INDA Parade 2019

นายโลเรนโซ กาลันตี (ที่ 4 จากซ้าย) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลี ประจำประเทศไทย เป็นประธานเปิดนิทรรศการ INDA Parade 2019 งานแสดงผลงานปลายภาคของนิสิตชั้นปีที่ 1-4 ในหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการออกแบบสถาปัตยกรรม (หลักสูตรนานาชาติ) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (International Program in Design and Architecture – INDA) โดยมี รศ.ดร.ปิ่นรัชฎ์ กาญจนัษฐิติ คณบดี และดร.ปรีชญา สิทธิพันธุ์ ผู้อำนวยการหลักสูตรฯ ให้การต้อนรับ พร้อมนำชมนิทรรศการภายในงาน ณ สถานีแอร์พอร์ต เรลลิงค์ มักกะสัน ชั้น 3 โดยนิทรรศการครั้งนี้เป็นการประชันความรู้ ความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของนิสิตผ่านชิ้นงานต่าง ๆ อย่างหลากหลาย รวมทั้งเพื่อจุดประกายความคิดให้กับน้อง ๆ เยาวชนที่รักและสนใจอยากเรียนด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมได้เข้ามาค้นหาตัวตนอีกด้วย

“ฟรีแลนซ์” ทำอย่างไรให้ “รุ่ง” ?

กัลยรักษ์ นัยรักษ์เสรี

นักวิเคราะห์ Economic Intelligence Center (EIC)

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

alivesonline.com : ขึ้นชื่อว่า “ฟรีแลนซ์” แล้ว ถือว่าสายงานที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นพนักงานขาย อาจารย์ นักวิจัย นักแสดง นักวาด นักเขียน ล่าม เทรนเนอร์ ช่างแต่งหน้า บริการขับรถรับส่งผู้โดยสาร ไปจนถึงอาชีพที่คนทั่วไปมักเข้าใจว่าต้องทำงานประจำเท่านั้น เช่น แพทย์ พยาบาล นักกฎหมาย นักบัญชี และที่ปรึกษาด้านการเงินการลงทุน เป็นต้น

คนทำงานฟรีแลนซ์ส่วนใหญ่มีรายรับต่อเดือนน้อยกว่าคนทำงานกลุ่มอื่น ๆ แต่ถ้าดูตัวเลขดี ๆ จะเห็นว่ามีชาวฟรีแลนซ์ 5% ที่ตอบว่ามีรายได้สูงกว่า 100,000 บาทต่อเดือน ที่น่าสนใจคืออายุเฉลี่ยของชาวฟรีแลนซ์รายได้สูงเหล่านี้อยู่ที่เพียง 44 ปีเท่านั้น เทียบกับมนุษย์เงินเดือนเกินแสนซึ่งมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 46 ปี

แล้วฟรีแลนซ์เหล่านี้ทำอาชีพอะไรกันบ้าง?

จากผลสำรวจของ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) ฟรีแลนซ์ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่ตอบว่าทำงานรับจ้างทั่วไป (34%) รองลงมาคืองานสอนและงานวิจัย (11%) พนักงานขาย (10%) งานสายครีเอทีฟ (10%) และขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ (9%)

เราสามารถสรุปอาชีพของเหล่าฟรีแลนซ์รายได้สูงได้ดังนี้

อ่านถึงตรงนี้ หลายคนคงกำลังมีคำถาม แล้วทำอย่างไรถึงจะเป็นฟรีแลนซ์เงินสูง ๆ ได้บ้าง

1.ยิ่งเรียนสูง ยิ่งประสบการณ์มาก ยิ่งมีโอกาสได้เงินแสน

หลายคนอาจคิดว่ารายได้ของชาวฟรีแลนซ์ขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะตัว หรือความขยันในการทำงานเป็นหลัก แต่ความจริงแล้วระดับการศึกษามีผลกับรายได้ของชาวฟรีแลนซ์มากกว่าที่เราคิด

ผลสำรวจบอกเราว่า ชาวฟรีแลนซ์ที่จบการศึกษาสูงมีโอกาสสร้างรายได้ที่สูงกว่า โดย 13% ของชาวฟรีแลนซ์ที่จบปริญญาโทขึ้นไปตอบว่ามีรายรับต่อเดือนเกินแสน ในขณะที่ฟรีแลนซ์ซึ่งจบปริญญาตรีมีสัดส่วนตรงนี้เพียง 4% หรือมีโอกาสน้อยกว่าราว 3 เท่า อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกันแล้วระดับการศึกษามีผลกับระดับเงินเดือนของงานประจำมากกว่า โดยมนุษย์เงินเดือนที่จบสูงกว่าปริญญาโทมีสัดส่วนคนที่ได้เงินเดือนเกินแสนมากกว่ามนุษย์เงินเดือนที่จบปริญญาตรีถึง 6 เท่า ตรงนี้อาจตีความได้ว่าระดับการศึกษามีส่วนสำคัญในวงการฟรีแลนซ์ก็จริง แต่ไม่มากเท่ากับในวงการมนุษย์เงินเดือน

นอกจากระดับการศึกษาแล้ว ประสบการณ์ทำงานก็มีส่วนช่วยให้รายรับจากงานฟรีแลนซ์เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในสายงานที่ยิ่งมีความรู้รอบตัวและประสบการณ์มากก็ยิ่งได้เปรียบ ตัวอย่างเช่น อาชีพพนักงานขาย ซึ่งต้องอาศัยทั้งความรอบรู้เกี่ยวกับสินค้าและบริการที่รับเป็นตัวแทนไปจนถึงวิธีการเข้าหาและรับมือกับลูกค้า หรืออาชีพที่ปรึกษาทางการเงินการลงทุน ซึ่งถ้ายิ่งครํ่าหวอดในวงการมานานก็ยิ่งได้เปรียบในเรื่องความเชื่อมั่นจากลูกค้า ประสบการณ์ทำงานในที่นี้ไม่ได้หมายถึงประสบการณ์การเป็นฟรีแลนซ์เพียงอย่างเดียว ในบางสายอาชีพ ประสบการณ์จากงานประจำก็มีส่วนช่วยทั้งในเรื่องของฐานลูกค้า คอนเนกชั่นและความเชื่อมั่นในคุณภาพของงาน จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่บางคนก็เลือกที่จะทำงานประจำก่อนเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ก่อนที่จะลาออกมาทำงานฟรีแลนซ์อย่างเต็มตัว

2.Work Smarter, Not Harder

หลายคนมีคติประจำใจว่า Work hard, Play hard แต่ความจริงแล้วทำงานให้สุดอาจจะไม่หยุดที่เงินเพิ่มขึ้นเสมอไป

จากผลสำรวจพบว่า ฟรีแลนซ์ชาวไทยส่วนใหญ่ทำงานประมาณ 3-8 ชั่วโมงต่อวัน แต่ระยะเวลาการทำงานไม่ได้ส่งผลกับระดับรายได้เสมอไป เมื่อลองเทียบระดับรายได้ตามระยะเวลาที่ใช้ทำงานจะเห็นว่าชาวฟรีแลนซ์ที่ทำงานน้อยกว่า 3 ชั่วโมงต่อวันมีสัดส่วนกลุ่มคนรายได้มากกว่า 50,000 บาทต่อเดือน (กลุ่มสีม่วง) สูงที่สุดคือ 26% แซงหน้าชาวฟรีแลนซ์อีกสองกลุ่มที่มีระยะเวลาการทำงานมากกว่า ตีความง่าย ๆ คือถึงจะใช้เวลาทำงานน้อยกว่าแต่ก็มีโอกาสได้รายได้สูงพอกัน หรือในบางกรณีก็อาจจะได้สูงกว่าด้วยซํ้า

ตรงนี้อาจพอสรุปได้ว่าการโหมทำงานมาก ๆ ก็ไม่ได้ทำให้รายรับของเรามากขึ้นด้วยเสมอไป คุณภาพของงานบางครั้งก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ทำ แต่ขึ้นอยู่กับทักษะ ความรู้ ประสบการณ์ หรือขึ้นอยู่กับว่าเราบริหารเวลาทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้ยังไงมากกว่า อย่างในกรณีนี้ ชาวฟรีแลนซ์ 26% ที่แม้จะทำงานน้อยแต่กลับมีรายรับสูง ล้วนแต่เป็นคนที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปและครึ่งหนึ่งก็มีประสบการณ์ทำงานฟรีแลนซ์มาเกิน 5 ปี นอกจากนั้น การโหมงานอดหลับอดนอนติดต่อกันหลาย ๆ วันก็คงไม่ได้ทำให้คุณภาพงานของเราดีขึ้น แต่ยิ่งจะทำให้โรคถามหาซะมากกว่า (ลองดู “ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ” เป็นตัวอย่าง)

3.สร้างคอนเนกชั่น

ใครว่าคอนเนกชั่นไม่สำคัญ? สิ่งที่ตัวเลขบอกเราคือชาวฟรีแลนซ์เกินครึ่งหางานผ่านคอนเนกชั่นทางสังคมกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อด้วยตัวเองโดยตรง ผ่านการแนะนำจากคนรู้จัก หรือผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น Facebook, Instagram และ Twitter เป็นต้น แน่นอนว่าการมีสังคมกว้างขวางย่อมหมายถึงโอกาสงานที่มากขึ้น แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือชาวฟรีแลนซ์ที่มีรายได้สูง ๆ มักจะเลือกหางานผ่านคอนเนกชั่นส่วนตัวมากกว่าเว็บไซต์หางาน

ยิ่งมีระดับรายได้สูงขึ้น ชาวฟรีแลนซ์จะเลือกหางานจากเว็บไซต์หางานน้อยลง แต่หางานผ่านคอนเนกชั่นมากขึ้น โดยชาวฟรีแลนซ์ที่มีรายได้ต่อเดือนตํ่ากว่า 9,000 บาทมีสัดส่วนคนที่ตอบว่าหางานผ่านเว็บไซต์หางาน 39% และหาผ่านคอนเนกชั่นทางสังคม 54% ในขณะที่ชาวฟรีแลนซ์รายได้ต่อเดือนสูงกว่า 100,000 บาทตอบว่าหางานผ่านเว็บไซต์เพียง 16% แต่หาผ่านคอนเนกชั่นสูงถึง 62%

เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะงานฟรีแลนซ์ที่ได้จากเว็บไซต์ให้ค่าจ้างที่ตํ่ากว่า เพราะการแข่งขันที่สูงทำให้คนจ้างสามารถต่อรองราคาลงได้ โดยเฉพาะงานที่ไม่ได้ต้องการทักษะสูงมากนัก หรือมีจำนวนชาวฟรีแลนซ์ในตลาดรองรับมาก หรือถ้ามองในอีกแง่หนึ่งชาวฟรีแลนซ์รายได้สูง ๆ มักมีทักษะความเชี่ยวชาญที่โดดเด่น หรือเป็นที่รู้จักในวงการอาชีพนั้น ๆ จนสามารถหางานได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งเว็บไซต์เลยก็เป็นได้ อย่างฟรีแลนซ์สายครีเอทีฟที่มีรายรับเกินแสนทุกคนในผลสำรวจเองก็ตอบว่าหางานผ่านคอนเนกชั่นทางสังคมเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องพึ่งเว็บไซต์ หรือเอเจนซี่ใดใดทั้งสิ้น

อย่างไรก็ดี ข้อดีของเว็บไซต์หางานคือโอกาสงานและสายงานที่หลากหลาย ดังนั้นสำหรับใครที่เป็นฟรีแลนซ์มือใหม่หรือยังมีคอนเนกชั่นไม่มาก เว็บไซต์หางานก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะช่วยสร้างโปรไฟล์ สร้างฐานลูกค้า และต่อยอดให้คอนเนกชั่นการทำงานของเรากว้างขวางยิ่งขึ้นนั่นเอง

โดยสรุปแล้ว การจะเป็นฟรีแลนซ์ที่ประสบความสำเร็จด้านรายได้นั้นมาจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ ทักษะความรู้ คอนเนกชั่นทางสังคม รวมถึงวิธีการบริหารจัดการเวลาที่ดี สำหรับใครที่กำลังคิดอยากออกมาทำงานฟรีแลนซ์เต็มตัว สามข้อข้างบนนี้คงพอช่วยตอบได้บ้างว่าเราพร้อมที่จะก้าวเข้าวงการงานอิสระนี้แล้วหรือยัง

ส่วนชาวฟรีแลนซ์คนไหนที่กำลังร้องไห้ท้อแท้กับรายรับของตัวเองอยู่ อ่านถึงตรงนี้คงไม่ต้องร้องแล้วนะ ลองหาคำตอบให้ตัวเองดูว่า เราจะเปลี่ยนแปลงอนาคตในวงการฟรีแลนซ์ของเราให้ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง ?

“ลาซาด้า” จับมือ “ซัมซุง” เปิดตัว “กาแลคซี่ เอ็ม 20” บนแพลตฟอร์มออนไลน์

alivesonline.com : “ลาซาด้า” ผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ “ซัมซุง” ผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลก เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ราคาประหยัด “ซัมซุง กาแลคซี่ เอ็ม 20” (Samsung Galaxy M20) บนแอปพลิเคชัน “ลาซาด้า” แบบเอ็กซ์คลูซีฟเป็นครั้งแรก หลังเปิดเผยสเปกให้แฟน ๆ รอคอยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มั่นใจเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ด้วยจุดเด่นแบตฯ อึด จอใหญ่ ไร้ขอบ สเปกครบครันในราคาที่จับต้องได้ พร้อมจำหน่ายอย่างเป็นทางการบน “ลาซมอล” (LazMall) ในวันที่ 14 พฤษภาคม 2562

 “ซัมซุง กาแลคซี่ เอ็ม 20”  สมาร์ทโฟนในตระกูลเอ็มซีรีส์ (M-Series) รุ่นล่าสุดจาก “ซัมซุง” ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน โดยมีคุณสมบัติโดดเด่นโดนใจกลุ่มมิลเลนเนียล ด้วยหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ 6.3 นิ้ว แบบ Infinity-V ซึ่งมีรอยบากรูปหยดน้ำอยู่ด้านบน แบตเตอรี่จุใจถึง 5,000 mAh  พร้อมชิปประมวลผลใหม่ Exynos 7904

แฟน “ซัมซุง” และนักชอปที่ตั้งตารอ “ซัมซุง กาแล็คซี่ เอ็ม 20” สามารถสั่งซื้อออนไลน์ผ่าน Samsung Flagship store เอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่ลาซาด้าเท่านั้น โดยเปิดจำหน่ายครั้งแรกอย่างเป็นทางการวันที่ 14 พฤษภาคม 2562 ในราคา 6,590 บาทเท่านั้น

นายซอง ฮวัน คิม ประธานบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า “กาแลคซี่ เอ็ม 20” ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของมิลเลนเนียลที่มีความสนใจในเทคโนโลยี คนกลุ่มนี้ต้องการสมาร์ทโฟนที่เร็ว ใช้งานได้นาน มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ด้วยนวัตกรรมที่จะเติมเต็มทุกความต้องการใช้งานอย่างเต็มที่ ความร่วมมือกับลาซาด้าด้วยการจัดจำหน่าย “ซัมซุง กาแลคซี่ เอ็ม 20” ถือเป็นการตอกย้ำการให้ความสำคัญกับการจัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ เพราะเชื่อว่าจะสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่และนักชอปออนไลน์ได้เป็นอย่างดี”

“ซัมซุง” เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มียอดขายสูงที่สุดใน “ลาซมอล” (LazMall) ห้างสรรพสินค้าออนไลน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเปิดตัว “ซัมซุง กาแลคซี่ เอ็ม 20” ร่วมกับ “ซัมซุง” ในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองแบรนด์ที่ต้องการมอบประสบกาณ์ชอปรูปแบบใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

ด้าน นายเจมส์ ตง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ลาซาด้า ประเทศไทย กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา “ลาซาด้า”และ “ซัมซุง” ได้ร่วมมือกันนำเสนอโปรโมชันและข้อเสนอสุดพิเศษในช่วงเทศกาลสำคัญและแคมเปญการตลาดต่าง ๆ ซึ่งประสบความสำเร็จมาโดยตลอด สำหรับการเปิดตัว “ซัมซุง กาแลคซี่ เอ็ม 20” บนแอปพลิเคชัน “ลาซาด้า” แบบเอ็กซ์คลูซีฟเป็นครั้งแรกและให้สิทธิ์การจัดจำหน่ายในประเทศไทยเพียงช่องทางนี้ช่องทางเดียวนอกเหนือจากเว็บไซต์ “ซัมซุง” เป็นสิ่งยืนยันถึงความแข็งแกร่งของการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี โดย “ลาซาด้า” ได้เตรียมเครื่องมือสนับสนุนและประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่ในทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็นสื่อในแพลตฟอร์มเอง หรือการ Livestream ของ Influencer หวังอย่างยิ่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นการสร้างประสบการณ์ชอปสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับสินค้า “ซัมซุง” ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย”

“ซัมซุง กาแลคซี่ เอ็ม 20” น้ำหนักเบาเพียง 186 กรัม ตัวเครื่องทำจากวัสดุ Glossy Plastic มีเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมืออยู่ด้านหลัง พร้อมรองรับชาร์จเร็ว 15w มาพร้อมกล้องหลังคู่ 13MP (f/1.9) เลนส์ Ultra-Wide 5MP (f/2.2) และกล้องหน้า 8MP มีสีให้เลือกด้วยกัน 2 สี ดำและน้ำเงิน

ลูกค้าที่สนใจยังสามารถสั่งซื้อ “ซัมซุง กาแลคซี่ เอ็ม 20” ได้ผ่านช่องทาง Jaymart Mobile, TG Fone official, Com7 official, TrueMove H และ AIS บนแอปพลิเคชัน “ลาซาด้า” และ  www.samsung.com/th อีกด้วย

 

จริงหรือหลอก! 8 เรื่องผิด ๆ ที่คุณอาจได้ยินเกี่ยวกับ “แซลมอน”

 

alivesonline.com : การเสาะหาของอร่อย ๆ รับประทานคือสวรรค์บนดินของผู้รักการกินเป็นชีวิตจิตใจ หากอยากรับประทานบาร์บีคิว ปิ้งย่างเลิศรสก็ต้องนึกถึงเนื้อวากิวจากญี่ปุ่น หากเป็นปาร์ตี้ไก่ทอดก็ต้องยกให้ผู้เชี่ยวชาญด้านความอร่อยอย่างเกาหลี แต่ถ้าเป้าหมายของคุณคือการมีสุขภาพดี และ “แซลมอน” เป็นสิ่งที่คุณชื่นชอบเป็นชีวิตจิตใจ “นอร์เวย์” คือแหล่งแซลมอนชั้นเยี่ยมสำหรับคุณ

ผู้ชื่นชอบการรับประทานแซลมอนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่านอร์เวย์เป็นแหล่งกำเนิดแซลมอนชั้นดี นอร์เวย์คือผู้ริเริ่มการเพาะเลี้ยงแซลมอนสมัยใหม่ โดยมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมายาวนานกว่า 10 ปี ด้วยการเป็นผู้ผลิตแซลมอนอันดับหนึ่งของโลกโดยยึดหลักความยั่งยืนและปลาที่มีสุขภาพดี พร้อมใช้เทคโนโลยีอันล้ำสมัยและระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความมั่นใจด้านอาหารปลอดภัยและการเพาะเลี้ยงอย่างยั่งยืน เพราะฉะนั้นหากจะรับประทานบุฟเฟต์แซลมอนครั้งต่อไปต้องมั่นใจว่าแซลมอนมาจากนอร์เวย์เท่านั้น!

หลายคนไม่กล้ารับประทานแซลมอนดิบเพราะเชื่อว่าอาจเสี่ยงอันตรายจากพยาธิในลำไส้ แต่มั่นใจได้เลยว่าแซลมอนจากนอร์เวย์ไม่มีความเสี่ยงเหล่านั้น ที่สำคัญแซลมอนถึง 90% ที่นำเข้ามายังประเทศไทยคือแซลมอนจากนอร์เวย์ หากชาวประมงนอร์เวย์ที่ใช้เวลากว่า 30 เดือนในการเพาะเลี้ยงแซลมอนมาตั้งแต่ยังเป็นไข่ได้ยินสิ่งที่ไม่จริงเหล่านี้พวกเขาคงจะเสียใจมาก

 

นี่คือ 8 สิ่งที่ไม่จริงเกี่ยวกับ “แซลมอน” ที่คุณควรทราบ

1.แซลมอนถูกเพาะเลี้ยงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แออัด

ความจริงก็คือแซลมอนนอร์เวย์ถูกเพาะเลี้ยงอย่างดีในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม แซลมอนอาศัยอยู่ในกระชังขนาดใหญ่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกที่มีความลึกถึง 40 เมตร โดยกระชังมีเส้นรอบวงถึง 200 เมตร เทียบได้กับเพ้นท์เฮ้าส์ขนาดใหญ่ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา แต่ละกระชังมีแซลมอนอาศัยอยู่เพียง 2.5% ในขณะที่ส่วนที่เหลือคือน้ำทะเล ภายในน้ำยังมีกล้องที่คอยตรวจดูความปลอดภัยและการดำรงชีวิตของแซลมอนตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย

2.แซลมอนมักไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ

ด้วยระบบการเลี้ยงดูที่ดี มีประสิทธิภาพ อาหารที่ใช้เลี้ยงแซลมอนจึงต้องผ่านการรับรองตามมาตรฐานของสหภาพยุโรป (EU) ถือว่าเป็นมาตรฐานที่สูงกว่าอาหารที่เรารับประทานกันเสียอีก ส่วนประกอบมาจากอาหารปลาธรรมชาติที่มีส่วนผสมของน้ำมันปลาและพืชซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญที่ทำให้แซลมอนมีสุขภาพดี

3.แซลมอนมักถูกใช้สารเร่งสีเพื่อให้สวยงาม

เป็นไปได้อย่างไรที่มนุษย์จะฉีดสารเร่งสีให้แซลมอนที่ว่ายอยู่นับล้านตัวในมหาสมุทร ความจริงแล้วเม็ดสีแดงตามธรรมชาติที่ปรากฏในแซลมอนของนอร์เวย์มาจากสาร “แอสตาแซนธิน” ซึ่งมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ พบได้ในสัตว์ทะเลเปลือกแข็งซึ่งเป็นอาหารของแซลมอนที่อยู่ตามธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ “แอสตาแซนธิน” จึงถูกสกัดและนำไปผลิตอาหารสำหรับแซลมอน นอกจากเป็นสารอาหารสำคัญสำหรับแซลมอนแล้ว ยังทำให้แซลมอนมีสีสันสวยงาม เนื้อปลามีสีส้มน่ารับประทานเป็นอย่างยิ่ง

4.แซลมอนเลี้ยงมักเสี่ยงอันตรายจากพยาธิในลำไส้และมักพบยาปฏิชีวนะในปริมาณมาก

แซลมอนเลี้ยงของนอร์เวย์ไม่มีความเสี่ยงในการพบพยาธิในลำไส้แต่อย่างใด เนื่องจากปลากินอาหารที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานของสหภาพยุโรป (EU) ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนสูง จึงไม่มีพยาธิในลำไส้อย่างแน่นอน ผู้เชี่ยวชาญในประเทศนอร์เวย์ได้พัฒนาวัคซีนยาที่ใช้ป้องกันและรักษาโรคให้กับแซลมอน ส่วนการใช้ยาปฏิชีวนะเป็นไปอย่างจำกัด เพื่อให้การเพาะเลี้ยงแซลมอนเป็นไปอย่างยั่งยืน จำนวนของแซลมอนนอร์เวย์ที่ได้รับยาปฏิชีวนะจึงมีน้อยกว่า 1% และหลังได้รับยาปฏิชีวนะก็ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสารตกค้างในตัวปลา ก่อนผ่านกระบวนการต่าง ๆ มาสู่จานอาหารของท่าน

5.แซลมอนเลี้ยงเต็มไปด้วยสารปนเปื้อน

ความปลอดภัยของอาหารเป็นหัวใจสำคัญของการเพาะเลี้ยงแซลมอน และชาวนอร์เวย์เองก็ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของอาหารเป็นอย่างมาก นอร์เวย์เพาะเลี้ยงแซลมอนปฏิบัติตามกฎระเบียบของสหภาพยุโรปอย่างเคร่งครัดและมีมาตรการตรวจสอบสารปนเปื้อนที่อาจเกิดจากสภาพแวดล้อมรวมถึงสิ่งไม่พึงประสงค์อื่นที่อาจส่งผลกระทบต่อแซลมอนเลี้ยง โดยมีการสุ่มตรวจแซลมอนจากจำนวนที่ผลิตทั้งหมดในหนึ่งปี เพื่อนำมาตรวจสอบปริมาณสารปนเปื้อน ด้วยเหตุนี้ แซลมอนจากนอร์เวย์จึงเป็นหนึ่งในอาหารที่ปลอดภัยต่อการบริโภคมากที่สุด เพราะโอกาสที่จะพบสารโลหะหนัก หรือสารปรอท และระดับสารกำจัดศัตรูพืชถือว่าต่ำกว่าปริมาณที่กำหนด ตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร และมีปริมาณน้อยกว่าเมื่อเทียบกับแซลมอนที่เติบโตตามธรรมชาติปัจจัยสำคัญมาจากอาหารที่ใช้เลี้ยงแซลมอนนั่นเอง

6.แซลมอนส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น

ย้อนไปในปีช่วงต้นปีค.ศ.1980 นอร์เวย์ผลิตแซลมอนสำหรับบริโภคภายในประเทศเท่านั้น แต่เนื่องจากปริมาณผลผลิตมีมากเกินความต้องการ พวกเขาจึงตัดสินใจส่งออกแซลมอนที่สดและอร่อยไปยังประเทศญี่ปุ่นที่ประชากรในประเทศชื่นชอบการบริโภคปลาดิบ หลังจากใช้เวลากว่า 2-3 ปีในการโน้มน้าวให้คนญี่ปุ่นหันมาบริโภคแซลมอนจากนอร์เวย์ ในที่สุดชาวญี่ปุ่นก็ยอมรับแซลมอนที่แหวกว่ายในน้ำทะเลที่เย็นเฉียบและใสสะอาดของนอร์เวย์ การผสมผสานวัฒนธรรมอาหารของชาวญี่ปุ่นโดยใช้แซลมอนสดจากนอร์เวย์จึงเริ่มขึ้น เกิดเป็นเมนูอาหารขึ้นชื่อของญี่ปุ่น ได้แก่ ซาชิมิแซลมอนและซูชิ ทำให้แซลมอนกลายเป็นปลาที่คนนิยมบริโภคในรูปแบบซูชิและซาชิมิมากที่สุดในโลก

7.แซลมอนที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติมีกรดไขมันโอเมกา-3 มากกว่าแซลมอนเลี้ยง

ความจริงแล้วแซลมอนเลี้ยงของนอร์เวย์มีปริมาณไขมันดีมากกว่าแซลมอนที่อาศัยตามธรรมชาติ จึงทำให้มีกรดไขมันโอเมกา-3 มากกว่า และเนื่องจากอาหารที่ใช้เลี้ยงแซลมอนมีสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ทำจากวัตถุดิบที่ดี จึงทำให้แซลมอนเลี้ยงมีรสชาติอร่อยกว่า ที่สำคัญแซลมอนเลี้ยงมีไขมันแบบไม่อิ่มตัวเป็นส่วนใหญ่ซึ่งเรารับประทานเข้าไปแล้วไม่อ้วนแน่นอน

8.แซลมอนตัวผู้รสชาติดีกว่าแซลมอนตัวเมีย

ไม่จริงเอาเสียเลย ในนอร์เวย์แซลมอนเลี้ยงได้รับการส่งออกสู่ตลาดก่อนเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ และไม่ว่าจะเป็นแซลมอนตัวผู้หรือตัวเมีย พวกมันจะถูกเลี้ยงด้วยอาหารที่เหมือนกัน โดยสรุปแล้วไม่ว่าจะเป็นแซลมอนเพศใด รสชาติก็อร่อยเหมือนกันทั้งนั้น

Nordlaks.
Photo: Marius Fiskum © Norwegian Seafood Council

 

 

 

 

“เฮเฟเล่” โชว์ยอดขายทั่วโลกเติบโต 1.6%

alivesonline.com : “เฮเฟเล่ กรุ๊ป” กวาดยอดขายในกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ระบบควบคุมการเข้าออกอาคาร และระบบไฟส่องสว่าง LED จาก 150 ประเทศทั่วโลก รวม 1,397 ล้านยูโร ส่วนประเทศไทยกวาดรายได้กว่า 3.7 พันล้านบาท มียอดขายเป็นอันดับที่ 3 รองจากสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ

นางซิบิลี เธียเรอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สำนักงานใหญ่ ประเทศเยอรมนี เปิดเผยว่า ในปี 2561 บริษัทลูกของเฮเฟเล่ในต่างประเทศรวม 37 แห่ง มีการเติบโต 2.3% ทำให้ภาพรวมของบริษัทฯ เป็นบวก โดยบริษัทแม่ในประเทศเยอรมนีและบริษัทลูกทั้ง 5 แห่งที่เป็นบริษัทผู้ผลิตมีการเติบโตเล็กน้อยที่ 0.4% จากธุรกิจส่งออก โดยในปีที่ผ่านมาหลายประเทศมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำลง อันเนื่องมาจากปัจจัยหลาย ๆ ด้าน ทั้งความหวังที่จะได้ข้อยุติในการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนก็ลดลง ในขณะที่ประเทศตุรกีและอาร์เจนตินาก็ประสบกับภาวะวิกฤติค่าเงิน ส่วนบราซิลก็มีปัญหากับสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่วนทางฝั่งยุโรปตะวันตก บรรยากาศทางเศรษฐกิจแทบจะไม่เปลี่ยนแปลง และการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร หรือ Brexit ก็ยังคงส่งอิทธิพลต่อสภาวะตลาด ส่วนตลาดในเอเชียและยุโรปตะวันออกยังคงไปได้ดี

ในปี 2562 เรายังคงเดินหน้าลงทุนในตลาดใหม่ ๆ และลงทุนพัฒนาสินค้าใหม่พร้อมกับยกระดับกระบวนการสร้างคุณค่าจากการผลิตสินค้าไปจนถึงกระบวนการขนส่งและกระจายสินค้า โดยมีแผนลงทุนประมาณ 73 ล้านยูโรในด้านการตลาด การขนส่งและกระจายสินค้า ระบบไอที และการผลิตในปี 2562 ซึ่งการลงทุนครั้งนี้จะช่วยสร้างความมั่นคงในอนาคตท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางตลาดที่ท้าทายมากขึ้น โดยในปีนี้ “เฮเฟเล่” ตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายในระดับ 4-6% โดยยังคงมองเห็นความเสี่ยงต่าง ๆ ทั้งด้านอัตราแลกเปลี่ยนและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความผันผวนสูง ตลอดจนเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในหลายประเทศ

ด้าน นายโฟลเคอร์  เฮลสเติร์น  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับ เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) มียอดขายเป็นอันดับที่ 3 ของ “เฮเฟเล่” ทั่วโลก รองจากประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอังกฤษ และมียอดขายมากที่สุดเมื่อเทียบกับ ประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย และเป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำ ในกลุ่มของบริษัท “เฮเฟเล่” ทั่วโลก โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 2562 มียอดขายเติบโตเป็น 2 หลักซึ่งเป็นไปตามทิศทางการ ดำเนินธุรกิจในปี 2562 ที่คาดว่าจะทำยอดขาย ถึง 4 พันล้านบาท โดยคาดว่ายอดขายจากสินค้าในหมวดอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และยอดขายจากตัวแทนจำหน่ายจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ เช่นเดียวกับยอดขายของสินค้ากลุ่มอื่น ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา

“ในปีนี้ เฮเฟเล่ มีการขยายคลังสินค้าที่ศูนย์กระจายสินค้า บางนา-ตราด กม.22 โดยใช้เงินลงทุนมากกว่า 350 ล้านบาท เพื่อเพิ่มพื้นที่คลังสินค้าอีกมากกว่าหนึ่งเท่าตัว รวมเป็นพื้นที่ 2.4 หมื่นตารางเมตร เพื่อผลักดันให้พร้อมสำหรับการฉลองครบรอบปีที่ 25 ของ เฮเฟเล่ ที่จะจัดขึ้นในปลายปีนี้ นอกจากนี้ยังได้ออกแบบและปรับปรุง เฮเฟเล่ ดีไซน์ สตูดิโอ ในกรุงเทพฯ ที่ ซอยสุขุมวิท 64 และอัพเกรดเฮเฟเล่ ดีไซน์ สตูดิโอ สาขาอื่น ๆ ด้วยเงินลงทุนมากกว่า 40 ล้านบาทอีกด้วย”

นายโฟลเคอร์ กล่าวในตอนท้ายว่า ตลอดระยะเวลา 25 ปี เฮเฟเล่ ประเทศไทย เติบโตและมียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น เป็น 3.7 พันล้านบาท โดยในปี 2561 มีพนักงานเพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5 พันคน มีสินค้าคงคลังจำนวนมาก รวมมูลค่ามากกว่า 1.7 พันล้านบาท มีสินค้ามากกว่า 2 หมื่นรายการ และมีสินค้ามากกว่า 5 หมื่นรายการที่พร้อมส่งจากประเทศเยอรมนีภายใน 7 วันทำการทางเครื่องบิน

 เสริมความแกร่งให้กับความเชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์

“เฮเฟเล่” เน้นขยายบริการด้านโลจิสติกส์ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักสู่ความสำเร็จของบริษัทฯ โดย ศูนย์กระจายสินค้าแห่งที่ 2 อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่เมือง Lehrte ใกล้กับเมือง Hanover ซึ่งจะให้บริการลูกค้าในแถบตอนเหนือของประเทศเยอรมนีและประเทศใกล้เคียง โดยการขยายศูนย์กระจายสินค้า รวมถึงการขยายเวลาการรับคำสั่งซื้อและสามารถส่งสินค้าไปยังลูกค้าในประเทศเยอรมนีได้ภายในวันเดียวกัน

 การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในด้านระบบไฟส่องสว่าง

จากการเข้าซื้อกิจการของ “Nimbus” ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบไฟ ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการออกแบบไฟห้องระบบ LED คุณภาพสูงของประเทศเยอรมนีเมื่อช่วงต้นปี โดย “เฮเฟเล่” อยู่ระหว่างการขยายธุรกิจให้กว้างกว่าระบบไฟเฟอร์นิเจอร์ โดย นางซิบิลี เธียเรอร์ กล่าวว่า “เฮเฟเล่” ได้รับการยอมรับในตลาดทางด้านระบบไฟ LED ภายใต้แบรนด์ Loox และในอนาคต “เฮเฟเล่” จะนำเสนอระบบไฟ LED ที่ตอบโจทย์แบบองค์รวม สำหรับการติดตั้งในอาคาร และโครงการต่าง ๆ ให้พันธมิตรและคู่ค้า

 

เพิ่มโอกาสในการฝึกอบรมพนักงานใหม่ 200 คน

ในปี 2561 จำนวนพนักงานของบริษัทฯ ทั่วโลกเพิ่มขึ้น 200 คน ทำให้บริษัทฯ มีจำนวนพนักงานรวมทั้งหมด 7.8 พันคน โดยในประเทศเยอรมนี จำนวนพนักงานประจำ พนักงานฝึกงานและนักศึกษายังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีจำนวนพนักงานรวม 1.6 พันคน “เฮเฟเล่” ได้เตรียมโครงการฝึกอบรมเพื่อเสริมทักษะความเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลให้กับพนักงานอย่างต่อเนื่อง ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ จึงได้เพิ่มตำแหน่งฝึกงานด้านอี-คอมเมิร์ซ พร้อมกับจัดตำแหน่งงานให้กับนักศึกษาที่เรียนด้านบริหารธุรกิจและนักศึกษาที่เรียนด้านการบริหารธุรกิจดิจิตัล ซึ่งเดิม “เฮเฟเล่” มีตำแหน่งฝึกงานให้กับนักศึกษาฝึกงานทางด้านค้าส่งและการค้าระหว่างประเทศ และมีโครงการศึกษาอบรมที่เป็นความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย Baden-Wuerttemberg Cooperative State University (DHBW)

 โซลูชั่นแบบครบวงจร 360 สำหรับงานด้านโรงแรม

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านโรงแรม “เฮเฟเล่” ได้สนับสนุนความเชี่ยวชาญในระดับนานาชาติที่มาพร้อมความชำนาญระดับท้องถิ่น บริษัทฯ จึงให้ความสำคัญกับตลาดโรงแรมทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นงานที่ “เฮเฟเล่” มีความเชี่ยวชาญทั้งอุปกรณ์ติดตั้ง เฟอร์นิเจอร์ วัสดุตกแต่งทางสถาปัตยกรรม ด้วยการจัดซื้อจัดจ้างที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุก ๆ ส่วนงานด้านการก่อสร้าง กลุ่มบริษัทยังเน้นความร่วมมือกับพันธมิตรระดับนานาชาติและขยายความเชี่ยวชาญในด้านการให้คำปรึกษาผ่านการเรียนการสอนและการฝึกอบรม ผู้เชี่ยวชาญด้านงานโรงแรมของบริษัทให้การสนับสนุนสถาปนิก บริษัทก่อสร้าง โรงแรม ผู้วางผังทางเทคนิค ผู้รับเหมาก่อสร้างและผู้ประกอบชิ้นส่วนสำเร็จ ตั้งแต่การวางแผนเบื้องต้นไปจนถึงการเริ่มดำเนินงาน ทั้งนี้ ด้วยความเชี่ยวชาญตลาดโลก ความรู้ทางด้านผลิตภัณฑ์ การให้คำปรึกษาที่ไม่อิงผู้ผลิตรายใด ถือเป็นเสาหลักของโซลูชั่นแบบครบวงจร 360° ของ “เฮเฟเล่” สร้างประโยชน์ให้แก่เชนโรงแรมระดับโลก โรงแรมและโฮสเทลที่ดำเนินธุรกิจเองหรือดำเนินการโดยธุรกิจครอบครัว

 “เฮเฟเล่” ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมแห่งการพัฒนาจำนวนมาก อาทิ กระจกห้องน้ำอัจฉริยะที่ฟังเพลงและปรับโทนสีได้ ตู้เก็บของดีไซน์ใหม่พร้อมฟังก์ชันภายใน กุญแจห้องพักโรงแรมที่ล็อกด้วยสมาร์ทโฟน หน้าจอดิจิตัลเพื่อควบคุมอาคาร ระบบกุญแจไดอะล็อก หรือระบบควบคุมการล็อกอิเล็กทรอนิกส์ที่มาพร้อมสัญญาณเชื่อมต่อระบบเครือข่าย และระบบควบคุมการเข้าออกอาคาร พร้อมการทำงานแบบอัจฉริยะผ่านแอปพลิเคชัน “เฮเฟเล่ คอนเน็ค” (Häfele Connect) สิ่งเหล่านี้บ่งบอกถึงการได้รับการยอมรับในฐานะผู้ให้บริการโซลูชั่นแบบครบวงจรของ “เฮเฟเล่”

 ผู้นำเทรนด์ฟังก์ชันการทำงานแบบอัจฉริยะเพื่อโลกดิจิทัล

“เฮเฟเล่” ผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยีด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ยังเป็นผู้บุกเบิกในตลาดสมาร์ทโฮมที่มีการเติบโตสูง ด้วยการจัดทำ Häfele Connect ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันสำหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตสามารถควบคุมแสงเสียงและอุปกรณ์ไฟฟ้าในเฟอร์นิเจอร์ผ่านระบบเครือข่าย มี Loox ระบบไฟ LED  และกล่องเซิร์ฟเวอร์ Häfele BLE เป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับระบบดังกล่าวนี้ “เฮเฟเล่” ได้กรุยทางสู่โลกอัจฉริยะของเฟอร์นิเจอร์และห้องต่าง ๆ เพื่อผู้ใช้รุ่นใหม่แห่งโลกอนาคต “เฮเฟเล่” ยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่นอกเหนือไปจากโลกยุคเดิม ๆ ของอุปกรณ์ฟิตติ้งสำหรับประตูและวัสดุภายใน ด้วยส่วนประกอบต่าง ๆ ที่มาพร้อมนวัตกรรมเหล่านี้ ทำให้ “เฮเฟเล่” ได้รับการยอมรับในโลกดิจิตัล ดังคติพจน์ของบริษัทที่ว่า “Thinking ahead”

 “เฮเฟเล่” และพันธมิตรคือเครือข่ายระดับโลก

“เฮเฟเล่” ได้ผลิตวัสดุอุปกรณ์และส่งมอบสินค้าและบริการให้กับผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ สถาปนิก ผู้วางผังโครงการ ผู้ประกอบและผลิตตู้ต่าง ๆ รวมทั้ง พันธมิตรและดีลเลอร์ชั้นนำระดับโลก สิ่งเหล่านี้ได้ดำเนินการผลิตและให้บริการตามความต้องการของลูกค้า ผ่านการผลิตโดยฐานการผลิตทั้ง 5 แห่งของบริษัท หรือสายการผลิตของพันธมิตรที่ได้รับมาตรฐานคุณภาพเยอรมนีของ “เฮเฟเล่” (Häfele German Quality Standards) ซึ่งมีอยู่กว่า 1.5 พันรายทั่วโลก นอกจากนี้ “เฮเฟเล่” ยังสามารถดำเนินการผลิตผ่านความร่วมมือกับพันธมิตร โดยในปี 2562 พันธมิตรเหล่านี้มีแผนการขยายการผลิตเพิ่มเติมเพื่อส่งมอบสินค้าและบริการให้กับลูกค้าของ “เฮเฟเล่” อาทิ ลูกค้ากลุ่มธุรกิจโรงแรม ซึ่ง “เฮเฟเล่” สามารถส่งมอบสินค้าและโซลูชั่นด้านโรงแรม เช่น กุญแจล็อกผ่านสมาร์ทโฟน การส่งมอบประสบการณ์ให้กับแขกผู้มาพัก การบริหารห้องพัก และการเช็คอินด้วยตัวเอง

 

 

 

“ไฮเซ่นส์” ส่งตู้เย็น “คัลเลอร์ส” รับซัมเมอร์

ไฮเซ่นส์ แบรนด์ผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก ในฐานะผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 หรือ EURO 2020 แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ตู้เย็นรุ่นคัลเลอร์ส (Colours) ขนาด 5.9 คิว ดีไซน์สวยงามรับสีสันสดใสรับซัมเมอร์นี้ มีช่องเก็บขวดขนาดใหญ่และช่องใส่ของภายในที่กว้างขวาง ช่องแช่แข็งขนาดใหญ่ความจุ 21 ลิตร ชั้นวางกระจกนิรภัยแข็งแรง ปลอดภัย ช่องพักขนาดใหญ่ที่เก็บผักและผลไม้ได้มากขึ้น ส่วนฝั่งประตูมีชั้นวางกลางที่บรรจุขวดขนาดใหญ่ได้ถึง 2.5 ลิตร  ราคา 5,190 บาท สามารถเลือกสีที่ถูกใจได้ทั้งสีแดงและมีบรอนซ์เงิน

ผู้สนใจทดลองผลิตภัณฑ์ได้ที่เทสโก้ โลตัสทุกสาขา หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.0 2017 0077 ติดตามข้อมูลไฮเซ่นส์ (Hisense) ได้ทาง http://www.hisense.co.th/ หรือ facebook.com/Hisensethai

โรงแรมคามิโอ เฮ้าส์ ศรีราชา เสิร์ฟเมนูอบหม้อดินสามสหายต้นตำรับอาหารจีน

ห้องอาหาร แทพเพสทรี โรงแรมคามิโอ เฮ้าส์ ศรีราชา ขอเชิญทุกท่านร่วมลิ้มลองความอร่อยของสารพัดเมนูอบหม้อดิน อาทิ หมูสามชั้นอบหม้อดิน หมูสามชั้นชิ้นโตหมักด้วยเครื่องเทศสูตรพิเศษอบจนเข้าเนื้อหอมอร่อยถูกใจ (120++บาท), คากิอบหม้อดิน เนื้อคากิอบจนนุ่ม หวานนิดเค็มหน่อยอร่อยหอมเครื่องพะโล้ (120++บาท), ราดหน้าซี่โครงหมูตุ๋นซอสกุ้งอบหม้อดิน กระดูกหมูตุ๋นซอสกุ้งรสชาติเข้มข้นกลมกล่อม ราดหน้าก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ (120++บาท) และอีกหลากหลายเมนูที่รวบรวมสุดยอดความอร่อยของอาหารจีนต้นตำรับให้คุณได้ลิ้มลอง! ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 พฤษภาคม 2562 เวลา 11.00-24.00 น.

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือสำรองที่นั่งได้ที่ โรงแรมคามิโอ เฮ้าส์, ศรีราชา โทร.0 3831 4100 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.kameocollection.com

หมูสามชั้นอบหม้อดิน

คากิอบหม้อดิน

ราดหน้าซี่โครงหมูตุ๋นซอสกุ้งอบหม้อดิน

รพ.ราชวิถี ผ่าตัดกระดูกสันหลังโก่งด้วยเทคนิคผ่าตัดแผลเล็กแห่งแรกของเอเชีย

alivesonline.com : โรงพยาบาลราชวิถี โดยกลุ่มงานออร์โธปิดิกส์ ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคนิคการรักษาโรคกระดูกสันหลังคดอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรกในไทย ด้วยวิธีการผ่าตัดกระดูกสันหลังออกทั้งระดับ (Full Vertebral Column Resection) และพัฒนาวิธีการรักษาโรคข้อกระดูกสันหลังค่อมและยึดติด AS (Ankylosing Spondylitis) ด้วยเทคนิคผ่าตัดแผลเล็กได้ประสบความสำเร็จเป็นแห่งแรกในเอเชีย นับเป็นการพัฒนาเทคนิคการรักษาโรคกระดูกสันหลังผิดรูป 2 เคส ของโรงพยาบาลราชวิถี เพื่อคุณภาพในการรักษาและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของผู้ป่วย  

นายแพทย์อธิคม เมธาเธียร นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลราชวิถี เปิดเผยว่า กลุ่มงานออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลราชวิถี ได้พัฒนาเทคนิคการรักษาโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลังผิดรูปคือ กระดูกสันหลังคดอย่างรุนแรงในเด็กด้วยวิธี Full Vertebral Column Resection และการรักษาโรคข้อกระดูกสันหลังอักเสบยึดติด AS (Ankylosing Spondylitis)

กรณีกระดูกสันหลังคดในเด็ก (ก่อนผ่าตัด)

สำหรับกรณีกระดูกสันหลังคดในเด็กมีสาเหตุมาจากโรคระบบประสาทท้าวแสนปมและผู้ป่วยเคยได้รับการผ่าตัดดามเหล็ก แต่เกิดการหักของเหล็กที่ยึดตรึงกระดูกไว้ ทำให้กระดูกไม่เชื่อมต่อกัน ส่งผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการหลังคดโก่งอีกครั้งอย่างรุนแรงและผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไขซ้ำอีกครั้ง

ผู้ป่วยได้ถูกส่งต่อมารับการรักษาที่โรงพยาบาลราชวิถี ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดด้วยวิธี Full Vertebral Column Resection คือการตัดปล้องกระดูกสันหลังออกทั้งระดับ เพื่อให้สามารถจัดกระดูกสันหลังส่วนอื่นเข้าหาแนวปกติได้มากที่สุด

กรณีกระดูกสันหลังคดในเด็ก (หลังผ่าตัด)

จุดเด่นความสำเร็จในการผ่าตัดครั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบกับผลการรักษาจากต่างประเทศคือสามารถใช้เวลาผ่าตัดสั้นกว่า ขณะที่คนไข้เสียเลือดระหว่างผ่าตัดน้อยกว่า ทั้งยังประหยัดค่าใช้จ่ายเนื่องจากการผ่าตัดแบบนี้ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ หรือเทคโนโลยีพิเศษที่มีราคาสูง โดยหลังผ่าตัดคนไข้จะมีกระดูก
สันหลังอยู่ในแนวปกติ และหลังตรงขึ้น มีส่วนสูงเพิ่มมากขึ้น ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัดและสามารถใช้ชีวิตได้ปกติ ถือเป็นการรายงานการผ่าตัดที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกในประเทศไทย

ผู้ป่วยโรคข้อกระดูกสันหลังค่อมยึดติด AS (Ankylosing Spondylitis)

ส่วนกรณีการรักษาโรคข้อกระดูกสันหลังค่อมยึดติด AS (Ankylosing Spondylitis) ด้วยเทคนิคแผลเล็ก โดยคนไข้ที่มีภาวะกระดูกสันหลังค่อมยึดติด เป็นโรคกระดูกสันหลังอักเสบที่เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันตัวเองชนิดหนึ่ง โดยผู้ป่วยที่มีกระดูกสันหลังอักเสบจะมีอาการปวดสะโพกและปวดหลัง เมื่อปล่อยไว้เป็นระยะเวลานาน ข้อกระดูกสันหลังและกระดูกสะโพกที่อักเสบจะยึดติดและเชื่อมกันเป็นกระดูกแท่งเดียวกันแนว ทำให้คนไข้มีอาการหลังค่อมอย่างรุนแรง ไม่สามารถเงยหน้าหรือยืดตัวได้

ในอดีตการรักษากระดูกสันหลังยึดติดที่มีภาวะหลังค่อมยึดติดต้องผ่าตัดรักษาด้วยการผ่าตัดกระดูกเพื่อปรับมุมใหม่ โดยการตัดกระดูกออกบางส่วนและปรับมุมกระดูกให้แนวกระดูกสันหลังตรง การผ่าตัดจะเปิดแผลยาวประมาณ 30-60 เซนติเมตรขึ้นไป เพื่อตัดกระดูกสันหลังและวางเหล็กเส้นตามแนวกระดูกสันหลัง ใช้เวลาผ่าตัดยาวกว่า 8-10 ชั่วโมง การผ่าตัดจะเสียเลือดมากและพักฟื้นนาน 1-3 เดือน กว่าคนไข้จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

กรณีโรคข้อกระดูกสันหลังค่อมยึดติด AS (ก่อนผ่าตัด)

โรงพยาบาลราชวิถี จึงได้พัฒนาเทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็กซึ่งเป็นการผ่าตัดเปิดแผลเพียง 7-8 เซนติเมตร เพื่อทำการตัดกระดูกสันหลังออกบางส่วนและปรับมุมกระดูก ร่วมกับการใส่สกรูผ่านผิวหนังเพื่อยึดตรึงกระดูกสันหลัง ทำให้ลดเวลาการผ่าตัดเหลือเพียง 3-5 ชั่วโมง การผ่าตัดด้วยวิธีแผลเล็กลงมาก คนไข้เสียจะเลือดน้อยลงและใช้เวลาในการพักฟื้นภายหลังผ่าตัดเพียง 2-3 สัปดาห์ก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติ นับเป็นการรายงานความสำเร็จในการผ่าตัดแผลเล็กแก้ไขโรคกระดูกสันหลังค่อมยึดติดสำเร็จเป็นครั้งแรกในเอเชีย

กรณีโรคข้อกระดูกสันหลังค่อมยึดติด AS (หลังผ่าตัด)

ปัจจุบันกลุ่มงานออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลราชวิถี โดย นายแพทย์อธิคม เมธาเธียร ได้ทำการผ่าตัดรักษาคนไข้เกี่ยวกับโรคกระดูกสันหลังผิดรูปทั้งในเด็กและผู้ใหญ่มาแล้วมากกว่า 500 ราย อีกทั้งยังได้พัฒนาบุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทาง รวมถึงการวิจัยและพัฒนาเทคนิคการรักษาโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลังผิดรูป จนกลายเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการรักษาผู้ป่วยให้มีศักยภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

จึงขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาร่วมสมทบเข้ากองทุนผู้ป่วยอัมพาตจากกระดูกสันหลังบาดเจ็บ โดยสามารถร่วมบริจาคได้ที่บัญชี “มูลนิธิโรงพยาบาลราชวิถี” ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาโรงพยาบาลราชวิถี หมายเลขบัญชี 051-2-16322-1 หรือสอบถาม โทร.0 2354 7997-9 หรือ http://www.rajavithihospitalfoundation.org

โชว์ #MetGalaStyle ในแบบของคุณบน TikTok

alivesonline.com : ถ้าพูดถึงงานแฟชั่นระดับโลกที่ทั้งโลกต้องจับตามองแล้วล่ะก็คงหนีไม่พ้นงาน Met Gala 2019 ที่ปีนี้มาในธีม Camp: Notes on Fashion งานแฟชั่นระดับโลกนี้จัดขึ้นวันจันทร์แรกของเดือนพฤษภาคมของทุกปีที่ Metropolitan Museum of Art โดยปีนี้ก็มีเหล่าดารา นักร้อง นางแบบชื่อดังตบเท้าเข้าร่วมเดินพรมชมพูอย่างคับคั่ง ทั้ง Lady Gaga, Ezra Miller, Cardi B เป็นต้น ซึ่งแต่ละคนนั้นก็แต่งชุดจัดใหญ่จัดเต็มกันมาแบบไม่ยั้ง แอปพลิเคชันสร้างสรรค์วิดีโอขนาดสั้นระดับโลกอย่าง TikTok จึงปล่อยแคมเปญ #MetGalaStyle มาเอาใจผู้ใช้สายแฟชั่นให้มาโชว์ความคิดสร้างสรรค์และความสามารถผ่านแอปฯ ไม่ว่าจะเป็น การแต่งหน้า ทำผม ทำชุดเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศงาน Met Gala 2019 ในครั้ง

TikTok ได้รวบรวม 3 สไตล์ปัง ๆ ของเซเลบริตี้จาก Met Gala 2019 มาให้ทุกคนชมและนำไปแต่งตามกัน ลองนึกภาพตามซิ หากคุณจะต้องไปเดินพรมชมพูของงานปีนี้ สไตล์ไหนที่คุณจะเลือกจับ โดยแต่ละสไตล์ที่เราคัดมา มีตัวอย่างจาก TikTok ครีเอเตอร์ให้คุณได้ดูเป็นแบบอย่างและเกิดแรงบันดาลใจอีกด้วย

  • Elegant

สไตล์แรกคือสวยเรียบหรู ดูแพง แต่ยังมีความเฟียซเล็ดลอดออกมาให้ผู้ชมได้สัมผัส ซึ่งลุคแนวนี้มักจะเป็นเดรสที่ดูเรียบง่าย แต่ขณะเดียวกันมีของตกแต่งที่เพิ่มเลเยอร์ให้กับความงดงามของผู้สวมใส่ อาทิ ชุดเครื่องประดับศีรษะ ชุดเครื่องประดับเพชรและหินสี เป็นต้น ซึ่งในปีนี้ชุดที่ติดท็อปความเอเลแกนซ์ก็คงหนีไม่พ้น นักร้องเสียงทรงพลังเซลีน ดิออน จากแบรนด์ Oscar de la Renta ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากภาพยนต์เรื่อง Ziegfeld Follies นำแสดงโดย Judy Garland หรือลุคแต่งหน้าที่เกิดความคาดหมายแต่ดูแพงแบบสุดๆของ Ezra Millerอ ที่เปลี่ยนตัวเองให้มีถึง 7 ตา

  • Classic

สวย เรียบแต่มีมนต์ขลังทุกยุคสมัย คือคำนิยามของชุดสไตล์คลาสสิค ซึ่งบนพรมชมพูในปีนี้นั้น มีเซเลปจำนวนมากที่เลือกหยิบจับความคาสสิคของศิลปะหลากหลายแขนงมาปรับเป็นลุคที่ต้องทำให้คุณเหลียวหลังมอง เช่น ผ้าคลุมหอยมุกของไรอั้น เมอร์ฟี ที่เหมือนกับราชวงศ์ยุคก่อน หรือนักเทนนิสหญิงมือหนึ่งเซเรน่า วิลเลียม ที่มาในเดรสสีเหลืองประดับดอกไม้โทนแดง พร้อมฉีกกฏงานกาล่าพรมแดงด้วยรองเท้าผ้าใบสีแสบตา

  • Over the Top

เมื่อพูดถึงงานแฟชั่น ก็ต้องพูดถึงลุคที่ทำให้เราต้องร้องว้าวออกมาเสียงดัง แน่นอนว่างาน Met Gala ทุกปีจะต้องมีชุดที่ถูกพูดถึงมากที่สุดอยู่เป็นประจำ โดยในปีนี้นั้นก็คงจ้องยกให้กับตัวแม่ด้านแฟชั่นเหนือความคาดหมาย เลดี้ กาก้า ที่เปิดตัวด้วยเดรสใหญ่ยักษื แล้วเปิดเผยอีก 3 ชุดที่อยู่ภายในให้ผู้เข้าร่วมงานได้ยลโฉมไอเดียสุดแนวของเธอ หรือชุดแชงเดอเลียของเคธี เพอร์รี ที่ออกแบบโดยเจเรมี สก็อตต์จากแบรนด์ Moschino เรียกได้ว่าการตีความ Camp ของแต่ละคนมันสุดขอบจริงๆ

ความพิเศษอีกหนึ่งอย่างของ Met Gala ปีนี้คือ The Metropolitan Museum of Art ร่วมมือกับแอปพลิเคชันสร้างสรรค์วิดีโอระดับโลกอย่าง TikTok สร้างบัญชีผู้ใช้ทางการของ The Met Museum ขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้ทั่วโลกกว่าล้านคนได้มีดื่มด่ำกับงานศิลปะล้ำค่าที่มีอายุกว่า 5,000 ปีจากทั่วโลกได้และเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง

ถ้าใครดูลุคปังลุคแซ่บของเหล่าดาราแล้วยังรู้สึกไม่สะใจ อยากจะลุกขึ้นมาแต่งตามหรือสร้างสรรค์ชุดใหม่มาสู้ อย่าลืมเข้ามาโชว์ให้โลกเห็นด้วยการโพสวิดีโอในแอปพลิเคชัน TikTok พร้อมติดแฮชแท็ก #MetGalaStyle เพื่อร่วมลุ้นเป็นผู้โชคดีที่จะได้รับของรางวัลสุดพิเศษจาก the Met ที่ได้แรงบันดาลใจมากจากธีม Camp: Notes on Fashion ร่วมสนุกได้แล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม ที่แอปพลิเคชัน TikTok

ช่อง“ZEE หนัง” จัดส่งความมันหลากอารมณ์หนังภารตะส่งตรงถึงหน้าจอช่วงกลางปีนี้

ช่อง “ZEE หนัง” ซีรีส์ดี ภาพยนตร์อินเดีย ดูฟรี 24 ชั่วโมง ผู้นำสุดยอดความบันเทิงหนังบอลลีวู้ด นำโปรแกรมเด็ดพร้อมเสิร์ฟที่ทำให้คุณไม่อยากกะพริบตา

102 NOT OUT : คอมเมดี้, ดราม่า ภาพยนตร์ที่กวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า 500 ล้านบาท

ออกอากาศ : วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม 2562 เวลา 21.50 น.

นำแสดงโดย : อมิต๊าบ บันจัน และ ริชชิ คาร์ปูร์

เรื่องราวของพ่อรุ่นเก๋า ‘ดัทตรายา วาคาเรีย’ อายุ 102 ปี ชายผู้แสนอารมณ์ดีที่ตั้งใจจะทำลายสถิติผู้มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก แต่ถูกขัดขวางด้วยอารมณ์อันแสนหดหู่ของ ‘บาบูล่า’ ลูกชายวัย 76 ปีของเขา เพราะ ‘บาบูล่า’ คิดว่าตนเองแก่เกินไปที่จะทำอะไรสนุก ๆ ‘ดัทตรายา’ จึงจำเป็นต้องหาวิธีให้ลูกชายของเขากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยเขายื่นเงื่อนไขกับ ‘บาบูล่า’ ว่าหากไม่สามารถทำได้จะต้องไปอยู่บ้านพักคนชรา เรื่องราวของสองพ่อลูกรุ่นเดอะที่หัวใจไม่ยอมแก่ ถือเป็นภาพยนตร์ที่สร้างแรงบันดาลใจและเสียงหัวเราะให้แก่ผู้ชมที่กำลังท้อแท้ หรือหดหู่ในชีวิตได้เป็นอย่างดี…ตอนจบทั้งคู่จะทำภารกิจ ความสนุกนี้สำเร็จหรือไม่ เตรียมลุ้นหน้าจอกันเลย

รัตติกาลอสุรา : ดราม่า, สยองขวัญ

ออกอากาศ : วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม 2562 เวลา 20.50 น.

นำแสดงโดย : คริสตัล ดี โซซา และ เอแฮม ชาร์มา

“รัตติกาลอสุรา” เรื่องราวสยองขวัญเกี่ยวกับความลับของหมู่บ้าน “กามาปุระ” เมืองอันแสนสงบสุขที่มีตำนานของ “พรหมรากษพ” (พรหม-ราก-ษพ) ปีศาจที่ตามล่าและเอาชีวิตของผู้หญิงที่ผ่านการแต่งงานแล้วเท่านั้น ซึ่งการออกอาละวาดนี้ ทำให้พวกเธอเหล่านั้นแก้ปัญหาและปกป้องตนเองด้วยการงดสวมใส่กำไล หรือแต้มผงซินทูตามขนบธรรมเนียมประเพณีของเจ้าสาวและผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้ “พรหมรากษพ” ออกมาทำลายหญิงสาวในหมู่บ้าน แต่ก็เกิดเรื่องประหลาดใจของทุกคนในหมู่บ้าน เมื่อครอบครัวของ ‘ไรนา’ และ ‘ริชาร์บ’ ตัดสินใจจัดงานแต่งงานเพราะไม่ทราบเรื่องราวของ “พรหมรากษพ” เรื่องราวจะเป็นอย่างไร และจะแก้ไขเช่นไร โปรดติดตาม

สนุกสนาน เพลิดเพลินไปกับโปรแกรมหนังหลากหลายแนวที่มาพร้อมกับเสียงพากย์ไทย โดยทุกท่านสามารถรับชมได้ที่ “ZEE หนัง” ที่เดียวเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์ดังอีกมากมายที่คุณไม่ควรพลาด ทางช่อง “ZEE หนัง” สามารถรับชมได้ผ่านกล่อง PSI ช่อง 100, Big 4 ช่อง 100, GMMz ช่อง 100, DTV ช่อง 100, Sunbox ช่อง 46, AIS Play, AIS Playbox, True ID, Primetime, Good TV, 3BB, และเคเบิ้ลทั่วประเทศ  หรือติดตามข่าวสารได้ที่  www.facebook.com/ZeeNungChannel