‘อามัน โชวลา’ (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต และ ‘วิชัย ชีวศรีรุ่งเรือง’ (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานช่องทางตัวแทน พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต จัดงาน “Prudential Agency Kick Off 2019” ต้อนรับศักราชใหม่อย่างยิ่งใหญ่ในส่วนภูมิภาค นำทัพทีมตัวแทนประกันชีวิตของ พรูเด็นเชียล ประเทศไทย พร้อมประกาศแนวทางขับเคลื่อนองค์กรในปี 2562 ตั้งเป้าหมายเพื่อก้าวสู่ความเป็นเลิศด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น และบริการที่ดีเยี่ยมให้ครอบคลุม ตอบโจทย์ทุกความต้องการของกลุ่มลูกค้าในเรื่องของการวางแผนทางการเงิน การประกันชีวิตแบบครบวงจร ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี
ผู้เขียน: admin2
“โอซีซี” มอบความรู้ด้านความงามให้ผู้ต้องขังหญิง
‘นุชนาถ ศรีเผด็จ’ ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดปทุมธานี ให้การต้อนรับ ‘สุวภา ศิริวรรณ’ หัวหน้าหน่วยอบรมการแต่งหน้าและพัฒนาบุคลิกภาพ บมจ.โอซีซี พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญด้านความงาม ในโอกาสมามอบความรู้เรื่องการดูแลผิวและการแต่งหน้าอย่างมืออาชีพให้แก่ผู้ต้องขังหญิง เพื่อนำทักษะความรู้ดังกล่าวไปประกอบอาชีพในอนาคต สานต่อโครงการ “โอซีซีสานพลังประชารัฐ พัฒนาความรู้ สู่เส้นทางสายอาชีพ” ณ เรือนจำจังหวัดปทุมธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้
กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี ร่วมบริจาคสมทบทุนมูลนิธิสายใจไทย
‘ปิติภัทร บุรี’ (2 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภิรัชแมนเนจเม้นท์ จำกัด พร้อมด้วย ‘ปนิษฐา บุรี’ (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไบเทคแมนเนจเม้นท์ จำกัด และ ‘สโรชา บุรี’ (ซ้ายสุด) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายการเงิน บริษัท ภิรัชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด จัดงาน “BITEC Half Marathon 2019 The Heart Runners : วิ่งด้วยใจ…ให้ด้วยรัก” ซึ่งจัดต่อเนื่องกันเป็นปีที่ 7 เพื่อส่งเสริมความสำคัญของการดูแลสุขภาพ รวมถึงนักวิ่งที่ร่วมงานยังได้ร่วมสมทบทุนเพื่อบริจาคเงินให้แก่ มูลนิธิสายใจไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อเร็วๆ นี้
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง มอบทุนการศึกษา
มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ มอบทุนการศึกษาแก่เยาวชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โครงการพัฒนาดอยตุงฯ และพื้นที่ขยายผลของมูลนิธิฯ เพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาให้เยาวชน ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตให้ตนเอง ครอบครัว และสังคมไทย โดยมี ‘ธัญธร์รัตน์ โพธานันท์’ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ตัวผู้แทนมอบทุนในครั้งนี้ ณ ห้องประชุมอาคม กาญจนประโชติ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่
พม.เปิดตัว “การ์ตูนคาแรกเตอร์” ลดความรุนแรงในครอบครัว
alivesonline.com : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แสดงพลัง “ร่วมเป็นหนึ่งเสียงในการยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัวและความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ” พร้อมเปิดตัวการ์ตูนคาแรคเตอร์ “ท่าทางที่อยากเห็นและไม่อยากเห็นในครอบครัว” เร่งสร้างการรับรู้ผ่านสื่อทุกช่องทาง
พลเอก อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ปัญหาความรุนแรงต่อเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัวและความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบเป็นปัญหาที่สำคัญที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ โดยศูนย์สำรวจความคิดเห็นทางสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” ได้สำรวจข้อมูลระหว่างเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2561 พบว่า ประเภทของการกระทำความรุนแรงอันดับหนึ่งคือ การถูกทำร้ายร่างกาย รองลงมาคือ การล่วงละเมิดทางเพศ และการทำร้ายทางจิตใจ สอดคล้องกับข้อมูลความรุนแรงในครอบครัวตามระบบฐานข้อมูลความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนแรงในครอบครัว ภายใต้ www.violence.in.th ของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) พบว่า ในปี 2561 มีการทำร้ายร่างกายเป็นอันดับหนึ่ง คิดเป็นร้อยละ 59 รองลงมาคือ การดุด่าดูถูก คิดเป็นร้อยละ 18 และการกล่าววาจา หยาบคาย/ตะคอก/ประจาน/ขู่/บังคับ คิดเป็นร้อยละ 13 ของจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวทั้งหมด
กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ได้ให้ความสำคัญในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 ได้จัดงานรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัว และรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ ด้วยการรณรงค์ยุติความรุนแรงฯ เพื่อสร้างกระแสสังคมให้เกิดความตระหนักต่อปัญหาและนำไปสู่การรวมพลังของทุกคนภาคส่วนในการยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัวและความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ ภายใต้แนวคิด “HeForShe : ปรับพฤติกรรมเปลี่ยนความคิด ยุติความรุนแรง” มุ่งส่งเสริมผู้ชายให้มีบทบาทและส่วนร่วมในการยุติความรุนแรงฯ
นอกจากนี้ ยังได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับ “ท่าทางที่อยากเห็นและไม่อยากเห็นจากบุคคลในครอบครัว” และได้มีการนำผลความคิดเห็นมาจัดประกวด “การ์ตูนคาแรกเตอร์ท่าทางที่อยากเห็นและไม่อยากเห็นในครอบครัว” เพื่อใช้สำหรับเป็นสื่อในการรณรงค์สร้างความตระหนักต่อปัญหาความรุนแรงฯ และส่งเสริมให้มีการแสดงพฤติกรรมที่ดี เพื่อเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดี ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัว และความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ
สำหรับปี 2562 กระทรวง พม. โดย สค. มีแผนจะขับเคลื่อนการรณรงค์ยุติดความรุนแรงฯ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องตลอดทั้งปีซึ่งการดำเนินงานในระยะต่อไปจะเป็นการสร้างกระแสสังคมเกี่ยวกับการ์ตูนคาแรกเตอร์ “ท่าทางที่อยากเห็นและไม่อยากเห็นจากบุคคลในครอบครัว” โดยจะนำการ์ตูนคาแรคเตอร์ดังกล่าวไปผลิตเป็นสื่อเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ผ่านสื่อในทุกช่องทาง ได้แก่ สื่อโทรทัศน์ วิทยุ สื่อโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก ไลน์ อินสตาแกรม และยูทูป เป็นต้น รวมทั้งนำไปประชาสัมพันธ์ในงานต่าง ๆ ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวง พม.
พลเอกอนันตพร กล่าวเพิ่มเติมว่า การป้องกันและแก้ไขปัญหาการใช้ความรุนแรงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน กระทรวง พม. จึงขอเชิญชวนประชาชนทุกคนร่วมลงชื่อในเว็บไซต์ http://plan.dwf.go.th/public/campaign.do เพื่อเป็นหนึ่งเสียงในการ “ไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย ไม่กระทำความรุนแรงต่อเด็ก สตรี บุคคลในครอบครัว และความรุนแรงในสังคมทุกรูปแบบ”
หากประชาชนพบเห็นผู้ถูกกระทำความรุนแรง หรือประสบปัญหาทางสังคม สามารถขอความช่วยเหลือได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง โดย กระทรวง พม. พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ต่อไป
อ.ส.ค.จัดงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ ปี 62” ชิงถ้วยพระราชทาน ร.๑๐
alivesonline.com : อ.ส.ค.น้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร “พระบิดาแห่งการโคมนมไทย” จัดงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ประจำปี 2562 ระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2562 ในพื้นที่องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย เชิงเขาตาแป้น อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี
ดร.ณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลเดนมาร์กได้มีการลงนามสัญญาความร่วมมือกันจัดตั้ง “ฟาร์มโคนม” และ “ศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงโคนมไทย-เดนมาร์ก” ณ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2504 โดย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระเจ้าเฟดเดอริคที่ 9 แห่งประเทศเดนมาร์ก ได้ทรงประกอบพิธีเปิด “ฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์ก” อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2505 รัฐบาลไทยจึงได้กำหนดให้วันที่ 17 มกราคมของทุกปีเป็น “วันโคนมแห่งชาติ” นั้น
ในปี 2562 อ.ส.ค.ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้สังกัด กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้จัดงาน “เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ระหว่างวันที่ 30 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2562 ในพื้นที่องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย เชิงเขาตาแป้น อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร “พระบิดาแห่งการโคมนมไทย” ที่ทรงพระราชทานอาชีพการเลี้ยงโคนมให้แก่เกษตรกรไทย โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงาน พร้อมทรงเปิด “โรงงานนมมวกเหล็ก ระยะที่ 2” ในวันที่ 30 มกราคม 2562
ภายในงานมีกิจกรรมสำคัญคือ การจัดประกวดโคนม ครั้งที่ 36 ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ ๑๐ สำหรับโคนมที่ชนะเลิศการประกวดด้านผลผลิต ประเภทโคนมมากท้องแรก อายุไม่เกิน 28 เดือน และถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สำหรับโคนมที่ชนะเลิศการประกวดด้านผลผลิต ประเภทโคนมมาก ไม่จำกัดอายุ โดยกิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อแสดงความสามารถในการปรับปรุงพันธุ์โคนมและแสดงศักยภาพในการให้ผลผลิตน้ำนมดิบของโคนมไทยจากเกษตรกรไทย
“เทศกาลโคนมแห่งชาติ” ประจำปี 2562 ยังมีการจัดนิทรรศการภายใต้แนวคิด “สืบสาน รักษา ต่อยอด โคนมไทยสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยมีการนำเสนอเนื้อหาข้อมูลเรื่องฟาร์มประสิทธิภาพสูง (Thai-Denmark Smart Dairy Farm) พร้อมการจำลองโมเดลและการใช้พลังงานโซลาเซลล์เพื่อฆ่าเชื้อโรคโดยใช้แสง UV ทำลายเชื้อในน้ำนมดิบ เพื่อยืดอายุการเก็บรักษา ตลอดจนการสาธิตการทำไบโอก๊าซจากมูลโค การนำเสนอสัมมนาวิชาการเรื่อง “จัดตั้งฟาร์มรับเลี้ยงโคนมทดแทนอย่างไรให้ปัง” / “การประกันภัยโคนม ทางรอด-ทางเลือกสู่ความยั่งยืนโคนมไทย / “การใช้ MR ไม่สำเร็จ เคล็ดลับที่ต้องแก้ไข”
นอกจากนั้น ยังมีการจัดกิจกรรมประกวดแผนสื่อสารการตลาด “Milketing การตลาดต่อยอดนมไทย-เดินมาร์ค From Gen Z to Gen X” ซึ่งเป็นกิจกรรมที่มุ่งหวังให้นักศึกษาได้แสดงความคิดสร้างสรรค์ทางด้านการสื่อสารแบรนด์และสร้างการรับรู้ทำให้เกิดการยอมรับกับนมไทย-เดนมาร์ค ชิงทุนการศึกษา 1 แสนบาท พร้อมด้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมประกาศนียบัตร โดยจะประกาศผลการคัดเลือกระดับภูมิภาคในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2562
ภายในงานยังมีกิจกรรมด้านสันทนาการอีกมากมาย ได้แก่ การประกวดร้องเพลง ประเภทยุวชนชายและหญิง อายุไม่เกิน 12 ปี เยาวชนชายและหญิง อายุไม่เกิน 25 ปี และประชาชนทั่วไปชายและหญิง ไม่จำกัดอายุ, กิจกรรมด้านกีฬา แข่งขันกีฬาตะกร้อ และการแข่งขันกีฬามวยไทย โดยโปรโมเตอร์อดีตักมวยไทยชื่อดัง “พุฒ ล้อเหล็ก”, การออกร้านค้าและปัจจัยการเลี้ยงโคยม ตลอดจนการจัดแสดงคอนเสิร์ตอีกมากมาย อาทิ ปู พงษ์สิทธิ คัมภีร์, จินตรา พูลลาภ, มนต์แคน แก่นคูน, มหาหิงค์ FC โดยภายในบูธ “โตโยต้า” ยังจะได้พบกับศิลปินชื่อดัง BNK48 และ “โป๊บ ธนวรรธน์”
ดร.ณรงค์ฤทธิ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2562 อ.ส.ค. วางแผนพัฒนาอุตสาหกรรมนมไทยให้มาตรฐานสากลสู่ระดับนานาชาติ พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมโคมนมไทยสู่ “นมแห่งชาติ” โดยเร่งขับเคลื่อนการผลิตน้ำนมดิบและส่งเสริมความรู้ให้แก่เกษตรกรเพื่อพัฒนาคุณภาพอุตสาหกรรมน้ำนม พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มน้ำนมดิบ โดยหาช่องทางการตลาดและการจัดจำหน่ายใหม่ ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนให้การสนับสนุนเกษตรกรโคนมเป็น “สมาร์ท ฟาร์เมอร์” (Smart Famer) โดยมีเป้าหมายคือยกระดับรายได้ให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมรายย่อยมีรายได้เพิ่มขึ้นและสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรมีความมั่นคงและยั่งยืน ตลอดจนสนับสนุนส่งเสริมด้านการรณรงค์การบริโภคนมของคนไทยเพิ่มมากขึ้น
ATTITUDE BU เปิดขายเฟสใหม่ จัดโปรฯ พิเศษ 19 รายการรับปีกุน
alivesonline.com : โครงการคอนโดฯ Low Rise สุดแนวย่านรังสิตเตรียมเปิดขายเฟสใหม่ New Phase “A” Official Launch 2019 Building A โซนด้านหน้าโครงการที่ใกล้ที่สุด ติดถนนใหญ่ ใกล้ ม.กรุงเทพ รังสิต เหมาะแก่การลงทุนปล่อยเช่า สะดวกต่อการเข้าถึง ราคาเริ่มต้นเพียง 1.9 ล้านบาท พร้อมโปรโมชันพิเศษของแถมกว่า 19 รายการ และส่วนลดเพิ่มทุกยูนิตสูงสุดกว่า 2 แสนบาท พ่วงโอกาสลุ้นรับ Iphone Xs Max 64GB ในวันงาน 9-10 ก.พ.62 ผู้บริหารโครงการฯ มั่นใจตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่ได้ลงตัว โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาและวัยทำงานตอนต้น
นายสมภพ วาณิชเสนี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้บริหารโครงการ “แอททิจูด บียู” (ATTITUDE BU) คอนโดมิเนียมรูปแบบใหม่เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน เปิดเผยว่า ในวันที่ 9-10 ก.พ.ศกนี้ โครงการฯ พร้อมเปิดเฟสใหม่อย่างเป็นทางการ New Phase “A” Official Launch 2019 ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.9 ล้านบาท พร้อมจัดโปรโมชันพิเศษด้วยของแถมกว่า 19 รายการ และ Exclusive “A” Lucky Draw ส่วนลดสุดถึง 2 แสนบาท ไม่หมดเพียงเท่านั้น โดยลูกค้าผู้จองทุกยูนิตในวันงานยังมีสิทธิ์ลุ้นรับสมาร์ทโฟน Apple Iphone Xs Max 64GB มูลค่ากว่า 4.39 หมื่นบาทฟรี! โดยสามารถลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษได้ที่ http://bit.ly/2R79FHz หรือโทร.08 5614 1944
โครงการ ATTITUDE BU เป็นคอนโดมิเนียม Low Rise ความสูง 8 ชั้น มีทั้งหมด 3 อาคารจำนวน 544 ยูนิต ขนาด 23.5-34.5 ตารางเมตร รวมพื้นที่กว่า 5.6 พันตารางเมตร หรือประมาณ 3 ไร่ 2 งาน จัดเป็นโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มนักศึกษาและวัยทำงานตอนต้นในย่านรังสิตซึ่งมีมากกว่า 1 แสนคนต่อปี เน้นการออกแบบที่มีความโดดเด่นและแตกต่างเพื่อให้สอดคล้องกับการพักอาศัยและใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความอิสระภายใต้แนวคิด Creative Space Condominium
“ความโดดเด่นของโครงการฯ คือเรื่องทำเลที่ตั้งย่านรังสิต ติดถนนพหลโยธิน ฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต ห่างเพียง 250 เมตร ถือเป็นพื้นที่ที่กำลังมีการขยายตัวสูงด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบของคอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนท์สมัยใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้บริโภคหลักซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ปกครอง นักศึกษา และนักลงทุนที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งยังมีพฤติกรรมการซื้อมากกว่าการเช่า”
นายสมภพ กล่าวในตอนท้ายว่า โครงการ “ATTITUDE BU” เป็นคอนโดมิเนียมที่ถูกออกแบบเพื่อสร้างความแตกต่างและเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียม ภายใต้ 4 แนวคิดหลัก ได้แก่ Creativity, Space & Time, Explore และ Individual โดยจัดพื้นที่ส่วนกลางให้ผู้อยู่อาศัยมากถึงประมาณ 3.2 พันตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วนกว่า 21% ของพื้นที่ขายทั้งหมด ทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายอย่างครบครัน อาทิ คาเฟ่, พื้นที่ Co-Working Space, Music Room, Photo Studio, Sky Lounge, สระว่ายน้ำ, พื้นที่ออกกำลังกาย รวมถึงจุดเด่นของโครงการคือดาดฟ้าของทั้ง 3 อาคารซึ่งถูกออกแบบให้เดินเชื่อมต่อกัน โดยได้จัดสรรไว้เป็นพื้นที่สำหรับสำหรับออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีทั้งสนามฟุตซอล, ชกมวย, โยคะ ฯลฯ ล้อมรอบด้วยลู่วิ่งโทนสีสดใส รวมถึงพื้นที่พักผ่อนในสวนสวย
ครม.ท่องเที่ยวอาเซียน “ไฟเขียว” รับรองมาตรฐานสถานที่จัดงานแสดงสินค้าไทย
alivesonline.com : “ทีเส็บ” ปลื้ม หลังผลักดันมาตรฐานสถานที่จัดงานแสดงสินค้าสู่มาตรฐานอาเซียนสำเร็จ บนเวทีประชุมท่องเที่ยวอาเซียนครั้งที่ 38 ณ ประเทศเวียดนาม มั่นใจช่วยเสริมภาพลักษณ์ความเป็นปึกแผ่นของอาเซียน พร้อมเพิ่มความสามารถในการแข่งขันระดับโลก ตอกย้ำจุดขายดึงงานเทรดแฟร์เข้ามาจัดในเอเชียเพิ่มขึ้น
นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ รองผู้อำนวยการสายงานพัฒนาและนวัตกรรม สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า จากการประชุมท่องเที่ยวอาเซียน (ASEAN TOURISM Forum 2019 : ATF 2019) ซึ่งจัดขึ้น ณ เมืองฮาลอง ประเทศเวียดนาม เมื่อกลางเดือนมกราคม ที่ผ่านมา “ทีเส็บ” ได้ใช้โอกาสดังกล่าวนำเสนอเรื่องการจัดทำมาตรฐานสถานที่จัดงานของอาเซียน ประเภทสถานที่จัดงานแสดงสินค้า (Exhibition Venue) เข้าสู่ที่ประชุมถึงความคืบหน้าในการผลักดันสู่การเป็นมาตรฐานอาเซียน (ASEAN MICE Venue Standards : AMVS) โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนจาก 10 ประเทศ มีมติเห็นชอบพร้อมประกาศใช้มาตรฐานสถานที่จัดประชุมอาเซียน 2 ประเภท ได้แก่ มาตรฐานสถานที่จัดงานอาเซียน 1.ประเภทห้องประชุม (Meeting Room Category) ทั้งในศูนย์ประชุมและอาคารแสดงสินค้า หรือนิทรรศการ / ราชการ / เอกชน และมาตรฐานสถานที่จัดงานอาเซียน 2.ประเภทสถานที่จัดงานแสดงสินค้า (Exhibition Venue Category) รวมถึงเกณฑ์การตรวจประเมินมาตรฐาน สอดคล้องกับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าในอาเซียนที่มีการลงทุนจากผู้จัดงานทั้งในยุโรปและอเมริกา ทำให้เกิดการสร้างความต้องการในศูนย์แสดงสินค้ามากขึ้น รวมถึงการสร้างศูนย์การประชุมและแสดงสินค้า (Venue) กลายเป็นวาระสำคัญของแต่ละประเทศ การยกระดับมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก การบริการ และเทคโนโลยี
“จากมติที่ประชุมครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่งในการผลักดันและยกระดับการสร้างมาตรฐานสถานที่จัดงานไมซ์ในภูมิภาคให้เป็นระดับมาตรฐานเดียวกัน อันจะนำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมงาน เสริมภาพลักษณ์ความเป็นปึกแผ่นของอาเซียน เพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับนานาชาติได้”
นางศุภวรรณ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ มติที่ประชุมอาเซียน ได้เห็นชอบให้มาตรฐานสถานที่จัดงานไมซ์ของไทยเป็นต้นแบบพัฒนามาตรฐานสถานที่จัดงานของอาเซียน เมื่อปี 2559 โดยประเทศสมาชิกได้เริ่มดำเนินการไปแล้วในส่วนของมาตรฐานประเภทห้องประชุมในโรงแรมและรีสอร์ท โดยมีสถานที่จัดงานที่ผ่านการรับรองมาตรฐานแล้วประกอบด้วย บรูไน 3 แห่ง กัมพูชา 5 แห่ง อินโดนีเซีย 5 แห่ง ลาว 5 แห่ง มาเลเซีย 5 แห่ง เมียนมาร์ 5 แห่ง ฟิลิปปินส์ 5 แห่ง สิงคโปร์ 4 แห่ง เวียดนาม 5 แห่ง และไทย 13 แห่ง โดยในส่วนของประเทศไทยนั้น จากผลการดำเนินงานในปี 2561 สามารถผลักดันสถานประกอบการไมซ์ไทยให้ผ่านการรับรองมาตรฐานสถานที่จัดงานอาเซียนเพิ่มขึ้นเป็น 33 แห่ง ซึ่งถือเป็นจำนวนสถานที่จัดงานที่ได้มาตรฐาน AMVS มากที่สุดในอาเซียน
การประกาศใช้มาตรฐานสถานที่จัดงาน ประเภทสถานที่จัดงานแสดงสินค้าเพิ่มอีก 1 ประเภท นอกจากจะช่วยยกระดับมาตรฐานสถานที่จัดงานไมซ์ของอาเซียนแล้ว ยังเป็นจุดขายในการดึงงานเทรดแฟร์ในเอเชียซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตอย่างน่าสนใจทั้งด้านปริมาณและรายได้ ดังจะเห็นได้จากงานวิจัยของ Business Strategies Group Ltd. (BSG) แห่งฮ่องกง พบว่าในปี 2560 ผู้จัดงานสามารถขายพื้นที่การจัดงานแสดงสินค้า (Trade Fair) ในภูมิภาคเอเชียได้สูงถึง 2,353 งาน โดยส่วนแบ่งตลาดสูงสุดเป็นของจีน มีงานแสดงสินค้าจำนวน 704 งาน ตามด้วยญี่ปุ่น 305 งาน และอินเดีย 204 งาน โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับ 8 มีจำนวน 92 งาน ทั้งยังมีตัวเลขที่ผู้จัดงานสามารถขายพื้นที่การจัดงานแสดงสินค้าและประมาณการรายได้ต่อปีเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน
นางศุภวรรณ กล่าวในตอนท้ายว่า นอกเหนือจากมาตรฐานสถานที่จัดงานประเภทห้องประชุมในโรงแรมและรีสอร์ท และประเภทสถานที่จัดแสดงสินค้าแล้ว “ทีเส็บ” ยังเตรียมจะผลักดันมาตรฐานสถานที่จัดกิจกรรมพิเศษ (Special Event Venue category) เป็นลำดับต่อไป โดยมีกำหนดให้แล้วเสร็จภายในปี 2568 เพื่อให้สอดรับกับแผนยุทธศาสตร์ท่องเที่ยวอาเซียน พ.ศ.2559-2568 (ASEAN Tourism Strategic Plan 2016-2025)
ททท.ดึง “ญาญ่า” ดันยอดคนไทยเที่ยวไทยทำยอด 1.2 ล้านล้านบาท
alivesonline.com : ททท. เปิดตัวพรีเซนเตอร์ “Amazing ไทยเท่” คนใหม่ “ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์” ถ่ายทอดแนวคิด “เมืองไทย…สวยทุกที่ เท่ทุกเวลา” ผ่านบทเพลงและ Local Hero ท้องถิ่น พร้อมเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวผู้หญิง หลังพบมีกำลังซื้อและอำนาจตัดสินใจเรื่องการท่องเที่ยวสูง มั่นใจทำรายได้ไทยเที่ยวไทยทะลุ 1.2 ล้านล้านบาท พุ่งสู่เป้ารวม 3.4 ล้านล้านบาท
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. กำหนดทิศทางส่งเสริมการตลาดตามแผนวิสาหกิจ โดยมุ่งเน้นในการส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม (Preferred Destination) และยกระดับแหล่งท่องเที่ยวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวคุณภาพมากขึ้น โดยเน้นการนําเสนอประสบการณ์อันทรงคุณค่าด้วยวิถีไทย สร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจบนฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม อันจะนําไปสู่การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน แม้จะมีปัจจัยทางด้านความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกเป็นความท้าทาย แต่ ททท. ยังยืนยันในการทำเป้าหมายด้านการท่องเที่ยว โดยในปี 2562 ประเทศไทยจะต้องมีรายได้จากการท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่า 3.4 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นอัตราการเติบโตของรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติร้อยละ 12 หรือประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท และอัตราการเติบโตของรายได้จากการท่องเที่ยวของคนไทยร้อยละ 10 หรือประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท
ททท. ยังได้ดำเนินการส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไปยังพื้นที่เมืองรอง 55 จังหวัดตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งได้กระแสตอบรับที่ดีมากจากนักเดินทาง สำหรับปี 2562 การต่อยอดแนวคิดสื่อสาร “amazing ไทยเท่” โดยชวนคนไทยออกไปสัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวจากคนพื้นถิ่น หรือ Local Hero เพื่อสร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับเรื่องการท่องเที่ยวที่นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้เดินทางท่องเที่ยวไปยังที่สวยงามของเมืองไทยแล้ว ยังจะได้รับประสบการณ์การเดินทางเที่ยวเมืองไทยแบบลึกซึ้งถึงถิ่นอีกด้วย
ด้าน นายธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด ททท. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวทางการสื่อสาร “amazing ไทยเท่” ในปี 2562 มุ่งเน้นการเข้าถึง 4 กลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มวัยรุ่น (GenY) กลุ่มผู้หญิง (Lady) กลุ่มผู้สูงวัย (Silver Age) และกลุ่มครอบครัว (Family) โดยจะทำให้การเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศมีเสน่ห์ เกิดความลึกซึ้งและมีคุณค่ากว่าที่เคยคือ การนำเสนอเรื่องราวของคนท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นบุคคล กลุ่มบุคคล ชุมชนท้องถิ่น โดยจะเรียกว่า “Local Hero” ซึ่งเป็นผู้อนุรักษ์วิถีชีวิต วัฒนธรรม สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งเป็นการช่วยสร้างแรงบันดาลในการเดินทางท่องเที่ยวให้เห็นภาพของแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นส่วนช่วยสะท้อนแนวคิด “เมืองไทย สวยทุกที่ เท่ทุกเวลา”
ททท. ยังได้มีการนำเพลง “มอง” ของราชาเพลงลูกทุ่ง “สุรพล สมบัติเจริญ” มาเรียบเรียงดนตรีใหม่ให้มีความทันสมัยและดูน่าสนใจ เข้ากับความ “เท่” ผ่านมุมมองของพรีเซนเตอร์การท่องเที่ยวคนล่าสุดคือ “ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์” ซึ่งจะเป็นตัวแทนนักท่องเที่ยวพาพวกเราเดินทางเที่ยวในประเทศไทยไปพบกับ Local Hero ในจังหวัดเมืองรองต่าง ๆ ทั่วประเทศ อาทิ กลุ่มย้อมผ้าคราม จ.สกลนคร เกาะเหลาเหลียง จ.ตรัง บ้านนกเขา-ตรอกโรงยา จ.อุทัยธานี ชุมชนริมน้ำจันทบูร จ.จันทบุรี โดยใช้ช่องทางการสื่อสารการตลาดแบบ 360 องศา ผ่านการนำเสนอผลงานโฆษณาในรูปแบบต่าง ๆ ครอบคลุมทั้งสื่อออฟไลน์และออนไลน์ ควบคู่กับการทำกิจกรรมทางการตลาด เพื่อสร้างกระแสและกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ททท. ยังได้ดำเนินการต่อยอดการสื่อสารจากแคมเปญหลัก ด้วยการจัดทำกิจกรรมทางสื่อออนไลน์ “One Pic Big Dream” ในรูปแบบรายการเรียลลิตี้ออนไลน์ จำนวน 10 ตอน นำเสนอมุมมองของภาพแหล่งท่องเที่ยว กิจกรรมทางการท่องเที่ยวที่สามารถกระตุ้นให้ทุกคนอยากออกเดินทางไปสัมผัสด้วยตาตัวเองสักครั้ง เพื่อให้เกิดกระแสการเดินทางไปยังพื้นที่ 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ ด้วยการจัดกิจกรรม “Pin Your Trip” โดยเป็นกิจกรรมนำร่องเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินจริง (Call to Action) ด้วยการตามล่าหา Pin คอลเลกชั่นพิเศษ 5 แบบ ซึ่งเป็นตัวแทน 5 ภูมิภาค ได้แก่ “สตอเบอร์รี่ เชียงราย” ภาคเหนือ, “ควายน้ำ พัทลุง” ภาคใต้, “ทุเรียนเทอร์โบ จันทบุรี” ภาคตะวันออก, “ลิงทานตะวัน ลพบุรี” ภาคกลาง และ “หมีคราม สกลนคร” ภาคอีสาน เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวผู้หญิงให้ออกเดินทางเที่ยวเมืองไทยและสะสมเป็นของที่ระลึก เนื่องจากปัจจุบันพบว่ากลุ่มผู้หญิงเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง มีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเดินทางท่องเที่ยว รวมทั้งมีสัญชาติญาณนักล่าของสะสมอีกด้วย
“นักท่องเที่ยวที่สนใจเพียงนำหลักฐานการเดินทาง อาทิ ตั๋วเครื่องบิน รถทัวร์ รถไฟ ใบเสร็จที่พักโรงแรม ชอปปิง และร้านอาหารที่ใช้จ่ายระหว่างเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2562 โดยสามารถรับได้ที่สำนักงาน ททท.ใน 5 ภูมิภาค โดยผลิตทั้งหมด 10,000 ชิ้น ซึ่งจะเริ่มกิจกรรมในช่วงเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2562 หรือจนกว่าของจะหมด ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก amazing ไทยเท่” นายธเนศวร์ กล่าวในที่สุด
เผย 7 มุมมองใหม่เส้นทางสายไมซ์ดันรายได้ 2.2 แสนล้านบาท
alivesonline.com : “ทีเส็บ”ปรับตัวรับอุตสาหกรรมไมซ์เอเชียแข่งเดือด ชูประเด็นจุดต่างด้านการท่องเที่ยวและการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ระดมสมองทุกภาคส่วนวิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่ตอบโจทย์กลุ่มไมซ์ในประเทศและนานาชาติ 7 ด้าน รวม 25 เส้นทาง นำร่อง 5 เมือง “ไมซ์ซิตี้” ก่อนขยายเส้นทางไมซ์ในอีก 5 เมืองรอง กระตุ้นนักเดินทางไมซ์ทั้งในประเทศและนานาชาติ หวังเร่งขับเคลื่อนรายได้ 2.2 แสนล้านบาทเข้าเป้าในปี 62
นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า จากภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมไมซ์นานาชาติมีอัตราที่สูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจและความหลากหลายด้านการท่องเที่ยว โดยการสร้างจุดเด่น ความแตกต่าง และการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อันนำมาซึ่งการพัฒนาสินค้าและบริการด้านธุรกิจไมซ์ ทั้งสถานที่จัดงาน ตลอดจนกิจกรรมใหม่ ๆ ทั้งก่อนและหลังการประชุมเพื่อรองรับนักเดินทางไมซ์ซึ่งถือเป็นแนวทางสำคัญในการตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการไมซ์ทั้งในและต่างประเทศ
“ทีเส็บ” จึงวางยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์โดยมุ่งเน้นด้านมิติการพัฒนาพื้นที่ เพื่อเพิ่มและยกระดับสถานที่จัดงาน รวมถึงกิจกรรมใหม่เพื่อรองรับการจัดงานไมซ์ โดยเน้นการดำเนินงานใน 5 ไมซ์ซิตี้ประจำภูมิภาคทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ และขอนแก่น โดยร่วมมือกับภาครัฐ เอกชน และภาคการศึกษา รวมถึงชุมชนในพื้นที่ บูรณาการพัฒนาธุรกิจไมซ์ในจังหวัดร่วมกัน สร้างความรู้ความเข้าใจถึงประโยชน์ของธุรกิจไมซ์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและกระจายรายได้สู่ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
อุตสาหกรรมไมซ์โดยเฉพาะกลุ่มการประชุมมีความจำเป็นต้องสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดนักเดินทางไมซ์คุณภาพเข้าสู่ประเทศ หรือเมืองของตน เพื่อกระตุ้นให้เกิดความต้องการจัดงานไมซ์ในประเทศและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของไมซ์ในประเทศ ในปี 2559 “ทีเส็บ” จึงริเริ่มโครงการศึกษาและวิเคราะห์ศักยภาพเส้นทางไมซ์ภายในประเทศ เพื่อส่งเสริมศักยภาพของอุตสาหกรรมไมซ์ภายในประเทศ หรือ “Thailand 7 MICE Magnificent Themes” ซึ่งเป็นหนึ่งในการดำเนินงานภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาไมซ์ซิตี้ทั้ง 5 เมือง เพื่อค้นหาเส้นทางใหม่ ๆ และพัฒนาสถานประกอบการและชุมชนสำหรับการจัดงานไมซ์ทั่วประเทศ
โครงการดังกล่าวเริ่มต้นจากการวิจัยศึกษาเมืองที่มีศักยภาพรองรับนักเดินทางไมซ์ ศึกษาต้นทุนทางวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ วิเคราะห์ศักยภาพและความสามารถทั้งด้านพื้นที่ สถานประกอบการ และชุมชน รวมถึงจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค ที่มีศักยภาพในการรองรับกลุมไมซ์ได้ โดยเน้นการพัฒนาพื้นที่ใหม่ ๆ ของ 5 เมืองไมซ์ที่มีอยู่เป็นหลักและพัฒนาเป็นเส้นทางไมซ์ใหม่ผ่าน 7 มุมมองที่วิจัยมาแล้วว่าเป็นแนวคิดเส้นทาง Top Hits กลุ่มไมซ์ทั้งนานาชาติและในประเทศ (Thailand 7 MICE Magnificent Themes) ได้แก่ 1.ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม (Fascinating History and Culture) 2.การผจญภัย (Exhilarating Adventure) 3.การสร้างทีมเวิร์ค (Treasured Team Building) 4.กิจกรรม CSR และการประชุมเชิงอนุรักษ์ (CSR and Green Meeting) 5.กิจกรรมบรรยากาศชายหาด (Beach Bliss) 6 การจัดงานและกิจกรรมหรูหรามีระดับ (Lavish Luxury) 7.การนำเสนออาหารไทยในทุกการจัดงานที่หลากหลาย (Culinary Journeys)
“หลักการพิจารณาการพัฒนาและยกระดับสถานประกอบการที่สามารถจัดกิจกรรมไมซ์ได้จะมีเกณฑ์การคัดเลือกสถานที่ 3 องค์ประกอบหลักคือ สามารถรองรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมไมซ์ไม่น้อยกว่า 30 คน และสถานที่จัดกิจกรรมไมซ์ได้อย่างน้อยใน 1 มุมมอง อีกทั้งต้องมีความพร้อมด้านความปลอดภัย ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจและสามารถให้บริการไมซ์ได้”
นายจิรุตถ์ กล่าวอีกว่า “ทีเส็บ” บูรณาการความร่วมมือในระดับจังหวัดกับทุกภาคส่วนทั้ง ภาครัฐ เอกชน ภาคการศึกษา จัดทำเวิร์คชอปร่วมกับจังหวัดใน 4 ภูมิภาคคือ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อระดมความคิดเห็นและหารือร่วมกันถึงศักยภาพของสถานประกอบการและชุมชนที่สามารถรองรับการจัดงานและนักเดินทางไมซ์ได้จริง รวมถึงการลงพื้นที่จริงร่วมศึกษาและหารือกับสถานประกอบการที่ตรงตามหลักเกณฑ์ พร้อมทั้งหารือและดำเนินงานร่วมกับสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) หรือ “ทิก้า” พัฒนาเส้นทางไมซ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย ได้แก่ ผู้จัดงาน และองค์กรหน่วยงานรัฐและเอกชน จนกระทั่งสามารถพัฒนา 25 เส้นทางไมซ์ภายใต้ 7 มุมมองใหม่ใน 5 เมืองไมซ์ได้สำเร็จ
สำหรับเส้นทางไมซ์ 25 เส้นทาง ใน 5 ไมซ์ซิตี้ แบ่งเป็นจังหวัดละ 5 เส้นทาง ได้แก่ กรุงเทพฯ เส้นที่ 1 ศูนย์เรียนรู้ป่าในกรุง พิพิธภัณฑ์งู เส้นที่ 2 ชุมชนหัวตะเข้ เส้นที่ 3 ศูนย์เรียนรู้อาหารไทย สถาบันอาหาร ท่ามหาราช สุภัทราริเวอร์เฮ้าส์ เส้นที่ 4 จักรพงษ์วิลล่า ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ บ้านเลขที่ 1 โบสถ์กาลหว่าร์ ธนาคารไทยพาณิชย์ตลาดน้อย เส้นที่ 5 เสาชิงช้า ตลาดบางรัก ถนนเยาวราช
ขอนแก่น เส้นที่ 1 ออร่า ฟาร์ม สวนสัตว์ขอนแก่น เส้นที่ 2 บ้านหัวฝาย เส้นที่ 3 อุทยานแห่งชาติน้ำพอง เส้นที่ 4 วัดป่ามัญจาคีรี บ้านหวายหลืมสิม วัดสระทองบ้านบัว เส้นที่ 5 ชุมชนบ้านดงบัง
เชียงใหม่ เส้นที่ 1 ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ ฮอไรซั่นวิลเลจแอนด์รีสอร์ท เส้นที่ 2 สหกรณ์นิคมแม่แตง จำกัด อ่างเก็บน้ำห้วยตึงเฒ่า เฮลท์ ล้านนา สปา เส้นที่ 3 อุทยานแห่งชาติดอยผ้าห่มปก เส้นที่ 4 วิสาหกิจชุมชน กาแฟสดบ้านแม่ตอน สหกรณ์การเกษตรดอยสะเก็ดพัฒนา จำกัด เส้นที่ 5 บ้านถวาย ปันผลฟาร์ม ศูนย์วัฒนธรรมเชียงใหม่
พัทยา เส้นที่ 1 ไฟล์ท ออฟ เดอะ กิบบอน อะลาคอมปาณย์ โอเชี่ยน มารีน่า ยอร์ช คลับ เส้นที่ 2 ชุมชนนาเกลือ สวนนงนุช ชุมชนจีนบ้านชากแง้ว เส้นที่ 3 มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ พัทยา ชู้ทติ้ง พาร์ค รอยัล คลิฟ โฮเต็ล กรุ๊ป เส้นที่ 4 อุทยานใต้ทะเลเกาะขาม สวนน้ำรามายณะ ไร่องุ่นซิลเวอร์เลค เส้นที่ 5 ชุมชนตะเคียนเตี้ย
ภูเก็ต เส้นที่ 1 ภูเก็ต เวค พาร์ค โบ๊ทลากูน รีสอร์ท เส้นที่ 2 หมู่บ้านวัฒนธรรมถลาง บ้านแขนน โรงเรียนและร้านอาหารบลูเอเลเฟ่นท (บ้านพิทักษ์ชินประชา) เส้นที่ 3 ชุมชนป่าคลอก พิพิธภัณฑ์ เพอรานากัน เส้นที่ 4 ไทเกอร์ คิงดอม ไร่วานิช เส้นที่ 5 อุทยานแห่งชาติสิรินาถ ชุมชนทองเที่ยวย่านเมืองเก่าภูเก็ต
นายจิรุตถ์ กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการพัฒนาโครงการต่อเนื่องในปี 2562 คือ ส่งเสริมการตลาดและการประชาสัมพันธ์ โดยให้มีการจัดสัมมนา การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การจัดประชุมนานาชาติ และงานแสดงสินค้านานาชาติ ตามเส้นทางไมซ์ใหม่ทั้ง 25 เส้นทางในไมซ์ซิตี้ทั้ง 5 เมือง ผ่าน 2 ช่องทางหลักคือ สร้างการรับรู้ผ่านสื่อและกิจกรรมของ “ทีเส็บ” ได้แก่ การจัดทำแผ่นพับแต่ละเมืองไมซ์, คู่มือไอเดียสร้างสรรค์เส้นทางสายไมซ์ พร้อม QR Code การโปรโมทผ่านงานเทรดโชว์ระดับนานาชาติ พร้อมเตรียมการจัดทำวิดิทัศน์ส่งเสริมการขาย ตลอดจนสร้างการรับรู้ผ่านสื่อและกิจกรรมร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ หน่วยงานเครือข่ายจังหวัด สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) หรือ “ทิก้า” รวมถึงองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. ทั้งในส่วนกลางและในพื้นที่อีกด้วย
“ในปี 2562 ทีเส็บ เตรียมแผนขยายโครงการพัฒนาเส้นทางไมซ์ในอีก 5 เมืองรอง โดยขยายเส้นทางจากเมืองรองที่อยู่รอบเมืองไมซ์ซิตี้ และวางแผนทำ Mobile Application รวมถึงการเชื่อมโยงกับหน่วยงาน องค์กร ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มการรับรู้ในเส้นทางเหล่านี้มากขึ้น อีกทั้งยังสอดรับกับยุทธศาสตร์การพัฒนาไมซ์ซิตี้ และนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาเมืองรอง ร่วมขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเดินหน้าสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการจัดกิจกรรมไมซ์ที่หลากหลายระดับคุณภาพ ยกระดับสินค้าบริการและสถานประกอบการไมซ์ใหม่ ๆ ทั่วทุกภูมิภาค เพื่อสร้างรายได้และโอกาสในการพัฒนาไมซ์ทั่วประเทศ”
นายจิรุตถ์ กล่าวในตอนท้ายว่า จากการดำเนินงานโครงการพัฒนาเส้นทางไมซ์ครั้งนี้คาดว่าจะกระตุ้นนักเดินทางไมซ์ทั้งในและต่างประเทศได้ตามเป้าหมาย รวมทั้งสิ้น 35,982,000 คน สร้างรายได้ 221,500 ล้านบาท แบ่งออกเป็น นักเดินทางกลุ่มไมซ์ต่างประเทศ 1,320,000 คน สร้างรายได้ 100,500 ล้านบาท และนักเดินทางชาวไทยที่เข้าร่วมงานไมซ์ในประเทศ 34,662,000 คน สร้างรายได้ 121,000 ล้านบาท”