“แรงงานสายผลิต” ต้องเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลง

alivesonline.com : จากการเปิดเผยถึงแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ในไตรมาสที่ 2/2562 ของ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ระบุว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 100.07 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาคิดเป็นร้อยละ 8.89 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2561 ร้อยละ 2.64 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ การผลิตน้ำตาล การผลิตยานยนต์ การผลิตผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2561 ได้แก่ การผลิตน้ำตาล การผลิตผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง เป็นต้น

ในส่วนของอัตราการใช้กำลังการผลิตในไตรมาสที่ 2/2562 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ 65.58 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ 71.26) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2561 (ร้อยละ 68.16) อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ การผลิตน้ำตาล การผลิตยานยนต์ และการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม เป็นต้น

รายงานดังกล่าวยังระบุอีกว่าแนวโน้มไตรมาสที่ 3/2562 อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า คาดการณ์ว่า การผลิตปรับลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้าง อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมผลิตบรรจุภัณฑ์กระป๋องโลหะ อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะมีการผลิตและการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ลดลง ร้อยละ 3.1 และ 7.9 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการ HDD และความต้องการของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลกที่ชะลอตัว

ส่วนอุตสาหกรรมรถยนต์ ประมาณการในไตรมาสที่ 3 ปี 2562 จะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 5.2 แสนคัน โดยแบ่งเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 45-50 และการผลิตเพื่อส่งออกร้อยละ 50-55 รถจักรยานยนต์ ประมาณการในไตรมาสที่ 3 ปี 2562 จะมีการผลิตรถจักรยานยนต์ประมาณ 4.8 แสนคัน โดยแบ่งเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 80-85  และการผลิตเพื่อการส่งออกประมาณร้อยละ 15-20

‘สุธิดา กาญจนกันติกุล’ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประเทศไทย มีมุมมองและความคิดเห็นเกี่ยวกับการสำรวจดังกล่าวว่า แนวโน้มและทิศทางอุตสาหกรรมการผลิตมีอัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงที่มีผลสืบเนื่องจากภาวะเศรฐกิจโลกซบเซา  ทั้งนี้ จากรายงาน “โรงงานแห่งอนาคต” ของ “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” ซึ่งวิเคราะห์ตลาดแรงงานในอุตสาหกรรมการผลิต กล่าวถึง ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงทุกอุตสาหกรรม ซึงทางด้านภาคการผลิตจะเป็นอุตสาหกรรมแรกของการเปลี่ยนแปลง ทั้งในแง่ของขนาดและความรวดเร็วและการเพิ่มขีดความสามารถในแข่งขันทางธุรกิจ ตั้งแต่ผ่านยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมจากรุ่นหนึ่งตั้งแต่ปี ค.ศ.1970-2005 เป็นยุคที่ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สมัยใหม่ได้รับการพัฒนาให้เป็นระบบอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว  ปัจจุบันเราอยู่ในช่วงปลายของรุ่นที่สองที่มีการการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตและมีการนำข้อมูลมาใช้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น ส่วนในปีหน้าภาคการผลิตจะเริ่มก้าวเข้าสู่รุ่นที่สามซึ่งเครื่องจักรจะสามารถทำงานด้วยตนเอง รวมถึงการนำหุ่นยนต์เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต

อย่างไรก็ตาม “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป” ในฐานะที่ปรึกษาตลาดแรงงานเชิงนวัตกรรม เห็นว่าแรงงานในกลุ่มนี้จะต้องมีการปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะการพัฒนาทักษะ การฝึกอบรมการทำงานซึ่งจะต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถรองรับกับการใช้เทคโนโลยีใหม่ นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถช่วยบรรเทาความกังวลของพนักงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ได้โดยการส่งเสริมสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ แม้เทคโนโลยีสมัยใหม่จะทำให้งานบางส่วนปรับลดไป แต่บุคลากรยังสามารถพัฒนาทักษะของตนเพื่อเรียนรู้ทักษะใหม่จากการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งหน้าที่ได้

ทางด้านบริษัทและองค์กรต่าง ๆ อาจคิดว่าจะสามารถบริหารจัดการกับความเปลี่ยนแปลงด้วยการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้และกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล แต่รุ่นต่อไปล้ำหน้ากว่าระบบอัตโนมัติด้วยการใช้ระบบที่เรียนรู้ด้วยตนเองและคาดการณ์ล่วงหน้าได้ เครื่องจักรไม่ได้ทำงานทางกายภาพเท่านั้นแต่ยังสามารถคิดเองได้โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือเทคโนโลยี AI ซึ่งปรากฏการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อกำลังคนหรือแรงงานอย่างชัดเจน ดังนั้น การฝึกอบรมจะช่วยเพิ่มพูนทักษะที่จะช่วยให้บุคลากรสามารถทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จากรายงาน “มนุษย์ที่เป็นที่ต้องการ” ของแมนพาวเวอร์กรุ๊ป ระบุว่า ขณะที่พนักงานทั้งหมดต้องเพิ่มพูนทักษะ สำหรับพนักงานร้อยละ 35 ของทั้งหมดจะเป็นการฝึกอบรมระยะสั้นไม่เกินหกเดือนสำหรับการพัฒนาศักยภาพให้เพิ่มสูงขึ้น และอีกร้อยละ 9 ต้องการการฝึกอบรมเป็นเวลา 6-12 เดือน ในขณะที่อีกร้อยละ 10 ต้องใช้เวลากว่าหนึ่งปีในการเพิ่มพูนทักษะเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงขึ้น พบข้อสรุปว่า การเพิ่มพูนทักษะในระยะสั้นและเน้นเฉพาะจุดเป็นระยะเวลา 6 เดือนหรือน้อยกว่าเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

อย่างไรก็ตาม ระบบดิจิทัลไม่ได้ทำให้งานหมดไป แต่จะมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อตำแหน่งงานส่วนใหญ่ แม้ว่าแนวโน้มและทิศทางของอุตสาหกรรมการผลิตลดลง แต่แรงงานยังคงต้องพัฒนาทักษะต่อไป การเพิ่มพูนทักษะจึงเป็นสิ่งจำเป็นในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่มีใครสามารถคาดเดาอนาคตได้ แต่หากมีทักษะที่เหมาะสม วัฒนธรรมการเรียนรู้ และการมุ่งเน้นช่วยเหลือบุคลากรให้พัฒนาอาชีพของตนสำหรับตำแหน่งงานที่เป็นที่ต้องการ เราจะพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

“บิวตี้ คอมมูนิตี้” เร่งขยายจุดจำหน่ายเครื่องสำอางและบำรุงผิวในจีน 3.5 หมื่นแห่ง

alivesonline.com : BEAUTY เผยธุรกิจไตรมาส 3 คาดความสามารถในการทำกำไรปรับตัวดีขึ้น จากกลยุทธ์การบริหารจัดการต้นทุน แผนการตลาดในประเทศ เน้นพัฒนาช่องทางจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพเข้าถึงกลุ่มลูกค้า รุกตลาด BEAUTY & HEALTH พร้อมเดินหน้ารุกตลาดต่างประเทศและตลาดออนไลน์ต่อเนื่อง เผยขยายตลาดที่หลากหลายมากกว่า 10 ประเทศ โดยเฉพาะจีนตั้งเป้าเพิ่มจุดจำหน่ายจาก 2.8 หมื่นแห่งเป็น 3.5 หมื่นแห่งภายในสิ้นปี 62

นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 3 คาดว่าความสามารถในการทำกำไรน่าจะดีขึ้น จากการปรับกลยุทธ์และแผนการดำเนินงาน มุ่งเน้นบริหารจัดการต้นทุนการบริหาร ควบคุมค่าใช้จ่าย อาทิ ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด การปิดสาขาที่ไม่มีศักยภาพในการเติบโต รวมทั้งต้นทุนคงที่ต่าง ๆ

สำหรับทิศทางการขับเคลื่อนธุรกิจช่วงต่อจากนี้มุ่งเน้นการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพเข้าถึงกลุ่มลูกค้า โดยตลาดในประเทศจะมีการปรับคอนเซ็ปต์และรูปแบบของช่องทางจำหน่ายหลัก รวมทั้งพัฒนาโมเดลใหม่ ๆ ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ปรับรูปแบบร้านค้าปลีก “BEAUTY BUFFET” เป็นร้านเครื่องสำอางมัลติแบรนด์ จำหน่ายสินค้าทั้งด้านสุขภาพและความงามครบวงจร มีผลิตภัณฑ์จากพันธมิตรซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องสำอางและสุขภาพชั้นนำ เพื่อสร้างความน่าสนใจและยังรักษาความเป็น Private Label ที่เป็นเอกลักษณ์ไว้ โดยสัดส่วนผลิตภัณฑ์แบ่งออกเป็น สินค้าแบรนด์ “BEAUTY BUFFET” 80% และสินค้าแบรนด์พันธมิตรชั้นนำ (มัลติแบรนด์) 20%

“จากกลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้ BEAUTY BUFFET มีสินค้าหลากหลาย สามารถรองรับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น รวมทั้งการเพิ่มสินค้าที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ และสินค้า Health-Related Product เข้ามาขายในร้านเพิ่มขึ้น”

นายแพทย์สุวิน กล่าวด้วยว่า บริษัทฯ ยังมีแผนปรับคอนเซ็ปต์สินค้าแบรนด์อื่น ๆ ในเครือ ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน เช่น BEAUTY COTTAGE ที่เป็นร้าน Single Brand จะเติมนวัตกรรมเข้ามาในธุรกิจ เพื่อเพิ่มความสามารถในการบริการลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจมากขึ้นด้วยบริการที่เป็น Beauty Solutions เช่น Facial Solution สำหรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าและเมคอัพอย่างครบวงจร

ส่วนช่องทางการจัดจำหน่าย Commerce Business เช่น E-Commerce, ช่องทางสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Product) จะช่วยผลักดันรายได้ให้เติบโตและรักษาอัตรากำไรสุทธิอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากช่องทางดังกล่าวมีต้นทุนดำเนินการต่ำ และเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงลดการพึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป

“สำหรับตลาดต่างประเทศ มีการขยายไปในตลาดที่หลากหลายมากกว่า 10 ประเทศ อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เมียนมาร์ เวียดนาม ลาว ไต้หวัน ฮ่องกง บรูไน ญี่ปุ่น อินเดีย เป็นต้น ซึ่งได้มีการทยอยเซ็นสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา โดยจะมุ่งเน้นขยายตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต อาทิ จีน พม่า อินโดนีเซีย อินเดีย เป็นต้น”

นายแพทย์สุวิน กล่าวตอนท้ายว่า ในส่วนของตลาดจีนซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญเริ่มมีสัญญาณที่ดีจากการปรับแผนการตลาดเชิงรุกในช่วงก่อนหน้านี้ ด้วยการเพิ่มช่องทางจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั้งในกลุ่มออนไลน์และออฟไลน์ที่สามารถเข้าถึงลูกค้าชาวจีนได้โดยตรง ประกอบด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ของจีน (CBEC : Cross Border E-Commerce) และร้านค้าทั่วไป (General Trade) โดยตั้งเป้ามีจุดจำหน่ายสินค้าภายในสิ้นปีมากกว่า 3.5 หมื่นจุดจำหน่าย จากปัจจุบันที่มีจุดจำหน่าย 2.8 หมื่นแห่ง และมีกระแสตอบรับที่ดีจากช่องทางอีขคอมเมิร์ซในประเทศจีน รวมถึงมีการทำการตลาดร่วมกับตัวแทนจำหน่าย จึงส่งผลให้ Official Distributor ทยอยสั่งสินค้าต่อเนื่อง เพิ่มความสามารถในการเข้าถึงลูกค้า (Penetration Rate) มากขึ้น

 

 

“ลาซาด้า” เปิด “จุดบริการรับพัสดุด้วยตนเอง” ครั้งแรกในไทย

alivesonline.com : “ลาซาด้า” ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านอีคอมเมิร์ซ เปิดตัวบริการใหม่ล่าสุด “Collection Point” ทางเลือกใหม่ของนักชอปออนไลน์ในการเลือกรับพัสดุด้วยตนเอง ณ จุดรับและเวลาที่ลูกค้าสะดวกที่สุด ถือเป็นการร่วมมือครั้งแรกระหว่าง “ลาซาด้า”กับ “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” และ “เทสโก้ โลตัส” ในประเทศไทย เพื่อเปิดจุดบริการรับพัสดุตามสาขาที่กำหนด พร้อมรองรับออเดอร์สั่งซื้อสินค้าของนักชอปก่อนถึงเมกะอีเว้นท์ 11.11

นายแจ็ค จาง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลาซาด้า ประเทศไทย เปิดเผยว่า “ลาซาด้า” ร่วมกับพันธมิตรสำคัญคือ “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” และ “เทสโก้ โลตัส” เปิดให้บริการ “Collection Point หรือจุดบริการรับพัสดุด้วยตนเอง เป็นบริการใหม่ล่าสุด เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำของ “ลาซาด้า” ในด้านเครือข่ายโลจิสติกส์ รวมถึงประสิทธิภาพของการจัดส่งสินค้าที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ ถือเป็นการเพิ่มความสะดวกให้แก่ลูกค้าและพัฒนาความสามารถด้านการจัดส่งสินค้าของ “ลาซาด้า”อย่างไม่หยุดยั้ง หลังจากที่ประสบความสำเร็จในการแนะนำบริการเดียวกันนี้มาแล้วกับตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“ลาซาด้า” เตรียมแผนขยายเครือข่ายจุดบริการรับพัสดุด้วยตนเองให้ครอบคลุมหลากหลายพื้นที่เพื่อรองรับการเติบโต และความต้องการในการสั่งซื้อสินค้าที่จะสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงสิ้นปีซึ่งถือเป็นช่วงเวลาทองสำหรับธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ซึ่ง “ลาซาด้า” กำลังจะจัดแคมเปญ 11.11 และ 12.12 เป็นเมกะอีเว้นท์ประจำปีที่เปิดโอกาสให้นักชอปได้เพลิดเพลินกับดีลสินค้าราคาพิเศษที่นำเสนอผ่านผู้ขายและแบรนด์ต่าง ๆ ครอบคลุมหลากหลายประเภทสินค้าบนแพลตฟอร์มของลาซาด้า

“ลาซาด้า มุ่งมั่นในการนำเสนอนิยามประสบการณ์การชอปปิงออนไลน์ในรูปแบบใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และด้วยจำนวนเครือข่ายสาขาของพันธมิตรที่เข้าร่วมกับจุดบริการรับพัสดุด้วยตนเอง ทั้งเดอะมอลล์ กรุ๊ป และเทสโก้ โลตัส ที่ครอบคลุมพื้นที่ในกรุงเทพฯ จะเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เพิ่มความสะดวกสบายให้กับนักช้อป และช่วยเสริมประโยชน์แก่ผู้ขายและแบรนด์บนแพลตฟอร์มของลาซาด้าในระยะยาวด้วย” นายแจ็ค กล่าวในที่สุด

ด้าน นายลุค ชาริเออร์ ผู้อำนวยการใหญ่บริหารสินค้า บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “เดอะมอลล์ กรุ๊ป” มีความยินดีที่จะเปิดจุดบริการของทางห้างฯ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มช่องทางการรับสินค้าให้ลูกค้าของ “ลาซาด้า” และกลุ่มลูกค้าของ “เดอะมอลล์” ซึ่งมีสาขาอยู่ทั่วกรุงเทพฯ เพื่อรับรองลูกค้าในทุก ๆ เขต โดยเราต้องการเป็นห้างสรรพสินค้าที่ครบวงจรและเป็นมากกว่าห้างสรรพสินค้า จึงต้องพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่และเพื่อความพึงพอใจของลูกค้า”

นางสาววิณัฏฐา นิภาวงษ์ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายธุรกิจเสริม เทสโก้ โลตัส กล่าวว่า ร้านค้า “เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส”  ตอบโจทย์ในด้านของความสะดวกสบายให้กับลูกค้ายุคใหม่และลูกค้าในสังคมเมือง โดยเป็น One-Stop Destination ที่ลูกค้าสามารถเข้ามาซื้อสินค้าที่ครบครัน ทั้งอาหารพร้อมรับประทาน อาหารสด สินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนั้น ยังมีบริการต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า การเติบโตของอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยทำให้การร่วมมือกับ “ลาซาด้า” ในการเปิด “Collection Point” โดยในเบื้องต้นเริ่มต้นใน “เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส” 21 สาขา ช่วยเติมเต็มการให้บริการของ “เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส” ได้ครบครันและตอบสองต่อความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น โดยเรามีแผนที่จะขยายสาขาให้บริการครอบคลุมมากกว่า 200 สาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑลในอนาคต

ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถเลือกจุดบริการรับพัสดุที่ใกล้ที่อยู่ในการจัดส่งได้ง่าย ๆ ผ่านแอปพลิเคชัน “ลาซาด้า” ซึ่งจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับจุดบริการรับพัสดุ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ และช่วงเวลาที่จุดบริการรับพัสดุแต่ละจุดเปิดบริการ ทั้งนี้ เมื่อสินค้าถูกส่งมายังจุดบริการดังกล่าวแล้ว ลูกค้าจะได้รับการแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน ระบบ SMS หรือ อีเมล์ ซึ่งสามารถมาติดต่อรับพัสดุได้ภายในเวลาสามวัน

สำหรับจุดบริการรับพัสดุด้วยตนเอง ที่เปิดให้บริการอำนวยความสะดวกนักช้อปออนไลน์ในช่วงแรก มีจำนวน 25 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ได้แก่ Tourist Lounge ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม ชั้น G, VIP Service counter ศูนย์การค้า สยาม พารากอน ชั้น 4, VIP Service Counter เดอะมอลล์ บางแค ชั้น 3, M Card Counter เดอะมอลล์ บางกะปิ ชั้น 3,

ส่วน “เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส” 21 สาขา ในกรุงเทพฯ ได้แก่ สาขา อารีย์, พระราม 4, ประชาสงเคราะห์ 14, ลาดพร้าว 71, ลาดพร้าว 80 (ซอย จันทิมา), บางนา กม.2, โชคชัย 4, รามอินทรา, สำโรง-สมุทรปราการ, สำโรงเหนือ-สมุทรปราการ, สุขุมวิท 105, สุขุมวิท I/B, เทพารักษ์-สมุทรปราการ, ซอยอุดมสุข 42, วังหิน, สุขาภิบาล 1, สุขาภิบาล 1 คลองจั่น, เคหะคลองจั่น, เสรีไทย 41, รามคำแหง 139 และซอยโยธินพัฒนา

 

 

แนะผู้ประกอบการเตรียมรับมือกฎหมายสกัดการโอนกำไร

alivesonline.com : PwC ประเทศไทย แนะผู้ประกอบการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือการเปลี่ยนแปลงกฎหมายและกฎระเบียบภาษีอากร หลังรัฐประกาศบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันการตั้งราคาโอน ผลกระทบทางภาษีอากรที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรฐานการบัญชีฉบับใหม่ อีกทั้งการที่กรมสรรพากร หรือศาลฎีกาได้มีการวางแนวปฏิบัติ หรือการตีความกฎหมายอันส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจจากกรณีศึกษาต่าง ๆ เพื่อให้การบริหารจัดการด้านภาษีมีความรัดกุมและสอดคล้องกับธุรกิจ เพื่อลดความเสี่ยงในการถูกเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรประเมินภาษี

นายสมบูรณ์ วีระวุฒิวงศ์ หัวหน้าหุ้นส่วนอาวุโส และกรรมการบริหารสายงานภาษีและกฎหมาย บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวในงานสัมมนาประจำปี PwC Thailand’s Symposium 2019 ในหัวข้อ “ถึงเวลาเตรียมความพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและภาษีอากร” (A close look at recent legal and tax developments – it’s time to act) ว่า ในช่วงที่ผ่านมาภาครัฐได้มีการออกกฎหมายหลายฉบับเพื่อให้สามารถรับมือกับเศรษฐกิจยุคดิจิทัลได้ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่จะมีผลใช้บังคับเต็มรูปแบบในปีหน้า หรือกฎหมายป้องกันการตั้งราคาโอน (Transfer Pricing Provisions) ที่ภาครัฐได้มีการประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว

ในปีงบประมาณ 2563 กรมสรรพากร ได้ตั้งเป้าการจัดเก็บภาษี 2.11 ล้านล้านบาท โดยจะนำรายได้ดังกล่าวไปใช้ในการรองรับการขยายการลงทุนในอนาคต ซึ่งตามแผนโรดแมประยะ 5 ปี (พ.ศ. 2559-2563) เพื่อเตรียมความพร้อมของประเทศให้ก้าวสู่ไทยแลนด์ 4.0 นั้น กรมสรรพากร ในฐานะหน่วยงานจัดเก็บภาษีได้วางเป้าหมายในการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาทางด้านนโยบายผ่านการออกมาตรการทางภาษีเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ รวมถึงแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวกับการค้าและการลงทุนต่าง ๆ และสร้างเสริมบริบทความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่รวมถึงการจัดทำอนุสัญญา หรือแก้ไขอนุสัญญาภาษีซ้อนฉบับต่าง ๆ ในรูปแบบของการออกกฎหมายหรือระเบียบใหม่ ๆ ในช่วงที่ผ่านมา

สำหรับแนวทางและการดำเนินการให้บรรลุถึงเป้าหมายของกรมสรรพากรนั้น การออกกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการมากที่สุด ได้แก่ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการตั้งราคาโอน โดยผู้ประกอบการที่มีรายได้ตั้งแต่ 200 ล้านบาทขึ้นไปจะต้องจัดทำรายงานข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกันและมูลค่าของธุรกรรมระหว่างกันในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี ตามแบบที่อธิบดีกำหนดและยื่นพร้อมกับการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50) ประจำปีเพื่อที่กรมสรรพากรจะได้มีข้อมูลเพียงพอที่จะตรวจสอบผู้ประกอบการได้

“ความท้าทายอีกประการหนึ่งที่ผู้ประกอบการกำลังเผชิญคือ การเปลี่ยนแปลงของมาตรฐานการบัญชีฉบับใหม่ที่จะส่งผลกระทบต่อการจัดทำรายงานทางภาษีของผู้ประกอบการต่าง ๆ กล่าวคือ ผลกระทบต่อวิธีการรับรู้รายได้และรายจ่าย ซึ่งแม้ว่าในทางภาษีอากรยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนจากกรมสรรพากรในการออกกฎหมายมารองรับกับมาตรฐานการบัญชีที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ผู้ประกอบการควรเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวตั้งแต่เนิ่น ๆ”

นายสมบูรณ์ กล่าวด้วยว่า การบังคับใช้ของกฎหมายศุลกากรฉบับใหม่ซึ่งผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจกฎหมายใหม่ดังกล่าว หากมีการนำเข้าและส่งออกสินค้าเนื่องจากหลักเกณฑ์ กฎระเบียบต่าง ๆ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการที่เจ้าหน้าที่กรมศุลกากรใช้ในการดำเนินการตรวจสอบซึ่งผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจและศึกษากฎหมายใหม่ ๆ เพื่อรับมือในกรณีที่ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและประเมินภาษี

“ผู้ประกอบการควรต้องศึกษาข้อกฎหมายใหม่ ๆ หรือที่กรมสรรพากรกำลังปรับปรุง รวมถึงข้อกฎหมายที่อยู่ระหว่างการบังคับใช้เป็นกฎหมาย เพื่อพิจารณาผลกระทบในทุก ๆ ด้านที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจของตน  นอกจากนี้ การศึกษาแนวทางการตีความใหม่ ๆ จากแนวคำวินิจฉัยกรมสรรพากรหรือคำพิพากษาศาลฎีกา ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ผู้เสียภาษีสามารถนำไปปรับใช้ เพื่อให้ปฏิบัติตนเองได้อย่างถูกต้อง”

นอกจากนี้ ยังมีกฎหมายฉบับอื่น ๆ ที่กำลังอยู่ในความสนใจของผู้ประกอบการในเวลานี้ ได้แก่ กฎหมายรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cybersecurity Law) และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Protection Act หรือ PDPA) ซึ่งมีสาระสำคัญในการให้ความคุ้มครองกับประชาชนที่อาจถูกเก็บข้อมูลส่วนตัวไปโดยไม่ได้ให้การยินยอมจากการใช้บริการ หรือทำธุรกรรมผ่านอินเทอร์เน็ตจนนำมาซึ่งการถูกละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลจากบุคคลอื่น โดยกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อหน่วยงาน หรือธุรกิจที่มีการจัดเก็บข้อมูลลูกค้าเป็นจำนวนมากและให้บริการแก่ลูกค้าโดยตรง เช่น ธนาคารพาณิชย์ ผู้ให้บริการทางการเงิน และผู้ประกอบการที่เกี่ยวกับโซเชียลมีเดีย เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ประกอบการไทยจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ทราบว่า กฎหมาย PDPA จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในวันที่ 28 พฤษภาคม 2563 ทำให้ในช่วงเวลาที่เหลือนี้ ผู้ประกอบการต้องเร่งศึกษาและทำความเข้าใจข้อกฎหมาย รวมทั้งประเมินข้อมูลที่องค์กรจัดเก็บและหาทางป้องกันตามแนวทางของกฎหมาย เพื่อลดความเสี่ยงทางแพ่งและอาญาที่อาจเกิดขึ้น หากมีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลอื่น

“ในปี 2563 มีการเปลี่ยนแปลงมากมายที่จะเกิดขึ้นทั้งในส่วนของข้อกฎหมาย ภาษี มาตรฐานการบัญชี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายใหม่ ๆ ที่จะออกมาและส่งผลกระทบต่อธุรกิจของผู้ประกอบการโดยตรง ดังนั้นการเตรียมความพร้อมขององค์กรทั้งทางด้านบุคลากรและแผนกลยุทธ์จะมีความสำคัญอย่างมาก หากผู้ประกอบการท่านใดมีการบริหารจัดการด้านกฎหมายและภาษีอย่างมีประสิทธิภาพก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบ ซึ่งหากเกิดขึ้นเมื่อใดย่อมส่งผลกระทบต่อต้นทุน ภาพลักษณ์ และชื่อเสียงขององค์กรด้วย” นายสมบูรณ์ กล่าวในตอนท้าย

 

 

“ไมโครซอฟท์” เฟ้นสุดยอดนวัตกรรมโซลูชั่น ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้พิการ

alivesonline.com : “ไมโครซอฟท์” จับร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ จัดการแข่งขัน “AI for Accessibility Hackathon” ครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เฟ้นหาโซลูชั่นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้พิการในสังคมผ่านการใช้เทคโนโลยี AI มาประยุกต์ โดยในการแข่งขันครั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมงานจำนวนมากกว่า 400 คน จาก 8 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก

สำหรับในประเทศไทย บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกับ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ เปิดโอกาสให้เยาวชนผู้มีความสามารถและความสนใจ เข้าร่วมกิจกรรมการแข่งขันระดมความคิดเสนอไอเดียเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้พิการในสังคม ผ่านการนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในการแข่งขัน AI for Accessibility Hackathon 2019” ที่จัดขึ้น ณ สำนักงานใหญ่ของบริษัท ไมโครซอฟท์ ปะรเทศไทย โดย 3 สุดยอดไอเดียที่ได้รับเลือกจะได้รับโอกาสเข้าร่วมประกวดในโครงการชิงทุน AI for Accessibility โดยไมโครซอฟท์ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อสานต่อไอเดียให้เกิดเป็นโซลูชั่นเพื่อช่วยผู้พิการได้อย่างแท้จริงต่อไป

การแข่งขัน “AI for Accessibility Hackathon 2019” ในประเทศไทย จัดขึ้นที่ บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2562 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีความสนใจในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการหาโซลูชั่น เพื่อช่วยขจัดอุปสรรคและลดความเหลื่อมล้ำทางการดำรงชีพของผู้พิการในสังคมผ่าน 3 หัวข้อพื้นฐานได้แก่

1.แอปพลิเคชันเพื่อการใช้ชีวิตประจำวันสำหรับผู้พิการทางการเคลื่อนไหว เพื่อให้ผู้พิการสามารถดำรงชีวิตประจำวันอยู่ได้อย่างราบรื่นที่สุดและเพื่อให้ผู้พิการสามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคในการเคลื่อนไหวได้ด้วยตนเอง หรือพึ่งพาผู้อื่นได้น้อยที่สุด

2.แอปพลิเคชันเพื่อสร้างอาชีพให้แก่ผู้พิการออทิสติก เพื่อช่วยให้ผู้พิการสามารถประกอบอาชีพและสร้างรายได้เพื่อเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้

3.แอปพลิเคชันเพื่อการสื่อสารสำหรับผู้พิการทางการได้ยิน เพื่อช่วยให้ผู้พิการสามารถสื่อสารกับผู้คนรอบตัวและใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างไร้อุปสรรค

นางชุติมา สีบำรุงสาสน์ ผู้อำนวยการสายงานบริหารทรัพยากรบุคคล บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากข้อมูลโดย องค์การสหประชาชาติ พบว่า จำนวนผู้พิการ หรือผู้ที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายและสติปัญญาในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีมากกว่า 690 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจากปัจจัยหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้สูงอายุที่มีเพิ่มมากขึ้น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บ และอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบัน กิจกรรม AI for Accessibility Hackathon ที่จัดขึ้นนี้จึงเป็นการยืนยันถึงถึงพันธกิจของไมโครซอฟท์ในการสนับสนุนกลุ่มบุคคลดังกล่าวข้างต้นให้ได้รับโอกาสที่เสมอภาคเท่าเทียมกันกับบุคคลทั่วไปในสังคม โดยนำเอาเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้ เพื่อสร้างประโยชน์และความหลากหลายให้แก่กลุ่มผู้พิการทั้งในแง่ของการใช้ชีวิตประจำวัน การสื่อสารกับคนรอบตัว และสำคัญที่สุดคือโอกาสในการสร้างอาชีพให้เกิดขึ้นจริง”

จากการแข่งขัน ทีมที่ได้รับเลือกให้เป็นสุดยอดไอเดียในการหาโซลูชั่นเพื่อกลุ่มผู้พิการ ได้แก่ ทีม Next M ที่ได้คิดค้นแอปพลิเคชันในการแปลภาษามือให้กลายเป็นภาษาพูด หรือภาษาเขียนผ่านการนำเทคโนโลยี AI มาใช้วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อช่วยให้การสื่อสารระหว่างผู้พิการทางการได้ยินกับคนทั่วไปทำได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น

สำหรับทีมต่อมาคือ ทีม Tiny Soft ที่ได้รับคัดเลือกจากผลงาน Windows AI Mobile Application ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยติดเตียงให้สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างง่ายดายมากยิ่งขึ้น ผ่านการนำเทคโนโลยี AI มาใช้บนสมาร์ทโฟน เพื่อตรวจจับการเคลื่อนไหวของดวงตา สีหน้า และการขยับของศีรษะของผู้ป่วย โดยแอปพลิเคชันดังกล่าวยังสามารถเชื่อมต่อได้กับ Wearable Device เพื่อช่วยตรวจจับการเคลื่อนไหวของร่างกาย การวัดอัตราการเต้นของหัวใจ การวัดค่าออกซิเจนในเลือด รวมถึงการวัดค่าอุณภูมิบนร่างกาย เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลทางด้านสุขภาพของผู้สวมใส่

ทีมสุดท้าย ได้แก่ ทีม Wonder World กับไอเดียแอปพลิเคชัน Jobs Portal ในรูปแบบของการเล่นเกมที่เข้าใจง่ายและใช้เวลาไม่นานเหมาะกับผู้พิการออทิสติก และใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลและจับคู่ให้ตรงกับอาชีพที่ผู้พิการถนัดผ่านแพลตฟอร์มหางานต่าง ๆ

นางธนาภรณ์ พรมสุวรรณ อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ปัจจุบัน ผู้พิการในประเทศไทยมีจำนวนมากถึง 2 ล้านคน โดยครึ่งหนึ่งเป็นผู้พิการทางการเคลื่อนไหว นอกจากนี้ยังมีผู้พิการในประเภทอื่น ๆ อาทิ พิการทางการได้ยิน พิการทางการมองเห็น และพิการทางสติปัญญาการเรียนรู้ และอื่น ๆ การช่วยให้ผู้พิการสามารถเข้าถึงสิทธิ สวัสดิการ และสิ่งอำนวยความสะดวกได้อย่างเท่าเทียมกับคนทั่วไปคือเป้าหมายหลักของกรมฯ และในวันนี้ก็รู้สึกดีใจมาก ๆ ที่ได้เห็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ภายใต้การสนับสนุนจากหน่วยงานเอกชนอย่างไมโครซอฟท์ ตั้งใจที่จะใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีมาช่วยขจัดอุปสรรคและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการเพื่อให้อยู่ในสังคมได้อย่างเท่าเทียม”

นายมานพ เอี่ยมสะอาด ผู้จัดการศูนย์พัฒนาธุรกิจเพื่อสังคม มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ กล่าวว่า การส่งเสริมอาชีพให้คนพิการเป็นภารกิจหลักของมูลนิธิ โดยมูลนิธิได้มีการจัดการเรียนการสอนวิชาชีพด้านคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ ให้แก่ผู้พิการมาอย่างยาวนานเพราะเราเชื่อว่าเทคโนโลยีนั่นจะสามารถช่วยสร้างอาชีพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่คนพิการได้ วันนี้รู้สึกดีใจที่ได้รับเกียรติจากทางไมโครซอฟท์ให้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่เชื่อแน่ว่าจะสามารถช่วยสร้างความแตกต่างและสร้างโอกาสให้กับผู้พิการอีกหลายชีวิตให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข”

ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี “ไมโครซอฟท์” ได้ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมและพัฒนาทักษะทางดิจิทัลให้แก่คนไทยทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม เพื่อนำมาซึ่งความสำเร็จอย่างยั่งยืนในระดับสังคมและระดับประเทศ โดย “ไมโครซอฟท์” เชื่อว่าการพัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชั่นต่าง ๆ ผ่านนวัตกรรมสมัยใหม่อย่างไม่หยุดยั้ง จะนำมาซึ่งการขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคนในสังคมทุกภาคส่วนและเพื่อสร้างผลลัพธ์เชิงบวกให้แก่ประเทศไทยและทั่วทุกมุมโลก

“โกแบร์” จัดสัมมนา “GoBear Fin Detective สืบฟินวินทุกเรื่องเงิน”

นายมาร์นิกซ์ สวาร์ท (ซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านพัฒนาธุรกิจ เว็บไซต์ “โกแบร์” (GoBear.com/th) เว็บไซต์รวบรวม ค้นหา และเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ทางการเงิน จัดงานสัมมนา “GoBear Fin Detective สืบฟินวินทุกเรื่องเงิน” ให้ความรู้ด้านการเงินเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้บริโภคคนไทยหันมาสนใจสุขภาพทางการเงินของตนเอง ซึ่งจะส่งผลดีต่อการวางแผนด้านการเงินระยะยาว ณ โรงภาพยนตร์ VIP1 ชั้น 5 สยามพารากอน เมื่อเร็ว ๆ นี้

แฟชั่นหรู “ELLE Paris Atelier”

‘กนกพร พรรณเทวี’ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดเชียงใหม่ และภริยารองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย ‘รมิดา รัสเซลล์ มณีเสถียร’ กรรมการบริหาร และผู้อำนวยการฝ่ายบูติคสตรี บริษัทไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และ ‘ศรายุทธ ทองร่มโพธิ์’ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้า เมญ่า ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ จังหวัดเชียงใหม่ เข้าชมการแสดงแฟชั่นโชว์สองแบรนด์หรูจากฝรั่งเศส  ELLE (แอล) และ ELLE HOMME (แอล ฮอม) ในงาน “ELLE Paris Atelier (แอล ปารีสอะเทริเย่ร์ )” โดยมี ‘กันชกา สุวณิชย์’ กรรมการรองเลขาธิการ หอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ , ‘ภัทร ขันธชวนะ’ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ศูนย์การค้า เมญ่า ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ จังหวัดเชียงใหม่, ‘พิชญพัชญ์ พศิษฐพงษ์’ ผู้จัดการฝ่ายขาย ศูนย์การค้า เมญ่า ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ จังหวัดเชียงใหม่ มาร่วมชมแฟชั่นโชว์ในครั้งนี้ด้วย ณ ลานโปรโมชั่น ชั้น G ศูนย์การค้า เมญ่า ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ จังหวัดเชียงใหม่ ส่วนงาน “แอล ปารีส อะเทริเย่ร์” จะมีไปจนถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2562 ภายในงานจะมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย พร้อมสินค้าลดราคามากถึง 60%

CMC รับประกาศกาศนียบัตรรับรองจาก CAC

นายพนา รัตนบรรณางกูร Executive Vice President/Project Director CAC ร่วมแสดงความยินดีกับนายแพทย์วิเชียร แพทยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด(มหาชน) หรือ CMC ในการผ่านการรับรองและรับประกาศนียบัตร CAC เพื่อเป็นแนวร่วมของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (Collective Action Coalition Against Corruption หรือ CAC) ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี เมื่อเร็ว ๆ นี้

“สเต๊กไนท์ บุฟเฟ่ต์” ทุกคืนวันพุธและวันเสาร์ ณ โรงแรมคาราเวล เฮ้าส์ ศรีราชา

ห้องอาหารแคลิฟอร์เนีย สเต็ก โรงแรมคาราเวล เฮ้าส์ ศรีราชา ชวนคุณมาอิ่มอร่อยกับบุฟเฟ่ต์สเต๊ก ความอร่อยชวนน้ำลายสอแบบอิ่มไม่อั้น ไม่ว่าจะเป็นสเต๊กเนื้อ หมู แกะ ไก่ พร้อมซอสและเครื่องเคียงรสชาติเด็ดถูกใจ นอกจากนี้ยังมีสลัดบาร์ มุมอาหารซีฟู้ด ซาซิมิสดใหม่ และขนมหวานนานาชนิด ทุกคืนวันพุธ และเสาร์ ตั้งแต่วันนี้ – 30 ธันวาคม 2562 ตั้งแต่เวลา 18.00-22.00 น. ราคาท่านละ 450++บาท (เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีลดครึ่งราคา) พร้อมน้ำพั้นช์ผลไม้ ฟรี 1 แก้ว สำหรับทุกท่าน (พิเศษ ! ทุกคืนวันพุธเพิ่มมุมความอร่อยคาร์วารีไนท์ มุมปิ้งย่างแล่พร้อมเสิร์ฟ และวันเสาร์เมนูพิเศษอิตาเลียนพิซซ่า)

นอกจากนี้ ขอแนะนำเมนูอะลาคาร์ทจานอร่อยที่ไม่อยากให้คุณพลาด ตลอดเดือนตุลาคม 2562 กับเมนู “อกเป็ดรมควันย่างซอสส้ม” (380++บาท) และ “เนื้อสันในย่าง เสิร์ฟพร้อมซอสบลูชีส” (380++บาท)

สำรองที่นั่งล่วงหน้าหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงแรมคาราเวล เฮ้าส์ ศรีราชา โทร.0 3877 1390 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ http://www.kameocollection.com

โครงการ OCC สานพลังประชารัฐ พัฒนาความรู้ สู่เส้นทางสายอาชีพ

เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะทำงาน “โอซีซี สานพลังประชารัฐ พัฒนาความรู้สู่เส้นทางสายอาชีพ” ได้เดินทางไปอบรมความรู้เรื่องการดูแลผิวที่ถูกต้องและการแต่งหน้าให้เหมาะสมกับกาลเทศะแก่นักศึกษาคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนก้าวเข้าสู่โลกแห่งการทำงาน ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวได้ปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาร่วม 2 ปีแล้ว มีสถาบันการศึกษาทั้งภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวมากกว่า 20 สถาบัน

โครงการนี้มีเจตนารมณ์ที่จะส่งเสริมให้เยาวชนไทยมีสุขภาพผิวที่แข็งแรง ลดทอนการเกิดปัญหาด้านผิวพรรณในช่วงวัยรุ่น ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาเนื่องจากการดูแลผิวพรรณที่ผิดวิธี พร้อมเสริมสร้างความมั่นใจให้ผู้เข้ารับการอบรมมีบุคลิกภาพที่ดีและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อีกทั้งยังได้มอบความรู้ด้านการแต่งหน้าให้แก่ประชาชนที่สนใจ รวมถึงผู้ด้อยโอกาสในสถานสงเคราะห์และทัณฑสถานต่าง ๆ เพื่อนำความรู้ดังกล่าวไปต่อยอดประกอบอาชีพในอนาคตอีกด้วย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ โทร.0 2295 4545 ต่อ 332 หรือเว็บไซต์ www.occ.co.th