“รีจัส” ยึดทำเล “สิงห์ คอมเพล็กซ์” ผุดสำนักงานให้เช่าสาขาที่ 21

alivesonline.com : ผู้นำด้านการให้บริการพื้นที่สำนักงานระดับโลก “รีจัส” เปิดตัวสาขาที่ 21 ครอบคลุมกว่า 1.1 พันตารางฟุตบนพื้นที่ชั้น 30 อาคาร “สิงห์ คอมเพล็กซ์” สำนักงานเกรดเอสุดทันสมัย ชูจุดเด่นตั้งอยู่บนพื้นที่ใจกลางเมืองใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีเพชรบุรีและแอร์พอร์ตลิงค์สถานีมักกะสัน เหมาะสำหรับเหล่าสตาร์ทอัปและฟรีแลนซ์ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการการทำงานยุคดิจิทัล

นายโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ รีจัส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี เปิดเผยว่า ปัจจุบัน “รีจัส” มีเครือข่ายสำนักงานให้เช่า พื้นที่การทำงานและพื้นที่จัดประชุมสำหรับให้บริการจำนวนถึง 3.3 พันแห่งใน 110 ประเทศทั่วโลก ล่าสุดได้เปิดให้บริการในประเทศไทยเป็นสาขาที่ 21 ณ อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ มีพื้นที่บริการครอบคลุมกว่า 1,134 ตารางฟุต แบ่งเป็นพื้นที่สำนักงานทั้งหมด 73 ห้อง ห้องประชุม 2 ห้อง และพื้นที่ทำงานกว่า 200 ที่นั่ง เพื่อรองรับความต้องการขององค์กรธุรกิจและบุคคลทั่วไปที่มองหาพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้อย่างไม่มีที่ใดให้บริการมาก่อน อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสำนักงานพร้อมใช้งาน ระบบอินเทอร์เน็ตรองรับการใช้งานทางธุรกิจและบริการโทรศัพท์ รวมถึงห้องครัวบริการทำความสะอาดและพนักงานต้อนรับตลอด 24 ชั่วโมงซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในการทำงานและสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานมากยิ่งขึ้น

“รีจัส” ยังนำเสนอบริการเหนือระดับมากกว่าการเป็นเพียงพื้นที่การทำงานแบบเดิม ๆ เช่น บริการสำนักงานเสมือนจริง พร้อมที่อยู่สำหรับส่งเอกสารบนทำเลย่านธุรกิจใจกลางเมือง ตลอดจนบริการให้ความช่วยเหลือผู้ใช้บริการที่ต้องการโยกย้ายพื้นที่ทำงานจากสาขาหนึ่งมายังอีกสาขาหนึ่งของ “รีจัส” ที่มีสาขาให้บริการทั่วกรุงเทพฯ เพื่อตอกย้ำว่าย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่นี้ยังคงเป็นทำเลธุรกิจที่ดึงดูดความสนใจทั้งคนไทยและคนต่างชาติ เนื่องจากพื้นที่ย่านอโศก-เพชรบุรีเป็นที่รู้จักกันดีในกลุ่มวิชาชีพสายงานต่าง ๆ และคนทำงานยุคดิจิทัลแบบไร้สำนักงานที่ต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่การงานในเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว สาขาใหม่นี้จึงสะดวกมากสำหรับเหล่าสตาร์ทอัป บริษัทขนาดเล็กและกลาง รวมถึงองค์กรขนาดใหญ่และฟรีแลนซ์ต่าง ๆ ด้วยพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้ สะดวกสบาย ตลอดจนรองรับการทำงานยุคดิจิทัลเป็นอย่างดี

“การเปิดสาขาใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของ รีจัส ในการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพ รวมทั้งตอบสนองความต้องการพื้นที่ทำงานที่ยืดหยุ่นได้ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศไทย ด้วยจุดเด่นของพื้นที่ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินสถานีเพชรบุรีและแอร์พอร์ตลิงค์สถานีมักกะสัน ดังนั้นเราจึงพยายามอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับปรุงและมอบประสบการณ์การทำงานที่สะดวกสบายและยืดหยุ่นได้ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการเกิดความคิดสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้นในการทำงาน” นายโนเอล กล่าวในตอนท้าย

อนึ่ง อาคาร “สิงห์ คอมเพล็กซ์” คือ อาคารมิกซ์ยูสชั้นนำแห่งใหม่เกรดเอ สูง 42 ชั้นที่รายล้อมไปด้วยสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากมาย ด้วยทำเลที่ตั้งนำเสนอที่สุดแห่งความสะดวกสบายสำหรับผู้เช่าและผู้มาเยือน ไล่เรียงตั้งแต่โรงแรมระดับห้าดาวไปจนถึงศูนย์การประชุมระดับโลก ศูนย์การค้าระดับพรีเมียมไปจนถึงตลาดนัด และร้านค้าชุมชน อาคารแห่งนี้จึงสะท้อนการใช้ชีวิตแบบคนเมืองในเมืองที่มีพลวัตสูงได้เป็นอย่างดี

“ไบเทค” ฉลองใหญ่ขอบคุณพนักงาน 20 ปี

คณะผู้บริหารกลุ่มบริษัทภิรัชบุรี นำโดย ดร.ประสาน ภิรัช บุรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วย ‘ประพีร์ บุรี’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน ‘ปนิษฐา บุรี’ กรรมการผู้จัดการ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค และ ‘ปิติภัทร บุรี’ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ภิรัชบุรี จัดงานใหญ่ฉลองครบรอบ 20 ปี พร้อมขอบคุณพนักงานทุกคนผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของไบเทค ดังคำกล่าว “ไบเทคคือบ้าน พนักงานคือลูก” ในฮอลล์ EH100 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เมื่อเร็ว ๆ นี้

“เคาน์เตอร์เซอร์วิส” รับฝากเงินเข้าบัญชีกรุงศรีที่ 7-ELEVEN ทุกสาขา

‘วีรเดช อัครผลพานิช’ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เคาน์เตอร์เซอร์วิส จำกัด และ ‘พงษ์อนันต์ ธณัติไตร’ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านธุรกิจลูกค้ารายย่อยและเครือข่ายการขาย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ร่วมเปิดตัว “บริการกรุงศรีอยู่นี่นะ” รับฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส ในร้าน 7-ELEVEN ทุกสาขาทั่วประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง

ความร่วมมือนี้จะเป็นการร่วมกันพัฒนาและเพิ่มช่องทางการรับฝากเงินผ่านตัวแทน Banking Agent ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้าน 7-ELEVEN ทุกสาขาทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าของธนาคารกรุงศรีที่มีอยู่ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะฝากเงินเข้าบัญชีตนเอง หรือบัญชีผู้อื่นที่ใช้ธนาคารกรุงศรี ก็สามารถทำธุรกรรมได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว โดยการฝากเงินที่ไม่ยุ่งยากอย่างที่คิด เพียงแค่ใช้เลขบัญชีธนาคารกรุงศรี, บัตรประชาชน, เบอร์โทรศัพท์มือถือผู้นำฝาก และยืนยันจำนวนเงินที่ต้องการทำธุรกรรมก็สามารถฝากเงินได้โดยไม่มีขั้นต่ำ ฝากเงินได้สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาทต่อรายการ และไม่เกิน 100,000 บาทต่อวัน เพียงเท่านี้ก็สามารถรับบริการได้เหมือนกับเดินทางไปที่ธนาคาร ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการให้บริการที่ปลอดภัยและครบวงจรมากยิ่งขึ้น อีกทั้งความพร้อมด้านจำนวนจุดให้บริการรับฝากเงินเคาน์เตอร์เซอร์วิสในร้าน 7-ELEVEN ที่เปิดให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง กว่า 11,000 สาขา ครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

ลูกค้าธนาคารกรุงศรีห้ามพลาด กับบริการ “กรุงศรีอยู่นี่นะ” รับฝากเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีที่เคาน์เตอร์เซอร์วิส ในร้าน 7-ELEVEN ทุกสาขาทั่วประเทศ ตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับผู้ใช้บริการ รับฟรีคูปองแทนเงินสด มูลค่า 5 บาท สำหรับซื้อสินค้าในร้าน 7-ELEVEN ณ สาขาที่ร่วมรายการ ตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ – 23 เมษายน 2562

น้ำมันรำข้าวคิง จัดพิธีมอบรางวัลและพิธีเปิดนิทรรศการภาพถ่าย “คุณค่าของข้าวไทย”

“กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง” โดย นายประวิทย์ สันติวัฒนา กรรมการบริหาร กลุ่มน้ำมันรำข้าวคิง และผู้อำนวยการสายธุรกิจอาหาร บริษัท น้ำมันบริโภคไทย จำกัด ร่วมกับ สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดย นายดาว วาสิกศิริ นายกสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดพิธีมอบรางวัลแก่ผู้ชนะเลิศโครงการประกวดภาพถ่าย “คุณค่าของข้าวไทย” ครั้งที่ 2 เพื่อเชิดชูคุณค่าและความงดงามของข้าวไทยผ่านศิลปะภาพถ่ายและส่งเสริมให้สาธารณชนได้ร่วมกันตระหนักถึงความสำคัญของ “ข้าวไทย” และเกิดความซาบซึ้งในความผูกพันและความเชื่อมโยงของข้าวกับวิถีชีวิตของคนไทย โดยการจัดประกวดครั้งนี้กำหนดเป็นใน 2 หัวข้อคือ “ความงามของข้าวไทย” เป็นภาพที่แสดงให้เห็นความงดงามของข้าวไทย อาทิ เมล็ดข้าว รวงข้าว รวมถึงความงดงามทางภูมิทัศน์ของทุ่งข้าว โดยมีคนเป็นองค์ประกอบ หรือไม่มีก็ได้ นอกจากนี้อาจเป็นภาพที่มีข้าวเป็นองค์ประกอบอย่างสร้างสรรค์และ “วิถีข้าว วิถีไทย” เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมของชาวนาไทย หรือคนไทยที่มีความเกี่ยวพันกับข้าวไทย ตลอดจนวัฒนธรรมการกินข้าวของคนไทย ณ หอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร เมื่อเร็ว ๆ นี้

“เดลต้า” ร่วมงานครบรอบ 20 ปี สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

‘ดร.สมชาย หาญหิรัญ’ (กลาง) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เกียรติถ่ายภาพร่วมกับผู้บริหารและตัวแทนจาก บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในโอกาสร่วมงานครบรอบ 20 ปี สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้หัวข้อ “Driving Toward Standardization and Innovation” ณ นิคมอุตสาหกรรมบางปู เมื่อเร็ว ๆนี้

การแข่งขันประกวดแผนธุรกิจสตาร์ทอัพระดับโลก “SCG Bangkok Business Challenge @ Sasin 2019”

 

‘พารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา’ (ที่ 4 จากขวา) ผู้อำนวยการ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานในงานแถลงข่าวการจัดงาน SCG Bangkok Business Challenge @ Sasin 2019 การแข่งขันแผนธุรกิจสตาร์ทอัพด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีระดับโลกของนักศึกษาบัณฑิตศึกษาเพียงแห่งเดียวในเอเชียภายใต้แนวคิด—Scaling Impact Through Innovation” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 21-23 กุมภาพันธ์ 2562 ชิงรางวัลเกียรติคุณพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ประจำปี 2562 และรางวัลเกียรติคุณพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นอกจากนี้ ยังมีรางวัลเงินสดรวมมูลค่ากว่า 60,000 เหรียญสหรัฐ โดยมี ‘ดร.สุรชา อุดมศักดิ์’ (ที่ 3 จากซ้าย) R&D Director and Emerging Business Director ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี พร้อมด้วย ‘พิรชัย เบญจรงคกุล’ (ที่ 2 จากซ้าย) Investment Director บริษัท บีซีเอช เวนเจอร์ส จำกัด ‘คงพันธุ์ ปราโมช ณ อยุธยา’ (ซ้ายสุด) ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการ Bangkok Business Challenge @ Sasin ‘ธนพงษ์ ณ ระนอง’ (ที่ 3 จากขวา) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย ‘นรภัทร เผ่านิ่มมงคล’ (ที่ 2 จากขวา) ประธานกรรมการ บริษัท อีเด็น อะกริเท็ค จำกัด และ BBC Alumni 2015 7) และ ‘รศ.ดร.อดิทธิ์ เชี่ยวสกุล’ (ขวาสุด) ประธานคณะกรรมการจัดการแข่งขัน SCG Bangkok Business Challenge @ Sasin 2019 ร่วมงานด้วย ณ อาคารศศปาฐศาลา สถาบันบัณฑิตฯ ศศินทร์

“ออเนอร์” ประกาศผู้ชนะแคมเปญ “Fashion For The Brave” พร้อมแจกรางวัลใหญ่สุดพิเศษ HONOR 10 Lite

เบียร์-ภัสรนันท์ (ซ้าย) ผู้ชนะแคมเปญ (กลาง) และ กลอย-ประวีวรรณ (ขวา)

เมื่อเร็ว ๆ นี้ออเนอร์” ได้ประกาศผู้ชนะจากแคมเปญ “Fashion For The Brave” นำทีมโดย ‘เบียร์-ภัสรนันท์’ และ ‘กลอย-ประวีวรรณ’ เฟ้นหาคนรุ่นใหม่ที่มีใจรักในด้านแฟชั่นที่มาร่วมแต่งตัวให้ตรงตามคอนเซ็ปต์ของสมาร์ทโฟน “ออเนอร์” โดยผู้ชนะในแคมเปญนี้ ได้แก่ ผู้ที่แต่งตัวตรงตามคอนเซ็ปต์ของสมาร์ทโฟน “HONOR 8X สีแดง” โดย “ออเนอร์” ยังแจกรางวัลใหญ่สุดพิเศษ HONOR 10 Lite ให้แก่แฟน ๆ ทางบ้านที่มาร่วมโหวตเลือกผู้ชนะของแคมเปญนี้อีกด้วย

ด้วยดีไซน์การแต่งตัวแนวสปอร์ตตี้เกิร์ลที่แฝงไปด้วยสไตล์ความสนุกแบบไม่เหมือนใครของผู้เข้าแข่งขันท่านนี้ ทำให้แฟน ๆ “ออเนอร์W เทใจกระหน่ำไลค์ให้จนได้กลายเป็นผู้ชนะภายในแคมเปญ โดยแรงบันดาลใจของลุคนี้มาจากคอนเซ็ปต์ของสมาร์ทโฟน HONOR 8X สีแดง ที่มาพร้อมกับดีไซน์อันโฉบเฉี่ยวแบบไล่เฉดสี 2 ระดับ ประกอบกับหน้าจอขนาดใหญ่ 6.5 นิ้ว ครบครันทุกฟังก์ชั่นการใช้งานภายในเครื่องเดียว

ไม่เพียงแต่ผู้เข้าแข่งขันในแคมเปญเท่านั้น “ออเนอร์” ยังแจกรางวัลใหญ่สุดพิเศษ HONOR 10 Lite เซลฟี่สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดจากออเนอร์ที่กล้องหน้ามาพร้อมกับเทคโนโลยี AI ความละเอียด 24 ล้านพิกเซล ให้กับแฟน ๆ ทางบ้านที่มาร่วมสนุกกับแคมเปญโหวตเลือกผู้ชนะผ่านทางเพจ HONOR Thailand เป็นที่เรียบร้อย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและอัพเดทข้อมูลข่าวสารและผลิตภัณฑ์ของออเนอร์ได้ที่เว็บไซต์ www.hihonor.com/th หรือ ติดตามได้ที่: https://www.facebook.com/HonorThai/

“โอซีซี” อบรมความรู้พนักงาน KMA

ปิยาภรณ์ สามประทีป รองผู้จัดการส่วนการตลาด บมจ.โอซีซี จัดอบรมเสริมความรู้ด้านผลิตภัณฑ์ และการขาย ให้แก่พนักงานขายเครื่องสำอาง KMA (เคเอ็มเอ) ประจำเขตกรุงเทพฯ เพื่อส่งเสริมศักยภาพการทำงานสู่การขายอย่างมืออาชีพ ณ ห้องประชุมบิวตี้ ควีน อาคารโอซีซี เมื่อเร็ว ๆ นี้

“เจนเนอราลี่ เซลฟี่ รัน 2019” รวมพลคนรักสุขภาพร่วมวิ่งส่งต่อสิ่งดีๆ

“เจนเนอราลี่ ไทยแลนด์” จัดกิจกรรมรวมพลคนคนชอบวิ่งมาร่วมส่งต่อพลังงานดีๆ ในงาน “เจนเนอราลี่ เซลฟี่ รัน 2019” (Generali Selfie Run 2019) เพื่อร่วมหาเงินรายได้สมทบทุนโครงการ “โฮลด์ ยัวร์ เบรทธ์” (Hold Your Breath) ในการจัดหาอุปกรณ์พร้อมเครื่องมือทางการแพทย์สำหรับฟื้นฟูทารกแรกเกิดที่ประสบภาวะ Asphyxia ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กทารกเสียชีวิตถึงปีละกว่า 1.5 แสนราย โดยมีผู้สนใจทำบุญเข้าร่วมวิ่งกับกิจกรรมครั้งนี้กว่า 2 พันคน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ สะพานมหาเจษฎาบดินทรานุสรณ์ (สะพานนนทบุรี 1)

ภายในงานได้รับเกียรติจาก ‘บัณฑิต เจียมอนุกูลกิจ’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ (ไทยแลนด์) เป็นประธานเปิดงาน พร้อมมอบเงินรายได้จากการจัดกิจกรรมโดยไม่หักค่าใช้จ่าย จำนวน 1 ล้านบาท ให้กับโครงการฯ ในการช่วยต่อลมหายใจให้กับเด็กทารกที่เผชิญภาวะการขาดออกซิเจน โดยมี ‘สุวดี นิลวิสุทธิ์’ หัวหน้างานซีเอสอาร์ กองทุนอาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษามหาราชินี มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก เป็นผู้รับมอบ

กิจกรรมในครั้งนี้มีผู้ใจบุญเข้าร่วมงานมากมาย ได้แก่ คณะผู้บริหาร และพนักงาน กลุ่มบริษัทเจนเนอราลี่ (ไทยแลนด์) พร้อมด้วยศิลปินนักแสดงคนดัง อาทิ ดีเจ แมพ-วงศธร ควันธรรม และกลุ่มศิลปินดาราจากสังกัด Conversation Thailand อาทิ โก้-วศิน อัศวนฤนาถ, กัง-กันต์พงษ์ กุลธนาเรืองนนท์, พอร์ช-ศิฑา กาญจนอลงกรณ์ เป็นต้น รวมถึงนักวิ่งที่มาร่วมทำบุญจากทั่วทุกภูมิภาค

 

อี-คอมเมิร์ซไทยปี 61 มูลค่ากว่า 3.15 ล้านล้านบาท

alivesonline.com : ETDA เผย อี-คอมเมิร์ซไทยมาแรงที่สุดในอาเซียนด้วยพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้มูลค่าพุ่งสูงกว่าถึง 3.15 ล้านล้านบาทในปี 61 หลังยอดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเติบโตเกือบ 4 เท่าในรอบ 10 ปี พบแพลตฟอร์มไทย-เทศเกิดขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานนักชอปออนไลน์เป็นจำนวนมาก มั่นใจอี-คอมเมิร์ซไทยเจาะตลาดต่างชาติได้ไม่ยากหลังพบหลายประเทศชื่นชอบสินค้าไทยหลายชนิด

นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ ETDA กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจมูลค่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทยพบว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 8-10% ต่อปี โดย ETDA ได้จัดเก็บสถิติมาตั้งแต่ปี 2557 เมื่อเปรียบเทียบจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพบว่าจากจำนวนเพียง 9.3 ล้านคน ในปี 2551 ปัจจุบันมีผู้ใช้มากกว่า 45 ล้านคน สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย ขณะเดียวกันการพัฒนาของเครื่องมือสื่อสารและราคาที่ถูกลง ยังทำให้คนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น ส่งผลให้ตลาดอี-คอมเมิร์ซของประเทศไทยเติบโตไปด้วย ทั้งจำนวนผู้ซื้อและผู้ขายทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้น สอดรับกับจำนวนแพลตฟอร์มโดยผู้ประกอบการในไทยและต่างประเทศเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากเช่นกัน

จากสถิติของประเทศไทยพบว่ามีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 45 ล้านคน (2560) มี Mobile Subscriber กว่า 124.8 ล้านราย (2561) ผู้ใช้ไลน์กว่า 44 ล้านคน (2561) ผู้ใช้เฟซบุ๊กกว่า 52 ล้านราย (2561) โดยมีแนวโน้มว่ามูลค่าอี-คอมเมิร์ซของประเทศไทยในปี 2561 สูงกว่า 3.15 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่าง ๆ เช่น 11.11, 12.12, Black Friday ฯลฯ ซึ่งผู้ประกอบการอี-คอมเมิร์ซต่างจัดโปรโมชันส่งเสริมทางการตลาดอย่างเต็มที่ โดยพบว่าในปี 2561 ผู้ประกอบการบางรายมียอดขายสูงถึง 1.44 พันล้านบาท ด้วยปริมาณการสั่งชื่อสินค้ากว่า 1.7 ล้านชิ้นภายในระยะ 3 วัน โดยกลุ่มสินค้าที่เป็นที่นิยมอันดับต้น ๆ คือ สินค้าอุปโภคบริโภค สินค้าสำหรับเด็ก เครื่องใช้ไฟฟ้า สมาร์ทโฟน เครื่องสำอาง และสกินแคร์ เป็นต้น

สำหรับธุรกิจ B2C (Business to Consumer) พบว่า ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตสูงเป็นอันดับที่ 1 ของอาเซียน เมื่อเทียบมูลค่าระหว่างปี 2559 กับปี 2560 พบว่า มีมูลค่าเพิ่มถึงกว่า 1.6 แสนล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี รวมถึงระบบ e-Payment ที่สะดวกมากขึ้น ตลอดจนการขนส่งที่รวดเร็วทำให้ผู้บริโภคหันมาให้ความนิยมซื้อของออนไลน์อย่างต่อเนื่อง เมื่อมองมาถึงโอกาสของสินค้าและบริการจะเห็นได้ว่าธุรกิจห้างสรรพสินค้าออนไลน์เติบโต เนื่องจากโปรโมชันที่ดึงดูดใจลูกค้า ความน่าเชื่อถือ และความเชื่อมั่นในแหล่งขายที่มีตัวตน

นางสุรางคณา กล่าวอีกว่า ในส่วนของสินค้าประเภทอาหาร เครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และอาหารเสริม ยังมีการเติบโตด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมอาหารและรักสุขภาพมากขึ้น มีการกระตุ้นความต้องการซื้อผ่านทางอินฟลูเอนเซอร์และ Youtuber ซึ่งเติบโตมาตลอดช่วงปีที่ผ่านมา โดยการทำการตลาดออนไลน์ในปี 2560 สูงถึง 69.92% โดยอันดับแรกที่นิยมมากที่สุดคือเฟซบุ๊กทั้งในรูปแบบของการบูสต์โพสต์และบูสต์โฆษณาเพื่อเข้าถึงลูกค้าและตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

ด้านผู้ใช้บริการนั้นได้มีการนำข้อมูล หรือ Big Data มาพัฒนาธุรกิจอี-คอมเมิร์ซโดยการนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค เพื่อนำเสนอสินค้าใหม่ ๆ ถึง 100% เพื่อให้ตรงกับความต้องการ ตลอดจนเพื่อการวางแผนด้านการตลาดมากถึง 92.85% และใช้วิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อม เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การจำหน่ายสินค้าที่ 85.71% ส่วนปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ถูกนำมาใช้เพื่อการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ โดยพบว่าอันดับที่ 1 ใช้ในการให้บริการ เช่น Chatbot เพื่อให้ข้อมูลกับลูกค้าได้รวดเร็ว และ CRM (69.23%) อันดับที่ 2 ใช้ในด้านอื่น ๆ อาทิ Claim Analytics, Underwriting (23.07%) และใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค รวมทั้งใช้เพื่อการตัดสินใจในเชิงการบริหาร ด้วยสัดส่วนที่เท่ากัน (15.38%)

“ขณะที่ Social Commerce ก็มาแรงไม่แพ้กัน โดยพบว่าคนไทยเลือกซื้อสินค้าผ่าน Social Commerce มากเป็นอันดับสองรองจาก e-Marketplace เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่ซื้อง่ายขายคล่อง ทั้งยังช่วยลดช่องว่างระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย และเพิ่มอำนาจการต่อรองของลูกค้า ทำให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้น ขณะเดียวกันประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุค 5G จึงส่งผลทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ที่ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้โดรนขนส่งและตรวจตราความปลอดภัย วิดีโอสตรีมมิ่งและถ่ายทอดสดแบบ 360 องศา โลกเสมือนจริงแบบสามมิติเพื่อการเรียนรู้ สิ่งเหล่านี้จะขับเคลื่อนอี-คอมเมิร์ซไทยให้ก้าวหน้าต่อไป”

ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่ลูกค้ามักให้ความสำคัญคือ ระบบโลจิสติกส์ซึ่งพัฒนาตามความต้องการของลูกค้า โดยมีระบบการติดตาม (Tracking) ระบบตรวจสอบสถานะการส่งที่แม่นยำ ทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในการสั่งซื้อ โดยผู้ให้บริการโลจิสติกส์ภาคเอกชนก็มีตัวเลือกหลากหลาย ส่งผลให้ระบบบริการมีการแข่งขันสูงทำให้ผู้รับบริการมีความพึงพอใจ เพราะครอบคลุมพื้นที่ให้บริการมากขึ้นและไม่ได้กระจุกตัวในเมืองใหญ่เท่านั้น

“หากต้องการจะผลักให้อี-คอมเมิร์ซไทยเปิดตลาดต่างประเทศถือว่ามีโอกาสสูงมาก เพราะเมื่อวิเคราะห์จากจุดแข็งของประเทศไทยที่เป็นเมืองท่องเที่ยวติดอันดับ 4 ของโลก โดยสินค้าไทยยังเป็นที่ชื่นชอบของหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจีน ซึ่งชื่นชอบเครื่องสำอาง สมุนไพร เสื้อผ้าและกระเป๋า เวียดนามชอบสินค้าอุปโภคบริโภค เครื่องสำอาง และสินค้าเกี่ยวกับเด็ก อินโดนีเซียชอบอาหารทานเล่น หรือสแน็ก อินเดียชอบสินค้าเครื่องปรุงรส และเครื่องสำอาง เป็นต้น”

นางสุรางคณา กล่าวในตอนท้ายว่า สินค้าไทยสามารถสร้างโอกาสให้กับผู้ประกอบการ อี-คอมเมิร์ซด้วยเอกลักษณ์และจุดเด่นที่ไม่มีใครเหมือน และเพื่อต่อยอดมูลค่าตลาดให้เติบโตยิ่งขึ้น ETDA จึงร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา ร่วมสนับสนุนการพัฒนาให้เป็น Silicon Valley ด้านอี-คอมเมิร์ซ ของไทย ผ่าน “ยังทะเล้น” แพลตฟอร์ม (Young Talent Platform) เพื่อสร้าง Workforce สนับสนุนผู้ประกอบการ อี-คอมเมิร์ซของไทยในด้านต่าง ๆ ที่จะร่วมเป็นหนึ่งในการพัฒนาผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดโลกต่อไป