“ซีพี ออลล์” เปิดตลาดนัดแห่งโอกาส “ธุรกิจ-อาชีพ-ทุนการศึกษา”

alivesonline.com : “ซีพี ออลล์” จัดกิจกรรมเพื่อสังคมในงาน “วันแห่งโอกาสดี @ CP ALL” มอบโอกาสสำคัญด้าน “ธุรกิจ-อาชีพ-ทุนการศึกษา” ด้วยกิจกรรมหลากหลายให้ผู้สนใจร่วมงานฟรีตลอดทั้ง 3 วัน ระหว่างวันที่ 27-29 มี.ค.62 ณ ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ หนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหน้าใหม่ร่วมเจรจาธุรกิจและรับฟังสัมมนาหัวข้อพิเศษ พร้อมเปิดรับสมัครงานมากกว่า 3.5 หมื่นอัตรา และทุนการศึกษาทุกระดับ

นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ก่อตั้งร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในประเทศไทย เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา “ซีพี ออลล์” ได้รับโอกาสจากคนไทยที่ให้การตอบรับการดำเนินธุรกิจผ่านช่องทางร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และอี-คอมเมิร์ซ www.24shopping.co.th ด้วยดีเสมอมา และเพื่อส่งมอบโอกาสดีคืนสู่สังคมไทย จึงได้เตรียมจัดงาน “วันแห่งโอกาสดี @ CP ALL” ขึ้นเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 27-29 มีนาคม 2562 ณ บริเวณชั้น 2 อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ

สำหรับการมอบโอกาสให้คนไทยเป็นไปตามปณิธานขององค์กร คือ “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน” ซึ่งที่ผ่านมา “ซีพี ออลล์” ได้มอบโอกาสให้คนไทยใน 4 มิติสำคัญ ได้แก่ มิติแรก โอกาสทางธุรกิจ “ซีพี ออลล์” ได้ให้โอกาสคู่ค้า พันธมิตร ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี และเกษตรกรไทยกว่า 3 หมื่นราย ได้มีช่องทางจำหน่ายสินค้ากระจายไปทั่วประเทศ ด้วยจำนวนสาขาร้านเซเว่น อีเลฟเว่น กว่า 1 หมื่นแห่ง รวมไปถึงผู้รับเหมาในการสร้างร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และอุปกรณ์ต่าง ๆ อีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังมอบโอกาสในการบริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ให้บุคคลภายนอก โดยปัจจุบันมีร้านสโตร์ บิสิเนส พาร์ทเนอร์ หรือแฟรนไชส์กว่า 6 พันร้าน

มิติที่สอง โอกาสทางอาชีพการมีงานทำ “ซีพี ออลล์” ได้สร้างงาน สร้างรายได้ และความมั่นคงให้คนไทยทั่วประเทศได้มีงานทำ สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ และส่วนหนึ่งยังได้ทำงานที่จังหวัดบ้านเกิด ปัจจุบันมีการจ้างพนักงานทั่วทุกภูมิภาคกว่า 1.7 แสนคน มิติที่สาม โอกาสทางการศึกษา โดยได้มีการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนนักศึกษาไปแล้วกว่า 4 หมื่นทุน คิดเป็นมูลค่ากว่า 4 พันล้านบาท นอกจากนี้ วิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ (พีเอที) สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) ศูนย์การเรียนปัญญาภิวัฒน์ และสถานศึกษาในเครือข่าย ยังได้ผลิตเยาวชนที่มีความรู้ความสามารถออกสู่สังคมไปแล้วกว่า 5 หมื่นคน

มิติที่สี่ โอกาสในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของสังคม ชุมชน และสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น โดยให้ลูกค้าได้รับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพและตรงตามความต้องการด้วยความพิถีพิถันคัดสรรสิ่งที่ดี มีการวิจัยและพัฒนาที่คำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการและดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

นายสุวิทย์ กล่าวด้วยว่า การดำเนินกิจกรรมในทั้ง 4 มิติหลัก ได้สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจของ “ซีพี ออลล์” ที่ได้ร่วมสนับสนุนสังคมในทุกภาคส่วน ลูกหลานได้เรียนหนังสือ สร้างรายได้ให้กับชุมชน ยกระดับเกษตรกรในท้องถิ่น ช่วยลดปัญหาการว่างงานในประเทศไทย ทำให้คนไทยเข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่ง “ซีพี ออลล์” เชื่อว่าการให้โอกาสทำให้ทุกชีวิตก้าวหน้าไปด้วยกัน

“บริษัทตั้งเป้าหมายให้การจัดงานครั้งนี้เป็นงานที่ให้โอกาสแก่คนไทยได้มีงานทำ มีการศึกษาที่ดี มีโอกาสเป็นเจ้าของธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ และให้โอกาสคนไทยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและเกษตรกรที่จำหน่ายสินค้าผ่านร้านเซเว่น อีเลฟเว่น และ 24 Shopping โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้พบปะเจรจาธุรกิจแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันในอนาคตเพื่อการร่วมมือที่ดี”

‘สุวิทย์ กิ่งแก้ว’ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) และ ‘บัญญัติ คำนูณวัฒน์’ (ขวา) ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

ด้าน นายบัญญัติ คำนูณวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงรายละเอียดว่า ภายในงาน “วันแห่งโอกาสดี @ CP ALL” จะประกอบไปด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ นิทรรศการด้านโอกาสต่าง ๆ ที่จัดแสดงภายในซีพี ออลล์ พาวิเลี่ยน การแสดงสินค้าของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกว่า 250 บูธ การนำสินค้าเอสเอ็มอีมาเสนอเพื่อจำหน่ายผ่านร้านเซเว่นฯ และ 24 Shopping (SME Business Matching) การจัดแสดงสินค้าและบริการขององค์กรภาครัฐและเอกชน การออกบูธของบริษัทต่าง ๆ ในกลุ่มธุรกิจซีพี ออลล์และบูธสโตร์ บิสิเนส พาร์ทเนอร์ เซเว่น อีเลฟเว่น การให้คำปรึกษาด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการ และการมอบรางวัลเซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอีไทยยั่งยืน 2561

ภายในงานยังมีการรับสมัครงานในกลุ่มซีพี ออลล์ กว่า 3.5 หมื่นอัตรา การให้ทุนการศึกษาของวิทยาลัยเทคโนโลยีปัญญาภิวัฒน์ และสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ รวมทั้งการสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อต่างๆ ที่พลาดไม่ได้ อาทิ กลยุทธ์วางแผนการตลาดขั้นเทพ ฉีกกฎการตลาดเอสเอ็มอียุคใหม่, การสร้างแบรนด์เอสเอ็มอีให้ดังบนโลกโซเชียล ถอดรหัสความสำเร็จเอสเอ็มอี และจะขายสินค้ากับ 7-11 ต้องทำอย่างไร เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เกษตรกร และผู้สนใจทั่วไปสามารถเข้าร่วมทุกกิจกรรมภายในงานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งเลือกซื้อสินค้าหลากหลายรายการในราคาพิเศษ

(จากซ้ายไปขวา) ‘โชติวัฒน์ ตระกูลมีโชคชัย’ สโตร์พาร์ทเนอร์ หรือผู้ร่วมธุรกิจร้านเซเว่น อีเลฟเว่น, ‘วุฒิชัย เจริญศุภกุล’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลังผัก จำกัด, ‘สโรชา เมอแลกู’ นักศึกษาทุน PIM Smart ชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการสอนภาษาจีน สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) และ ‘วีระ ตั้งวุทฒิไกรวิทย์’ กรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด แม่ละมาย

ด้าน นายโชติวัฒน์ ตระกูลมีโชคชัย สโตร์พาร์ทเนอร์ หรือผู้ร่วมธุรกิจร้านเซเว่น อีเลฟเว่น กล่าวว่า ครอบครัวทำธุรกิจเป็นสโตร์พาร์ทเนอร์ร้านเซเว่น อีเลฟเว่น มาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อคุณแม่เมื่อ 20 กว่าปีแล้ว ทำให้ธุรกิจนี้เปรียบเสมือนเป็นธุรกิจของครอบครัว เราได้เห็นความยั่งยืนและความก้าวหน้ามาโดยตลอด รู้สึกมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตไปกับซีพี ออลล์ได้ จึงตัดสินใจร่วมธุรกิจต่อจากคุณพ่อคณแม่ ซึ่งทางซีพี ออลล์ ก็ได้ช่วยเหลือและสร้างโอกาสที่ดีให้กับครอบครัวและพนักงานที่ร้านให้มีความเจริญก้าวหน้าและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

นายวุฒิชัย เจริญศุภกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลังผัก จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์ผักสลัดและผลไม้พร้อมรับประทาน แบรนด์  “โอ้! เวจจี้” กล่าวว่า ซีพี ออลล์ ได้ให้โอกาสกับบริษัทฯ ด้วยการสนับสนุนการวางแผนพัฒนาสินค้าและวางตลาดสินค้าผักสลัดและผลไม้พร้อมทานร่วมกัน โดยเริ่มจากการกำหนดปริมาณการขายที่เหมาะสม ซึ่งทำให้วางแผนได้ตั้งแต่ต้นน้ำคือ เกษตรกรผู้ปลูกผัก ให้ประมาณการณ์การปลูก และราคาได้ล่วงหน้า ปริมาณการผลิตสามารถคาดการณ์ได้ ไม่มีผลผลิตล้นเกินความต้องการ จึงทำให้แก้ไขปัญหาของเกษตรกรเรื่องราคาผลผลิตได้ และเกษตรกรมีความมั่นคงและยั่งยืนในอาชีพมากขึ้น

ส่วน นายวีระ ตั้งวุทฒิไกรวิทย์ กรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด แม่ละมาย ผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอี ขนมหวานวุ้นมะพร้าวตรา “แม่ละมาย” หนึ่งในผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลเซเว่น อีเลฟเว่น เอสเอ็มอีไทยยั่งยืนปี 2559 ประเภทเอสเอ็มอียอดเยี่ยม กล่าวว่า แม่ละมายเคยล้มเหลวสมัยวิกฤติต้มยำกุ้ง แต่ได้รับโอกาสให้นำสินค้าเข้าไปขายในเซเว่น อีเลฟเว่น การจ่ายเงินก็เป็นเครดิตที่สั้น และยังมีทีมงานให้การช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ทำให้แม่ละมายเติบโตก้าวหน้าในปัจจุบัน ไม่เพียงเท่านั้น ชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตของแม่ละมายก็ได้รับโอกาสเช่นกัน แรงงานทั้งทางตรงที่ทำงานในโรงงาน หรือทางอ้อมที่รับงานไปทำที่บ้าน ต่างมีรายได้มั่นคง เกษตรกรที่ผลิตวัตถุดิบก็ได้รับความรู้ด้านการผลิต มาตรฐานความปลอดภัย สามารถป้อนวัตถุดิบที่มีคุณภาพให้โรงงานแม่ละมาย ทำให้ได้รับราคาดีกว่าในท้องตลาด ซึ่งการนำวัตถุดิบที่มีคุณภาพและปลอดภัยมาผลิตเป็นสินค้า ยังทำให้ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ที่ดีและมีคุณค่าด้วย”

น.ส.สโรชา เมอแลกู นักศึกษาทุน PIM Smart ชั้นปีที่ 3 คณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาการสอนภาษาจีน สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ (พีไอเอ็ม) กล่าวว่า “ตอนจบ ม.6 หนูแทบไม่เห็นโอกาสที่จะได้เรียนต่อ เพราะทางบ้านยากจน พอมีอาจารย์จากปัญญาภิวัฒน์มาแนะแนว ทำให้มีความหวัง หนูได้ทุนการศึกษาที่นี่ ซึ่งมีการเรียนการสอนแบบ Work–Based Education จึงได้ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ตอนเรียนปี 2 ค่าครองชีพเริ่มสูง เงินเก็บจากงานพิเศษก็เริ่มหมด อาจารย์ได้แนะนำกองทุนเพื่อชีวิตแห่งการเรียนรู้ที่ช่วยเหลือค่าครองชีพให้นักศึกษา ทำให้หนูดีใจมาก นอกจากนี้ หนูยังได้รับโอกาสอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ได้ไปฝึกงานที่ King Power ทำให้ได้ประสบการณ์ดี ๆ มีรายได้ดี ๆ และปีนี้หนูได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ Sias International University ด้วย ต้องขอขอบคุณ “ซีพี ออลล์” ที่มีทุนการศึกษา มีกองทุนเพื่อชีวิตแห่งการเรียนรู้ที่ดูแลชีวิตความเป็นอยู่เด็กด้อยโอกาสอย่างพวกหนู

 

ม.กรุงเทพธนบุรี ทุ่ม 111 ล้าน ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์

alivesonline.com : ม.กรุงเทพธนบุรี ลงนามสัญญา “เอเซียนโซลาร์” ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ขนาด 3 เม็กกะวัตต์ มูลค่าลงทุน 111 ล้านบาท นับเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนขนาดใหญ่แห่งแรกที่เป็นผู้นำด้านการประหยัดพลังงาน ลดภาวะโลกร้อน ผลิตพลังงานสะอาดมาใช้ในมหาวิทยาลัย พร้อมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2.6 พันตันคาร์บอนไดออกไซด์

ผศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีมีความมุ่งมั่นตั้งใจและผลิตบัณฑิตออกไปสู่สังคมเพื่อเป็นบุคคลากรของประเทศที่มีคุณภาพและมีความรู้ความสามารถเป็นที่ยอมรับในการสร้างสรรค์สังคม มหาวิทยาลัยจึงเน้นเรื่องการปลูกฝังค่านิยมการเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยและสังคมโลกแก่นักศึกษาและบัณฑิต โดยเฉพาะในเรื่องภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นขณะนี้ซึ่งถือเป็นปัญหาระดับโลกและเป็นเรื่องที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกตระหนักและให้ความสำคัญในการร่วมกันแก้ไขปัญหา ด้วยเหตุนี้ คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี จึงมีนโยบายให้มหาวิทยาลัยฯ เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาโลกร้อนและลดจำนวนปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับมุ่งเน้นที่จะผลิตพลังงานสะอาดเพื่อใช้เองภายในมหาวิทยาลัยฯ

มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี จึงได้ลงนามสัญญาการจัดการพลงงานด้วยระบบผลิตไฟฟ้าเซลล์แสงอาทิตย์กับ บริษัท เอเซียนโซลาร์ จำกัด เพื่อติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) ของอาคารภายในมหาวิทยาลัยฯ เพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ขนาด 3 เม็กกะวัตต์ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 111 ล้านบาท โดยนอกจากมหาวิทยาลัยสามารถลดต้นทุนค่าไฟฟ้าแล้ว ยังช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเลือกใช้เทคโนโลยีของประเทศเยอรมนีทั้งหมด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าสูงสุด

“มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี นับเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนขนาดใหญ่เป็นรายแรกของประเทศที่ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และยังเป็นผู้บุกเบิกด้านการใช้พลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์ รวมทั้งการลงทุนด้านพลังงานทดแทนขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งมหาวิทยาลัยฯ มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำพามหาวิทยาลัยฯ ไปอีกมิติหนึ่ง พร้อมกันนี้ยังจะเปิดให้มีศูนย์การเรียนรู้ด้านพลังงานแสงอาทิตย์ขึ้นที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่นักศึกษาและบุคคลภายนอกที่สนใจเรื่องการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์” ผศ.ดร.บังอร กล่าวในตอนท้าย

ด้าน นายประมวล บุตรดา ผู้บริหารบริษัท เอเซียนโซลาร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทเป็นองค์กรชั้นนำด้านธุรกิจพลังงานไฟฟ้า ยินดีที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรีให้ความไว้วางใจเป็นผู้ดำเนินการติดตั้งระบบผลิตพลังงานไฟฟ้าจากเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา ขนาด 3 เม็กกะวัตต์ หรือ 8,956 แผงนั้นจะสามารถช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ประมาณ 4 ล้านหน่วยต่อปี หรือคิดเป็นร้อยละ 50 ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดของมหาวิทยาลัยฯ เทียบเท่ากับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2.6 พันตันคาร์บอนไดออกไซด์ แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าทั้งในแง่ของการประหยัดค่าไฟฟ้า และช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

 

โหลดฟรี ! แอปพลิเคชันกลาง “Me Claim” ลดปัญหาจราจร-ฝุ่นPM 2.5

alivesonline.com : คปภ. ตอบสนองนโยบายภาครัฐเชิงรุก เปิดตัวแอปพลิเคชันสำหรับการแจ้งเคลมประกันภัยรถยนต์ “Me Claim” เชื่อมต่อแอปพลิเคชัน “Police i Lert u” ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เน้นลดปัญหาการจราจรซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของวิกฤตการฝุ่น PM 2.5 ชูสโลแกน “คลิกเดียว-ฉับไว-อุ่นใจ-ประกันมา” ใช้เทคโนโลยีช่วยแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดจากอุบัติเหตุรถชน เตรียมเปิดใช้จริงวันที่ 9 เม.ย.62 มอบเป็นของขวัญให้ประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) พร้อมด้วย พลตำรวจโท ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งได้รับมอบหมายจาก พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในงานเปิดตัวแอปพลิเคชัน สำหรับการแจ้งเคลมประกันภัยรถยนต์ภายใต้ชื่อ “Me Claim” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแอปพลิเคชันกลางที่เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายของตำรวจ “Police i Lert u” ทำให้เมื่อเกิดเหตุรถชน ประชาชนสามารถแจ้งทั้งบริษัทประกันภัยและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ในคราวเดียว ทั้งยังเป็นการตอบสนองต่อนโยบายของภาครัฐที่ต้องการให้มีมาตรการช่วยแก้ไขปัญหาจราจรในกรุงเทพและปริมณฑลอันเนื่องมาจากอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยการนำเอาระบบเทคโนโลยีประกันภัยเข้ามาช่วยลดปัญหาการจราจรบนถนนซึ่งก่อให้เกิดมลภาวะจนกลายเป็นวิกฤตการฝุ่น PM 2.5 ในช่วงที่ผ่านมา

การพัฒนาแอปพลิเคชัน “Me Claim” นับเป็นความตั้งใจของ สำนักงาน คปภ. ที่จะใช้เป็นแอปพลิเคชันกลางให้ประชาชนสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี สามารถใช้ได้กับบริษัทประกันวินาศภัยทุกบริษัทที่มีการเชื่อมต่อระบบแอปพลิเคชัน “Me Claim” โดยไม่ได้จะเป็นการนำมาใช้แทนที่แอปพลิเคชันที่บริษัทประกันภัยมีอยู่แล้ว แต่จะเข้าไปเสริมการทำงานให้เกิดความสะดวกและประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นประโยชน์สำหรับบริษัทประกันภัยขนาดกลางและขนาดเล็กที่จะเข้าไปช่วยเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและลดต้นทุนการดำเนินงานได้อีกด้วย

ดร.สุทธิพล กล่าวด้วยว่า กว่าจะมาเป็น แอปพลิเคชัน “Me Claim” ในวันนี้ สำนักงาน คปภ. ได้มีการประชุมหารือร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และภาคธุรกิจประกันวินาศภัยหลายครั้ง เพื่อทำความเข้าใจ พิจารณารายละเอียด ขั้นตอนและระยะเวลา รวมถึงระดมความคิดเห็นและรับฟังข้อเสนอแนะเพื่อให้การพัฒนาแอปพลิเคชันในครั้งนี้เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด ดังนั้นเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนและแจ้งเคลมผ่านแอปพลิเคชันนี้ก็จะสามารถแจ้งได้ทั้งบริษัทประกันภัยและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้คราวเดียวกัน ซึ่งจะเกิดความสะดวกทั้งในส่วนของผู้ขับขี่รถยนต์ที่เกิดเหตุและเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งจะสามารถทราบอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นและเข้ามาดูแล รวมทั้งจะช่วยลดปัญหาจราจรบนท้องถนนได้อีกด้วย

“สำนักงาน คปภ. จะมีคำสั่งนายทะเบียน เรื่องให้แก้ไขแบบ ข้อความกรมธรรม์ประกันภัย และอัตราเบี้ยประกันภัย โดยเพิ่มเติมเนื้อความในส่วนของการใช้แอปพลิเคชันสำหรับการแจ้งอุบัติเหตุรถยนต์ของ สำนักงาน คปภ.และบริษัทอาจให้ส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัยในการรับประกันภัยตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์เป็นส่วนลดอื่นของเบี้ยประกันภัยสุทธิ สำหรับผู้เอาประกันภัยรถยนต์ที่ติดตั้งแอปพลิเคชันแจ้งอุบัติเหตุรถยนต์ของสำนักงาน คปภ. และแอปพลิเคชันที่บริษัทเป็นผู้พัฒนาขึ้นไว้ในโทรศัพท์มือถือ หรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น โดยจะมีผลใช้บังคับสำหรับการทำสัญญาประกันภัยตั้งแต่วันที่1 เมษายน 2562 เป็นต้นไป”

ทั้งนี้ หลังจากมีการเปิดให้ประชาชนได้ดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน “Me Claim” เพื่อลงทะเบียนและทดลองใช้ระบบแล้ว สำนักงาน คปภ. จะมีการประชุมร่วมกับภาคธุรกิจประกันวินาศภัยอีกครั้งเพื่อซักซ้อมความเข้าใจ มอบหมายงานผู้ดูแลระบบของแต่ละบริษัท รวมถึงส่งมอบ Username และ Password โดยสำนักงาน คปภ. จะเปิดการใช้งาน แอปพลิเคชัน “Me Claim” อย่างเต็มรูปแบบในวันที่ 9 เมษายน 2562 เพื่อมอบให้เป็นของขวัญวันปีใหม่ไทยให้แก่ประชาชน

ด้าน พลตำรวจโท ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การบูรณาการความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน คปภ. และภาคอุตสาหกรรมประกันภัยในครั้งนี้ นับเป็นมิติใหม่ของการนำเอาเทคโนโลยีประกันภัยเข้ามาช่วยลดปัญหาการจราจรและเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งยังเป็นการต่อยอดโครงการ “ชนแล้วแยก” หรือ “Knock for Knock” และโครงการ “รถชนแล้ว ถ่ายรูปไว้ แยกได้ ไม่ต้องรอ” ให้เกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยจากนี้ไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการประชาสัมพันธ์ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงเจ้าหน้าที่สายตรวจที่เข้าร่วมระบบของแอปพลิเคชัน “Police i Lert u” ซึ่งเป็นระบบการแจ้งเหตุของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้เชื่อมต่อกับระบบแอปพลิเคชัน “Me Claim” มากยิ่งขึ้น โดยปัจจุบันมีสถานีตำรวจที่เข้าร่วมโครงการแล้วทั้งสิ้น 1,481 สน. รวมจำนวนตำรวจกว่า 2 แสนนายทั่วประเทศ

 

แคปปิตอล จีฯ ปักหมุด “โครงการ MONTE’ พระราม 9”

alivesonline.com : “พระราม 9- รามคำแหง” นับวันจะยิ่งฉายภาพ “ทำเลทอง” เด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) รวมระยะทาง 22.57 กม. ทั้งยังมีจำนวนสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน จำนวน 10 สถานี และยกระดับ จำนวน 7 สถานีที่มีความก้าวหน้าของงานก่อสร้างอยู่ที่ 27 % ณ สิ้นเดือนมกราคม 2561 โดยมีกำหนดเปิดบริการในปี 2566

นอกจากนั้น ยังมีการลงทุนรีโนเวทห้างสรรพสินค้า “เดอะมอลล์ รามคำแหง 2” (ฝั่งมุ่งหน้ามาแยกพระราม 9-รามคำแหง) ของบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ที่อยู่ระหว่างปรับโฉมใหม่ให้กลายเป็น “มิกซ์ยูส คอมเพล็กซ์” รับรถไฟฟ้าสายสีส้ม บนที่ดินกว่า 30 ไร่ โดยคาดว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 2-3 ปี ยิ่งเป็นตัวผลักดันให้รามคำแหงและพื้นที่ใกล้เคียงเป็นทำเลที่ร้อนแรงมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน ยังมีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งขนาดกลางและใหญ่ได้แห่ชิงพื้นที่เปิดโครงการใหม่เพิ่มดีกรีความร้อนแรงให้กับทำเล “พระราม9 – รามคำแหง” โดยหนึ่งในผู้ประกอบการที่ปักหมุดผุดโครงการคอนโดมิเนียมนั่นก็คือ บริษัท แคปปิตอล จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท มีนบุรีซีเมนต์ไทย จำกัด ที่ล่าสุดได้เปิดตัว “โครงการ MONTE’ (มอนเต้) พระราม 9” บนพื้นที่โครงการ 3-3-24 ไร่ พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม Low Rise สูง 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 536 ยูนิต แบ่งเป็น อาคาร A จำนวน 105 ยูนิต อาคาร B จำนวน 216 ยูนิต และอาคาร C จำนวน 215 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 1.3 พันล้านบาท กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2564

โครงการฯ ได้ออกแบบให้มีขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 22-44 ตารางเมตร เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อและความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย แบ่งเป็น Units Type ดังนี้

  • Studio suite ขนาดพื้นที่ 22 ตารางเมตร จำนวน 145 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 27%
  • 1 Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ 27 ตารางเมตร จำนวน 56 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 10%
  • 1 Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ 29 ตารางเมตร จำนวน 258 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 48 %
  • 1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ 35 ตารางเมตร จำนวน 49 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 9 %
  • 2 Bedroom ขนาดพื้นที่ 44 ตารางเมตร จำนวน 28 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 5 %

  • แคปปิตอล จีฯ เปิดโครงการ 7 มอง LTV ไม่กระทบ

นายชัยรัตน์ พิรุฬหพัสต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิตอล จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า หลังจบการศึกษาด้านวิศวกรรมโยธาที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าลาดกระบัง ได้ไปศึกษาต่อด้านบริหารที่สหรัฐอเมริกา และกลับมาช่วยงานธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างของครอบครัว ต่อมาหันไปทำธุรกิจก่อสร้างกับเพื่อน และในช่วงปี 2551-2552 มองเห็นโอกาสคอนโดมิเนียมค่อนข้างบูม ผลจากรถไฟฟ้าเริ่มมา โดยมองว่าลูกค้ามี 2 กลุ่มคือ กลุ่มซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงและกลุ่มนักลงทุน ซึ่งผู้ประกอบการค่อนข้างกลัวกลุ่มนักลงทุน แต่ตนมองว่ากลุ่มนักลงทุนยังแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มซื้อเพื่อลงทุนจริง ๆ และกลุ่มเก็งกำไรคือ ซื้อเพื่อขายต่อ ผู้ประกอบการกลัว 2 กลุ่มนี้

“เรามองเห็นตลาดในโซนเอแบค-บางนา ผู้ประกอบการกลัวกลุ่มนักลงทุน แต่เรามองว่า กลุ่มนักลงทุนตัวจริงมีมาก ไม่ใช่ซื้อเพื่อเก็งกำไรอย่างเดียว แต่ซื้อเพื่อลงทุนในระยะยาว จึงเปิดโครงการแรกขึ้นที่โซนเอแบค-บางนาคือ The Avenue @10 (ดิ อเวนิว แอท เท็น) และเปิดในโซนนี้รวม 4 โครงการ มี ไอ-ลอฟ @ บางแสนแถวมหาวิทยาลัยบูรพา ตามด้วยโครงการ เอสตาเบ พหลโยธิน 18 (Estabe Phahonyothin 18) แถวอินเตอร์เชนจ์ ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมในเมืองแห่งแรก และทำให้มองเห็นว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ หรือผู้อยู่อาศัยจริง จึงเป็นที่มาของโครงการล่าสุด “โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9” เป็นโครงการที่7”

นายชัยรัตน์ ยังมองว่า มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Loan to Value) หรือ LTV ของภาครัฐ ไม่น่าส่งผลกระทบมากนัก โดยอาจกระทบต่อคนซื้อบ้านหลังที่ 2 หรือกลุ่มนักลงทุนทำให้หดตัวลงเล็กน้อย ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นนั้นมองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ไม่น่าจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างเป็นนัยยะสำคัญ โดยคาดว่าในปี 2562 ไม่น่าจะขึ้นเกิน 0.25% และระยะยาวมองว่าจะทรงตัว ดังนั้นจะไม่กระทบกับลูกค้ากลุ่มที่ต้องการซื้ออยู่อาศัยจริงมาก นอกจากนี้ธนาคารมักจะมีโปรโมชั่นดอกเบี้ย 3 ปี เฉลี่ย 3% หลังจากนี้ยังให้รีไฟแนนซ์ได้อีก คอนโดฯ สไตล์ “Modern Luxury Resort” สำหรับ “โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9” เป็นคอนโดฯ สไตล์ “Modern Luxury Resort” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Sense of Nature.. Life is Signature : ออกแบบชีวิต ..ใกล้ชิดธรรมชาติ” โครงการเน้นพื้นที่ส่วนตัว ที่เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์คนเมือง ผสมผสานการออกแบบที่ทันสมัย รู้ใจคนรุ่นใหม่ สอดคล้องไปกับพื้นที่สีเขียวให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แม้อยู่กลางใจเมืองเหมาะสำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ Work Hard Play Hard ที่มีความเป็นตัวเอง อายุประมาณ 28-40 ปี ระดับรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาทต่อเดือน

จุดเด่นของโครงการนอกจากเน้นพื้นที่สีเขียวมากเป็นพิเศษแล้ว ยังตั้งอยู่ Prime Location สามารถเดินทางเข้า-ออกได้ 2 เส้นทาง ทั้ง ถ.พระราม 9 (แยกซ. 39) และ ถ.รามคำแหง ซ.12 ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้มสถานีรามคำแหง 12 เพียง 150 ม. นอกจากนี้ ยังใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ สถานีแอร์พอร์ตลิงค์ ทางด่วนศรีรัช และทางด่วนฉลองรัช โดยที่ตั้งโครงการยังสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD : Central Business District) ได้หลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น ถนนพระราม 9 ทองหล่อ พัฒนาการและรัชดาภิเษก อีกทั้งยังเดินทางสะดวกสบายด้วยรถยนต์สาธารณะและทางเรือ (ท่าเดอะมอลล์ รามคำแหง) รายล้อมด้วยแหล่งสาธารณูปโภค มหาวิทยาลัยชั้นนำ โรงพยาบาล และใกล้แหล่ง Lifestyle Shopping Mall และ Cafe สุดชิคมากมาย อาทิ เดอะ มอลล์ รามคำแหง, เดอะมอลล์บางกะปิ, บิ๊กซี, เดอะไนท์ พระราม 9 และ ฟู้ดส์แลนด์ รามคำแหง เป็นต้น

“โครงการ MONTE’ พระราม 9” ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบฟังก์ชั่นให้มีลักษณะเป็นห้องหน้ากว้าง โดดเด่นด้วยครัวไทยแยกสัดส่วนใช้งานได้จริง ขายแบบ Fully Furnished ตอบโจทย์การใช้ชีวิต พร้อมกับ Facilities ที่จัดเต็ม อาทิ Relaxing Swimming Pool & Greenery Garden, The GYM & Multi-Purpose Area, Duplex Lobby Lounge & Co-Working Space, Private Lobby Lounge, Private Meeting Area & Mini Theater, Fitness, Sky Garden และ Carwash zone ฯลฯ

ด้วยศักยภาพของทำเลและโปรดักส์ดีไซน์ที่ใส่ใจทุกรายละเอียด รวมถึงส่วนกลางจัดเต็มเพื่อในวันนี้และความยั่งยืนในอนาคต เรียกได้ว่ารองรับทุกไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์ทั้งคนสายชิลล์และคนที่เน้นกิจกรรม พร้อมเปิดให้จองและชมห้องตัวอย่างได้ทุกวัน ณ สำนักงานขาย

  • หนุน “พระราม 9-รามคำแหง” อีกทำเลทอง 

ด้าน นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ  บริษัท ฟินิกซ์ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ แอนด์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมพื้นที่ตามแนวถนนพระราม 9 ช่วงรอบ ๆ แยกถนนพระราม 9 และถนนรามคำแหงว่า มีการเปลี่ยนแปลงขยายตัวของเมืองอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ช่วงปี 2559 เป็นต้นมา เมื่อมีผู้ประกอบการเข้าไปเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้นอย่างชัดเจนจากโครงการขนาดใหญ่ของผู้ประกอบการรายใหญ่ แม้ก่อนหน้านี้มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายบ้างแล้วก็ตาม โดยเริ่มเปิดมากขึ้นในช่วงปี 2553–2555 หลังจากเส้นทางรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์เปิดให้บริการในปี 2553 แม้ว่าจะเป็นเส้นทางรถไฟฟ้าที่วิ่งเชื่อมสนามบินสุวรรณภูมิกับเมืองชั้นใน แต่หลายสถานีที่อยู่ในเขตชุมชนก็สร้างความตื่นตัวให้กับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระดับหนึ่ง เพราะช่วยอำนวยความสะดวกให้คนจากพื้นที่โดยรอบสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ให้สามารถเดินทางเข้าเมืองได้สะดวกมากยิ่งขึ้น

“ตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา เมื่อเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มมีความชัดเจนและเริ่มการก่อสร้างเป็นรูปธรรมในปี 2560 เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มจึงเป็นอีกปัจจัยหลักที่มีผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่เกิดการขยายตัว โดยในช่วงปี 2559–2560 มีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่มากถึง 5,631 ยูนิตคิดเป็น 41% ของจำนวนคอนโดมิเนียมทั้งหมดที่เปิดขายมาตั้งแต่อดีตถึงปี 2561 โดยคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่สะสมในพื้นที่จนถึงช่วงต้นปี 2562 มีทั้งหมดประมาณ 13,855 ยูนิต ส่วนพื้นที่รอบสถานีรถไฟฟ้าสายสีส้มอื่น ๆ อีกหลายสถานีก็มีผู้ประกอบการเข้าไปเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมกันมากขึ้นเช่นกัน ดังที่ สถานีหัวหมาก และลำสาลี เป็นต้น”

สำหรับคอนโดมิเนียมสะสมในพื้นที่พระราม 9 – รามคำแหงทั้งหมด 13,855 ยูนิตมีอัตราการขายอยู่ที่ประมาณ 96% มียูนิตเหลือขายไม่มากนัก เพราะมีโครงการเปิดขายใหม่ลดลงในปี 2561 และปี 2562 และมีความเป็นไปได้ที่จะมีจำนวนน้อยกว่าปีก่อนหน้านี้ เพราะมีที่ดินเหลือพัฒนาน้อยลง จึงมีผลทำให้ผู้ประกอบการเลือกซื้อที่ดินที่อยู่ในพื้นที่ตามแนวถนนเพชรบุรี พระราม 9 เรื่อยไปถึงถนนพระราม 9 ตัดใหม่ ถนนรามคำแหง และถนนพัฒนาการรวมไปถึงซอยสุขุมวิท 71 ที่เชื่อมต่อกับถนนเพชรบุรีเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม

ส่วนราคาขายของคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในพื้นที่นี้ก็มีราคาขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปีก่อนหน้านี้เช่นกัน โดยมีอัตราการปรับเพิ่มขึ้นของราคาขายอยู่ที่ประมาณ 9% ต่อปี ราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมในพื้นที่ ณ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 8.1 หมื่นบาทต่อตารางเมตร โดยราคาขายคอนโดมิเนียมในพื้นที่มีการปรับเพิ่มขึ้นแบบชัดเจนตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมาเพราะมีบางโครงการที่เปิดขายในราคามากกว่า 1 แสนบาทต่อตารางเมตร และหลายโครงการเปิดขายในราคามากกว่า  9 หมื่นบาทต่อตารางเมตร สูงกว่าโครงการที่เปิดขายก่อนหน้านี้ค่อนข้างมากเพราะอิทธิพลของเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออกที่มีผลต่อราคาที่ดินมากกว่าเส้นทางรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ เนื่องจากราคาที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมามีการปรับเพิ่มขึ้นไปไม่น้อยกว่า 30–50% โดยราคาที่ดินตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสีส้มตะวันออก (ศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี) มีราคาตั้งแต่ 2 แสนบาท จนถึง 1 ล้านบาทต่อตารางวา

“เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มไม่เพียงแต่มีผลต่อราคาที่ดินและตลาดคอนโดมิเนียมเท่านั้น แต่มีผลต่อเนื่องกับพื้นที่ตลอดแนวเส้นทางรถไฟฟ้าด้วย อาทิ ศูนย์การค้าดั้งเดิมในพื้นที่ที่เปิดให้บริการมามากกว่า 30 ปีบนถนนรามคำแหงก็มีการปิดให้บริการเพื่อก่อสร้างใหม่เป็น “โครงการมิกซ์-ยูส” ขนาดใหญ่เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพของพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นจากเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้ม”

นอกจากนี้อาคารพาณิชย์ หรือที่ดินที่ยังใช้ประโยชน์ไม่เต็มที่และไม่สอดคล้องกับราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็มีแนวโน้มที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต แต่พื้นที่ตั้งแต่แยกคลองตันไปตามแนวถนนรามคำแหงมีการใช้ประโยชน์เป็นสถานศึกษา สนามกีฬา และอาคารรูปแบบต่าง ๆ ไปเต็มพื้นที่แล้ว ดังนั้นพื้นที่ตามแนวถนนอื่นๆ ที่ไม่ไกลจากแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มจึงได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการที่ต้องการที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรแต่โครงการคอนโดมิเนียมจะอยู่ไม่ไกลจากแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันออกมากกว่าโครงการบ้านจัดสรรที่อาจจะอยู่ในแนวพื้นที่ตามแนวถนนพัฒนาการและถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่แทน

  • เล็งเปิดอีกโครงการ Q3

นอกจาก “โครงการ Monté พระราม 9” แล้ว แคปปิตอล จีฯ ยังไม่หยุดนิ่ง ยังเล็งเปิดตัวอีกโครงการช่วงไตรมาสที่ 3 มูลค่าประมาณ1 พันล้านบาท อีกทั้งยังมีโครงการแนวราบเปิดตัวช่วงสิ้นปี 2563 เป็นโครงการบ้านราคาขนาด 2-3 ล้านบาทและบ้านหรูราคา 10 ล้านบาทขึ้้นไป และภายใน 3-4 ปีตั้งเป้าสร้างรายได้เป็นมูลค่ามากถึง  6-7 พันล้านบาทเพื่อปูทางสู่ตลาดหลักทรัพย์ MAI ต่อไป

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยคอนโดมิเนียมสวยงาม สะดวกสบายใกล้ชิดธรรมชาติ อย่าง “โครงการ Monté (มอนเต้) พระราม 9” คงต้องรีบมาชมห้องตัวอย่าง หรือจับจองก่อนใคร โดยโครงการฯ จะเปิดรอบ VIP Day ในวันที่ 30 มีนาคม 2562 พร้อมสิทธิพิเศษรับส่วนลด 200,000 บาท ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าชมห้องตัวอย่าง ที่http://www.cg.co.th/monterama9 โทร.09 9164 6888 หรือ Line ID : @MonteRama9

ทัพบันเทิงไทยเจาะตลาดเอเชีย เจรจาการค้าพุ่งกว่า 1.6 พันล้านบาท

alivesonline.com : กระทรวงพาณิชย์ นำคณะผู้ประกอบการธุรกิจบันเทิงไทยเยือนฮ่องกง เข้าร่วมงาน FILMART 2019 ได้รับการตอบรับด้วยดีจากบรรดานักลงทุนผู้สร้างชาวเอเชียและยุโรป สร้างมูลค่าเจรจาการค้ารวมกว่า 1.6 พันล้านบาท เหตุปัจจัยบวกเอื้อหลายด้าน

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หลังจาก กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ บูรณาการร่วมกันระหว่าง กระทรวงวัฒนธรรม และกรมการท่องเที่ยว นำคณะผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจบันเทิงไทยจำนวน 22 รายเดินทางไปเจรจาการค้าในงาน “Hong Kong International Film & TV Market 2019” (FILMART 2019) ณ เมืองฮ่องกง เมื่อวันที่ 18–21 มีนาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่าประเทศไทยได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งจากบรรดานักลงทุนผู้สร้างในธุรกิจบันเทิงกลุ่มตลาดเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตในภูมิภาคเอเชีย ทั้งในด้านของการทำ Co-Production การเป็นพันธมิตรทางการค้าเพื่อเป็นตัวแทนซื้อขายภาพยนตร์ และการส่งต่องานด้าน Post Production ให้ประเทศไทยเป็นผู้ผลิต สร้างประมาณมูลค่าเจรจาการค้ารวมกว่า 1.6 พันล้านบาท จากจำนวนการเจรจา 558 คู่ธุรกิจ

ปัจจัยหลักที่ทำให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จเนื่องด้วยความพร้อมในหลายๆ ด้าน เช่น บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านแรงงานอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ประกอบกับความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมบันเทิงไทยที่มีประสบการณ์และทำการตลาดร่วมกับกรมฯ มาอย่างยาวนาน พร้อมเดินทางไปเปิดตลาดการค้าที่สำคัญ ๆ ในหลากหลายภูมิภาค ทำให้ได้รับความน่าเชื่อถือและการยอมรับในตลาดโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ

นายบุณยฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ภายในงานได้เกิดการลงนามสัญญาที่สำคัญ ได้แก่ บริษัท เฮโล โปรดักส์ชั่น จำกัด ได้ลงนามสัญญาเพื่อทำ Co-Production สร้างความร่วมมือกับ บริษัท Han Media (HK) Culture Company Limited จากเมืองฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน ผลิตซีรีส์เพื่อเผยแพร่ทั้งในไทยและจีน มูลค่าเจรจาการค้ากว่า 100 ล้านบาท และ บริษัท ฮอลลีวู้ด (ไทยแลนด์) จำกัด ลงนามสัญญากับ บริษัท AirSpeed Pictures จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับสิทธิ์ในการจัดจำหน่ายภาพยนตร์เรื่อง “The Lake” มูลค่าเจรจาการค้ากว่า 60 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัท วิชเทรน ประเทศไทย จำกัด ได้ลงนามสัญญากับบริษัทจากประเทศฝั่งยุโรป เพื่อจัดจำหน่ายสารคดี จำนวน 2 เรื่องไปยังทั่วโลก

ขณะเดียวกัน บริษัท เบนีโทน ฟิล์มส์ จำกัด ยังได้เจรจาการค้ากับบริษัท Reality Distribution Field ประเทศแคนาดา ซึ่งตกลงเลือกสถานที่ถ่ายทำในประเทศไทย เพื่อเข้ามาถ่ายทำซีรีส์ภายหลังเสร็จสิ้นจากจบงาน FILMART ทันที โดยปัจจัยส่วนหนึ่งที่สำคัญคือการตัดสินใจเข้ามาถ่ายทำในประเทศไทยจากมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และด้วยมาตรฐานการทำงานในระดับสากลจึงทำให้ บริษัท กันตนา ซาวด์ สตูดิโอ จำกัด ได้รับความไว้วางใจจาก บริษัท CBM จากจีน ซึ่งเป็นบริษัทที่มีคอนเทนต์จากสถานีช่อง CCTV ทั่วโลกc]tเป็นสถานีของจีนที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เตรียมส่งงานจำนวนมากมาทำ Post Production ด้านเสียงในประเทศไทย ส่วน บริษัท เดอะมั้งค์ สตูดิโอ จำกัด ได้เจรจาการค้ากับบริษัทแอนิเมชั่นจากเกาหลีใต้ เพื่อรับงาน Outsource และ บริษัท ซันเดย์ สทิล เวิร์คกิ้ง จำกัด ได้พบกับผู้ค้ารายใหม่จากอินเดีย และฟิลิปปินส์ เปิดตลาดซื้อขายภาพยนตร์ไทยเป็นครั้งแรก

“เป็นที่น่าจับตามองว่า อุตสาหกรรมภาพยนตร์ แอนิเมชั่น โทรทัศน์ และสารคดีไทย เริ่มได้รับความสนใจจากประเทศคู่ค้ารายใหม่ นับเป็นอีกหนึ่งความพยายามในการเปิดประตูการค้าจากภาครัฐและเอกชนไทย เพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างประเทศในอาเซียนและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ตลอดจนเพิ่มขีดในการแข่งขันและความสำเร็จของธุรกิจบันเทิงไทยบนเวทีการค้าโลกอย่างยั่งยืน” นายบุณยฤทธิ์ กล่าวในตอนท้าย

 

 

 

“โปรเจค แพลนนิ่งฯ” ปรับแผนเพิ่มช่องทางรายได้กลุ่มอสังหาฯ

 

alivesonline.com : PPS พัฒนากลุ่มธุรกิจใหม่ภายใต้ Investment Platform หนุนธุรกิจในเครือ พร้อมปรับโครงสร้างธุรกิจ ด้าน PPS Oneworks รับงานเข้ามือ 30 ล้านบาท ขณะที่ธุรกิจวิศวกรที่ปรึกษารับรู้รายได้ต่อเนื่อง เดินหน้าประมูลงานใหม่ หนุน Backlog 315 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้โต 10% หรือ 425 ล้านบาท เตรียมจ่ายปันผลอีก 0.01 บาทต่อหุ้น กำหนดจ่าย 22 .ค.62 ขณะที่ผลประกอบการปี 61 รายได้รวม 387.09 ล้านบาท กำไรสุทธิ 7.42 ล้านบาท

ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS  เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาการดำเนินธุรกิจ รวมถึงเพิ่มช่องทางในการหารายได้ให้แก่กลุ่มบริษัท ภายใต้ Investment Platform เพื่อการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง โดยมีกลุ่มบริษัท Ensemble Equity PTE., LTD.และ Profin Group ทำหน้าที่หากลุ่มผู้ลงทุน ร่วมกับผู้ช่วยในการคัดเลือกโครงการที่น่าสนใจ และใช้ Project SPV หรือ Special-Purpose Vehicles เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงกลุ่มนักลงทุนและโครงการ และส่งต่อโครงการนั้นให้บริษัทในเครือ PPS ทั้งหมด เพื่อทำหน้าที่เป็น Project Support หรือ Technical service

“การพัฒนากลุ่มธุรกิจใหม่ถือเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าใหม่ทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งเป็นการลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาโครงการภาครัฐและเอกชนที่อยู่ในภาวะชะลอตัว โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ปรับโครงสร้างการทำธุรกิจ ปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน รวมทั้งหาโอกาสทางธุรกิจอยู่เสมอ เพื่อกระจายความเสี่ยง ขยายขอบเขตการดำเนินงาน ตลอดจนขยายฐานลูกค้าเพื่อรองรับการเติบโตที่ยั่งยืน”

ขณะที่ บริษัทร่วมทุน PPS Oneworks ขยายธุรกิจด้านการออกแบบ การบริหารงานก่อสร้าง งานประมาณราคา (Quantity Surveyor) และ Technical Support ด้วยเทคโนโลยี BIM (Building Information Modeling) ซึ่งเป็นโอกาสในการขยายบริการและขยายฐานลูกค้าให้กับบริษัท อีกทั้งเป็นการดำเนินงานที่มีระยะเวลาสั้น สามารถคาดการณ์รายได้และระยะเวลารับรู้รายได้ได้ชัดเจนกว่างานรับเหมา ขณะนี้มีงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการประมาณ 30 ล้านบาท และมีโครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีกหลายโครงการ โดยในปี 2562 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ 50 ล้านบาท

สำหรับธุรกิจวิศวกรที่ปรึกษาบริหารโครงการในช่วงไตรมาสแรกทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องอาทิ โครงการสยามสินธร โครงการพัฒนาพื้นที่ย่านสยามสแควร์ (Block H) และโครงการเซ็นทรัลพลาซา ชลบุรี อีกทั้งยังมีโครงการใหญ่ที่เพิ่งเริ่มงานในปลายปี 2561 อาทิ โครงการ เดอะมอลล์ 2 รามคำแหง โครงการ The EmSphere นอกจากนี้มีงานที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา มูลค่ารวมมากกว่า 60 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มงานประเภทโรงแรมและงานโมเดิร์นเทรด ขณะเดียวกันยังเดินหน้าเข้าประมูลงานใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน อีกทั้งเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าร่วมประมูลงานในโครงการเมกะโปรเจกต์และงานกลุ่ม EEC คาดว่าจะเริ่มทยอยเปิดประมูลตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2/62 เป็นต้นไป ปัจจุบันบริษัทมี Backlog อยู่ที่ 315 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2566 บริษัทเชื่อว่าจะสามารถเติบโตตามแผนที่วางไว้ประมาณ 10% หรือมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 425 ล้านบาทในปี 2562

ดร.พงศ์ธร กล่าวด้วยว่า คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้นำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ในการจ่ายปันผล สำหรับปี 2561 จากกําไรสะสม ในอัตราหุ้นละ 0.02 บาท เป็นจำนวนเงิน 16.72 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นไปแล้ว เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2561 ในอัตราหุ้นละ 0.01 บาท ดังนั้น บริษัทฯ จะจ่ายเงินปันผลเพิ่มเติมให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.01 บาท คิดเป็นเงินปันผลจ่ายเพิ่มเติมจํานวน 8.60 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 58.72% ของกําไรสะสมส่วนที่ยังไม่ได้จัดสรรก่อนจ่ายปันผลประจําปี 2561 กำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 7 พ.ค. 62 และกำหนดจ่ายปันผลวันที่ 22 พ.ค. 62 (ขออนุมัติจากประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 24 เม.ย.62 )

ขณะที่ผลประกอบการปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวม 387.09 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 396.03  ล้านบาท จำนวน 8.94 ล้านบาท หรือลดลง 2.26 % และมีกำไรสุทธิ 7.42 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 55.17 ล้านบาท จำนวน 47.75 ล้านบาท หรือลดลง 86.55% ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทฯ มีการชะลอตัวลงเนื่องจากความล่าช้าจากโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงร่วมกัน ส่งผลให้มีการปรับประมาณการต้นทุนและรายได้ของโครงการดังกล่าว

 

เฟ้นหาสุดยอดเทรดเดอร์ “Master” ชิงรางวัลรวม 100,000 บาท

alivesonline.com : SKYNET SYSTEMS จับมือกับ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST พัฒนาและเปิดตัว “KTBST Social Trading” แพลตฟอร์มใหม่อย่างเป็นทางการ โชว์จุดเด่นการจัดอันดับความสามารถของนักลงทุนออนไลน์ทั้งมือใหม่และมืออาชีพได้จริง พร้อมเตรียมจัดแข่งขัน SKYNET Master Tournament  เฟ้นหาสุดยอดผู้ให้ข้อมูล “Master” ชิงเงินรางวัลรวม 100,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 18-30 เมษายน 2562

นายพิพัฒน์ รุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สกายเน็ต ซิสเต็มส์ จำกัด (SKYNET SYSTEMS) กล่าวว่า SKYNET  ร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST เปิดตัว แพลตฟอร์มใหม่ “KTBST SOCIAL TRADING” พร้อมเตรียมจัดการแข่งขัน SKYNET Master Tournament ตั้งแต่วันที่ 18-30 เมษายน 2562 เพื่อเฟ้นหาผู้ให้ข้อมูล (Master) มืออาชีพในการเทรดหุ้น SET100 ในระบบ Master ผ่านโปรแกรม Skynet Stock Trading ชิงเงินรางวัลรวม 100,000 บาท โดยบริษัทจะมอบรางวัล Daily Top Master Performance มูลค่า 5,000 บาท ต่อวัน สำหรับผู้เข้าแข่งขันที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดรายวัน (Top Score สูงสุด) ในระบบ SKYNET Master  และรางวัล Top Master Tournament มูลค่า 10,000 บาท สำหรับผู้ที่ได้ Top Gain สูงที่สุด อันดับที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 18-30 เมษายน 2562

ด้าน นายชาตรี โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ KTBST เปิดเผยว่า การแข่งขันในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสังคมการลงทุนคุณภาพที่เฟ้นหาผู้ให้ข้อมูล (Master) ผ่านการแข่งขันที่จัดขึ้นโดย SKYNET นักลงทุนที่ร่วมแข่งขันและแสดงผลงานการเทรดหุ้นในตลาดหุ้นจริง ๆ นอกจากจะมีโอกาสรับรางวัลจากการแข่งขันแล้ว ผลตอบแทนจากการลงทุนของทุกคนที่เข้าร่วมแข่งขันจะสะสมไว้เป็นผลงานของ Master เพื่อใช้แสดงให้กับสังคมการลงทุนเมื่อ KTBST เปิดให้บริการฟังก์ชั่น Master โดยฟังก์ชั่นดังกล่าวจะส่งสัญญาณการซื้อขายหุ้นจาก Master ทันทีหลังการซื้อขายให้กับผู้ติดตาม (Follower) และฟังก์ชั่น Follower ที่สามารถติดตามและส่งคำสั่งซื้อขายตาม Master พร้อมทั้งศึกษากลยุทธ์การเทรดของ Master ได้

ทั้งนี้ ฟังก์ชั่นดังกล่าวข้างต้น KTBST พร้อมให้บริการแล้ว แต่ยังต้องรอความชัดเจนเรื่องเกณฑ์การกำกับดูแล Social Trade ของสำนักงาน ก.ล.ต.ก่อนเปิดให้บริการด้วยบัญชีซื้อขายจริง ผู้ที่สนใจทดลองใช้งานฟังก์ชั่นดังกล่าวสามารถเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับ KTBST เพื่อทดลองใช้ฟังก์ชั่น Master และ Follower ผ่านบัญชีทดลอง (Demo Account) ได้แล้ววันนี้

นักลงทุนที่สนใจร่วมแข่งขัน SKYNET Stock Master Tournament จะต้องเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ประเภทเงินฝากล่วงหน้า (Cash Balance) กับ KTBST ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำ 50,000 บาท และสามารถฝากเงินเพิ่มได้ตลอด แต่ห้ามถอนเงินตลอดการแข่งขัน หากมีการถอนเงินทาง SKYNET จะถือว่าผู้เข้าแข่งขันสละสิทธิ์ในการรับรางวัลของการแข่งขันโดยทันที

ผู้สนใจจะต้องลงทะเบียนเพื่อเข้าแข่งขันที่ https://ranking.skynetsystems.co.th/main/stock/#/register/noref/032 ตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 21-30 มีนาคม 2562 เพื่อแข่งขัน ระหว่างวันที่ 18-30 เมษายน 2562 สนใจสามารถติดตามอ่าน กติกาและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ facebook Skynet Systems  https://www.facebook.com/skynetsystems.co.th

เครือเฮอริเทจ ลดราคาสินค้าถั่วและผลไม้อบแห้งที่ “แม็คโคร” ทุกสาขา

เครือเฮอริเทจ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ จัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้าถั่วและผลไม้อบแห้งของแบรนด์ “เฮอริเทจ” ถุงสีเขียว เพื่อคืนกำไรลูกค้าที่รักและใส่ใจในสุขภาพ อาทิ ลูกเกดดำ 1,000 กรัม ราคาปกติ 156 บาท ลดเหลือ 145 บาท, อัลมอนด์เม็ดดิบ 500 กรัม ราคาปกติ 355 บาท ลดเหลือ 235 บาท, เมล็ดฟักทองอบ 454 กรัม ราคาปกติ 242 บาท ลดเหลือ 219 บาท, ลูกเกดเขียว 454 กรัม ราคาปกติ 110 บาท ลดเหลือ 89 บาท และอีกหลากหลายรายการที่คัดสรรมาแล้วเพื่อสุขภาพที่ดีสำหรับตัวคุณเองและคนที่คุณรัก

สามารถหาซื้อสินค้าแบรนด์ “เฮอริเทจ” ในราคาโปรโมชั่นได้แล้ววันนี้ถึงวันที่ 26 มีนาคม 2562 ที่ “แม็คโคร” ทุกสาขา หรือหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ โทร.0 2813 0954-5 หรือติดตามกิจกรรมและข่าวสารของเครือเฮอริเทจได้ที่ www.heritagethailand.com/corp และ www.facebook.com/Heritagegroupth

Lenovo ThinkSmart Hub 500 ปฏิวัติการประชุมสายในห้องประชุม

“เลอโนโว” ผู้นำด้านคอมพิวเตอร์และสมาร์ท ดีไวซ์ระดับโลกประกาศการจำหน่าย Lenovo ThinkSmart Hub 500 ในประเทศไทย

Lenovo ThinkSmart Hub 500 คืออุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาการทำงานที่ซับซ้อนของอุปกรณ์ภายในห้องประชุมและช่วยให้องค์กรสามารถนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้เพื่อปฏิรูปสถานที่ทำงานให้ก้าวล้ำทันสมัยยิ่งขึ้น Lenovo ThinkSmart Hub 500 เป็นอุปกรณ์ Skype Room Systems ที่ช่วยจัดการระบบภายในห้องประชุมได้อย่างชาญฉลาด โดยสามารถเชื่อมต่อผู้เข้าร่วมประชุมทางไกล และผู้เข้าร่วมประชุมภายในองค์กรเข้ากับแอปพลิเคชัน Skype for Business รวมทั้งการแชร์ข้อมูลร่วมกันระหว่างการประชุมเพื่อช่วยลดอุปสรรคในการนำเสนอข้อมูลผ่านหน้าจอแล็ปท็อปและลดความยุ่งยากในการเชื่อมต่อผ่านสายเคเบิล นอกจากนี้การร่วมมือพัฒนาระหว่าง “เลอโนโว” และ “ไมโครซอฟท์” ยังทำให้ ThinkSmart Hub 500 เป็นอุปกรณ์แบบ All-in-One ที่มาพร้อมหน้าจอขนาด 11.6 นิ้ว ปรับหมุนได้ถึง 360 องศา และรองรับระบบปฏิบัติการ Microsoft Windows 10 IoT Enterprise

ออฟฟิศที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น

การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยีและการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคแห่งดิจิทัลส่งผลให้การสร้างอุปกรณ์ดีไวซ์สมัยใหม่สำหรับห้องประชุมจำเป็นต้องเอื้อต่อการทำงานร่วมกันของคนทั้งในและนอกองค์กรอย่างครบวงจร จากการศึกษาพบว่า 92% ขององค์กรธุรกิจกำลังวางแผนปรับเปลี่ยนรูปแบบสถานที่ทำงาน (Workplace Transformation Initiatives) เพื่อยกระดับประสบการณ์ทำงานร่วมกันของพนักงานที่ทำงานนอกสถานที่และทำงานภายในองค์กรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การเติบโตของสมาร์ทออฟฟิศถือเป็นโอกาสสำคัญทางธุรกิจโดยเฉพาะผู้ให้บริการฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รวมทั้งผู้ค้าปลีกและผู้ติดตั้งระบบ เนื่องจากองค์กรในปัจจุบันคำนึงถึงความสำคัญและมุ่งมั่นลงทุนเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

 ห้องประชุมที่มีประสิทธิภาพครบวงจร

ห้องประชุมในปัจจุบันประกอบด้วยอุปกรณ์มากมาย อาทิ เครื่องโปรเจคเตอร์ จอแสดงผล และโทรศัพท์พร้อมลำโพง และมีองค์กรจำนวนน้อยมากที่มีการติดตั้งอุปกรณ์หรือแพลตฟอร์มเพื่อรองรับการประชุมแบบวิดีโอเพื่อการทำงานร่วมกันของคนในองค์กรซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้เข้าประชุมต้องเสียเวลาในการจัดเตรียมอุปกรณ์ก่อนเริ่มการประชุมเป็นเวลาอย่างต่ำไม่น้อยกว่า 10 นาที

Lenovo ThinkSmart Hub 500 สามารถเปลี่ยนห้องประชุมของคุณให้ทำงานได้อย่างอัจฉริยะยิ่งขึ้น ด้วยการติดตั้งและการจัดการที่ง่ายดาย ทั้งยังสามารถเคลื่อนย้ายไปติดตั้งบริเวณอื่นเพื่อเปลี่ยนเป็นห้องประชุม Skype for Business ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เครื่องมาพร้อมระบบเสียงแบบ Dolby Audio Premium ไมโครโฟนรอบทิศทาง 360 องศา หน้าจอแบบสัมผัสเพื่อง่ายต่อการควบคุมและสามารถสั่งให้แสดงผลผ่านจอนอกได้ เครื่องติดตั้งระบบ Skype for Business เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานห้องประชุมขนาดเล็กหรือขนาดกลางได้อย่างสมบูรณ์แบบ

Lenovo ThinkSmart Hub 500 พร้อมจำหน่ายแล้วตั้งแต่วันนี้ สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อได้ที่ โทร.0 2687 2356 ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับได้ที่ http://www3.lenovo.com/us/en/hub500

“ไรซ์ บัดดี้” ไรซ์สแน็กสายพันธุ์ใหม่เพื่อสุขภาพ

ไวด์ เฟธ ฟู้ด เจ้าของไอเดียความอร่อยเพื่อสุขภาพ เตรียมเสิร์ฟความลับสแน็กสายพันธุ์ใหม่ ครั้งแรกในประเทศไทยกับปรากฏการณ์ความบาง กรอบ อร่อย ได้สุขภาพ เข้าถึงรสชาติความหอมของข้าวไทยแบบเต็ม ๆ

“ไรซ์ บัดดี้” ข้าวแผ่นอบกรอบเพื่อสุขภาพ ด้วยความอร่อยสไตล์ไรซ์สแน็กเนื้อบางเฉียบ จากข้าวไทยเกรดคุณภาพ 100% ปราศจากกลูเตน ใช้วิธีการอบแทนการทอด ทำให้ได้ความอร่อยกรุบกรอบ แบบที่ไม่มีคอเลสเตอรอลและไร้ไขมันทรานส์ คลุกเคล้าด้วยเครื่องปรุงรสชั้นดี จากสารพัดวัตถุดิบคัดสรรจากธรรมชาติ อร่อยจัดเต็มกันกว่า 4 รสชาติ ทั้ง รสสาหร่ายเกาหลี, รสไลม์แอนด์ชิลลี่, รสพิซซ่า และรสเทอริยากิ

ลิ้มลองไรซ์สแน็คสายพันธุ์ใหม่ บางกว่า! กรอบกว่า! สุขภาพดีกว่า! อร่อยเข้มเต็มเนื้อข้าว แบบที่คุณไม่เคยสัมผัสที่ไหนมาก่อนกับ “ไรซ์ บัดดี้” ข้าวแผ่นอบกรอบเพื่อสุขภาพ หาซื้อได้แล้ว Gourmet Market, foodland, ตั้ง ฮั่ว เส็ง, Tsuruha และซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำต่างทั่วประเทศ