เทรนด์ใหม่แห่งการสลายไขมัน สไตล์ FREEZ YOUR FAT OFF

“เดอร์มาลิงค์” ผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพของในประเทศไทย เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด Cryo-fit & Cryo-V (ไครโอ-ฟิต & ไคร-โอ-วี) นวัตกรรมการสลายไขมันเฉพาะจุดด้วยความเย็น เทคโนโลยี CRYOLIPOLYSIS (ไคร-โอ-ไล-โป-ซิส) ที่มีความปลอดภัยสูง ทุกขั้นตอนการรักษาล้วนผ่านการทดลองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

นายนภันต์ แพร่ภัทร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เดอร์มาลิงค์ จำกัด ผู้นำด้านนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ความงามและสุขภาพของประเทศไทย เปิดเผยว่า “เดอร์มาลิงค์” คือ ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก เช่น mesoestetic (เม-โส-เอส-เท-ติกส์)® จากเสปน , SELPHYL (เซล-ฟิ้ว)® จากสหรัฐอเมริกา และอีกหลากหลายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมความงามคุณภาพ จนถึงขณะนี้บริษัทฯ ได้ส่งมอบสินค้าคุณภาพไปยังคลินิกความงามและโรงพยาบาลทั่วประเทศมากกว่า 3 พันแห่ง รวมทั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและภูมิภาคตะวันออกกลาง

ล่าสุดบริษัทฯ ได้เปิดนวัตกรรมความงามเปลี่ยนภาพ FAT Trends 2019 สู่มุมมองใหม่กับ CRYOLIPOLYSIS  เทคโนโลยีเครื่องสลายไขมันโดยการใช้ความเย็น ด้วยคลื่นความเย็นอุณหภูมิระดับติดลบ แทรกซึมลงไปแช่แข็งชั้นไขมันใต้ผิว หยุดทุกการเติบโตของเซลล์ไขมัน แช่แข็งตัวตนเดิม สัมผัสตัวตนใหม่ที่โดดเด่นในแบบ FREEZ YOUR FAT OFF “เย็นติดลบ จุดจบทุกไขมัน” ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีความปลอดภัยสูง ทุกขั้นตอนการรักษาล้วนผ่านการทดลองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เปลี่ยนภาพเทคโนโลยีอันตราย สู่ความโดดเด่นด้านการสลายไขมันอย่างมีประสิทธิภาพ ทำงานด้วยการส่งคลื่นอุณหภูมิติดลบ แทรกผ่านผิวหนังสู่ชั้นไขมันจากแรงดูดที่เหมาะสม เกิดความเย็นระดับ -3 ถึง -9 องศาเซลเซียส สลายเซลล์ไขมันอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เกิดบาดแผล ไม่ต้องพักฟื้น และไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์ข้างเคียง เห็นผลการรักษาอย่างรวดเร็วในเวลา 2-6 สัปดาห์ ถูกออกแบบตัวเครื่องด้วยแนวทางการแพทย์สมัยใหม่ สร้างรูปลักษณ์เฉพาะตัว น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก และยังใช้งานง่าย ตอบทุกโจทย์การใช้งานด้วย 2 ซีรีส์ 2 แนวคิด อย่าง Cryo-Fit & Cryo-V

 

Cryo-fit เป็นเครื่องสลายไขมันซีรีส์ FIT ออกแบบให้ปล่อยความเย็นกว้างถึง 180 องศา ช่วยเข้าถึงชั้นไขมันหลักตามร่างกาย ทั้งหน้าท้อง แผ่นหลัง เอว ข้างลำตัว ต้นแขน ต้นขาด้านในและด้านนอก รวมถึงหน้าอกที่มีไขมันส่วนเกินในผู้ชาย ใช้เวลารักษา 30-60 นาที ปรับรูปแบบได้ถึง 4 Shaper สร้างรูปร่างดึงดูด พร้อมก้าวสู่ทุกเส้นทางด้วยความมั่นใจ ราคา 139,000 บาท

Cryo V ซีรีส์แห่งความงามสไตล์ V SHAPE โดดเด่นด้วยขนาดเล็กเหมาะมือ ปรับระดับด้วยอุปกรณ์ Shaper Fix และปล่อยความเย็นได้รอบตัว 360 องศา ช่วยเข้าถึงทุกชั้นไขมันขนาดเล็กที่หลบซ่อน อย่างบริเวณใบหน้า คาง รักษาในระยะเวลา 30-60 นาที เผยโครงหน้าเด่นชัด สร้างเสน่ห์แห่งรอยยิ้มที่ลงตัว ราคา 149,000 บาท

นายนภันต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของบริษัทฯ คือ คลินิกเสริมความงามและสถาบันความงาม ส่วนกลุ่มเป้าหมายรองคือ กลุ่มธุรกิจสปา โดยคาดว่าการเปิดตัว Cryo-fit & Cryo-V จะทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโต 5-10 % จากยอดขายรวมของปี 2561 เนื่องจากยังเป็นเทคโนโลยีใหม่และได้เปรียบเรื่องราคาเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ใช้เทคโนโลยีเดียวกัน ทั้งยังสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าได้กว้างขวางขึ้น

ผู้สนใจร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่ FAT Trends 2019 สไตล์ “เย็นติดลบ จุดจบทุกไขมัน” ด้วย Cryo-fit & Cryo-V สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.09 5990 8092

 

เปิดงาน “บางกอกเจมส์ ครั้งที่ 63” ยิ่งใหญ่ หวังดึงผู้ซื้อกว่า 2 หมื่นรายทั่วโลก


alivesonline.com : พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ หรือ “
Bangkok Gems & Jewelry Fair” ครั้งที่ 63 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี ซึ่งจัดขึ้นโดย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อส่งเสริมศักยภาพและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งขนาดใหญ่และเอสเอ็มอีให้ขยายธุรกิจสู่ตลาดโลก คาดดึงนักธุรกิจและผู้ซื้อกว่า 2 หมื่นรายทั่วโลกเข้าร่วมงาน พร้อมสร้างคำสั่งซื้อภายในงานไม่ต่ำกว่า 2.4 พันล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ห้องรอยัลจูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน “Bangkok Gems & Jewelry Fair” ครั้งที่ 63 โดยมี นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ร่วมรับเสด็จ

จากนั้น พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับภายในงาน เพื่อให้กำลังใจผู้ประกอบการและเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักออกแบบรุ่นใหม่พัฒนาฝีมือและผลักดันสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยสู่ตลาดโลก

นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน ในแง่ของการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับที่ได้รับการยอมรับทั่วโลก อีกทั้งยังสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ช่างฝีมือและแรงงานในภาคอุตสาหกรรมถึง 1.2 ล้านคน โดยในปี 2561 ประเทศไทยมีการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ (รวมทองคำ) มีมูลค่าถึง 383,713 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.74 ของการส่งออก นับเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ไทยอย่างมาก

กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินงานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและส่งเสริมด้านการตลาด ในหลายด้าน เพื่อเป็นการตอกย้ำการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการค้าและการผลิตอัญมณีและเครื่องประดับของโลก (Jewelry Hub) อาทิ การจัดทำกลยุทธ์การสื่อสารเพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมให้เป็นที่ยอมรับในกลุ่มผู้ซื้อ ผู้นำเข้า รวมถึงสร้างการรับรู้โดยตรงแก่ผู้บริโภค เช่น โครงการ Buy With Confidence โดยสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT คู่ขนานไปกับการส่งเสริมภาพลักษณ์อุตสาหกรรมในต่างประเทศ ผ่านแคมเปญ “Thailand Magic Hands : The Spirit of Jewelry Making” โดย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ รวมทั้งการยกระดับงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ Bangkok Gems and Jewelry Fair ซึ่งถือเป็นเวทีการค้าที่สำคัญสำหรับนักธุรกิจ ผู้ซื้อ ผู้ขายในการต่อยอดธุรกิจในหลากหลายมิติ ทั้งการสรรหาวัตถุดิบ การค้าขาย และการสร้างเครือข่ายพันธมิตร ตลอดจนการขยายช่องทางการขายสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Ali Express และ thaitrade.com เป็นต้น

ด้าน นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่างาน “Bangkok Gems & Jewelry Fair” ครั้งที่ 63 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Thailand’s Magic Hands” มหัศจรรย์แห่งหัตถาช่างศิลป์ไทย เพื่อเชิดชูความงดงามประณีตของช่างฝีมือไทยที่สร้างสรรค์ชิ้นงานตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคระดับสากลได้อย่างลงตัว พร้อมมุ่งส่งเสริมความโดดเด่นของฝีมือการผลิตสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับโลก (Jewelry Hub) ต่อยอดการผลิตสู่การออกแบบ การสร้างนวัตกรรม และส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศอย่างครบวงจร ภายในงานมีผู้ผลิตและผู้ส่งออกชั้นนำจากไทยและนานาชาติกว่า 900 ราย อาทิ ฮ่องกง ญี่ปุ่น จีน อินเดีย อิสราเอล อิตาลี ประเทศสมาชิกอาเซียน และอื่น ๆ อีกมากมาย เข้าร่วมจัดแสดงสินค้า อัญมณีและเครื่องประดับคุณภาพที่ครอบคลุมทุกประเภทสินค้าและบริการที่เกี่ยวเนื่องกว่า 2 พันคูหา โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าชมงานกว่า 2 หมื่นราย จาก 130 ประเทศทั่วโลก เกิดคำสั่งซื้อภายในงานไม่ต่ำกว่า 2.4 พันล้านบาท

ภายในงานยังมีกิจกรรมและโอกาสทางการค้าเพื่อเจาะตลาดหลากหลายกลุ่ม อาทิ โซน The New Faces แสดงสินค้าเครื่องประดับจากผู้ผลิตและนักออกแบบระดับเอสเอ็มอี จำนวน 123 รายจากทั่วประเทศเพื่อเชื่อมโยงผู้ประกอบการจากภูมิภาคสู่สากล โดยมีผู้ประกอบการจาก 21 จังหวัด อาทิ ลำปาง แพร่ เชียงใหม่ สุโขทัย นครสวรรค์ ตาก สุรินทร์ พังงา นครศรีธรรมราช สตูล เป็นต้น

โซนThe Niche Showcase นำเสนอกลุ่มสินค้าใหม่ที่มีโอกาสเติบโตทางการค้าในต่างประเทศสูง 5 กลุ่มสินค้า ได้แก่ High Jewelry (เครื่องประดับชั้นสูง) Heritage & Craftsmanship (เครื่องประดับกลุ่มศิลปวัฒนธรรม) Spiritual Power (เครื่องประดับแนวความเชื่อ/โชคลาง) Luxe Men (เครื่องประดับสำหรับผู้ชาย) และ Beyond Jewelry (สินค้าไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ที่ผสานอัญมณีและเครื่องประดับ) โซน The Jewellers และ IDZ : Innovation and Design Zone แสดงผลงานของดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่และผลงานที่มีนวัตกรรม รวมทั้งยังมีการสาธิตการทำอัญมณีและเครื่องประดับของช่างฝีมือไทยโดยสมาคมช่างทองไทย อาทิ การแกะแวกซ์ การฝังอัญมณีและเครื่องประดับ การลงยาสี การลงยาถม การเจียระไนแฟนซี และการประกอบงานรูปพรรณเครื่องประดับ รวมทั้งกิจกรรมสัมมนาและแล็ปทดสอบอัญมณีเคลื่อนที่บริการภายในงาน

อนึ่ง งานแสดงสินค้า “Bangkok Gems & Jewelry Fair” ครั้งที่ 63 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 – 24 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี เปิดเจรจาการค้าระหว่างวันที่ 20–22 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 10.00–18.00 น. โดยจะเปิดสำหรับประชาชนทั่วไปในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 10.00 – 18.00 น. และวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 10.00–17.00 น. สามารถชมข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.bkkgems.com หรือโทรสายตรงการค้าระหว่างประเทศ 1169

 

 

พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงเสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงาน “บางกอกเจมส์” ครั้งที่ 63

พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ ทรงเสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ (Bangkok Gems & Jewelry Fair) ครั้งที่ 63 โดยมี นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางสาวบรรจงจิตต์ อังศุสิงห์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยข้าราชการกระทรวงพาณิชย์ เฝ้ารับเสด็จ

งานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ครั้งที่ 63 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-24 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ 1-3  อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด “Thailand’s Magic Hands” มหัศจรรย์แห่งหัตถาช่างศิลป์ไทย ตอกย้ำความพิถีพิถันสร้างสรรค์ผลงานของช่างฝีมือไทยที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยงานนี้จะเป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมศักยภาพและสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทั้งขนาดใหญ่ และ SMEs ให้ขยายธุรกิจสู่ตลาดโลก

 

PAUL & JOE แนะนำเมคอัพคอลเลกชันใหม่ “สีสันแห่งฤดูใบไม้ผลิ”


เครื่องสำอาง “PAUL & JOE” (พอล แอนด์ โจ) จากประเทศฝรั่งเศส แนะนำเมคอัพคอลเลกชันใหม่ SPRING CREATION 2019 FLORAL SHOPPE “สีสันแห่งฤดูใบไม้ผลิในปารีส” ให้คุณมอบดอกไม้แสนสวยให้กับตัวเองได้ทุกวันในรูปแบบลิปสติกแท่งสวยหลากเฉดสี, อายคัลเลอร์ในกล่องดอกไม้ และน้ำหอมกลิ่นดอกไม้แสนสดชื่น สะท้อนความเป็นตัวคุณให้เจิดจรัสในแบบสาวปาริเซียง สนใจเลือกซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ “PAUL & JOE” สาขาร้าน SKINSENCE ชั้น 2 สยามพารากอน สาขาไอคอนสยามที่ POP-UP STORE และร้าน @COSME

นกสกู๊ต “เล่นใหญ่” ปล่อยแคมเปญออนไลน์ลุ้นตั๋วบินฟรีเซี่ยงไฮ้


สายการบิน “นกสกู๊ต” ชวนสายล่ารางวัลมาร่วมสนุกกับแคมเปญ “เซี่ยงไฮ้ เล่นใหญ่ ไปยกแก็งค์” เปิดโอกาสให้คนที่ชอบเล่นใหญ่ลุ้นตั๋วเครื่องบินฟรีไป-กลับ และท่องเที่ยวแบบคูล ๆ กับแก๊งค์เพื่อนที่เมืองนครเซี่ยงไฮ้ ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 10 มีนาคม 2562

เหล่าผู้สมัครเพียงแค่ กดไลก์เฟซบุ๊กเพจของสายการบิน “นกสกู๊ต” และทำตามขั้นตอนที่แสนง่าย ดังนี้ 1.เพียงลงภาพหมู่กับแก๊งค์เพื่อน 4-6 คน ภายใต้คอนเซ็ป “เล่นใหญ่” โพสต์ท่าแปลกแหวกแนวไม่ซ้ำใคร (พร้อมทั้งมีโลโก้ของสายการบิน “นกสกู๊ต” แสดงอย่างชัดเจนในภาพ) 2.อัปโหลดลงบนหน้าเฟซบุ๊ก ตั้งค่า “สาธารณะ” พร้อมแคปชั่นสุดเก๋ และติดแฮชแท็ก #NokScoot #BigBird #นกสกู๊ดบินตรงเซี่ยงไฮ้ ท้ายสุดคืออย่าลืมติดแท็กเพื่อทุกคนในภาพเพื่อร่วมลุ้นรับรางวัลในแคมเปญนี้ด้วยกัน

ทีมงานพี่ “บิ๊กเบิร์ด” จะทำการคัดเลือกผู้โชคดีที่เล่นใหญ่ได้ใจที่สุด 5 กลุ่ม โดยจะประกาศผลในวันที่ 13 มีนาคม 2562 บนเฟซบุ๊กเพจของ “นกสกู๊ต”

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญและโปรโมชั่นได้ที่ http://www.facebook.com/nokscoot ข้อกำหนดและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กําหนด

“ยูบีเอ็ม” จับมือ “การบินไทย” ร่วมมอบประสบการณ์การบินสุดพิเศษ


‘อนุชนา วิชเวช’  ผู้อำนวยการกลุ่มโครงการ บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำตลาดในด้านการจัดงานแสดงสินค้า พร้อมด้วย ‘ธวัชชัย กิตติศรีบูรณ์กุล’  ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารลูกค้าองค์กรระหว่างประเทศ บมจ. การบินไทย ร่วมมอบสิทธิพิเศษส่วนลดบัตรโดยสารของการบินไทย ให้ผู้ที่เข้าร่วมงาน “ASEANbeauty 2019” งานแสดงสินค้าความงามและสุขภา ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียนซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-4 พฤษภาคม 2562 ณ ไบเทค บางนา  โดยมี ‘กัลยาภา พานิช’,  ‘ธริษตร์ มานะกุล’ และ ‘พัญณิศาต์ วงศ์ตระกูลกิจ’  ร่วมงาน ณ บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อเร็ว ๆ  นี้

อาหารไทย…ฟีลนี้ต้อง “ฟิวชั่น”

alivesonlime.com : เพราะรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไปและชอบการผสมผสานของวัฒนธรรม รวมถึงความโมเดิร์นและสมัยใหม่ จึงดูเป็นเรื่องธรรมดาที่คนยุคนี้จะชื่นชอบความแปลกที่ไม่เหมือนใครในเรื่องราวต่าง ๆ โดยเฉพาะในเรื่องของอาหารการกินสไตล์ “ฟิวชั่น ฟู้ด”

อะไรคือ “ฟิวชั่น ฟู้ด” ?

นาทีนี้คงไม่ต้องสาธยายให้มากความว่าเป็นอาหารอีกสไตล์หนึ่งที่ผสมผสานกันระหว่างวัตถุดิบและสไตล์อาหารตั้งแต่ 2 สัญชาติขึ้นไป หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็น “อาหารลูกครึ่ง” นั่นเอง เพียงแต่การประกอบอาหารสไตล์นี้จำเป็นต้องคำนึงถึงความลงตัวของรสชาติ รวมถึงการจัดแต่งรูปร่างหน้าตาของอาหารนั้น ๆ ให้มีความเก๋ไก๋สอดรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพอาหารเพื่อแชร์ในโลกโซเชียลมีเดีย

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่การจัดงานเทศกาลมหกรรมอาหารAOVA Presents ครัวคุณต๋อย EXPOSEASON 4” ระหว่างวันที่ 21-24 กุมภาพันธ์ 2562 ตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. ณ อิมแพ็ค ฟอรัม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี ภายใต้ความรับผิดชอบของหัวเรือใหญ่ผู้จัดงานคือ ‘ตูน พัทธยศ ลิมปพัทธ์’ บุตรชายคนโตของพิธีกรชื่อดัง ‘ต๋อย ไตรภพ ลิมปพัทธ์’ จึงต้องการสร้าง “ความแตกต่าง” จากการจัดงานในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงบันดาลใจมากจากกระแสเสียงเรียกร้องจากบรรดาแฟน ๆ รายการ จึงทำให้เขาเพิ่มเติมการนำเสนอ “เมนูอาหารนานาชาติ” ที่คัดสรรมาร่วม 20 ร้าน

ในขณะที่บรรยากาศของงานยังเพิ่มความแปลกใหม่มากขึ้นนอกเหนือจากการออกบูธของร้านอาหารชื่อดังกว่า 200 ร้านแล้วคือ การจัดพื้นที่ “Live Exhibition” เพื่อนำเสนอและสาธิตวิธีการทำกันแบบติดขอบเวทีกับเรื่องราวขนมไทยชั้นประณีต กับ ขนมอาลัวสดร้อยมาลัย ที่ผู้ร่วมงานจะได้โอกาสมาร่วมทำขนมนี้กันจริง ๆ กับวิทยากร หรือการสาธิตแกะสลักแต่งจานเพื่อเพิ่มมูลค่าอาหาร การแสดงความแตกต่างระหว่างอาหารไทยฟิวชั่น อาหารไทยโมเดิร์น และอาหารไทยร่วมสมัย หรือจะเป็นการแสดงต้นกำเนิดของขนมไทยโบราณ ที่มาของชื่อขนมแต่ละชนิด และสอนการนำวัตถุดิบพื้นถิ่นมาทำเป็นเมนูนวัตกรรมใหม่ หรือเมนูใหม่ให้เป็นจริงขึ้นมา ขายได้ ทานอร่อยและส่งออกได้ ทำให้ผู้ร่วมงานได้ร่วมซึมซับเนื้อหาในรูปแบบการนำเสนอที่แปลกใหม่เกี่ยวกับอาหารไทยที่ตกทอดและส่งต่อภูมิปัญญาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงแนวทางสานต่อสู่อนาคต ตลอดจนในงานจะพบเมนูหายากและวัตถุดิบสุดพิเศษจากทั่วประเทศ

นอกจากนั้น ยังมีการนำเสนอ “เมนูอาหารฟิวชั่น” จากการทำเมนูอาหารไทยดั้งเดิมด้วยมือสู่การใช้ความคิดสร้างสรรค์พัฒนาให้เป็นเมนูอาหารตะวันออกรสจัดจ้านผสมผสานเข้ากับความกลมกล่อมของอาหารสไตล์ตะวันตก ขณะเดียวกันยังได้เชิญนักวางแผนการตลาดชื่อดังมาร่วมให้คำแนะนำเคล็ดลับการทำอาหารให้ลูกค้าติดใจสำหรับผู้สนใจนำไปต่อยอดธุรกิจในลักษณะ “ทำเองก็ง่าย ทำขายก็รวย”

  • แนวคิดและเสน์ห์การจัดงานครั้งที่ 4

‘ตูน พัทธยศ ลิมปพัทธ์’ บอกถึงแนวคิดการเพิ่มเติมสิ่งใหม่ ๆ ในงาน “AOVA Presents ครัวคุณต๋อย EXPO SEASON 4” ครั้งนี้ว่า เขาอยากให้เจ้าของร้าน หรือผู้ประกอบการที่มาร่วมออกบูธ มองถึงโอกาสในการสร้างแบรนด์ หรือสร้างการรับรู้ไปยังผู้มาร่วมงานเป็นจำนวนนับแสนรายมากกว่าจะคิดถึงเพียงยอดขายที่จะทำได้เฉพาะช่วงเวลาการจัดงานเพียง 4 วันเท่านั้น เพราะประโยชน์ที่จะได้รับภายหลังจากการจัดงานถือว่ามีมูลค่ามากกว่าหลายเท่านัก”

เขายังบอกด้วยว่า อยากทำให้งานมีเสน่ห์มากกว่ามีคนมางานเพื่อซื้ออาหาร แต่อยากให้ผู้มาร่วมงานได้เห็นคุณค่าของอาหารไทยว่าอาหารบางชนิดบางประเภทถ้าขาดการสนับสนุนจากผู้ซื้อ หรือคนไทยด้วยกันแล้ว อาหารไทยย่อมมีโอกาสที่จะสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย ขณะเดียวกันถ้าทุก ๆ ฝ่ายต่างมีส่วนร่วมกันพัฒนาอาหารไทยแล้ว การยกระดับอาหารไทยสู่ครัวโลกอาจเห็นผลในเร็ววันก็เป็นไปได้

“โดยเฉพาะในส่วนของเมนูอาหารฟิวชั่นซึ่งถือเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของการจัดงานครั้งนี้ถือได้ว่าจะเอื้อประโยชน์ให้ทั้งผู้มาร่วมงานและเจ้าของร้านที่มาร่วมออกบูธ เพราะถือเป็นการต่อยอดความคิดในการเพิ่มมูลค่าให้รายการอาหารธรรมดา ๆ ได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะการใช้วัตถุดิบที่คัดสรรเป็นพิเศษเพื่อนำมาผสมผสานกับอาหารที่หลาย ๆ อาจคุ้นชิน แต่เมื่อพัฒนาเป็นเมนูใหม่ย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างเกินคาดก็เป็นไปได้ โดยสิ่งสำคัญในการทำอาหารฟิวชั่น เราต้องมีความเข้าใจในรสชาติของอาหารแต่ละชนิดและสไตล์การตกแต่งอาหารแต่ละชาติ โดยใช้จินตนาการมาสร้างสรรค์อาหารใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความสุขให้ผู้มีโอกาสได้ลองลิ้มชิมรส”

  • EST.33 รังสรรค์เมนูอาหารจากส่วนผสมของ “เบียร์”

หนึ่งในร้านอาหารฟิวชั่นที่มาร่วมออกงาน “AOVA Presents ครัวคุณต๋อย EXPO SEASON 4” คือ EST.33 จากค่าย “สิงห์ คอร์ปอเรชั่น” ซึ่งปัจจุบันมี 4 สาขาคือ The Nine พระราม 9, CDC, The Up พระราม 3 และสิงห์ คอมเพล็กซ์ โดยแต่ละสาขาล้วนมีอาหารสูตรเด็ดตามที่ เชฟใหญ่ ‘ปิ๊ก สรมย์เวท ธีระพจน์’ บอกคือ เมนูอาหารทุกชนิดล้วนมีส่วนผสมของเบียร์!

เริ่มจาก “ซี่โครงหมูอบซอสบาร์บีคิวรสเผ็ด” (Spicy Roasted Bier-B-Q Pork Ribs) ซึ่งมีความพิเศษที่ความนุ่มของซี่โครงเพราะใช้เบียร์ตุ๋น พร้อมกับใช้ซอสถึง 33 ชนิด โดยมีอุปกรณ์หลักที่ใช้เสิร์ฟคู่กันคือ “ตะเกียบ” เพื่อให้ลูกค้าพิสูจน์ได้ถึงความนุ่มของซี่โครงที่สามารถคีบซี่โครงให้หลุดออกมาได้อย่างง่ายแสนง่าย ที่สำคัญความพิเศษของเมนูนี้ยังการันตีด้วยรางวัล Superior Tasted Award 2016 จากสถาบัน International Taste & Quality Institute (ITQI) ประเทศเบลเยียม

 

‘เชฟปิ๊ก’ ยังแนะนำอาหารเด่นอีก 2 เมนูคือ “พาสต้าผัดพริกขิง” ซึ่งนำเส้นพาสต้ามาผัดร่วมกับปลาดุกฟูผัดพลิกขิง จึงทำให้เมนูนี้มีความเป็นลูกครึ่ง อิตาเลียน-ไทย” ส่วนอีกเมนูคือ “ทงคัตสึ บอมบ์” ซึ่งเป็นหมูทอดสไตล์ญี่ปุ่น แต่เพิ่มเติมชีสสไตล์ยุโรปเข้าไปด้านใน จนทำให้เวลากินจะมีความรู้สึกเหมือนชีสทะลักอยู่ในปาก ส่วนอาหารอื่น ๆ ที่มีอยู่มากมายเกือบ 100 รายการนั้นส่วนใหญ่มีรสจัดจ้านสไตล์ไทย ๆ ถึง 70% เลยทีเดียว

  • “ราดหน้าอาหลิว” ต้นตำรับเส้นสปาเก็ตต้ดำรายแรกของไทย

อีกหนึ่งร้านที่ต้องพูดถึงเพราะมีความโดดเด่นในการรังสรรค์เมนูจนมีความแปลกใหม่และคงคุณค่าความอร่อยคือ “ราดหน้าอาหลิว” ร้านอาหารชื่อดังซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีของคนนอนดึกย่านฝั่งธนฯ ใกล้กับสะพานซังฮี้ เยื้องห้างสรรพสินค้าตั้งฮั่วเส็ง ธนบุรี เพราะร้านนี้เปิดมานานกว่า 50 ปีแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ร้านนี้ยังเปิดขายตลอดเวลา 24 ชั่วโมง !

แน่นอนว่าเมนูหลักของร้านนี้ย่อมหนีไม่พ้นก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ผัดซีอิ๊ว ข้าวผัดหมูอาหลิว ข้าวราดหน้าอาหลิวไข่มะตูม ข้าวคะน้าหมูหมักน้ำมันหอย ข้าวกะเพราหมูอาหลิว นอกจากนี้ยังมีอาหารกินเล่นอีกหลายรายการ เช่น หมูหมักอาหลิวจิ้มแจ่ว, หมูผัดอาหลิว, หมูสะเต๊ะ, คะน้าซอสน้ำมันหอย, แฮ่กึ๊น, ทอดมันกุ้ง

แต่ที่ถือว่า “ฟิวชั่นสุด ๆ ” คือการนำสปาเกตตีเส้นดำที่ทำจากหมึกปลาหมึกมาเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวราดหน้า เจ้าแรกของไทย เพราะเจ้าของร้าน “ราดหน้าอาหลิว” คือ ภรรยาเจ้าของร้านอาหารอิตาเลียนชื่อดังระดับมิชลินสตาร์ “GIANNI” ซอยต้นสน ถนนสุขมวิท นั่นเอง

“สปาเกตตีเส้นดำราดหน้าอาหลิว” ยังโดดเด่นที่ความนุ่มของเนื้อหมูหมัก ปรุงสดจานต่อจาน ทั้งยังมีเมนูพิเศษคือ “เส้นดำชุบไข่” ซึ่งต้องท้าให้ลองกินทั้งที่ร้าน หรือจะซื้อกลับบ้านก็จะมีน้ำราดหน้าสำเร็จแยกให้ต่างหากอีกด้วย

มาถึงตรงนี้ คงไม่แปลกนักถ้าจะบอกว่า นักชิมทั้งหลายต้องนับวันรอพบกับความแปลกใหม่ของเมนูอาหารต่าง ๆ ที่จะ “ไปกันได้อย่างไม่ผิด” ในงาน “AOVA Presents ครัวคุณต๋อย EXPO SEASON 4” ระหว่างวันที่ 21-24 กุมภาพันธ์ 2562 ตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. ณ อิมแพ็ค ฟอรัม ฮอลล์ 4 เมืองทองธานี

 

สัมผัสการวิ่งไร้แรงโน้มถ่วงกับ HOVR รองเท้าฝังชิปรุ่นใหม่จาก “อันเดอร์ อาร์เมอร์”

alivesonline.com : “อันเดอร์ อาร์เมอร์” (Under Armour) ผู้นำด้านนวัตกรรมชุดกีฬาไฮเพอร์ฟอร์มานซ์ เปิดตัวซีรีส์รองเท้าวิ่งเทคโนโลยี HOVR รุ่นใหม่ล่าสุดของปี 2562 ในประเทศไทย หวังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับอุตสาหกรรมรองเท้าวิ่ง เมื่อรองเท้าวิ่งผสานนวัตกรรมแผ่นรองรับแรงกระแทกรุ่นใหม่ล่าสุดและเทคโนโลยีฝังชิปการติดตามบนตัวรองเท้า จนเกิดเป็นประสบการณ์การวิ่งขั้นสูงที่สามารถเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์ได้อย่างลงตัว ด้วยชิปที่ติดตามและส่งข้อมูลโดยตรงสู่แอปพลิเคชัน MapMyRun เพื่อให้นักวิ่งดูรายละเอียดการวิ่งของตัวเอง เช่น ระยะทาง จำนวนก้าว ระยะของการแบ่งเพื่อการเร่งความเร็ว รวมไปถึงมาตรวัดการเดินที่มีความละเอียดมากขึ้น เช่น การวัดจังหวะและความยาวของแต่ละก้าว

รองเท้าวิ่งเทคโนโลยี HOVR รุ่นใหม่ในปี 2562 ประกอบด้วยรุ่น HOVR Infinite, HOVR Sonic 2, HOVR Guardian, HOVR Phantom SE และ HOVR Velocity 2 เพื่อมอบรองเท้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักวิ่งได้ทุกคน โดยรองเท้าวิ่งเทคโนโลยี HOVR ทุกรุ่นมีแผ่นรองกันกระแทกที่ผลิตจากสารประกอบโฟมอันเป็นนวัตกรรมเอกสิทธิ์ที่ “อันเดอร์ อาร์เมอร์” ร่วมมือแบรนด์นักสร้างสรรค์ระดับโลกอย่าง “ดาว เคมิคอล” (Dow Chemical) และห่อหุ้มด้วยโครงสร้างตาข่าย หรือ Energy Web ที่ช่วยคงรูปร่างแผ่นรองกันกระแทกให้เหมาะกับสรีระของฝ่าเท้า เพื่อมอบแกนรับแรงกระแทกและคืนแรงส่งที่มีความแข็งแรง รวมถึงป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นจากการลงแรงวิ่งไม่สม่ำเสมอได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รองเท้าวิ่งในซีรีส์ HOVR รุ่นใหม่นี้ยังมาพร้อมกับส่วนประกอบพิเศษอย่างชิปที่ฝั่งอยู่ในรองเท้าข้างขวา ซึ่งเชื่อมต่อเข้ากับแอปพลิเคชัน MapMyRun ที่ “อันเดอร์ อาร์เมอร์” พัฒนาขึ้น โดยแอปพลิเคชันจะทำหน้าที่วิเคราะห์และให้ข้อมูลการวิ่งรอบด้านได้แบบเรียลไทม์และแม่นยำเสมือนมีโค้ชวิ่งส่วนตัวให้กับยูสเซอร์ซึ่งเป็นเจ้าของรองเท้า ทำให้นักวิ่งสามารถประเมินสมรรถภาพของตัวเองผ่านประวัติการวิ่งและวางแผนการวิ่งในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายไมเคิล บิงเกอร์ ประธานบริหาร บริษัท ทริปเปิ้ล ผู้ได้รับสิทธิการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของ “อันเดอร์ อาร์เมอร์” ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่เพียงผู้เดียว กล่าวว่า “อันเดอร์ อาร์เมอร์” ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาและมองหานวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อมอบชุดกีฬาคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอ โดยการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีในชุดกีฬาเข้ากับโลกดิจิตอลในครั้งนี้ ทำให้ “อันเดอร์ อาร์เมอร์” ตอบโจทย์พฤติกรรมและสามารถสื่อสารกับกลุ่มนักวิ่งได้โดยตรง ซึ่งปี 2562 “อันเดอร์ อาร์เมอร์” มุ่งมั่นที่จะยกระดับประสบการณ์การวิ่งให้ดียิ่งขึ้นด้วยการเชื่อมต่อพวกเขาเข้ากับแพลตฟอร์มดิจิตอลที่เข้าใจความต้องการและนำไปสู่การพัฒนาการวิ่งที่มีประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี

หลังการเปิดตัวของรองเท้าเทคโนโลยี HOVR ที่มีชิปการติดตามเมื่อปีที่ผ่านมา “อันเดอร์ อาร์เมอร์” สามารถแทร็กการวิ่งได้ทั้งหมดมากกว่า 1 ล้านไมล์ผ่านแอปพลิเคชัน MapMyRun ซึ่งเรามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะได้แนะนำแอปพลิเคชันนี้ให้นักวิ่งในประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเจริญเติบโตสูงที่สุดในภูมิภาค เพื่อให้พวกเขาได้รับประสบการณ์การวิ่งที่เชื่อมต่อเข้ากับโลกดิจิตอลได้ดีที่สุดและมีส่วนร่วมใน Under Armour Connected Community ซึ่งมีสมาชิกแล้วมากกว่า 245 ล้านยูสเซอร์

สำหรับแอปพลิเคชัน MapMyRun ของ “อันเดอร์ อาร์เมอร์” มีฟีเจอร์โดดเด่นที่น่าสนใจและแตกต่างจากแอปพลิเคชันออกกำลังกายทั่วไป ดังนี้

1.Live Tracking การติดตามผลและเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่ให้ผู้ใช้สามารถวิ่งได้โดยไม่ต้องพกมือถือ หรือสมาร์ทวอทช์ ซึ่งจะช่วยให้มีสมาธิและนำไปสู่การวิ่งที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

2.In Depth Coaching การวิเคราะห์เชิงลึกที่ให้ผลลัพธ์ตรงกับผู้ใช้ได้อย่างแม่นยำ เสมือนมีโค้ชวิ่งส่วนตัว โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

3.Customized Training Plan การออกแบบแผนการซ้อมวิ่งเฉพาะตัวบุคคล โดยกำหนดจากค่าน้ำหนักและส่วนสูงของนักวิ่งแต่ละคน

4.Track Achievement การติดตามผลการวิ่งและการซ้อมอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปประเมินและออกแบบการวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงลดอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้

5.Metrics การแสดงค่าและคำนวณผลต่าง ๆ ที่ควรรู้ในการออกกำลังกาย เช่น ระยะความยาวก้าว จำนวนก้าว การเร่งความเร็ว

6.Friends and Challenge Community ชุมชนออนไลน์ที่ให้ผู้ใช้ได้พบปะ แลกเปลี่ยนความรู้ รวมถึงแข่งขันกันในกลุ่มนักวิ่งที่มีมากกว่า 245 ล้านยูสเซอร์

รองเท้าวิ่งเทคโนโลยี HOVR รุ่นใหม่ประจำปี 2562 มีวางจำหน่ายแล้ว ผ่านแบรนด์เฮ้าส์ทั้ง 9 สาขา ได้แก่ สยามเซ็นเตอร์, เซ็นทรัลเวิลด์, เมกาบางนา, Zpell@ฟิวเจอร์พาร์ค, เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เซ็นทรัล เวสต์เกต, เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา, จังซีลอน ภูเก็ตม จังซีลอน สาขาเชียงใหม่, ไอคอนสยาม, สยาม พารากอน, เอมโพเรียม, ดิ เอมควอเทียร์ และ Official Dealers ของ Under Armour ทั่วประเทศ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.underarmour.co.th หรือ https://www.facebook.com/UnderArmourThailand/ และอินสตาแกรม @UnderArmourThailand

UA HOVR Infinite ราคา 6,190 บาท

UA HOVR Sonic 2 ราคา 4,790 บาท

UA HOVR Phantom SE ราคา 6,490 บาท

UA HOVR Velociti 2 ราคา 5,490 บาท

 

 

Always Dry เปิดตัว 3 ผลิตภัณฑ์สุดล้ำ ย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมการดูแลสนีคเกอร์!

alivesonline.com : ประสบความสำเร็จด้านยอดขายที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ตามเทรนด์การออกกำลังกายและคนรักสนีคเกอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเมืองไทย พร้อมเดินหน้าปรับภาพลักษณ์ใหม่เน้นครองใจคนเมืองที่หลงใหลการออกกำลังกาย สตรีทสไตล์ จนถึงคนรักแฟชั่น ด้วยผลิตภัณฑ์สุดล้ำที่ตอบโจทย์ตัวตนที่แตกต่างได้อย่างมั่นใจ

Always Dry ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์เคลือบกันน้ำจากประเทศเบลเยียม ที่โดดเด่นเรื่องการปกป้องสนีคเกอร์และเครื่องหนังต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เปิดตัว 3 ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรมนาโนเทคโนโลยี พร้อมพัฒนาน้ำยาสูตรใหม่ให้มีประสิมทธิภาพและสมบูรณ์แบบมากขึ้น เพื่อการดูแล “สนีคเกอร์” คู่โปรดของคุณได้อย่างสมบูรณ์แบบและคุณสมบัติเด่นแบบ Stain Release ได้แก่

1.Ultra Fresh Capsule แคปซูลดับกลิ่น ลดการอับชื้น และกำจัดต้นเหตุของการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในรองเท้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผสานการทำงานของ 2 ระบบด้วยส่วนผสมหลักของ Activated Carbon และน้ำหอม ใช้งานง่าย สะดวกสบาย และให้กลิ่นหอมยาวนาน (320 บาท)2.Ultra White Marker ปากกาสีอะคริลิคกันน้ำสำหรับพื้นรองเท้า (Midsole) พร้อมปกป้องและฟื้นคืนขอบรองเท้าที่เหลืองให้กลับมาขาวเหมือนใหม่อีกครั้ง ใช้งานง่ายและแมตช์กับหลายพื้นผิวได้อย่างลงตัว (690 บาท)3.Ultra Wipes ผ้าเช็ดทำความสะอาดรองเท้าสูตรอ่อนโยนจากธรรมชาติ ด้วยส่วนผสมหลักของ Capryl Glucoside พร้อมเม็ดบีทสีฟ้าช่วยให้การทำความสะอาดง่ายดายยิ่งขึ้น พกพาสะดวกในทุกที่ พร้อมเช็ดทำความสะอาดรองเท้าผ้าใบ กระเป๋า และสนีคเกอร์ได้รวดเร็วทันใจ (250 บาท)

การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด “สนีคเกอร์” ครั้งนี้ สองผู้บริหารแบรนด์ “Always Dry” นำโดย ‘จิตต์ภูมิ ภูมิจิตร’ ประธานกรรมการบริหาร (CEO) และ ‘รุกข์ โสรัตน์’ กรรมการบริหารและที่ปรึกษา (Executive Director & Advisor) บริษัท ไอคอนิค มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด ร่วมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกลยุทธ์ที่ทำให้แบรนด์ครองใจคนรักสนีคเกอร์และกลุ่มคนรักการออกกำลังกายในเมืองไทยว่า

‘จิตต์ภูมิ ภูมิจิตร’ (ขวา) ประธานกรรมการบริหาร (CEO) และ ‘รุกข์ โสรัตน์’ (ซ้าย) กรรมการบริหารและที่ปรึกษา (Executive Director & Advisor) บริษัท ไอคอนิค มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัด

“แรงบันดาลใจที่ทำให้สนใจนาโนเทคโนโลยีมาจากเพื่อนคนหนึ่งซึ่งนำเข้าผลิตภัณฑ์กันรอยหน้าจอโทรศัพท์มือถือด้วยนาโนเทคโนโลยี จึงศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติพิเศษของเทคโนโลยีนี้และติดต่อกับแล็บของเมืองนอกเกือบทุกแห่งให้ส่งตัวอย่างทดลองมาให้ทดสอบ จนประทับใจในผลลัพธ์ของ Always Dry ที่สุด เพราะนอกจากจะเคลือบกันน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ แล้วยังปกป้องดูแลสนีคเกอร์ได้อย่างดี จึงตัดสินใจนำเข้าอย่างเป็นทางการ”

“ช่วงนั้นตลาดสนีคเกอร์ในเมืองไทยกำลังเติบโตพอดี ถือเป็นจังหวะเวลาที่ลงตัวมาก ๆ แต่ช่วงแรกของการดำเนินธุรกิจค่อนข้างยาก เพราะคนไทยยังไม่รู้จักเทคโนโลยีนาโนเคลือบกันน้ำ แม้ปัจจุบันจะมีคู่แข่งทางธุรกิจแต่ลูกค้ายังคงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ Always Dry เพราะคุณสมบัติเด่นในการเคลือบป้องกันน้ำที่มีประสิทธิภาพ ทำความสะอาดง่าย ปกป้องสนีคเกอร์ให้ดูเหมือนใหม่อยู่เสมอ รวมถึงกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และผ่านการรับรองมาตรฐาน Food Grade เป็นที่เรียบร้อย ทำให้เราก้าวข้ามความเป็นผลิตภัณฑ์กันน้ำทั่วไป โดยเป้าหมายในปีนี้คือ ทุกครั้งที่ลูกค้านึกถึงผลิตภัณฑ์ Waterproof เขาจะนึกถึง Always Dry ในฐานะที่เราเป็นผู้นำด้าน Waterproof ทั้งยังช่วยเรื่อง Stain Release อีกด้วย”

ปัจจุบัน “Always Dry” เปิดตัวในเมืองไทยมากว่า 3 ปี โดยเริ่มต้นจากการทำธุรกิจแบบ B2B (Business-to-Business) ร่วมกับโรงแรม Car Care และ Bag Spa ก่อนจะก้าวสู่ธุรกิจค้าปลีก (Retail Business) ผ่านการจำหน่ายใน Supersports, Sports World, SportsMall, SportDome, Avarin, Ari Football Concept Store เซ็นทรัล และโรบินสันทั่วประเทศ เน้นกลุ่มคนรักการออกกำลังกายและสายสนีคเกอร์ตัวจริง โดยเน้นหลักในการบริหารความต่างของเจเนอเรชั่นในแบบ “Baby Boomers & Gen X Morph Into One”

หลังตัดสินใจก้าวสู่ธุรกิจค้าปลีกเต็มตัว แบรนด์ “Always Dry” จึงเน้นการสร้าง Awareness ผ่านกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่และกลุ่มผู้ใช้จริงในเมืองไทย เน้นจุดขายด้วยคุณสมบัติในการเคลือบกันน้ำพร้อมดูแลสนีคเกอร์คู่โปรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการตลาดที่เน้นความจริงใจต่อลูกค้าเพื่อความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ก่อนที่ปีนี้ Always Dry จะลุกขึ้นมาปรับภาพลักษณ์และดีไซน์แพ็กเก๊จจิ้งใหม่ ให้ดูทันสมัย มีสไตล์ และตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของคนเมืองได้อย่างลงตัว

“เราเน้นเรื่องของ “Honesty as a Competitive Advantage” ทั้งในแง่ของการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ไม่เน้นการโฆษณาเกินจริง เพราะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของแบรนด์ โดยแนวคิดหลักในการบริหารในสไตล์ของเราคือ “Baby Boomers & Gen X Morph Into One” เป็นการดึงจุดแข็งของแต่ละคน แต่ละเจนฯ เข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดการทำงานในเชิงสร้างสรรค์และต่อยอดธุรกิจสู่เป้าหมายที่วางไว้ นอกจากนี้ยังเน้นให้ความรู้เกี่ยวกับความแตกต่างในการดูแลสนีคเกอร์กับรองเท้าทั่วไป รวมถึงแสดงให้เห็นศักยภาพของนาโนเทคโนโลยีของ Always Dry ที่ผู้ใช้ได้พิสูจน์ด้วยตัวเองจนรู้สึกมั่นใจในแบรนด์ มั่นใจในสินค้า และบอกต่อให้คนอื่นได้ลองใช้ ส่งผลให้ยอดขายในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 55 ล้านบาท ส่วนในปี 2562 คาดว่าจะเติบโตสูงกว่า 70 ล้านบาท เพราะอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องของสนีคเกอร์และเทรนด์สปอร์ตในเมืองไทย ควบคู่กับสร้างการจดจำสู่การเป็น Top of Mind ในใจผู้บริโภค”

“Always Dry” วางจำหน่ายในร้าน Supersports, Sports World, SportsMall, SportDome, Avarin, Ari Football Concept Store ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และโรบินสันทั่วประเทศ หรือชอปออนไลน์ได้ที่ https://bit.ly/2BoxuSl สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมหรือติดตามได้ทางเฟซบุ๊ก Always Dry Thailand

“ไฮเซ่นส์” พลิกกระแสตลาดทีวีลักซ์ชัวรี่ด้วยเลเซอร์ทีวีรุ่นใหม่

 

alivesonline.com : “ไฮเซ่นส์” แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าระดับโลก และผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการของการแข่งขันฟุตบอลฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป “ยูฟ่า ยูโร 2020” (UEFA EURO 2020™) พลิกกระแสตลาดทีวีหรู เปิดตัว “เลเซอร์ทีวี” รุ่นใหม่ “โฟร์เค สมาร์ท ไตรโครม่า” (4K Smart TriChroma™ Laser TV (100L7T) ในงาน “CES 2019” ในประเทศสหรัฐอเมริกา สะกดทุกสายตาด้วยภาพสีสวยสดสมจริงพร้อมความเป็นที่สุดแห่งการรับชม พร้อมด้วยไฮไลท์ผลิตภัณฑ์ทีวี ULED และเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอีกหลายซีรี่ย์ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของตลาดในอนาคต ตอกย้ำการครองอันดับหกของสหรัฐฯ ในฐานะแบรนด์ทีวีที่ประสบความสำเร็จ

นายสี่เฟิง จาง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฮเซ่นส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ไฮเซ่นส์ ได้แสดงให้ผู้บริโภคทั่วโลกรับรู้ถึงเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไปอีกขั้นด้วยการเปิดตัวเทคโนโลยีเลเซอร์ทีวีรุ่นใหม่  “โฟร์เค สมาร์ท ไตรโครม่า” (4K Smart TriChroma™) ภายในงาน “CES 2019” (Consumer Electronics Show 2019) ที่ผ่านมา โดยยกระดับหน้าจอทีวีด้วยความละเอียดสูงสุดระดับ 4K พร้อมฟีเจอร์เด่นที่ให้แสงสีสวยสมจริงสมบูรณ์แบบ นับเป็นนวัตกรรมจากการพัฒนาต่อยอดหน้าจอแบบ ULED ลิขสิทธิ์เฉพาะของ “ไฮเซ่นส์” ที่ได้รับการรันตีด้วยรางวัลระดับโลกมาแล้ว โดยเลเซอร์ทีวีรุ่นเรือธงนำเทคโนโลยีการผสานรวมของแสงเลเซอร์ X-Fusion Laser Light Engine™ สีแดง เขียว น้ำเงิน พัฒนาให้จอภาพสามารถแสดงเฉดสีอันหลากหลายและแม่นยำในทุกเฉด รวมถึงเฉดสีขาวในระดับ Pure White บนพื้นที่สีระบบ DCI-P3 ที่มีความแม่นยำสูงสุดถึงหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งยังมีชิปอัจฉริยะ TI DLP® เสริมประสิทธิภาพความเร็วในการรีเฟรชภาพด้วยอัตรา 32 ไมโครวินาทีต่อ 8.3 ล้านพิกเซล สร้างประสบการณ์ใหม่แห่งการรับชมทีวีที่สมบูรณ์แบบ  พร้อมกันนี้ยังได้เปิดตัวเลเซอร์ ทีวี “ไฮเซ่นส์ ดูอัล คัลเลอร์” (Hisense Dual Color) ที่พัฒนาเทคโนโลยีเลเซอร์สีแดงและน้ำเงินซึ่งช่วยขยายความกว้างของช่วงสี (Wide Color Gamut) เพื่อให้ภาพที่ปรากฎมีสีสดเสมือนจริงมากที่สุดอีกด้วย

 

ส่วนผลิตภัณฑ์กลุ่ม ULED TV “ไฮเซ่นส์” ได้เปิดตัวรุ่นเรือธงหลายรุ่น โดยเฉพาะรุ่นที่พัฒนาพร้อมระบบชิปไฮ-วิว (Hi-View™) และระบบการประมวลผลภาพที่นำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ อาทิ รุ่น ULED XD มาพร้อมกับจอแสดงผลแบบคู่ (Dual-cell ULED XD panel) สามารถเพิ่มระดับความดำและความสว่างสดใสทำให้ได้ภาพที่มีความคมชัดมากขึ้น รุ่น U9F ULED TV ให้ความละเอียดในระดับ 4K โดยใช้เทคโนโลยี Quantum Dot เพิ่มระดับเฉดสีและให้ความสว่างสูงสุดได้ถึงระดับ 2200 nit รุ่น Hisense H9F เชื่อมต่อกับระบบแอนดรอยด์ ยกระดับประสบการณ์สมาร์ททีวีด้วยความคมชัดของจอภาพและสุดยอดแห่งระบบเสียง dbx-tv รุ่น Hisense H8F เชื่อมต่อกับ Roku TV™ แพลตฟอร์มความบันเทิงที่มาพร้อมกับภาพยนตร์และซีรีส์ให้เลือกชมหลากหลาย นอกจากนี้ ยังมีทีวี Hisense Sonic One พัฒนาด้วยคอนเซปต์ Self-contained television ดีไซน์บางเฉียบขนาดความหนาเพียง 1.1 นิ้ว พร้อมอุปกรณ์เครื่องเสียงในตัว

นอกจากนี้ “ไฮเซ่นส์” ยังได้แนะนำเทคโนโลยีอื่น ๆ ต่อผู้บริโภค อาทิ Smart Home จำลองซึ่งเชื่อมต่อกับนวัตกรรมของ “ไฮเซ่นส์” ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทล็อกที่เชื่อมต่อการสั่งการกับเครื่องปรับอากาศ อุปกรณ์ไฟฟ้า เตาอบ และตู้เย็น ซึ่งใช้เทคโนโลยีการสั่งการด้วยระบบเสียง พร้อมทั้งอวดโฉมสมาร์ทโฟนรุ่น H12 พร้อมเทคโนโลยีกล้องคู่ และรุ่น A6 ซึ่งมีสองหน้าจอ ได้แก่หน้าจอสมาร์ทโฟนและหน้าจอแบบ อี-อิงค์ ดีสเพลย์ (e-Ink Display) เพื่อถนอมสายตาสำหรับการอ่านหนังสือบนสมาร์ทโฟนอีกด้วย

“ไฮเซ่นส์” เป็นแบรนด์ทีวีที่เติบโตเร็วที่สุดเป็นอันดับ 6 ในประเทศสหรัฐอเมริกา จากการจัดอันดับของ “เอ็นดีพี กรุ๊ป” (NDP Group) บริษัทด้านการวิจัยการตลาดชั้นนำระดับโลก โดยได้วิเคราะห์ถึงแนวโน้มความต้องการของตลาดเทียบกับการออกแบบผลิตภัณฑ์ของ “ไฮเซ่นส์” ซึ่งได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับกระแสความต้องการของลูกค้าในอนาคต นับเป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพและความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีที่พัฒนาโดย “ไฮเซ่นส์” ได้เป็นอย่างดี โดยมีการขยายการลงทุนด้านศูนย์วิจัยและพัฒนาทั่วโลก และยังสร้างระบบนิเวศอันแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเพื่อตอกย้ำความมั่นใจของผู้บริโภคต่อด้านคุณภาพระดับพรีเมียมในทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบจนถึงการจัดจำหน่าย

นายสี่เฟิง กล่าวในตอนท้ายว่า งาน CES 2019 เป็นเวทีสำคัญที่ “ไฮเซ่นส์” ได้อวดโฉมเทคโนโลยีทั้งในด้านความล้ำสมัยและความหลากหลาย เลเซอร์ทีวีของ “ไฮเซ่นส์” นับเป็นที่สุดแห่งการรับชมทีวีภายในบ้านและได้เปลี่ยนโฉมหน้าของตลาดทีวีระดับลักซ์ชัวรี่ไปในอีกระดับขั้น จากการขยายการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนา ผนวกกับการวางวิสัยทัศน์ของแบรนด์สำหรับอนาคต นับเป็นรากฐานสำคัญของแบรนด์ โดยความสำเร็จในครั้งนี้ เป็นแรงบันดาลที่ผลักดันให้ “ไฮเซ่นส์” เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับผลิตภัณฑ์เพื่ออนาคตต่อไป