เดินเท้า-ลงเรือ ตะลุย 5 พิพิธภัณฑ์เขตพระนคร

alivesonline.com : หลังจากหยุดอยู่บ้านกันมานานหลายเดือน ทั้งหยิบหนังสือมาอ่าน ดูซีรีส์จนฉ่ำตา จิบกาแฟกับเจ้าแมวขี้อ้อน เชื่อว่าตอนนี้หลายคนคงอยากออกเดินทางให้สายลมปะทะหน้ากันอีกครั้งแล้ว แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่การออกเดินทางไปต่างจังหวัดยังไม่สะดวกมากนัก วันนี้เราเลยจะขอพาทุกคนมาเที่ยวใกล้ ๆ กันก่อน ณ พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ในเขตพระนคร

ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยกันเลย !

เขตพระนคร หรือบริเวณรอบเกาะรัตนโกสินทร์ เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และเป็นสถานที่ที่มีกลิ่นอายแห่งอดีตซุกซ่อนอยู่ และมันจะยิ่งชัดเจนหากได้ไปสัมผัส 5 พิพิธภัณฑ์ที่เราจะพาไปในวันนี้คือ มิวเซียมสยาม หอศิลป์กรุงไทย หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พิพิธภัณฑ์พระปกเกล้าฯ และพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก หรือชื่อในปัจจุบันคือ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก ซึ่งพิพิธภัณฑ์ทั้ง 5 แห่งนี้ใช้บัตร Thailand Museum Pass เข้าชมได้ฟรี แถมด้วยที่เที่ยวระหว่างทางสองฝั่งแม่น้ำลำคลองที่สามารถแวะกิน ชิม ชม กันได้อย่างไม่มีเบื่ออีกด้วย

มิวเซียมสยาม

เริ่มที่แรกกันที่ “มิวเซียมสยาม” ซึ่งวันนี้เราจะเดินทางกันโดยใช้เส้นทางเรือเป็นหลัก เริ่มจากการนั่งเรือด่วนเจ้าพระยา หรือที่หลาย ๆ คนเรียกกันว่า “เรือธงส้ม” มาลงที่ท่ายอดพิมาน แล้วเดินต่อลัดเลาะเข้าซอยข้างโรงเรียนราชินี เดินมาไม่ไกลนักก็จะเจอกับสถานีตำรวจนครบาลพระราชวังตึกเก่าสีเหลืองอมส้ม เดินเลยมานิดเดียวก็จะมองเห็น “มิวเซียมสยาม” อยู่ทางด้านซ้ายมือ

หรือหากใครอยากจะชมวิวเพิ่มอีกสักหน่อยสามารถลงที่ท่าเตียนได้อีกด้วย ซึ่งท่าเรือนี้จะแน่นขนัดไปด้วยนักท่องเที่ยวเพราะจากตรงนี้สามารถเดินไปชมสถานที่สำคัญ ๆ อย่าง พระบรมมหาราชวัง วัดพระเชตุพนฯ หรือหาร้านสวย ๆ แถวตลาดท่าเตียนนั่งชมวิววัดอรุณฯ ฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเดินไป “มิวเซียมสยาม” ก็ได้

ที่ดินของ “มิวเซียมสยาม” และสถานีตำรวจพระบรมมหาราชวังเคยใช้เป็นวังถึง 5 วังในสมัยรัชกาลที่ 5 จนต่อมาในรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าให้แบ่งที่ดินเพื่อสร้างเป็นสถานีตำรวจนครบาลและตึกกระทรวงพาณิชย์ ในปัจจุบันพื้นที่ในบริเวณตึกกระทรวงพาณิชย์ถูกเปลี่ยนเป็น “มิวเซียมสยาม” พิพิธภัณฑ์แสนเก๋ที่ทำให้เรามองภาพพิพิธภัณฑ์ที่มีแต่ข้อมูลน่าเบื่อเปลี่ยนไปเลย

“มิวเซียมสยาม” พิพิธภัณฑ์ที่เล่าความเป็นไทยไว้ในหลากหลายมุมอง บ้างก็แซะไว้อย่างเจ็บแสบ บ้างก็ทำให้เราได้ย้อนกลับมาสำรวจความคิดความเชื่อตัวเองอีกครั้ง ในนิทรรศการหลักชุด “ถอดรหัสไทย” เล่าเรื่องผ่านทั้ง 14 ห้องนิทรรศการ

ในชั้น 2 เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยนั่นก็คือ “นางกวักตัวใหญ่” สูงราว 4 เมตร เจ้าหน้าที่บอกเราว่า เธอมีชื่อว่า “แม่เอิบทรัพย์” เป็นนางกวักที่แตกต่างจากที่เคยเห็นทั่วไปคือมีรูปร่างอวบอิ่ม ตากลมโตน่ารัก ที่มาคอยกวักมือเรียกทุกคนให้มาเยือนสถานที่แห่งนี้เพื่อเรียนรู้กันอย่างเพลิดเพลินนั่นเอง

ก่อนจะไปที่อื่นกันต่อเดินเลยไปแถวปากคลองตลาดกันสักนิดมีร้านที่อาจเคยเห็นผ่านตาใน Pinterest ซ่อนตัวอยู่ อย่างร้าน “นภสร” หรือร้าน “Floral Cafe At Napassorn” คาเฟ่ซึ่งอยู่ชั้นบนของร้านดอกไม้ นอกจากหอมดอกไม้อบอวลทั่วทั้งตลาดแล้วยังได้กลิ่นกรุ่นของกาแฟอีกด้วย

ตอนนี้ “มิวเซียมสยาม” เปิดให้บริการแล้วโดยเข้าชมได้ทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 10.00-18.00 น. หยุดวันจันทร์ ค่าเข้าชมสำหรับบุคคลทั่วไปอยู่ที่ 100 บาท นักเรียนนักศึกษา 50 บาท แต่ถ้าพกบัตร Thailand Museum Pass ไปเข้าชมฟรี!

หอศิลป์กรุงไทย

เมื่อออกจาก “มิวเซียมสยาม” เรานั่งเรือด่วนเจ้าพระยาต่อมาลงที่ ท่าราชวงศ์ เดินออกไปยังถนนเยาวราชประมาณ 600 เมตร แวะกินไอศกรีมดับร้อนที่ร้าน JING JING Ice-cream Bar and Cafe ร้านไอศกรีมที่มีบรรยากาศเหมือนในหนังของ “หว่องกาไว” ที่เหล่าคาเฟ่ฮอปปิ้งพลาดไม่ได้

หลังออกจากร้านไอศกรีมเราเดินไปยังจุดมุ่งหมายหลักของเราซึ่งอยู่ตรงข้ามโรงแรมแกรนด์ไชน่า ตึกเก่าทรงชิโน-โปรตุกีสซึ่งเคยเป็นธนาคารกรุงไทยสาขาเยาวราชมาก่อน ปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็น “หอศิลป์กรุงไทย” หอศิลป์ที่รวบรวมผลงานศิลปะที่ชนะการประกวด “กรุงไทยสานศิลปวัฒนธรรม” และผลงานศิลปะที่สะสมไว้กว่า 170 ชิ้น

ถ่ายรูปก้อนเมฆ มองวิวถนนเยาวราช บนชั้นดาดฟ้าเสร็จเรายังเหลือเวลาไปชอปปิง จากหอศิลป์นี้เดินไปไม่ถึง 3 นาที ก็เป็นตลาดสำเพ็ง เราแวะซื้อของกระจุกกระจิกติดไม้ติดมือกลับบ้าน ใครเป็นสายคราฟต์หน่อยก็อาจจะวางแผนโฉบไปพาหุรัดซื้อผ้าลายสวยมาเป็นพรอพถ่ายรูป หรือซื้ออุปกรณ์ทำกระเป๋าผ้าแสนชิค เดินได้เพลิน ๆ เผื่อปิ๊งไอเดียใหม่กลับบ้านก็นับว่าการเที่ยวครั้งนี้เป็นการออกมาหาอินสไปร์ที่คุ้มค่าทีเดียว

หอศิลป์กรุงไทยเปิดให้เข้าชมฟรี ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 09.00-17.00 น. ส่วนวันเสาร์ 10.00-17.00 น. ปิดทุกวันอาทิตย์และวันหยุดธนาคาร ใครวางแผนมากินตลาดกลางคืนที่เยาวราชช่วงกลางวันถ้าไม่รู้จะไปไหนลองมาใช้เวลาที่นี่ดู

พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก หรือ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก

ขยับออกจากเขตกรุงเก่ากันเสียหน่อย จะโบกตุ๊ก ๆ จาก “หอศิลป์กรุงไทย” หรือขึ้นเรือด่วนเจ้าพระยามาลงที่ท่าโอเรียนเต็ลแบบเราก็ได้ แล้วเดินไปทางถนนเจริญกรุง เลี้ยวเข้าบ้านไม้สวยบนถนนเจริญกรุง 43 ที่ตั้งของ “พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก” บ้านที่จำลองวิถีชีวิตของชาวบางกอก หรือชาวกรุงเทพฯ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเครื่องเรือนไปจนถึงข้าวของเครื่องใช้ของคนที่มีฐานะปานกลางในสมัยนั้นไว้ได้อย่างสมบูรณ์

อีกทางเลือกคือนั่งเรือด่วนเจ้าพระยามาลงที่ท่าสี่พระยาแวะกิน Feng Zhu เกี๊ยวซ่าหน้าเปิด ร้านสไตล์จีนข้างห้างฯ River City Bangkok เดินถ่ายรูปในซอยกัปตันบุช บ้านเลขที่ 1 และ Warehouse 30 ก่อนจะเดินข้ามถนนไปยังซอยเจริญกรุง 43 เพื่อไปยังพิพิธภัณฑ์ก็ได้

พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก หรือ พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก คือ พิพิธภัณฑ์ที่เปลี่ยนจากบ้านที่อยู่อาศัยจริงจนถึงบั้นปลายชีวิตของอาจารย์วราพร สุรวดี ซึ่งบ้านหลังนี้ได้รับมรดกจากผู้เป็นแม่ นางสอาง (ตันบุณเต็ก) เป็นความตั้งใจเพื่อให้คนรุ่นหลังได้สัมผัสบรรยากาศเมื่อ 70 ปีที่แล้ว

ก้าวเข้าอาคารหลังแรกเป็นบ้านที่อาจารย์เคยอาศัย ออกแบบตามอย่างฝรั่ง ไม่ว่าจะเป็นตัวบ้าน เครื่องเรือน หรือของใช้ล้วนได้รับอิทธิพลมาจากตะวันตก เราเดินมาถึงห้องรับแขกของบ้านสะดุดตาเข้ากับเปียโนหลังเก่า พบว่ามีอายุตั้งแต่ก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวแป้นกดทำมาจากงาช้าง ข้างกันกับเปียโนหลังงามมีเครื่องแก้วเจียรไน เช่น แก้วไวน์ แก้วมาตินี สวยงามเล่นกับแสงของไฟ

เราเดินสำรวจบ้านเข้ามาลึกเรื่อย ๆ สิ่งที่ดูแปลกตาเห็นจะเป็นโถส้วมเมื่อสมัยยังไม่มีน้ำประปาใช้ เพราะภายใต้ฝาชักโครกนั้นมีกระโถนรองไว้ พิพิธภัณฑ์บอกเราว่ามีไว้สำหรับรองรับและสะดวกในการนำไปทิ้งนอกบ้าน เราก็ได้แต่คิดว่าการเข้าห้องน้ำในสมัยก่อนนี่เป็นเรื่องลำบากจริง ๆ นะ

ลงจากบ้านแรกมาที่บ้านหลังที่สอง เป็นหลังที่ยกคลินิกของคุณหมอ “ฟรานซิส คริสเตียน” จากซอยงามดูพลีมาไว้ในขนาดย่อส่วนลงมาหน่อย บรรยากาศภายในนั้นขอบอกเลยว่าไม่ผิดแผกไปจากของเดิมมากนัก ทางพิพิธภัณฑ์จัดวางไว้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นวิถีชีวิตในสมัยนั้น ในพิพิธภัณฑ์นี้ยังเหลือบ้านอีก 2 หลัง แต่เราขออุบเอาไว้ให้ตามไปลองเที่ยวกันเองดีกว่า

พิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก หรือพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางรัก เปิดทำการทุกวันพุธ-อาทิตย์ หยุดทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 10.00-16.00 น. ความตั้งใจของอาจารย์คือเปิดให้เข้าชมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ สำหรับใครที่พกบัตร Thailand Museum Pass จะได้รับสติกเกอร์ของพิพิธภัณฑ์มาเป็นที่ระลึกด้วย

พิพิธภัณฑ์พระปกเกล้าฯ

ย้ายจากเรือด่วนเจ้าพระยามาลงเรือด่วนคลองแสนแสบกันบ้าง พิพิธภัณฑ์ต่อมาที่เราอยากชวนมาคือ “พิพิธภัณฑ์พระปกเกล้าฯ” อยู่ตรงข้ามกับท่าเรือสะพานผ่านฟ้าลีลาศ แค่นั่งเรือด่วนคลองแสนแสบมาจนสุดสายก็ถึงแล้ว เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใกล้ท่าเรือมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะแค่เราเดินออกจากท่าเราก็จะเห็นอาคารทรงยุโรปตั้งตระหง่านอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน พร้อมให้เราเข้าไปย้อนอดีตเมื่อสมัยรัชกาลที่ 7 แล้ว

เมื่อสิ่งของทุกชิ้นมักมีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ อาจมีคุณค่ากับจิตใจ อาจเป็นชิ้นส่วนของความทรงจำ อาจเป็นสิ่งที่จารึกประวัติศาสตร์บทเก่า สิ่งเหล่านี้เองทำให้ของที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์นั้นมีคุณค่ามากนัก เหมือนกับจุดเริ่มต้นของ “พิพิธภัณฑ์พระปกเกล้าฯ” พิพิธภัณฑ์พระมหากษัตริย์ที่พระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ได้พระราชทานเครื่องราชภัณฑ์ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมาจัดแสดง

เราเริ่มกันที่ชั้นแรกเป็นส่วนพระราชประวัติและภายในตู้กระจกมีข้าวของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ เราได้เห็นชุดของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีที่เป็นชุดอย่างสตรีชาวยุโรป มีกระเป๋าใบสวยที่ชื่อว่า “กระเป๋าเสื่อสมเด็จ” ที่เป็นอีกหนึ่งพระราชกรณียกิจที่ส่งเสริมอาชีพให้กับคนเมืองจันฯ ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเสื่อจันทรบูรด้วย

ขึ้นมาที่ชั้น 2 เราเดินชมภาพหายากซึ่งบอกถึงพระราชประวัติก่อนที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ เช่น ภาพตอนทรงผนวช ทรงอภิเษกสมรส นอกจากนั้นยังมีห้องที่จำลองบรรยากาศโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง โรงภาพยนตร์แห่งแรกของประเทศไทย เมื่อครั้งที่ยังคราคร่ำไปด้วยผู้คนและฉายหนังฝรั่งระดับฮอลลีวู ด ถึงแม้ว่าปัจจุบันตัวอาคารศาลาเฉลิมกรุงจะยังอยู่คงความขลังแต่ภาพบรรยากาศเก่าๆ ทั้งผู้คนและแสงไฟนั้นสามารถหาชมได้จากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ แนะนำว่าให้เผื่อเวลามา เพราะจะมีภาพยนตร์ฉายวันละ 2 รอบ เวลา 10.30 น. และ 14.30 น. เท่านั้น มีทั้งภาพยนตร์หายากและภาพยนตร์ส่วนพระองค์ที่น่าสนใจมากทีเดียว

บนถนนหลานหลวงยังเป็นที่ซ่อนตัวของคาเฟ่และร้านรวงที่อยู่ท่ามกลางตึกเก่า เราแวะเข้าไปที่ร้าน Alex&Beth ร้านที่ไม่ได้มีดีแค่กาแฟแต่ยังเสิร์ฟของหวานทั้ง เค้ก พาย และทาร์ตด้วยนะ

พิพิธภัณฑ์พระปกเกล้าฯ เปิดทำการทุกวันอังคาร-วันอาทิตย์ เวลา 09.00-16.00 น. หยุดวันจันทร์ สามารถเข้าชมได้ฟรี หรือใครจะชมจากทางบ้านที่นี่มีพิพิธภัณฑ์เสมือนจริงให้ได้เดินเข้าในสมัยรัชกาล 7 ผ่านโลกอินเทอร์เน็ตกันด้วย ที่เว็บ http://www.kingprajadhipokmuseum.com

หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

พิพิธภัณฑ์สุดท้าย สำหรับใครที่ยังไม่เต็มอิ่มกับหน้าประวัติศาสตร์ที่เพิ่งได้ย้อนรอยไป หรือมีเวลาเหลือ อยากชวนเดินข้ามสะพานผ่านฟ้าลีลาศไปชม “หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ” เพราะสามารถไปจากท่าเรือผ่านฟ้าลีลาศได้เหมือนกัน

เราเดินเข้ามาในอาคารซึ่งเคยเป็นที่ทำการของธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานผ่านฟ้า ที่ปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่สำหรับคนที่ชื่นชอบงานศิลปะ ไม่แปลกเลยที่สถานที่แห่งนี้จะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเช่นเดียวกับสถานที่สำคัญหลายแห่งบนถนนราชดำเนินกลางถนนที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์เส้นนี้

เนื่องจากหอศิลป์แห่งนี้จัดเป็นนิทรรศการหมุนเวียนตลอดทั้งปีตอนที่เรามาเที่ยวกับตอนที่ทุกคนมาอาจไม่เหมือนกัน เราเดินดูงานศิลปะกว่าร้อยชิ้นตั้งแต่ชั้น 1 ไปจนถึงชั้น 4 ซึ่งถูกจัดวางไว้หลากหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นงาน ประติมากรรม สีน้ำ สีฝุ่น ไปจนถึงสื่อผสม โดยหอศิลป์แห่งนี้เน้นสนับสนุนศิลปินไทยรุ่นใหม่ไปจนถึงศิลปินระดับตำนานหลากหลายท่าน เราจึงเห็นได้ถึงความหลากหลายทางศิลปะเอามาก ๆ และบนชั้น 5 ยังเป็นพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับงานศิลปะกับคนที่สนใจอีกด้วย

นอกจากเที่ยวหอศิลป์แล้วเรายังโบกรถไปตลาดเก่าอย่างตลาดนางเลิ้งที่ยังคงความเป็นตลาด 100 ปีเอาไว้ มีทั้งของกินและร้านรวงที่ให้กลิ่นอายของยุคเก่าก่อน ห้ามพลาดที่จะชิมร้านดังของที่นี่อย่างไส้กรอกปลาแนมหรือถ้าพูดถึงก๋วยเตี๋ยวเป็ดก็ต้องร้าน ส.รุ่งโรจน์ในตำนานนี่แหละ เด็ด!

หอศิลป์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เปิดทำการทุกวัน เวลา 10.00-19.00 น. ปิดทุกวันพุธ ค่าเข้าชมสำหรับบุคคลทั่วไปอยู่ที่ 50 บาท

เราไปลงเรือย้อนรอยประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์กันมา 5 พิพิธภัณฑ์ มีแวะเที่ยวระหว่างทางกันบ้าง ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกหลายที่ที่รอให้เราไปเที่ยวสนุก ๆ แบบไม่หยุดเรียนรู้อยู่อีก แต่จะเป็นที่ไหนติดตามในโพสต์ต่อไป ที่สำคัญอย่าลืมมีบัตร Thailand Museum Pass เป็นของตัวเองจะได้เข้าชมฟรีๆ แล้วไปเที่ยวกับเรานะ 🙂

ททท. – UNDP Thailand ร่วมมือพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

alivesonline.com : เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2563 นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ Mr. Renaud Meyer, the UNDP’s Resident Representative for Thailand ร่วมกันลงนามบันทึกข้อตกลงในการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สะท้อนถึงเจตนารมย์ในการเป็นผู้นำด้านการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ โดยต้องการนำเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ให้มาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างเป็นรูปธรรม

บันทึกข้อตกลงดังกล่าว เป็นความมุ่งมั่นของ ททท. ในการสร้างความสมดุลในห่วงโซ่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยและการพัฒนาแบรนด์ประเทศไทยให้มีคุณค่าเทียบเท่ากับการท่องเที่ยวในต่างประเทศ โดยได้จัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมกับ The United Nations Development Programme (UNDP) Thailand ซึ่งมีเนื้อหาความร่วมมือใน 4 ข้อ คือ การบูรณาการ SDGs ในกระบวนการทำงานของ ททท. การส่งเสริมให้ SDGs เป็นหลักการพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน การแบ่งปันประสบการณ์การจัดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของประเทศไทย และการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญและองค์ความรู้ด้านการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

การจัดทำบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ร่วมกับ UNDP ยังเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยภายหลังวิกฤติ COVID-19 ที่จะช่วยปรับสมดุล (Rebalance) ในห่วงโซ่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยใหม่เพื่อความยั่งยืน สามารถรักษาธรรมชาติที่กำลังฟื้นตัวให้คงอยู่ในสภาพอุดมสมบูรณ์ สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวบนพื้นฐานของการรักษาสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และสร้างวิถีใหม่ในการจัดการท่องเที่ยวแบบ New Norm ความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ตลอดการทำงาน 60 ปีที่ผ่านมา ททท. ได้ให้ความสำคัญของการส่งเสริมตลาดและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้ริเริ่มโครงการประกวดรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย (Thailand Tourism Awards) ขึ้นในปี 2539 และจัดพิธีมอบรางวัลในวันที่ 27 กันยายน (วันท่องเที่ยวโลก) ทุก 2 ปี นอกจากนี้ ยังมีการจัดทำแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงการสร้างสมดุลทางการท่องเที่ยวอีกมากมาย อาทิ แคมเปญ Amazing Thailand Go Local แคมเปญ 7Greens แคมเปญท่องเที่ยวชุมชน แคมเปญลดโลกเลอะ รวมถึงการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีการยกระดับคุณภาพสินค้าและจัดการความยั่งยืนผ่านโครงการประกวดรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย อันเป็นผลดีต่อการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น การสร้างสมดุลระหว่างธรรมชาติและการท่องเที่ยว รวมถึงการปลูกจิตสำนึกและสร้างกระแสการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มาเยือน

[ชมคลิป] “ทีเส็บ” จัดทำ TVC “หัวใจไทย ภูมิใจช่วยชาติ”

สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” จัดทำ TVC “หัวใจไทย ภูมิใจช่วยชาติ” เพื่อส่งต่อความห่วงใยและพลังใจให้คนไทยและผู้ประกอบการของเราให้ธุรกิจได้เดินหน้าต่อให้ประเทศไทยแข็งแรงยิ่งกว่าเดิม

…ในวันที่เราต้องพบกับจุดเปลี่ยน

เปลี่ยนวิถีชีวิต

เปลี่ยนวิถีการทำงาน

แต่หัวใจไทยไม่เคยเปลี่ยน

หัวใจที่เสียสละ

หัวใจที่แบ่งปัน

หัวใจของนักสู้

ให้เราได้ยิ้มกันอีกครั้ง

ให้ธุรกิจได้เดินหน้าต่อ

ให้ประเทศไทย แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม…

#ขอบคุณทุกหัวใจ #ไมซ์ไทย #TCEB

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ-สาธารณสุข ร่วมยกระดับท่องเที่ยว-สุขอนามัย

alivesonline.com : กระทรวงการท่องเที่ยวฯ มอบหมาย ททท. ปรับนโยบายให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี กำหนดนโยบายเร่งด่วนด้านยกระดับมาตรฐานด้านความสะอาดและสุขอนามัย ตามแนวคิด “ซ่อม-สร้าง” ด้าน กระทรวงสาธารณสุข และ ททท. ร่วมจัดทำมาตรฐาน Amazing Thailand Safety & Health Administration : SHA พร้อมคู่มือและแนวทางการดำเนินงานที่พร้อมสนับสนุนสถานประกอบการในภาคการท่องเที่ยวและการกีฬา ส่วน ททท. กำหนด 10 ประเภทกิจการที่สามารถสมัครขอรับการตรวจและรับตราสัญลักษณ์ SHA ได้ที่ www.tourismthailand.org/thailandsha

เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ณ ห้องแกรนด์ บอลรูม ชั้น 2 โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกันแถลงข่าวโครงการยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย หรือ Amazing Thailand Safety & Health Administration : SHA โดยความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และภาคเอกชนเพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวควบคู่มาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย

 

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ทำให้ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่นับจากปลายเดือนเมษายนจนถึงเดือนพฤษภาคมนี้ ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะสามารถควบคุมโรคได้ดีขึ้นตามลำดับ ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินมาตรการด้านการควบคุมโรคที่ใช้หลายมาตรการควบคู่กัน และที่สำคัญเกิดจากความร่วมมือของประชาชนทุกคนและทุกภาคส่วนเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโรค อีกทั้งยังเห็นภาพของการช่วยเหลือกันอีกด้วย ซึ่งในขณะนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้มีการผ่อนปรนมาตรการป้องกันโรคและกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานกลางของแต่ละกิจการและกิจกรรม โดยคำนึงถึงปัจจัยด้านสาธารณสุขเป็นหลัก และพิจารณาปัจจัยด้านสังคมและเศรษฐกิจเพิ่มเติม เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการได้มีการปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคและสามารถเดินทางได้มากขึ้นในการผ่อนปรนระยะถัดไป ให้ประเทศไทยผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน โดย กระทรวงสาธารณสุข มีความยินดีอย่างยิ่งที่จะร่วมมือและสนับสนุนการสร้างความเชื่อมั่นให้กับการท่องเที่ยวของประเทศไทยที่จะกลับมาเป็นประเทศผู้นำด้านการท่องเที่ยวของโลกอีกครั้ง

 

ด้าน นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า จากวิกฤติดังกล่าว อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมแรกที่ได้รับผลกระทบและอาจจะเป็นอุตสาหกรรมสุดท้ายที่ฟื้นกลับเข้าสู่ภาวะปกติซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปรับตัวครั้งสำคัญเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จึงได้มอบหมายให้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ปรับนโยบายให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีภายใต้พันธกิจของ ททท. โดยนโยบายเร่งด่วนที่สำคัญ คือ การยกระดับมาตรฐานด้านความสะอาดและสุขอนามัย ตามแนวคิด “ซ่อม-สร้าง” เพื่อกระตุ้นให้สถานประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้เตรียมความพร้อมในการปรับปรุงเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีปกติใหม่ (New Normal) ที่ไม่เพียงแต่การนำเสนอสินค้าและบริการที่ดีเหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติกันมา แต่ยังมีความจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เพื่อลดความเสี่ยงจากการแพร่กระจายของโรคติดต่อไวรัส COVID-19 และการสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศในการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศไทยอย่างมีความสุข และมีประสบการณ์ที่ดี และทำให้การท่องเที่ยวเป็นอีกหนึ่งเสาหลักทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป

แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย ยินดีอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ ของ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในการสร้างความมั่นใจด้านสุขอนามัยให้การเปิดบริการกิจการต่าง ๆ โดยการกำหนดแนวทางการป้องกันโรค จึงเชื่อว่าด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน จะช่วยทำให้ภาคการท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็ว และสิ่งสำคัญทุกคนต้องมีการปรับตัวและพัฒนายกระดับด้านสุขอนามัยและสุขาภิบาล (Hygiene and Sanitation) ให้ดียิ่งขึ้นเพราะเป็นปัจจัยสำคัญพื้นฐานที่จำเป็นต่อการป้องกันโรคติดต่อต่าง ๆ อีกทั้งยังต้องอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อใช้ชีวิตวิถีใหม่ของนักท่องเที่ยวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุข และ ททท. ได้ร่วมกันจัดทำมาตรฐาน Amazing Thailand Safety & Health Administration : SHA เรียบร้อยแล้ว และ กรมอนามัย ยังมีคู่มือและแนวทางการดำเนินงานที่พร้อมสนับสนุนสถานประกอบการในภาคการท่องเที่ยวและการกีฬา นอกจากนี้ ยังมีทีมเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ทั้งระดับเขต จังหวัด อำเภอ ที่มีความรู้และสามารถให้คำแนะนำด้านการป้องกันโรค สุขลักษณะ สุขาภิบาล และอนามัยสิ่งแวดล้อมได้ อีกทั้งยังมีคณะกรรมการร่วม 2 กระทรวง ที่ขับเคลื่อนร่วมกันที่จะจัดทำแผนการงานอย่างต่อเนื่อง

ถึงแม้ขณะนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทยจะดีขึ้น แต่ประชาชนทุกคนยังต้องสวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย เมื่อออกจากบ้าน หรือเดินทางท่องเที่ยว ล้างมือบ่อย ๆ และเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลอย่างน้อย 1 เมตร  ส่วนผู้ประกอบการก็ต้องให้ความสำคัญเรื่องการทำความสะอาดอาคาร สถานที่ บริเวณโดยรอบและบริเวณที่อาจมีการปนเปื้อน หรือมีการสัมผัสบ่อย ๆ ด้วยน้ำยาทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ จึงจะมั่นใจได้ว่าสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ในภาคการท่องเที่ยว เอื้อต่อการมีสุขภาพดี จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการได้อย่างดี

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ ททท. กล่าวในรายละเอียดว่า โครงการยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย หรือ Amazing Thailand Safety & Health Administration : SHA คือ ความตั้งใจของ ททท. ที่จะสร้างความเชื่อมั่นและมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว หรือผู้มาใช้บริการหลังจากสถานการณ์ COVID-19 อยู่ในระดับที่ปลอดภัยสำหรับการเดินทาง ด้วยการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ดำเนินการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทั้งด้านการบริการและด้านสุขอนามัยให้เป็นไปตามมาตรการทางสาธารณสุข โดยกิจการที่สามารถขอรับมาตรฐาน SHA แบ่งเป็น 10 ประเภทกิจการ ได้แก่ 1.ประเภทภัตตาคาร/ร้านอาหาร 2.ประเภทโรงแรม/ที่พักและสถานที่จัดประชุม 3.ประเภทนันทนาการและสถานที่ท่องเที่ยว 4.ประเภทยานพาหนะ 5.ประเภทบริษัทนำเที่ยว 6.ประเภทสุขภาพและความงาม 7.ประเภทห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า 8.ประเภทกีฬาเพื่อการท่องเที่ยว 9.ประเภทการจัดกิจกรรม การจัดประชุม (MICE) โรงละคร โรงมหรสพ และ 10.ประเภทร้านค้าของที่ระลึกและร้านค้า อื่นๆ โดยได้มีมาตรฐานเบื้องต้นจากกรมควบคุมโรคของทุกสถานประกอบการ มี 3 องค์ประกอบคือ 1.สุขลักษณะอาคารและอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีอยู่ในอาคาร 2.การจัดอุปกรณ์ทำความสะอาดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค และ 3.การป้องกันสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ทั้งนี้ มีรายละเอียดของมาตรฐานเฉพาะประเภทกิจการเพิ่มเติม โดยผู้ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานจะได้รับตราสัญลักษณ์ SHA ต่อไป

“ททท. จะเป็นผู้ควบคุมการออกตราสัญลักษณ์โดยการระบุหมายเลขของตราสัญลักษณ์ SHA ให้แก่ผู้ประกอบการเพื่อบันทึกเป็นฐานข้อมูลรายชื่อ ซึ่งมีอายุ 2 ปี และหากพบว่าผู้ประกอบการไม่สามารถรักษามาตรฐาน SHA ได้ ในเบื้องต้นจะแจ้งให้ผู้ประกอบการพัฒนาและปรับปรุง หากยังไม่สามารถรักษามาตรฐานได้ก็จำเป็นต้องเพิกถอนตราสัญลักษณ์และตัดรายชื่อออกจากฐานข้อมูล SHAW

 

ผู้ว่าการ ททท. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับสถานประกอบการที่สนใจเข้าร่วมโครงการจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใด โดยสามารถศึกษาแนวทางปฏิบัติตามมาตรฐาน SHA ซึ่งดาวน์โหลดเป็น e-Book ได้ที่ https://thailandsha.tourismthailand.org/ebook จากนั้นปรับปรุงสถานประกอบการให้เป็นไปตามมาตรฐาน SHA และสมัครขอรับการตรวจและรับตราสัญลักษณ์ SHA ได้ที่ www.tourismthailand.org/thailandsha หลังจากนั้น พันธมิตรของโครงการ เช่น สภา สมาพันธ์ หรือสมาคมต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ผู้ประกอบการนั้น ๆ เป็นสมาชิก จะเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบ (Checklist) และให้การรับรองว่าผู้ประกอบการได้ดำเนินการตามมาตรฐาน SHA หรือหากไม่เป็นสมาชิกของสมาคมท่องเที่ยวใด ททท. จะประสานผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ตรวจสอบ ทั้งนี้ ททท. จะเป็นผู้รวบรวมขั้นตอนสุดท้ายก่อนมอบตราสัญลักษณ์ ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์

นอกจากนี้ ททท. ยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ช่วยตรวจสอบสถานประกอบการหรือกิจการที่ได้รับสัญลักษณ์ SHA อีกทางหนึ่ง เพื่อเป็นเสียงสะท้อน (Voice of Customers : VOC) จากการใช้บริการ นอกจากนี้ ยังมีคณะกรรมการตรวจสอบมาตรฐาน SHA ประกอบด้วยกรมอนามัย สาธารณสุขจังหวัด กรมการท่องเที่ยว ททท. และ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน). หรือ อพท. สุ่มตรวจประเมินเป็นระยะอีกด้วย

สำหรับผู้ที่ได้รับรองมาตรฐาน SHA  ททท. จะประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ ททท. ได้เปิดให้ลงทะเบียนเพื่อเข้ารับการตรวจสอบตามมาตรฐาน SHA ตั้งแต่วันที่ 18 พฤษภาคม 2563 เป็นต้นมา โดยในขณะนี้มีผู้สนใจทยอยลงทะเบียนจำนวนมาก สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ทาง thailandsha@gmail.com หรือ Line Official : @thailandsha และ โทร.1672 เพื่อนร่วมทาง

 

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จัดกิจกรรม “อิ่มท้อง อิ่มใจ สู้ภัยโควิด-19”

alivesonline.com : จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้างทำให้ประชาชนหลายระดับได้รับความเดือดร้อนจากการหยุดงาน การเลิกจ้าง และบางส่วนมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหา เพื่อบรรเทาความทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชน และคาดหวังให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ให้ได้โดยเร็วโดยจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมกับสถาบันการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน ภายใต้เครือข่ายส่งเสริมการวิจัยทางมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกริก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาลัยทองสุข สมาคมนักวิจัยแห่งประเทศไทย สมาคมปรัชญาดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์ สมาคมรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาลัยวิจัยนวัตกรรมทางการศึกษา สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พร้อมด้วย บริษัท บุชเชอร์ จำกัด บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ได้ตระหนักถึงนโยบายสำคัญของรัฐบาลโดยมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่กำลังประสบปัญหาความเดือดร้อน ซึ่งบางส่วนขาดแคลนอาหาร-น้ำดื่ม จึงร่วมกันสนับสนุนสิ่งอุปโภคบริโภค ประกอบด้วย ข้าวกล่อง 4 พันกล่อง ข้าวสาร 527 ถุง น้ำดื่ม 960 ขวด อันจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่มีความเดือดร้อนจากสถานการณ์ดังกล่าว จึงเป็นที่มาของการจัดกิจกรรม “อิ่มท้อง อิ่มใจ สู้ภัยโควิด-19” โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธาน โดยกล่าวว่า

“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในประเทศไทยจะผ่อนคลายได้ในระยะเวลาอีกไม่นานนัก ช่วงเวลาสำคัญนี้จึงเป็นโอกาสที่คนไทยต้องช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน เพื่อเรียกความเข้มแข็งในทุก ๆ ด้านให้กลับคืนมา ซึ่งกิจกรรมในวันนี้ถึงแม้จะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับคนในชุมชน แต่สิ่งที่ได้รับอย่างแท้จริงคือการสื่อสารความห่วงใย ให้กำลังใจกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราจะสามารถแบ่งปันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมชาติได้ในระดับหนึ่ง และนับเป็นความภาคภูมิใจที่เราได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมครั้งนี้”

“ทีเส็บ” แนะผู้ประกอบการไมซ์ ศึกษาแนวปฏิบัติเตรียมพร้อมด้านสุขอนามัยก่อนผ่อนปรน

alivesonline.com : “ทีเส็บ” ร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมไมซ์ จัดทำแนวปฏิบัติด้านสุขอนามัยสำหรับอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE Venue Hygiene Guidelines) เผยแพร่ให้ผู้ประกอบการไมซ์ทั่วประเทศเข้าใจและสามารถเตรียมความพร้อมทางธุรกิจหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย หวังเป็น New Normal ของอุตสาหกรรมไมซ์เมื่อรัฐบาลเริ่มปลดล็อกในอนาคต

นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า หลังจากสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศไทยเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น และรัฐบาลได้ออกมาตรการผ่อนปรนการเปิดสถานประกอบการ หรือกิจการบางประเภทเฟสแรก เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม นั้น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มีนโยบายให้จัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาหลักเกณฑ์มาตรการและแนวทางการเตรียมความพร้อมเปิดกิจการ หรือการจัดกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวและกีฬา โดย “ทีเส็บ” ได้รับมอบหมายให้เป็นหนึ่งในหน่วยงานร่วมเป็นคณะกรรมการชุดนี้ โดยมีเป้าหมายขับเคลื่อนด้านอนามัยป้องกันการแพร่เชื้อ COVID-19 สำหรับผู้ประกอบกิจการและสถานที่สาธารณะกรณีผ่อนผันการดำเนินกิจการ

เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางของรัฐบาลในการดูแลด้านสุขอนามัยของประชาชน และเริ่มมาตรการผ่อนปรนการดำเนินธุรกิจ “ทีเส็บ” จึงร่วมมือกับ สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) (TICA) สมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) (TEA) สมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน (EMA) และสมาคมโรงแรมไทย (THA) ในการพัฒนาและจัดทำแนวปฏิบัติด้านสุขอนามัยสำหรับอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE Venue Hygiene Guidelines) สถานที่จัดงาน ผู้จัดงานประชุม นิทรรศการ และงานอีเวนต์ เพื่อป้องกันและควบคุมการติดเชื้อ COVID-19 และโรคติดต่ออื่น ๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการไมซ์ภายในประเทศทั่วทุกภูมิภาคได้ศึกษาทำความเข้าใจ เตรียมความพร้อมในการกลับมาจัดงานไมซ์อีกครั้ง หากได้รับการผ่อนปรนให้ดำเนินกิจการได้ตามพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต โดยยังคงมาตรการความเข้มงวดในการดูแลความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของผู้ร่วมงานตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข โดยเน้น 5 มาตรการควบคุมหลัก ดังนี้

1.จำกัดจำนวนผู้ใช้บริการ (จำนวน 1 คนต่อพื้นที่ 2 ตารางเมตร)

2.ตรวจคัดกรองอุณหภูมิร่างกาย (ต้องมีระบบดูแล ส่งต่อ และติดตามผู้ป่วย เช่น การใช้แอปพลิเคชัน)

3.การเว้นระยะห่างในสถานประกอบการ เช่น สถานที่จัดงาน : ห้องประชุม บันไดเลื่อน ห้องน้ำ ห้องอาหาร  เป็นต้น

4.ระบบติดตามผู้ใช้บริการ (Tracking system) ในกรณีผู้ใช้บริการป่วย หลังจากมาใช้บริการในสถานประกอบการ

5.จัดระบบคิว โดยแยกพื้นที่รอก่อนใช้บริการ

นายจิรุตถ์ กล่าวอีกว่า แนวปฏิบัติด้านสุขอนามัยสำหรับอุตสาหกรรมไมซ์จะครอบคลุมตั้งแต่ก่อนเริ่มงาน ระหว่างงาน และหลังจบงาน โดยแนวปฏิบัติก่อนเริ่มงานครอบคลุมด้านการเตรียมความพร้อมของพนักงาน การจัดการเดินทางระหว่างงาน การจัดตั้งจุดคัดกรอง และการจัดทำคู่มือสื่อสารผู้เกี่ยวข้องกับงาน เช่น จำนวนคนที่รวมกลุ่มในการจัดงาน คำแนะนำและแนวทางในการทำกิจกรรมขนาดใหญ่ การจัดทำคู่มือและวีดีโอคำแนะนำการปฏิบัติตัวด้านสุขอนามัยให้กับผู้เข้าร่วมงาน การนำส่ง Self-Screening Application หรือเว็บไซต์คัดกรองตนเองให้ผู้ร่วมงานตอบกลับภายใน 24 ชั่วโมงก่อนงานเริ่ม เป็นต้น

ส่วนแนวปฏิบัติระหว่างงาน มุ่งเน้นมาตรการด้านความปลอดภัยสาธารณสุข ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยลดความเสี่ยง เช่น จัดเตรียมความพร้อมของสถานที่เพื่อลดจุดสัมผัส การทำความสะอาดในจุดสัมผัสต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ จุดลงทะเบียนและการตอบแบบสอบถามความพึงพอใจควรใช้ระบบ QR Code และกระจายให้เพียงพอต่อผู้ร่วมงานเพื่อลดความแออัด

การจัดประชุมสัมมนา จัดแผนผังของห้องให้มีระบบอากาศถ่ายเทสะดวก จัดที่นั่งเว้นระยะห่างทางกายภาพไม่ต่ำกว่า 2 เมตร วางไมโครโฟนไว้ตามจุดต่าง ๆ และจัดเจ้าหน้าที่ดูแลทำความสะอาดทุกครั้งที่มีผู้ใช้งาน ในกรณีที่มีวิทยากรเดินทางข้ามจังหวัด หรือข้ามประเทศมาต้องสร้างความมั่นใจให้ผู้เข้าอบรมด้วยการชี้แจงมาตรการควบคุมป้องกันโรคและการอำนวยความสะดวกให้แก่วิทยากรเพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อโรค เช่น บริการรถรับส่ง หรือเลือกที่พักใกล้สถานที่จัดประชุม เป็นต้น

สำหรับการจัดนิทรรศการควรนำเทคโนโลยีในการจองคิวล่วงหน้ามาใช้จองรอบเข้าดูนิทรรศการแต่ละบูธเพื่อลดความแออัด หรือนำเทคโนโลยีการจัดงานเสมือนจริง (Virtual Exhibition) มาใช้งานสร้างประสบการณ์ของผู้ร่วมงานระหว่างรอคิวเข้าชมนิทรรศการ และสร้างแพลทฟอร์มออนไลน์ (Online Platform) ให้สามารถจองหรือสั่งซื้อสินค้าภายในงานได้ทันที

ขณะที่แนวปฏิบัติหลังจบงาน ผู้จัดงานต้องตรวจสอบประกาศคําสั่งและข้อกําหนดที่ได้จากรัฐและศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19 เรื่องการจัดทํารายงานผลการจัดงานชี้แจงต่อหน่วยงานที่อนุญาตให้จัดงาน และจัดระบบการจัดการขยะมูลฝอยให้สามารถป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้

นายจิรุตถ์ กล่าวในตอนท้ายว่า “ทีเส็บ” ยังร่วมมือกับ สมาคมโรงแรมไทย จัดทำ “แนวปฏิบัติด้านสุขอนามัยสำหรับอุตสาหกรรมไมซ์” (MICE Venue Hygiene Guidelines) เพื่อเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการไมซ์และเผยแพร่แนวปฏิบัติไปยังสมาชิกโรงแรมทั่วประเทศกว่า 1 พันแห่ง โดยผู้ประกอบการไมซ์อื่น ๆ สามารถดาวน์โหลดแนวปฏิบัติดังกล่าวนี้ได้ที่ http://www.micecapabilities.com/mice/uploads/attachments/MICE_Hygiene_Guidelines_(Post_COVID-19).pdf

น้ำมันรำข้าวคิง มอบผลิตภัณฑ์ช่วยชุมชนสู้ COVID-19

นายประวิทย์ สันติวัฒนา (ที่ 2 จากขวา) กรรมการบริหาร กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง มอบน้ำมันรำข้าวคิง จำนวน 70 ลัง โดยมี ดร.บุษบา ชัยจินดา (ที่ 2 จากซ้าย) นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ เป็นผู้รับมอบ เพื่อนำไปบรรจุถุงยังชีพและแจกจ่ายแก่ชุมชนต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ทั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยมี ดร.ชาติชาย พุคยาภรณ์ (ขวาสุด) อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ นางสุขุมาล ชิงดวง (ซ้ายสุด) เลขานุการสมาคมฯ ร่วมเป็นสักขีพยาน ณ สมาคมแม่บ้านตำรว เมื่อเร็ว ๆ นี้

นอกจากนี้ กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง ยังมอบผลิตภัณฑ์ให้หน่วยงานภาครัฐและร้านค้าต่าง ๆ อาทิ เทศบาลเมืองปู่เจ้าสมิงพราย ร้านอาหารครัวเจ๊ง้อ ร้าน Mint Cafe by Peppermint field และร้านค้าอื่น ๆ ที่จัดกิจกรรมแจกถุงยังชีพ หรือปรุงอาหารพร้อมรับประทานสำหรับช่วยเหลือผู้เดือดร้อน จำนวนกว่า 2 พันลิตร มูลค่ารวมกว่า 1.3 แสนบาท

หน้ากากผ้า “ไก่ อูกัส” คุณค่าที่คู่ควรในวิกฤติ COVID-19

alivesonline.com : น้ำใจที่ส่งมอบให้กันในยามที่มีภัยพิบัติวิกฤติไวรัส COVID-19 ครั้งนี้ นับว่ามีความสำคัญมากที่บุคคลทั่วทุกวงการต่างรวมน้ำใจแสดงพลังเป็นหนึ่งเดียวเพื่อร่วมกันฝ่าฟันหันตภัยครั้งนี้ไปด้วยกัน

เช่นเดียวกับดีไซน์เนอร์ไทยชื่อดังระดับโลกแห่งห้องเสื้อ UKAS เจ้าของรางวัล “ปลอกนิ้วทองคำ” DE FILE DE MODE (Gilden Thimble) จากประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี 2000 “ไก่ อูกัส พีร์อุมากร วรเศรษฐาพร” ซึ่งใช้ความสามารถของตัวเองด้านการออกแบบและการตัดเย็บเสื้อผ้า ผลิตหน้ากากผ้าเพื่อนำเงินสมทบช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือ “นราธิวาส” ภายใต้คอนเซ็ปต์ #fashionfightcovid19fornarabyukas #maskukasสกัดโควิดช่วยชาวนราฯ ซึ่งแม้จะเป็นน้ำใจเล็ก ๆ แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความงดงามทางจิตใจ

หน้ากากผ้าช่วยชาวนราฯ ชุดนี้ “ไก่-อูกัส” ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ลงมือตัดเย็บด้วยตัวเองเป็นจำนวนเพียง 500 ชิ้น ถือเป็นผลงาน “แฮนด์เมด ลิมิเต็ด เอดิชั่น” จึงมีคุณค่าทั้งในแง่การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จากการป้องกันไวรัส COVID-19 และยังเป็นหนึ่งในแฟชั่นที่ทรงคุณค่าภายใต้แบรนด์ UKAS

เอกลักษณ์หนึ่งอันโดดเด่นของหน้ากากผ้าช่วยชาวนราฯ คือ ลายผ้าปาเต๊ะเลข ๑ ไทยของจังหวัดนราธิวาส ซึ่งแสดงถึงการรวมใจไทยเป็นหนึ่งเดียว นอกจากนั้นยังได้รับความอนุเคราะห์จาก “วัฒน์ ไทไท” ช่วยออกแบบโลโก ภาพลายเส้นที่วาดโดยครั้งเดียวสื่อถึง “ดวงตาปลา-นก-มือ” ซึ่งแฝงไว้ด้วยความหมายอันลึกซึ้งว่า “การกระทำในสิ่งที่รักด้วยมือภายใต้ดวงตาที่เปี่ยมด้วยความรักความศรัทธาแห่งตนบนความงดงามและเสรีภาพทางความคิดด้วยหัวใจแห่งความอิสระที่โบยบิน”

“ไก่-อูกัส” บอกด้วยว่า โครงการออกผลิตหน้ากากผ้าช่วยชาวนราฯ ครั้งนี้ ได้รับการสนับสนุนอย่างดียิ่งจาก นายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส พร้อมด้วยนางโนสะมา หลีเส็น ภรรยารองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส นางปาติเม๊าะ สะดียามู รองผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส นายบัญชา กัณหาสินธุ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดนราธิวาส รวมถึงร้านอาหารไทยและแบรนด์อาหารไทยชื่อดัง Lemongrass New Hampshire ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งร่วมสมทบทุนในการผลิตหน้ากากผ้าครั้งนี้

ผู้สนใจเป็นเจ้าของหน้ากากผ้า สามารถชมตัวอย่าง พร้อมสั่งจองได้ในราคาชิ้นละ 100-500 บาทผ่านช่องทาง เฟซบุ๊ก : Ukas Peer Umakorn หรือหากมีจิตศรัทธาร่วมสมทบทุนช่วยเหลือชาวนราธิวาสร่วมต้านภัย COVID-19 สามารถบริจาคได้โดยตรงที่ ธนาคารกรุงไทย สาขานราธิวาส บัญชี COVID-19 คนนราไม่ทิ้งกัน เลขที่ 905-3-29568-2

“Contact Cleanzing” ตัวช่วยฆ่าเชื้อ COVID-19

alivesonline.com : จากวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ COVID-19 ที่ทำให้ผู้คนต่างใส่ใจและเฝ้าระวัง “ความปลอดภัยด้านความสะอาด” กันมากขึ้นนั้น อาจถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่ส่งผลให้ “ธุรกิจพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค” เริ่มกลายเป็น “ธุรกิจดาวรุ่ง” ที่น่าจับตามองอันเนื่องมาจากมีผู้สนใจใช้บริการกันเป็นจำนวนมาก

แต่ใช่ว่าธุรกิจพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรคทุกรายจะประสบความสำเร็จในภาวะเช่นนี้ หากขาด “ความต่าง” อันถือเป็น “จุดขายสำคัญ” นั่นคือ “ประสิทธิภาพ” ของ “น้ำยาฆ่าเชื้อโรค” และ “วิธีการพ่น” ตลอดจน “ระบบบริหารการจัดการ” ซึ่ง Contact Cleanzing” ภายใต้การนำของ “ประกายวรรณ แสงวิโรจนากุล” ได้ประยุกต์ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจดั้งเดิมของครอบครัวเธอคือ “กำจัดปลวกและแมลง” มาอย่างยาวนาน ผสานกับความรู้จากการอบรมหลักสูตร “ความรู้ประยุกต์ในการประกอบธุรกิจส่งออก” (Intelligent Trade Programe) รุ่นที่ 3 ปี 2562 ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน จึงเป็นที่มาให้เธอก้าวเข้าสู่ธุรกิจแขนงนี้เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

เธอบอกว่า “น้ำยาฆ่าเชื้อโรค” ของ “Contact Cleanzing” มีจุดเด่นเป็นสารฆ่าเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย รวมถึงมีประสิทธิภาพต้านเชื้อ COVID-19 คือ Benzalkonium Chloride” ซึ่งนิยมนำไปใช้เป็นส่วนผสมของแชมพู สบู่ เครื่องสำอาง รวมถึงยาหยอดตา “น้ำยาฆ่าเชื้อโรค” ของ “Contact Cleanzing” เป็นลิขสิทธิ์ Active Ingredient ของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบรนด์ Kao ประเทศญี่ปุ่น ทั้งยังนิยมนำไปใช้เป็นส่วนผสมในการฆ่าเชื้อโรค สำหรับอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในโรงพยาบาลและหลากหลายสถานที่อีกด้วย โดยพันธมิตรทางธุรกิจผู้นำเข้า “Benzalkonium Chloride” ของ “Contact Cleanzing” ได้มีการจดทะเบียนวัตถุอันตรายทางสาธารณสุข (วอส.) กับ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เมื่อปี 2560 จึงทำให้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้สัมผัสน้ำยา “Benzalkonium Chloride”

“น้ำยาฆ่าเชื้อโรค Benzalkonium Chloride ของ Contact Cleanzing ยังมีความแตกต่างจากน้ำยาฆ่าเชื้อโรคอื่น ๆ คือ มีกลิ่นไม่ฉุนและไม่ส่งผลข้างเคียงให้ผู้สูดดมเกิดอาการปวดหัว หรือวิงเวียนศีรษะ ทั้งยังสามารถสัมผัสได้โดยไม่เกิดอันตราย ในขณะเดียวกันยังไม่ทิ้งรอยคราบหลังจากการฉีดพ่นอีกด้วย”

จุดเด่นที่สำคัญอีกด้านของ “Contact Cleanzing” คือ “เครื่องพ่น iGEBA” จากประเทศเยอรมนี ซึ่งนิยมใช้ในหลากหลายธุรกิจทั้ง เกษตรกรรม อุตสาหกรรม สาธารณสุขสุขภาพ และอื่น ๆ ให้ขนาดความละเอียดของละอองฝอยต่ำกว่า 30 ไมครอนซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพเพียงพอต่อการฆ่าเชื้อ COVID-19 โดยเน้นพ่นทำความสะอาดพื้นผิวที่มีการสัมผัสบ่อยครั้ง เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได ลิฟต์ เป็นต้น

Contact Cleanzing” มีทีมบริการที่เป็นมืออาชีพ ซึ่งจะสวมชุด PPE ในการให้บริการอย่างรัดกุม ปัจจุบันให้บริการครอบคลุมที่พักอาศัยประเภทหมู่บ้าน คอนโดมิเนียม อะพาร์ตเมนต์ สำนักงาน โรงงาน และอื่น ๆ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ด้วยอัตราค่าบริการเริ่มต้นครั้งละ 2,500 บาท ต่อพื้นที่ไม่เกิน 150 ตารางเมตร (รวมค่าเดินทางแล้ว) โดยในช่วงแนะนำยังมีโปรโมชันพิเศษสำหรับคอนโดมิเนียมขนาดห้องพื้นที่ไม่เกิน 60 ตารางเมตร คิดค่าบริการเพียงห้องละ 500 บาท

“ประกายวรรณ แสงวิโรจนากุล” กล่าวในตอนท้ายว่า สถานการณ์ในช่วงนี้เท่ากับเป็นการฝึกตัวเองที่จะใส่ใจในทุก ๆ เรื่อง ทั้งการเว้นระยะห่างทางสังคม ทั้งเรื่องสุขภาพ กินร้อน ช้อนกลาง รวมถึงการอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ซึ่งควรจะถือเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เรียนรู้และฝ่าวิกฤตินี้ไปด้วยกัน โดยให้ความสำคัญและปรับสมดุลในเรื่องสุขภาพให้มากขึ้น

ผู้สนใจติดต่อรายละเอียดเพิ่มได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 06 6145 4596, 06 2829 5465 และที่เฟซบุ๊คแฟนเพจ : Contact Cleanzing บริการฉีดพ่นฆ่าเชื้อไวรัส Covid19 หรือ สแกน QR Code ด้านล่าง

 

กระทรวงการท่องเที่ยวฯ รับมอบชุดอุปกรณ์ป้องกัน COVID-19

นายเขมพล อุ้ยตยะกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นตัวแทนรับมอบ ชุดอุปกรณ์ช่วยลดความเสี่ยงติดเชื้อไวรัส COVID-19 จาก บริษัทอัพไรท์ เฮลท์แคร์ จำกัด และ นักธุรกิจรุ่นใหม่ปักษ์ใต้-กรุงเทพฯ โดยชุดอุปกรณ์ประกอบด้วย (1) ชุด PPE จำนวน 100 ชุด (2) ชุด Face shield จำนวน 200 ชิ้น (3) เครื่องวัดอุณหภูมิด้วยระบบ Infrared จำนวน 5 เครื่อง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงติดเชื้อไวรัส COVID-19 และนำไปใช้ประโยชน์แก่ทางราชการต่อไป