1,000 สาขา ที่เข้าร่วมโครงการ ใน 24 จังหวัดเมืองรอง ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2562 – 25 สิงหาคม 2562 ซึ่งทุกยอดใช้จ่ายจะได้รับคะแนนสะสมพิเศษถึง 2 เท่า นอกจากนี้ ยังได้จัดหาร้านค้าและโรงแรมกว่า 500 แห่งใน 24 จังหวัดเมืองรอง เพื่อให้สิทธิพิเศษกับสมาชิก “พีทีที บลูการ์ด” อีกด้วย โดยสมาชิกสามารถกดรับสิทธิ์ได้ผ่าน “พีทีที บลูการ์ด โมบาย แอปพลิเคชัน” (PTT Blue Card Mobile Application) ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเซอร์ไพรส์พิเศษที่ท “พีทีที โออาร์” จัดเพื่อสมาชิกบัตร “พีทีที บลูการ์ด” ทุกท่าน

“แพทตี้ – อังศุมาลิน สิรภัทรศักดิ์เมธา” กล่าวว่า ด้วยไลฟ์สไตล์ของ แพท เป็นคนที่ชอบเที่ยวอยู่แล้ว จนต่อยอดมาทำรายการท่องเที่ยวเป็นของตัวเอง ซึ่ง แพท มองว่าการออกเดินทางทำให้เราได้เปิดโลกกว้างเปิดมุมมองใหม่ ๆ และมักจะเที่ยวนอกกรอบไปในที่ที่ไม่ค่อยมีใครนึกถึงโดยเฉพาะการเที่ยวเมืองรอง หลายคนอาจจะมองว่าไม่มีอะไรที่น่าสนใจ แต่จริง ๆ แล้วแต่ละแห่งมีเสน่ห์ในแบบฉบับของตัวเอง เมื่อได้ไปสัมผัสแล้วรู้สึกว่าในประเทศไทยมีสถานที่สวยงามแบบนี้ด้วยหรือรู้สึกดีใจมากที่ได้เป็นตัวแทนแนะนำให้ชาวไทยเห็นการท่องเที่ยวบางมุมอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากนี้ แพท มองว่าแคมเปญนี้เป็นสิ่งที่ตอบโจทย์นักเดินทางมาก เพราะนอกจากจะได้รับความสุขจากการท่องเที่ยวแล้ว ยังได้รับสิทธิพิเศษมากมายจากบัตร พีทีที บลูการ์ด อีกด้วย เรียกว่าคุ้มค่าสุด ๆ เลยค่ะ

ร่วมออกเดินทางท่องเที่ยวเมืองรองในแบบใหม่ที่เต็มไปด้วยความเท่ซึ่งคุณอาจจะไม่เคยสัมผัสมาก่อน กับเมืองเท่ ๆ ที่ไม่เป็นรองใคร และสมาชิกบัตร “พีทีที บลูการ์ด” รับสิทธิพิเศษคะแนนสะสม 2 เท่า ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.pttbluecard.com หรือ โทร. 1365 Contact Center

 

เปิดตัว “เอท พลัส” น้ำดื่มธรรมชาติคุณสมบัติ pH 8+

บริษัท อัลก้า พลัส จำกัด เปิดตัวน้ำดื่มตรา EIGHT PLUS ( เอท พลัส )น้ำดื่มธรรมชาติคุณสมบัติ pH 8+ จากแหล่งน้ำธรรมชาติบริสุทธิ์ ใส สะอาด ปราศจากการปรุงแต่งและสารเจือปน อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายช่วยปรับความสมดุลของภายในร่างกายระหว่างค่าความกรดและด่าง โมเลกุลขนาดเล็กดูดซึมเจ้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

นางสาววรรจรรย์ เที่ยงธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลก้าพลัส จำกัด เปิดเผยว่า EIGHT PLUS ( เอท พลัส ) เป็นแบรนด์น้ำดื่มบรรจุขวดพร้อมดื่ม ที่มีคุณสมบัติค่า pH ในน้ำสูงถึง8.5ซึ่งทำให้น้ำดื่มตราเอทพลัสมีคุณสมบัติเป็นอัลคาไลน์หรือด่าง ที่มาจากแร่ธาตุที่มีอยู่ในน้ำที่ไมผ่านการใช้กรรมวิธีจากเครื่องเปลี่ยนประจุไฟฟ้า มีคุณสมบัติ pH 8+ ตั้งแต่กำเนิดจากแหล่งน้ำ ธรรมชาติที่เป็นของเราเองในประเทศไทย ซึ่งเราได้ให้การดูแลเป็นอย่างดี และมีมาตรฐานการผลิตที่มีคุณภาพซึ่งได้รับรองระบบการผลิต GMP Codex และ HACCP จากสถาบัน SGS ประเทศไทย พร้อมใบอนุญาตผลิตอาหารจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และการรับรองมาตรฐานคุณภาพ HALAL บรรจุในขวดพลาสติก PET ปราศจากสาร BPA (BPA Free) แม้ตั้งขวดทิ้งไว้กลางแดด หรือในที่ที่มีอุณหภูมิสูงก็ไม่ทำให้สารเคมีละลายออกมาเจือปน ทุกครั้ง ที่ดื่มจึงมั่นใจได้ว่าน้ำในขวดทุกขวดสะอาดปราศจากการปนเปื้อน นับตังแต่จากแหล่งผลิตจนถึงมือผู้บริโภค

น้ำดื่ม “เอท พลัส” มีคุณสมบัติความเป็นด่างและมีแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แมกนีเซียม โซเดียม ซิลิก้า และไบคาร์บอเนต อีกทั้งยังมีโมเลกุลที่เล็กสามารถดูดซึมเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพง่ายต่อการนำไปใช้ยังระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนั้นจึงเป็นน้ำที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากกว่าน้ำดื่มทั่วไป และจากคุณสมบัติความเป็นด่างจะสามารเข้าไปลดกรดส่วนเกินในร่างกาย ปรับสมดุลให้พอเหมาะ ช่วยป้องกันความผิดปกติของร่างกายจากสภาวะกรดทำให้ร่างกายและอวัยวะต่าง ๆ ทำงานได้อย่างเป็นปกติ ฯลฯ

นางสาววรรจรรย์ต่อไปอีกว่า โดยปกติแล้วร่างกายคนเราจะมีค่าความสมดุลอยู่ที่ pH7-7.2 แต่ พฤติกรรมการการบริโภคอาหารในปัจจุบันเป็นการเพิ่มค่า ความเป็นกรดในร่างกาย ทำให้ค่า pH ของร่างกายแปรปรวน มีกรดในร่างกายที่มากเกินไปอันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งตลอดจนโรคต่าง ๆ ได้ เพื่อเป็นการรักษาสุขภาพที่แข็งแรงจึงแนะนําให้เพิ่มค่าความเป็นด่างให้กับร่างกายเพื่อรักษาสมดุลของร่างกายให้ใกล้เคียงกับค่า pHที่ 7 ให้มากทีสุดด้วยการดื่มน้ำธรรมชาติที่มีค่า pH8+ ขึ้นไปซึ่งหาไม่ได้ง่ายนักจากน้ำดื่มธรรมชาติทั่วไปจึงเป็นวิธีที่ช่วยรักษาสมดุลของค่า pH ให้กับร่างกาย และความสดใสเยาว์วัยได้ อันเป็นวิธีที่จะเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ปกปองโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายที่จะมากล้ำกราย

การดื่มน้ำpH 8+ เป็นประจำทุกวันจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง แลดูอ่อนเยาว์ เปรียบเสมือนการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายไปด้วยอีกทางหนึ่งด้วยและยังช่วยส่ง ผลดีต่อ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้ สมอง ได้แก่ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของสมอง, กระตุ้นความตื่นตัว, ความกระตือรือร้น, กระปรี้กระเปร่า, ลดความตึงเครียด, เพิ่มความมั่นคงทางจิตใจ,นอนหลับสนิท หัวใจ ได้แก่ สร้างสมดุลของความเป็นกรดและด่างในเลือด, ดีต่อระบบการไหลเวียนของเลือด, เพิ่ม ระดับออกซิเจนในเลือดทำให้ร่างกายมีกำลังมากขึ้น ตับ ได้แก่ช่วยในการกำจัดของเสียได้ดียิ่งขึ้น, ช่วยกำจัดสารเคมีที่ตกค้างจากการใช้ยารักษาโรคบางชนิด, ลดค่าความเป็นกรดและดีท็อกซ์สารพิษต่าง ๆ ออกจากเซลส์และเนื้อเยื่อของร่างกายไต ได้แก่ ช่วยให้ไตมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ยาวนาน, ลดความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไต ระบบทางเดินอาหาร เพราะในน้ำมีโมเลกุลขนาดเล็ก จึงช่วยให้ร่างกายและข้อต่อ ดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น จึงช่วยบำบัดและป้องกันการเป็นกรดไหลย้อน, อาการท้องผูกและท้องร่วง, โรคเกาต์และไขข้ออักเสบข้อต่อได้แก่ช่วยบำรุงเซลส์และเนื้อเยื่อต่างๆ, ช่วยหล่อลื่นกล้ามเนื้อและข้อ ต่อ ต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นสูง และ ต่อผิวพรรณ ได้แก่ เพิ่ม ความชุ่ม ชื้นให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดูออ่นเยาว์,ต่อต้านและทำลายอนุมูลอิสระ, ต่อต้านการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

สำหรับโรงงานผลิตน้ำดื่ม EIGHT PLUS ตั้งอยู่ที่อำเภอพนมทวญ จังหวัดกาญจนบุรี มีพื้นที่ 54 ไร่ รวมแหล่งน้ำ 40 ไร่ จำนวน 1 บ่อ ใช้งบลงทุนสร้างโรงงาน 50 ล้านบาทเฉพาะในส่วนของระบบ มีกำลังผลิตต่ำสุด 6,000 ขวดต่อชั่วโมง สูงสุด 12,000 ขวดต่อชั่วโมง หรือ ผลิตได้ต่ำสุดปีละ 12 ล้านขวด

น้ำดื่ม “เอท พลัส” หรือน้ำดื่มอัลคาไลน์มีวางจำหน่าย 2 ขนาด ได้แก่ขนาดบรรจุขวด 345 ml ราคาจำหน่ายขวดละ 20 บาท และขนาดบรรจุขวด 552 ml ราคาจำหน่ายขวดละ 28 บาท ทั้งนี้ ในอนาคตจะมีขนาดบรรจุขวด 1.5 ลิตร และสำหรับในช่วงแรกที่ห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์และวิลล่า มาเกตทุกสาขา รวมถึงในโรงแรมและร้านอาหารชั้นนําพร้อมเตรียมระบบบริการขายตรงส่งถึงบ้านเพื่อความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภค ทั้งนี้ ช่วงแรกยังมีจำหน่ายเฉพาะในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลเท่านั้น และนอกจากจะนี้น้ำดื่มเอท พลัส ยังจะมีวางจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ เช่น ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บูรไน สิงคโปร์ ฮ่องกง อิตาลี และไต้หวัน แล้วในอนาคตยังจะเข้าไปจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ฟิลิปปิน อินโดนีเซีย และ เวียดนาม อีกด้วย

หลังจากที่น้ำดื่ม “เอท พลัส” วางจำหน่ายก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคซึ่งมียอดขายเติบโตขึ้นมา 30 %  นอกจากนี้ยังมีออเดอร์สั่งซื้อเข้ามาเกือบ 100% ซึ่งได้ตั้งเป้ายอดขายสำหรับขนาดขวดบรรจุ 552 mlไว้ประมาณ 12 ล้านขวด และตั้งเป้าสัดส่วนส่งออกไว้ 80% ในประเทศ 20 % ภายใน 3 ปี

ในส่วนของ Thai Water Sommelier หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำดื่มนั้นเป็นเพราะความสนใจในน้ำที่ตัวเองดื่มจึงเริ่มศึกษาหาข้อมูลจนเริ่มธุรกิจผลิตน้ำดื่ม จากที่ไม่รู้อะไรเลยได้ศึกษาลองผิดลองถูกและได้รับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น นักธรณีวิทยา อาจารย์จากสถาบันต่าง ๆ ผู้เชี่ยวชาญในวงการน้ำหลาย ๆ ท่าน เป็นเวลาหลายปี ซึ่งคนใกล้ชิดตัวปอจะรู้ดีว่า ปอให้ความสนใจมาก อย่างไปต่างประเทศปอก็จะขนน้ำของประเทศนั้นๆกลับมาศึกษาเรียกได้ว่ามากกว่าน้ำหนักที่สายการบินให้อีก จนเมื่อ 2 ปีทีแล้วปอได้ไปเยี่ยมคุณแม่บุญธรรมที่เป็นเจ้าของโรงผลิตเบียร์ใหญ่แห่งหนึ่งในเยอรมันท่านได้แนะนําเกี่ยวกับสถาบัน Doemens Academy ว่าเป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับอย่างมากในวงการเบียร์และน้ำดื่ม ปอจึงตัดสินใจสมัครและสัมภาษณ์จนผ่านเข้ารับการฝึกอบรมจนผ่านการทดสอบได้เป็น 1 ใน 3 ของผู้ที่มีผลการทดสอบยอดเยี่ยมที่สุดของรุ่นและจากการสอบถามกับสถาบัน ปอเป็นคนไทยคนแรกที่ผ่านการรับรองนี้ ก็อาจจะเรียกได้ว่าปอเป็นคนไทยคนแรกที่ได้เป็น Water Sommelier ที่ได้รับการรับรองจากสถาบันโดเมนส์ ประเทศเยอรมันนี

“ตนเป็นคนดื่มน้ำ pH8+ แล้วบังเอิญไปเดินในงานที่เยอรมันสถาบัน Doemens  Academy ซึ่งเพิ่งเปิดสอนเกี่ยวกับเรื่องของน้ำได้ 4 ปี และเปิดสอนอินเตอร์เนชั่นแนลได้ 2 ปี ไปออกบูธจึงเกิดความสนใจสมัครเข้าไปเรียนที่สถาบันแห่งนี้ โดยจะเปิดรับนักศึกษาคอร์สละ 18 คนเท่านั้น และสำหรับบทบาทหน้าที่ของ Water Sommelier (วอเตอร์ ซอมเมอริเย่) หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำนั้นจะสามารถรู้ถึงรสชาติของน้ำ แยกประเภทของน้ำว่าเป็นน้ำประปา น้ำเปล่าธรรมดาหรือน้ำที่มีแร่ธาตุ สามารถบอกได้ว่าร่างกายของคนที่ต้องการบำบัดหรือออกกำลังกายควรมีแร่ธาตุและปริมาณในน้ำเท่าไรจึงเหมาะสม รวมถึงบอกได้ว่าอาหารประเภทนี้ต้องกินกับน้ำอะไรดี ซึ่งทำให้รสชาติของอาหารและน้ำ ออกมาแล้วรู้สึกกลมกลืนไปด้วยกัน เป็นต้น”

สำหรับผู้ที่สนใจจะเป็นตัวแทนจำหน่ายน้ำดื่ม EIGHT PLUS ( เอท พลัส ) หรือผู้บริโภคต้องการสั่งซื้อสามารถติดต่อเข้ามาได้ที่เบอร์ 066-161-6924 หรือ Line : eightplus หรือ IG : Eight Plus Water หรือ Facebook : Eight Plus Water

สมาคมเทคนิคการแพทย์ฯ ร่วมมือ “โรช ไดแอกโนสติกส์” มอบรางวัล “สมาร์ทแล็ป โปรเจ็ค” เชิดชูหมอแล็ป

 

บริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับสมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทยในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ จัดงานมอบรางวัล “สมาร์ทแล็ป โปรเจ็ค” (Smart Lab Project) ให้กับนักเทคนิคการแพทย์ที่ส่งผลงานเข้าร่วมประกวดและได้รับรางวัลยอดเยี่ยม ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเชิดชูเกียรติและมอบรางวัลให้แก่ผู้ชนะทั้ง 10 คน ซึ่งแบ่งเป็นผู้ชนะเลิศ 3 รางวัล และรางวัลดีเด่นอีก 7 รางวัล จากจำนวนผู้ส่งผลงานเข้าประกวดกว่า 27 โครงการทั่วประเทศ หวังยกระดับงานบริการเทคนิคการแพทย์ให้ดียิ่งขึ้น โดยมี ดร. ทนพญ สลักจิต ชุติพงษ์วิเวท นายกสมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทยฯ และนายพิเชษฐพงษ์ ศรีสุวรรณกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้มอบรางวัล ณ โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด รัชดา

 

ดร.ทนพญ. สลักจิต ชุติพงษ์วิเวท นายกสมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทยในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี กรมหมื่นสุทธนารีนาถ กล่าวว่า “ในปัจจุบันการพัฒนาทางเทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการนั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ห้องปฏิบัติการต้องมีการเตรียมความพร้อมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงอย่างเหมาะสม ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่ในปัจจุบันพบว่าเจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการมักมีภาระงานประจำวันเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจทำให้มีแรงบันดาลใจในการขับเคลื่อนแนวคิด และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์น้อย สมาคมฯ จึงร่วมกับ บริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด และได้ริเริ่มโครงการนี้ขึ้น เพื่อมุ่งเน้นส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาห้องปฏิบัติการในด้านต่างๆ โดยไม่จำกัดหัวข้อ โดยหวังว่าการพัฒนาในทุกด้านที่เกิดขึ้นจะเป็นการเพิ่มความเชื่อมั่นให้ห้องปฏิบัติการในการปฏิบัติงาน และเพิ่มความเชื่อมั่นจากผู้บริหารในองค์กรเพิ่มขึ้น และสามารถช่วยยกระดับงานบริการเทคนิคการแพทย์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นนั่นเอง

“โครงการ สมาร์ทแล็ป โปรเจ็ค” เป็นโครงการที่ดีและถือเป็นโครงการหนึ่งในโครงการสำคัญๆ ที่ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันสร้างประโยชน์ให้กับสังคมโดยรวม การมอบรางวัลในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการชื่นชม ยกย่อง ให้เกียรติ ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ ซึ่งถือว่าบุคคลเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งกำลังหลักที่สำคัญต่อวงการแพทย์เราแล้ว ยังถือเป็นการช่วยพัฒนาบุคลากรขององค์กรต่างๆ และของวงการนักเทคนิคการแพทย์โดยรวมอีกด้วย เพราะทุกโครงการที่ทุกท่านคิดและนำเสนอเข้ามาในโครงการล้วนเป็นประโยชน์และสามารถในไปใช้งานได้จริง และที่สำคัญที่สุดประชาชนจะได้รับการบริการที่ดีขึ้นทั้งในแง่ของมาตรฐานและประสิทธิภาพการทำงาน เนื่องจากเป้าประสงค์หลักของผู้ส่งผลงานเข้าร่วมโครงการทุกคนหลักๆ แล้วก็คือการพัฒนางานของตนเองให้ดียิ่งขึ้นเพื่อการบริการประชาชนนั่นเอง” ดร. ทนพญ. สลักจิต ชุติพงษ์วิเวท กล่าว

ด้านนายพิเชษฐพงษ์ ศรีสุวรรณกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “โรช ไดแอกโนสติกส์ เชื่อมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตามนโยบาย Sustainability ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาเพื่อมนุษยชาติเสมอ โดยบริษัทโรช เองมีส่วนสำคัญในการวางรากฐานสำหรับงานด้านสุขพลานามัยหรือเฮลต์แคร์สมัยใหม่ มีนวัตกรรมของระบบตรวจสอบและวิเคราะห์ที่ครอบคลุม ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมในด้านงานวินิจฉัยโรคผ่านระบบการตรวจวินิจฉัยโรคในห้องปฏิบัติการ หรือ in vitro diagnostics (IVD) รวมถึงการนำเสนอโซลูชั่นเฮลต์แคร์แบบองค์รวมที่มีประสิทธิภาพในการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น การตรวจคัดกรองจำเพาะด้าน ตลอดจนการประเมิน และเฝ้าระวังโรค ดังนั้นด้วยการทำงานเสมือนพันธมิตรที่สอดประสานกันระหว่างห้องปฏิบัติการ โรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ จะทำให้สามารถมอบผลการตรวจวิเคราะห์ที่รวดเร็วและน่าเชื่อถือ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับแพทย์เพื่อช่วยในการตัดสินใจและวางแผนให้การรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

 

“เรารู้สึกยินดีและเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับสมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทยฯ โดยการเป็นผู้สนับสนุนโครงการ สมาร์ทแล็ป เพื่อสร้างเวที และเปิดโอกาสให้กับเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นให้พวกเขาได้มีความคิดริเริ่ม และสร้างสรรค์ผลงาน หรือคิดค้นนวัตกรรมเพื่อนำมาพัฒนาห้องปฏิบัติการของตนเองให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น และได้เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการได้นำเสนอผลงานให้กับเพื่อนร่วมวิชาชีพ รวมถึงผู้บริหารในองค์กรของผู้ปฏิบัติงานเอง นำไปสู่การกระตุ้นให้เกิดการรับรู้ในวงกว้าง ทั้งในกลุ่มเจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการ เพื่อสร้างให้เกิดความเชื่อมั่นในมาตรฐานการทำงานและบริการให้ดียิ่งขึ้นไป” นายพิเชษฐพงษ์ ศรีสุวรรณกุล กล่าวปิดท้าย

สำหรับโครงการ สมาร์ทแล็ป เกิดขึ้นมาจากความร่วมมือระหว่าง สมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทยฯ และบริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ในห้องปฏิบัติการในโรงพยาบาล คลินิก และสถานพยาบาลทั่วประเทศ สามารถส่งโครงการเพื่อเข้าประกวดได้ 1 เรื่อง ต่อ 1 ห้องปฏิบัติการ โดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทยฯ จะทำการตัดสินโดยคัดเลือกผู้ได้รับรางวัล ทั้งนี้ผลงานที่ได้รับรางวัลจะถูกนำไปพัฒนาและใช้งานในองค์กรที่ผู้พัฒนาปฏิบัติงานอยู่ ให้เกิดการยอมรับและยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานและการให้บริการของนักเทคนิคการแพทย์ในประเทศไทยต่อไป

“ดร.นภัสนันท์” หัวเรือใหญ่ “ดาราเดลี่” ดันธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ก้าวสู่ปีที่ 8

เป็นหญิงเก่งของวงการที่ใคร ๆ ต่างยกนิ้ว ดร.นภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานกรรมการ บริษัท ดาราเดลี่ จำกัด ผู้ผลิตสื่อชั้นนำ ได้เนรมิตค่ำคืนสุดพิเศษเพื่องานประกาศผลรางวัลdaradaily Awards” ครั้งที่ 8 มอบรางวัลแห่งเกียรติยศในหลายสาขาให้แก่บุคลากรวงการบันเทิงที่มีผลงานโดดเด่นตลอดปี 2561 ที่ผ่านมา ณ โรงละครเคแบงก์ สยามพิฆเนศ สยามสแควร์วัน ซึ่งบรรยากาศในค่ำคืนสุดพิเศษ เต็มไปด้วยเหล่าศิลปิน ดารา นักร้อง รวมถึงคนดังในวงการบันเทิงเมืองไทย กว่า 200 ชีวิต มาร่วมเจิดจรัสในธีม INFINITY STAR มีที่มาจาก INFINITY มีความหมายสอดคล้องกับเลข 8 ที่เป็นปีที่จัดงาน และเมื่อรวมกับ STAR ทำให้มองได้ถึงห้วงจักรวาลที่กว้างใหญ่เป็นกำมะหยี่สีดำ ระยิบระยับไปด้วยดวงดาวมากมาย เปรียบเสมือนศิลปิน ดารา นักร้อง และคนดังในวงการบันเทิง

งานนี้แสงแฟลชรัวแบบไม่มีหยุดเมื่อศิลปินคนดังระดับซูเปอร์สตาร์ทั่วฟ้าของเมืองไทย อาทิ แบมแบม กันต์พิมุกต์ (GOT7), เบลล่า ราณี, หมาก ปริญ, ณเดชน์ คูกิมิยะ, ญาญ่า อุรัสยา, อ๊อฟ พงษ์พัฒน์, หน่อง อรุโณชา” ร่วมด้วยเซเลบริตี้ชื่อดังและบุคคลในแวดวงสังคมระดับแถวหน้าของเมืองไทย อาทิ สุริยน-เมก้า ศรีอรทัยกุล, สุภี-พงษ์ภัทร พงษ์พานิช, อรอนงค์ ภู่เจริญ, มาดามหลี-จรินทร์ สุมานนท์, พัชรา วีรบวรพงศ์, เสาวณีย์ อักษรานุวัตร, วาสิต ล่ำซำ, อานนท์ วังวสุ, ณวัฒน์ อิสรไกรศีล ฯลฯ ที่แต่งกายแบบจัดเต็มในธีม Yellow Gold เรียกได้ว่าอร่ามทั่วทั้งงาน

หนึ่งในความสำเร็จของค่ำคืนนี้ต้องปรบมือให้กับผู้บริหารหญิงคนเก่งแถวหน้า ดร.นภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานกรรมการ บริษัท ดาราเดลี่ จำกัด ซึ่งได้เปิดเผยถึงกิจกรรมดีๆในวันนี้ว่า “งานประกาศรางวัล daradaily Awards ในครั้งที่ 8 เป็นความตั้งใจที่จัดขึ้นเพื่อมอบให้กับพี่ๆ น้องๆ ในวงการบันเทิงที่มีผลงานโดดเด่นในแต่ละปี เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการพัฒนางาน โดยการร่วมกันคัดเลือกผู้เป็นที่สุดในแต่ละสาขารางวัลจากสมาคมต่างๆ คณะกรรมการดาราเดลี่ และคะแนนโหวตจากพลังของประชาชนทั่วประเทศ และเป็นที่น่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง สำหรับการประกาศรางวัลในครั้งนี้ เรามีงานระดับประเทศถึง 3 งานมาผนึกกำลังกัน ร่วมสร้างความยิ่งใหญ่ในวันนี้

งานแรก คือ daradaily Star Challenge 2019 ที่เราเปิดโอกาสให้เด็กใหม่ๆ ได้เปิดประตูเข้าสู่วงการบันเทิง ด้วยการเปิดรับสมัครน้องๆ ที่มีความสนใจกว่า 200 คน ร่วมทำกิจกรรมแสดงความสามารถทั้งการพัฒนาบุคลิกภาพ การเดินแบบ และการเป็นพิธีกร จนได้ผู้ที่ผ่านการคัดเลือก 150 คน มาร่วมเดินแฟชั่นในงานที่ยิ่งใหญ่ The Longest Runway และในขณะนี้ เราได้ daradaily Star Challenge 2019 ทั้ง 10 คน ที่พร้อมจะเป็นดาวดวงใหม่ที่มีคุณภาพบนเส้นทางวงการบันเทิงมานั่งอยู่กับเราในที่นี้ด้วย ขอเสียงปรบมือจากรุ่นพี่ต้อนรับน้องๆ ค่ะ

งานที่ 2 The Longest Runway ที่จัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมแฟชั่นและที่เกี่ยวข้องของไทยไปสู่ความเป็นสากล ด้วยชุดแบรนด์ไทยจากงาน “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ แบรนด์ เมด อิน ไทยแลนด์ แอท ไอคอนสยาม” โดยมีนางแบบ-นายแบบกว่า 200 ชีวิต ร่วมเดินแฟชั่นกับ Runway ที่ยาวที่สุดในเอเชีย จากไอคอนสยามมายังสยามสแควร์วัน เพื่อร่วมเดินพรมดำของงานประกาศรางวัล daradaily Awards ครั้งที่ 8 ในค่ำคืนนี้ นับเป็นการสร้างปรากฏการณ์อันสุดยอด ในการยกระดับอุตสาหกรรมวงการแฟชั่น วงการบิวตี้ และวงการบันเทิงค่ะ  ส่วนงานที่ 3 daradaily Awards ครั้งที่ 8 งานประกาศรางวัลระดับเอเชียที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีนี้ และขอแสดงความยินดีล่วงหน้ากับผู้ที่ได้รับรางวัลในแต่ละสาขารางวัล คุณคือที่สุดของค่ำคืนนี้ค่ะ”

ผู้บริหารคนเก่ง เผยถึงความตั้งใจมุ่งมั่นในการจัดงาน daradaily Awards” ครั้งที่ 8 เพื่อยกระดับเวทีการประกาศรางวัลให้มีมาตรฐาน มีคุณค่า

“ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้ เกิดจากความมุ่งมั่น เพื่อยกระดับเวทีการประกาศรางวัลให้มีมาตรฐาน มีคุณค่า ของสื่อบันเทิงดาราเดลี่ที่ต้องการขับเคลื่อนวงการบันเทิงของประเทศไทย ให้เกิดการเติบโต รุ่งโรจน์อย่างไม่มีวันสิ้นสุดตามคอนเซ็ปต์ของงานในค่ำคืนนี้ คือ INFINITY STAR  ซึ่งเป็นการสานงานต่อจากปีก่อนที่จัดงานครบรอบ 14 ปี ซึ่งเราได้จับมือกับมูลนิธิ 14 แห่ง จัดกิจกรรมตอบแทนสังคม โดยมีศิลปิน ดาราซึ่งเป็นเหมือนสปอต์ไลท์ให้การตอบรับเข้าร่วมกิจกรรมเป็นอย่างดี ก็ต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วน ที่มาร่วมกันสร้างสรรค์ จนเกิดปรากฏการณ์ดีๆ ในวันนี้ ขอให้พลังดีๆ ที่ไม่มีที่สิ้นสุดในวันนี้ อยู่กับพวกเราทุกคนในการพัฒนาวงการบันเทิงที่เรารักตลอดไป ขอบคุณค่ะ”

ดร.นภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานกรรมการ บริษัท ดาราเดลี่ จำกัด เผยต่ออีกว่าการจัดกิจกรรม ส่งผลต่อความภูมิใจ ที่ได้ช่วยเป็นส่วนหนึ่งของการกระตุ้นเศรษฐกิจ และยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของไทยไปสู่สายตาชาวโลก “เราจัดงานลองเกสรันเวย์ เป็นการร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นงานที่จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ไทยไปสู่แบรนด์โลก ดาราเดลี่เองได้เป็นส่วนหนึ่งในการพรีเซ็นสินค้าไทย ซึ่งเป็นการยกระดับสินค้าของไทย เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของไทยออกสู่สายตาชาวโลก เราภูมิใจมาก ที่ได้เป็นหนึ่งในกิจกรรมพวกนี้ ไม่ใช่แค่ทำแค่วงการบันเทิงเท่านั้น แต่กิจกรรมที่เราทำยังเป็นการยกระดับวงการบันเทิงไปสู่เอเชีย เป็นการตอบแทนประเทศชาติ และช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทางด้วย”

ในส่วนของผลประกอบการที่ผ่านมา ตลอดระยะเวลากว่า 14 ปี ท่ามกลางวิกฤติสื่อสิ่งพิมพ์ที่ปิดตัวลงมากมาย แต่ผู้บริหารคนเก่งยังคงยืนหยัด และมั่นใจว่า “ดาราเดลี่” จะยังคงก้าวต่อไปอย่างมั่นคง ภายใต้การบริหารงานอย่างมืออาชีพ

“นอกจากหนังสือพิมพ์ดาราเดลี่แล้ว เรายังมีทำอะไรอีกมากมาย อาทิ ช่องดาวเทียม ดาราเดลี่บันเทิงออนแอร์ในช่องอมรินทร์ อีกแฟตฟอร์มหนึ่ง ที่ค่อนข้างเข้าถึงคนรุ่นใหม่ในยุคดิจิตอล นอกจากนั้นเรายังมีเฟซบุ๊ก อินสตาร์แกรม ทวิตเตอร์ เว็บไซต์มีคนติดตามเราหลายล้านคน  และในส่วนของผลประกอบการ เนื่องจากสิบสี่ปีที่เราอยู่ตรงนี้ เรายังอยู่ได้ เพราะเราทำเรื่องที่เราถนัดก็คือสื่อบันเทิง และมีกิจกรรมอีเว้นต์ให้กับสินค้า หรือลูกค้าของเรา ซึ่งเรามองว่าต้องทำไปคู่กัน เราเป็นคนเผยแพร่สื่อกลาง ควบคู่การทำงาน เราใจหายที่ไม่เห็นเพื่อนๆ ในแผงหนังสือแล้ว เรามีการปรับตัวออฟไลน์สู่ออนไลน์ เราจึงยังสามารถอยู่คู่กับประชาชนชาวไทย เป็นสื่อกลางให้กับวงการบันเทิง”

เรียกว่าเป็นหัวเรือใหญ่ที่แข็งแกร่ง นำพาแบรนด์ “ดาราเดลี่” ก้าวสู่ความเป็นธุรกิจที่ยืนหยัดอยู่ในธุรกิจสื่อได้อย่างมั่นคง สมกับเป็นนักธุรกิจหญิงแถวหน้าของเมืองไทย ขอยกนิ้วให้ กับ ดร.นภัสนันท์ พรรณนิภา ประธานกรรมการ บริษัท ดาราเดลี่ จำกัด  

 

 

 

 

 

 

 

สอบถามข้อมูลได้ที่ประชาสัมพันธ์เฉพาะกิจ : สรกนก (เจี๊ยบ) โทร. 081-341-1252, ID LINE : jeabsornkanok และเดนโซ่ โทร. 085-328-2030

 

“วอลล์สตรีท อิงลิช” มุ่งเป้า 2 พันล้านบาทในปี 63

นายแมทธิว กิจโอธาน ประธานกรรมการวอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย กล่าวว่า “ปัจจุบันวอลล์สตรีท อิงลิช ทั่วโลกมีมากกว่า 400 สาขา ใน 28 ประเทศ ส่วนในประเทศไทย มี 15 สาขา ล่าสุดก็คือที่ เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ชั้น 4 ที่เราทำการเปิดตัวไปอย่างเป็นทางการ และจะมีสาขาใหม่ที่เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะด้วยเช่นกัน ส่วนเป้าหมายภายใน 2 ปีนี้ ด้วยศักยภาพของวอลล์สตรีท อิงลิช นั้น เราสามารถขยายเพิ่มได้อย่างแน่นอนอีก 28 สาขา ซึ่งโดยสัดส่วนทางการตลาดแล้วเราจะเป็นที่ 1 อยู่ที่ 44% และภายในปี 2563 รายได้รวมทั้งหมดน่าจะอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท เราเชื่อมั่นว่าการที่ใช้หลักสูตรการสอนที่ได้มาตรฐานระดับโลก และมีการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่ทันสมัย อยู่เสมอนั้น ก็ได้รับการพิสูจน์จากผู้ที่มาเรียนแล้วว่าได้ผลอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา คนรุ่นใหม่,กลุ่มนักศึกษาจบใหม่กำลังเข้าทำงาน,และกลุ่มพนักงานบริษัทต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมามีมากกว่า 3 ล้านคน ที่เข้ามาเรียนกับเราเพื่อพัฒนาศักยภาพด้านภาษาอังกฤษจากหลักสูตรเจ้าของภาษาและสามารถนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้าน นายโอฬาร พิรินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารวอลล์สตรีท อิงลิช ประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่วอลล์สตรีทอิงลิช เรามุ่งมั่นพัฒนาให้ที่นี่เป็นมากว่าสถาบันสอนภาษา เราสร้างให้ที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างมีสไตล์ มีการบูรณาการหลักสูตรโดยนำกิจกรรมอื่นๆ นอกจากหลักสูตรหลักมาเสริมสร้างให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะการใช้ภาษามากยิ่งขึ้น อย่างเช่น การจับมือกับทาง BEC TERO Music Course ในกิจกรรม Music Festival ที่มีการเล่นดนตรี และร้องเพลงภาษาอังกฤษ ซึ่งมีการสอนออกเสียงที่ถูกต้องให้กับผู้เรียน หรือกิจกรรมล่าสุด คือ การเฟ้นหา Wall Street English Smart Gen 2019 ที่เราได้ร่วมกับทาง GMM Grammy เฟ้นหาคนรุ่นใหม่ ที่กล้าแสดงออก และกล้าใช้ภาษาอังกฤษในวัย 15-25 ปี ก็ได้รับการตอบรับจากน้องๆ เยาวชนกว่า 300 คน นอกจากกิจกรรมต่างๆ แล้ว ในปีนี้ เรายังได้ พระเอกหนุ่ม เต-ตะวัน วิหครัตน์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์คนล่าสุดให้กับวอลล์สตรีท อิงลิช ซึ่งตัวน้องเตเองถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ มีความกล้าใช้ภาษาอังกฤษ เราเห็นความมุ่งมั่นและความพยายามในการพัฒนาทักษาะด้านภาษาของน้องเต-ตะวัน  ซึ่งถือว่ามีคุณสมบัติโดยรวม พร้อมที่จะมาเป็นสื่อกลางให้แบรนด์วอลล์สตรีท อิงลิช ในปีนี้ได้เป็นอย่างดี”

13 มิ.ย.62 เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “โซลวาซู” บนแพลตฟอร์ม Lazada

วันนี้ ! 13 มิถุนายน 2562 “Sulwhasoo” (โซลวาซู) เปิดตัวอย่างเป็นทางการบน LazMall ของ “ลาซาด้า” เพื่อให้บรรดานักชอปใน ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และเวียดนาม สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์ความงามของ “โซลวาซู” ที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย รวมถึงเซรั่มที่ขายดีที่สุดของแบรนด์อย่าง First Care Activating Serum EX ด้วย

ในวันที่ 13 มิถุนายน 2562 ลูกค้าที่ซื้อชุด First Care Activating Serum EX เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่ “ลาซาด้า” รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นดีไซน์ขวดสีทองสุดหรูทอประกาย พร้อมลายเซ็นซูปเปอร์สตาร์ระดับเอเชีย “ซอง เฮเคียว” รับเพิ่ม First Care Activating Serum ขนาด 8 มล. ส่วนลูกค้าที่ซื้อสินค้าครบ 3,000 บาท 5,000 บาท และ 15,000 บาท จะได้รับของสมนาคุณตามเงื่อนไข

พิเศษ!!! สำหรับการสั่งซื้อช่วง 00.00-02.00 น. “โซลวาซู” มอบของสมนาคุณเพิ่มเติมด้วย Essential Basic Kit จำนวน 200 ชุด เตรียมสัมผัสประสบการณ์เหนือระดับไปกับโซลวาซู ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ดีที่สุดได้ที่ LazMall ที่ลาซาด้า

“ทีเส็บ” จัดงาน TIME 2019 สร้างเวทีเชื่อมโยงธุรกิจ

alivesonline.com : “ทีเส็บ” ร่วมกับ “ทิก้า” และสมาคม SITE ประจำประเทศไทย จับมือพันธมิตรธุรกิจ “การบินไทย – บางกอกแอร์เวย์ส – BMW” จัดงานใหญ่ TIME 2019 หวังใช้เป็นเวทีระดับชาติขับเคลื่อนธุรกิจการจัดประชุมและการจัดอินเซนทิฟในเมืองไทย พร้อมผนึกกำลังทุกภาคส่วนในประเทศ สร้างความแตกต่างเจาะตลาด ASEAN+6

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า “ทีเส็บ” ร่วมกับสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) หรือ “ทิก้า” และ สมาคม SITE ประจำประเทศไทย โดยการสนับสนุนของพันธมิตรธุรกิจด้านการขนส่ง ประกอบด้วย การบินไทย, สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส และค่ายรถยนต์ BMW (Thailand) จัดงาน Thailand Incentive and Meeting Exchange 2019 หรือ TIME 2019 ระหว่างวันที่ 10-15 มิถุนายน 2562 ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 มุ่งหวังให้เป็นเวทีสร้างประสบการณ์ระดับสากลในการขับเคลื่อนธุรกิจการจัดประชุมและการจัดอินเซนทิฟ หรือการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลของประเทศไทย โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยพบปะเจรจาธุรกิจ และเปิดมุมมองการทำตลาดใหม่ ๆ อย่างสร้างสรรค์กับกลุ่มผู้ซื้อเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นตลาด ASEAN +6 ซึ่งเป็นตลาดหลักของไทย

จากสถิตินักเดินทางไมซ์กลุ่มการประชุม (Meeting) และกลุ่มการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล (Incentive) ในครึ่งปีงบประมาณ 2562 พบว่า มีจำนวนนักเดินทางรวมทั้งสิ้น 348,645 คน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 58% ของตลาดไมซ์ต่างประเทศทั้งหมด สร้างรายได้ถึง 25,727 ล้านบาท หรือคิดเป็น 57% ของรายได้ไมซ์รวม เมื่อเทียบกับครึ่งปีงบประมาณ 2561 ตลาดจำนวนนักเดินทางกลุ่มประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในกลุ่มประเทศ ASEAN+6 มีสัดส่วนถึง 86.96% โดยมีจำนวนนักเดินทาง 303,182 คน เติบโตถึงร้อยละ 23.70

นายจิรุตถ์ กล่าวอีกว่า ด้วยทิศทางการเติบโตของตลาดกลุ่มประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในกลุ่มประเทศ ASEAN+6 “ทีเส็บ” จึงร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรจัดงาน TIME 2019 ภายใต้แนวคิด “Togetherness” คือ การทำงานร่วมกันแบบบูรณาการในประเทศสู่โอกาสขยายความร่วมมือระดับภูมิภาค โดยอิงวัฒนธรรมของคนเอเชียที่รักพวกพ้อง ชอบความสนุกสนาน นำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจภายในภูมิภาค ผ่านการร่วมกิจกรรมและสัมผัสประสบการณ์จัดงานไมซ์ในประเทศไทย สอดคล้องกับบทบาทของ “ทีเส็บ” ในฐานะผู้นำความคิด ผู้ร่วมสร้างสรรค์ ผู้ร่วมมือทางธุรกิจและเป็นพันธมิตรเครือข่าย เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมไมซ์ไทยเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ทำรายได้หลักและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ

 

 

ทั้งนี้ การจัดงาน TIME 2019 ประกอบด้วย 3 ส่วนหลักคือ ส่วนที่หนึ่ง Knowledge Exchange” เป็นเวทีสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นแบบมีส่วนร่วมระหว่างผู้ประกอบการไมซ์ในฐานะผู้ขาย และผู้ซื้อเป้าหมายจากกลุ่ม ASEAN+6 เจาะลึกผ่านการพูดคุย 3 หัวข้อคือ Getting buyers attention at the point of enquiry, The art of negotiation that closes the deal และ The after-sales service that makes events successful โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานจำนวนกว่า 250 คน

ส่วนที่สอง Business Exchange” เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไมซ์ไทยซึ่งเป็นผู้ขาย จำนวน 40 ราย พบปะเจรจาธุรกิจกับผู้ซื้อกลุ่มเป้าหมาย ASEAN+6 จำนวน 40 ราย และจัดให้มีเวลาพิเศษที่ผู้ซื้อและผู้ขายจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้นในช่วง Networking และ Be My Dinner Date โดยกิจกรรม Knowledge Exchange และ Business Exchange จะจัดขึ้นวันที่ 11 มิถุนายน 2562 ณ โรงแรมคอนราด กรุงเทพ

ส่วนที่สาม Experience Exchange” คือ กิจกรรมสร้างประสบการณ์ผู้ซื้อกลุ่มเป้าหมายร่วมกิจกรรมในจังหวัดภูเก็ตและพังงา ระหว่างวันที่ 12-15 มิถุนายน 2562 เพื่อสัมผัสวิถีชีวิตอัตลักษณ์ของเมืองภูเก็ตและพังงาผ่านหลากหลายกิจกรรม อาทิ กิจกรรมสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ณ หมู่บ้านชาวประมง จ.พังงา กิจกรรมสานสัมพันธ์กลุ่มบนเรือยอร์ช ตัวอย่างการจัดงานเลี้ยงรับรองในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการนำกลุ่มประชุมและกลุ่มเดินทางเพื่อเป็นรางวัลขององค์กรต่าง ๆ เข้ามาจัดงานในประเทศไทย

“ทีเส็บ” ยังได้จัดแคมเปญพิเศษ “TIME to MEET” สนับสนุนเฉพาะลูกค้าที่เข้าร่วมงาน TIME 2019 สำหรับบริษัทที่นำกลุ่มประชุมและกลุ่มการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลที่มีจำนวน 50 คนขึ้นไปและมีวันพักในประเทศไทยอย่างน้อย 3 คืน โดยสนับสนุนงบประมาณ 500 บาทต่อคน และสูงสุดถึง 5 แสนบาทต่อกลุ่ม รวมถึงการสนับสนุนอื่น ๆ อาทิ ของที่ระลึก การจัดแสดงต้อนรับแบบไทย บริการช่องทางพิเศษตรวจคนเข้าเมือง หรือ MICE Lane สำหรับวีไอพี ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังได้มีแคมเปญ “M & I Reward” สำหรับลูกค้าที่ได้มีการจัดประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในประเทศไทยอย่างน้อย 3 ครั้งต่อปี ในรูปแบบเงินสนับสนุนเพื่อสร้างแรงจูงใจในการดึงงานเข้ามาจัดในประเทศไทย ในวงเงินไม่เกิน 2 ล้านบาท ตามเงื่อนไขที่กำหนดอีกด้วย

 

ด้าน นายธวัชชัย กิตติศรีบูรณ์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารลูกค้าองค์กรระหว่างประเทศ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การบินไทย ตระหนักถึงความสำคัญและศักยภาพของนักเดินทางไมซ์ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจัดตั้งกองขายลูกค้าการประชุมและสัมมนา (MICE Department) เพื่อให้บริการการเดินทางสำหรับลูกค้าตลาดไมซ์โดยเฉพาะ โดยบริษัทฯ ได้ให้การสนับสนุนการดำเนินการและการจัดกิจกรรมของ “ทีเส็บ” อย่างต่อเนื่อง อาทิ งาน TIME อีกหนึ่งกิจกรรมของ “ทีเส็บ” ที่ การบินไทย ร่วมเป็นพันธมิตรให้การสนับสนุนต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยคาดหวังขับเคลื่อนธุรกิจการจัดประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลในประเทศไทย โดยมั่นใจว่ามีเที่ยวบินรองรับกลุ่มนักเดินทางตลาด ASEAN รวมถึงจีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยเที่ยวบินของการบินไทย ซึ่งมีเส้นทางรองรับกว่า 1 จุดบินในหลายประเทศ อาทิ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย และออสเตรเลีย รวมถึงเที่ยวบินของสายการบินไทยสมายล์ และสายการบินพันธมิตร Star Alliance

นางสาวเพลินพิศ โกศลยุทธสาร ผู้อำนวยการส่วนส่งเสริมการตลาด บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สายการบินบางกอกแอร์เวย์สในฐานะเป็นสายการบินสัญชาติไทย มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทย สนับสนุนนโยบายภาครัฐร่วมกับ “ทีเส็บ” ตลอดมา โดยในปี 2562 โครงการ Fly and Meet Double Bonus – Redefined ซึ่งเป็นแคมเปญร่วมเจาะตลาดลูกค้าองค์กรในกลุ่มประเทศกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม หรือ CLMV ได้รับผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ สามารถกระตุ้นตลาดให้เกิดความสนใจเดินทางมาจัดงานประชุมและการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล โดยทางสายการบินฯ ก็เห็นอัตราเติบโตของผู้โดยสารจากกลุ่มประเทศ CLMV มากขึ้นเช่นกัน

นายเศรษฐิพงศ์ อนุตรโสตถิ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เล็งเห็นประสิทธิภาพในการเติบโตของอุตสาหกรรมไมซ์ในไทยที่มีอย่างต่อเนื่อง ผ่านการร่วมงานกับพันธมิตรที่หลากหลาย ในการจัดอีเวนต์และกิจกรรมส่งเสริมการตลาดต่าง ๆ เพื่อมอบประสบการณ์ยนตรกรรมหรูอย่างรอบด้าน บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย จึงมีความยินดีที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อร่วมขับเคลื่อนธุรกิจไมซ์และเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในระดับสากล โดยในโอกาสนี้ได้สนับสนุนรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ส์ 5 และซีรี่ส์ 7 รวม 20 คัน เพื่อเป็นรถรับส่งระดับพรีเมียมสำหรับพันธมิตรในงาน TIME 2019 ให้ได้สัมผัสประสบการณ์ยนตรกรรมหรูของบีเอ็มดับเบิลยูอย่างเต็มรูปแบบ

อนึ่ง จากการจัดงาน TIME 2019 คาดว่าจะมีจำนวนนักเดินทางกลุ่มการประชุมและอินเซนทิฟที่ได้จากการจัดงานกว่า 2 พันคน สร้างรายได้ถึง 152 ล้านบาท และจะช่วยผลักดันเป้าหมายภาพรวมนักเดินทางไมซ์ให้เพิ่มขึ้นเป็น 1,320,000 คน สร้างรายได้ 100,500 ล้านบาทภายในปี 2562 และเติบโตต่อเนื่องภายในปี 2563

ALL รุกพื้นที่ EEC แตกไลน์ธุรกิจชอปปิงมอลล์ชลบุรี

alivesonline.com : ที่ประชุมบอร์ด “ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์” ไฟเขียวลงทุนธุรกิจชอปปิงมอลล์ใจกลางเมืองชลฯ มูลค่ารวม 600 ล้านบาท อายุสัญญาเช่า 29 ปี หวังติด Top of Mind ของลูกค้าพื้นที่เขตระเบียงเศรษฐกิจ EEC มั่นใจโกยรายได้ 200 ล้านบาทต่อปีหลังเปิดบริการในปี 64 หนุนมาร์เก็ตแคปปี 64 แตะ 1 หมื่นล้านบาท

นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL ผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยหลากหลายประเภท เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มแบบครบวงจร (Total Real Estate Solutions) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติจัดตั้งบริษัทย่อย ด้วยทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เพื่อเข้าลงทุนในสิทธิการเช่าช่วงอาคารศูนย์การค้า “เดอะ นิว ฟอรั่ม พลาซ่า” พร้อมก่อสร้าง ดัดแปลง อาคารศูนย์การค้า จังหวัดชลบุรี มีอายุสัญญาเช่า 29 ปี มูลค่ารวมประมาณ 600 ล้านบาท

การลงทุนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางการสร้างอัตราการเติบโตทางธุรกิจให้ครบวงจรในระยะยาว อีกทั้งยังเป็นการกระจายรายได้เพื่อลดความเสี่ยงการพึ่งพิงรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว ตลอดจนเป็นการสร้างรายได้ที่แน่นอนให้บริษัทฯ มีความมั่นคงและยั่งยืนมากยิ่งขึ้นในอนาคต โดยเม็ดเงินจากการลงทุนในครั้งนี้มาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ ส่วนหนึ่ง และจากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน ดังนั้นผู้ถือหุ้นจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีการเพิ่มทุนแต่อย่างใด

“การแตกไลน์ธุรกิจไปยังชอปปิงมอลล์ครั้งนี้ บริษัทฯ จะดึงผู้บริหารระดับมืออาชีพเข้ามาบริหารจัดการ และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของบริษัทฯ ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญในการสร้างการเติบโตของรายได้ให้มีความมั่นคง จากการรับรู้รายได้จากค่าเช่าและให้บริการของศูนย์การค้า เดอะ นิว ฟอรั่ม พลาซ่า ที่จะมีทั้งศูนย์การค้าและธุรกิจค้าปลีก บนพื้นที่ 11-3-74 ไร่ โดยมีพื้นที่ Gross Building Area รวม 34,952 ตารางเมตร และพื้นที่ให้เช่า หรือ Gross Leasable Area 11,593 ตารางเมตร โดยจะเริ่มก่อสร้างในเดือนกรกฎาคม 2562 คาดว่าเปิดให้บริกรอย่างเป็นทางการได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563”

สำหรับความโดดเด่นของโครงการดังกล่าวจัดเป็นจุดไฮไลท์ของเมืองชลบุรี เพราะอยู่ใจกลางเมืองชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับการส่งเสริมจากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ซึ่งในอนาคตจะมีทั้ง โครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อมสามสนามบินสนามบินสุวรรณภูมิ สนามบินอู่ตะเภา และสนามบินดอนเมือง รวมทั้งการพัฒนาโครงการรถไฟรางคู่จากแหล่งอุตสาหกรรมทั่วประเทศ เชื่อมสู่ท่าเรือแหลมฉบัง มาบตาพุด และสัตหีบ สำหรับการขนส่งสินค้าระบบรางที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ โดยรถไฟรางคู่เข้าเชื่อมโยง และมีระบบบริการการขนส่งสินค้าแบบไร้รอยต่อ (Seamless Operation) และการขยายถนนทางหลวง และมอเตอร์เวย์ รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจในอนาคตมากขึ้น

นายธนากร กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งการตลาดศูนย์การค้าและธุรกิจค้าปลีกในชลบุรี อีกทั้งยังคาดหวังจะเป็น Top of Mind ของลูกค้าในพื้นที่ใจกลางเมืองชลบุรีและพื้นที่ใกล้เคียง รวมไปถึงเขตระเบียงเศรษฐกิจ EEC โดยคาดว่าจะจะมีรายได้จากธุรกิจชอปปิงมอลล์หลังจากเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในครึ่งปีหลัง 2563 รวมเดือนละกว่า 10 ล้านบาท และหลังจากเปิดบริการเต็มปีในปี 2564 จะส่งผลให้มีรายได้เฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปี มาจากค่าเช่า 90% และอื่น ๆ 10%

“ในช่วง 3 ปีนับจากนี้ หรือระหว่างปี 2562-2564 บริษัทฯ มั่นใจว่าจะมีราได้เติบโตเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจากปี 2562 ที่ตั้งเป้ารายได้ที่ระดับ 4.5 พันล้านบาท จากการการดำเนินธุรกิจแบบครบวงจรมากขึ้นทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยที่ทยอยเปิดโครงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีศูนย์การค้าและธุรกิจค้าปลีกเพิ่มขึ้น โดยมั่นใจว่าจากกลยุทธ์การบริหารแบบเชิงรุกดังกล่าวจะส่งผลให้มาร์เก็ตแคปของบริษัทฯ แตะระดับ 1 หมื่นล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้าตามแผนที่วางไว้”

“กรมหม่อนไหม” เน้นงานวิจัยต่อยอดนวัตกรรมตอบโจทย์ความต้องการของตลาด

 

alivesonline.com : กรมหม่อนไหม จัดประชุมวิชาการหม่อนไหม ประจำปี 2562 พร้อมมอบรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น ชูผลงานวิจัยที่มีการต่อยอดนวัตกรรม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและลดต้นทุนให้เกษตรกร โดยการพัฒนาเยื่อโครงสร้างไฮโดรเจลจากโปรตีนไหมไฟโบรอินเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางชีวการแพทย์ งานวิจัยที่เพิ่มมูลค่าให้กับไหมไทย เพื่อเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะทางการแพทย์ที่มีมูลค่าสูง ได้รับรางวัลดีเด่นงานวิจัยประเภทประยุกต์

นางสาวศิริพร บุญชู อธิบดีกรมหม่อนไหม เปิดเผยว่า กรมหม่อนไหม รับผิดชอบงานการพัฒนาหม่อนไหมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำแบบครบวงจร การพัฒนางานวิจัยจึงเป็นเรื่องตั้งแต่วัตถุดิบต้นน้ำไปจนถึงการแปรรูปที่เป็นปลายน้ำ ลักษณะของงานวิจัยของไหมที่ออกมาจะต้องเป็นงานวิจัยที่ตอบโจทย์ ทั้งในเรื่องการแก้ปัญหาของเกษตร ผลผลิต การแปรรูป การตลาด เน้นการต่อยอดนวัตกรรมเพื่อที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าหม่อนไหม ตลอดจนให้ความสำคัญเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมอีกด้วย

สำหรับการคัดเลือกผลงานวิจัยในปีนี้ คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกผลงานวิจัยดีเด่น ประจำปี 2562 ได้พิจารณาผลงานวิจัยที่เข้าร่วมนำเสนอและส่งผลงานเข้าร่วมพิจารณาผลงานวิจัยดีเด่นในงานประชุมวิชาการหม่อนไหมแบ่งประเภทของผลงานเป็น 3 ประเภทตามวัตถุประสงค์ของการดำเนินงาน คือ 1.งานวิจัยประเภทพื้นฐาน เพื่อแสวงหาความรู้หรือทฤษฎีใหม่ หรือการพิสูจน์ทฤษฎีเดิม 2.งานวิจัยประเภทประยุกต์ เป็นการต่อยอดงานวิจัยพื้นฐาน เพื่อให้ได้แนวทางการปฏิบัติหรือแก้ไขปัญหา และ 3.งานวิจัยประเภทพัฒนา เป็นงานวิจัยด้านการส่งเสริมและบริการ ซึ่งมีกลุ่มเกษตรกรเป็นผู้ร่วมดำเนินการวิจัย

 

ทั้งนี้ งานวิจัยประเภทพื้นฐาน ผลงานวิจัยระดับดี ได้แก่ การวิเคราะห์ลำดับเบสของ cpDNAtrnL-trnFและ nrDNA ITS ในหม่อนพันธุ์อนุรักษ์ ของ นางบุษรา จงรวยทรัพย์ ผลงานวิจัยระดับชมเชย 2 เรื่อง ได้แก่ การศึกษาการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โพรลีนเพื่อช่วยคัดเลือกพันธุ์หม่อนในสภาวะขาดน้ำ ของ นางมนัสวี สุริยวนากุล และผลของการใช้เส้นไหมไทยที่สาวด้วยวิธีการต่าง ๆ ต่อคุณสมบัติผ้าไหม ของ นายอานุภาพ โตสุวรรณ

งานวิจัยประเภทประยุกต์ ผลงานวิจัยระดับดีเด่น ได้แก่ การพัฒนาเยื่อโครงสร้างไฮโดรเจลจากโปรตีนไหมไฟโบรอินเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางชีวการแพทย์ ของ นางสาวศศิพิมพ์ ลิ่มมณี ผลงานวิจัยระดับดี 2 เรื่อง ได้แก่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ผลหม่อนผงจากน้ำหม่อนโดยการทำแห้งแบบโฟมแมท ของ นายธนกิจ ถาหมี และกระบวนการผลิตแอนโทไซยานินผงจากผลหม่อนสำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ของ นางเสาวนีย์ อภิญญานุวัฒน์

ผลงานวิจัยระดับชมเชย ได้แก่ การศึกษาพันธุ์ไหมไทยที่เหมาะสมในการผลิตกระดาษใยไหม ของ นายแดนชัย แก้วต๊ะ งานวิจัยประเภทพัฒนา ผลงานวิจัยระดับดี ได้แก่ การวิจัยและพัฒนาลวดลายผ้าบาติกไหมไทยภาคใต้เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์แฟชั่นไหมไทยร่วมสมัย ปี 2561 ของ นายสุรเดช ธีระกุล และผลงานวิจัยระดับชมเชย ได้แก่ การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของการผลิตผ้าไหมตรานกยูงพระราชทานกรณีศึกษา วิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอผ้าไหมบ้านท่าเรือ ต.ท่าเรือ อ.นาหว้า จ.นครพนมในปี 2561 ของ นางเกศสุดา ใหม่สาร

ทั้งนี้ ผู้สนใจผลงานวิจัยของ กรมหม่อนไหม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1275

 

 

4K สมาร์ท แอนดรอยด์ ทีวีรุ่นใหม่จาก “ไฮเซ่นส์”

“ไฮเซ่นส์” แบรนด์ผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก ในฐานะผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 หรือ EURO 2020 แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ 4K สมาร์ท แอนดรอยด์ ทีวีรุ่น B7700” สำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ที่นิยมการชมภาพคมชัดด้วยคุณภาพ 4K มีความคมชัดสูง Local Dimming 16 โซน ให้ภาพดำสนิท แสดงสีสันสมจริง พร้อมเทคโนโลยี HDR 10 และ Dolby Vision HDR มอบประสบการณ์ของความบันเทิงที่เหนือชั้น Smooth Motion Rate 120Hz สามารถชมภาพภาพเคลื่อนไหวได้อย่างลื่นไหล คมชัดในทุก ๆ แอ็กชั่น และด้วยคุณสมบัติพิเศษจาก dbx-tv และ DTS Studio SoundTM เต็มอิ่มกับคุณภาพเสียงที่ดีทัดเทียมกับคุณภาพของภาพโดยไม่ต้องใช้ซาวด์บาร์ ด้วยความชาญฉลาดของ ระบบปฏิบัติติการ แอนดรอยด์ ทีวี รองรับภาษาไทย ค้นหาด้วยเสียง ทั้งยังเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเป็นรีโมทอัจฉริยะง่าย ๆ ด้วยแอปพลิเคชัน RemoteNOW มีดีไซน์สวย เรียบหรู เหมาะกับทุกห้องภายในบ้าน สำหรับทีวีรุ่น B7700 มี 2 ขนาด ได้แก่ ขนาด 55 นิ้ว ราคา 20,990 บาท และขนาด 65 นิ้ว ราคา 27,990 บาท

ผู้สนใจทดลองผลิตภัณฑ์ได้ที่เทสโก้ โลตัส โฮมโปร และเพาเวอร์บายทุกสาขา หรือสั่งซื้อออนไลน์ผ่านทางลาซาด้า, ช้อปปี้ และเจดี เซ็นทรัล ติดตามข้อมูล “ไฮเซ่นส์” (Hisense) ได้ทาง http://www.hisense.co.th/ หรือ facebook.com/Hisensethai