“รีโว เอสเตท” ร่วมทุนญี่ปุ่น พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย

นายบุญเลิศ รตินธร (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีโว เอสเตท จำกัด และนางสาวสุทธิสินี อยู่สวัสดิ์ (ซ้ายสุด) กรรมการผู้จัดการ ลงนามในสัญญาร่วมทุน กับ นายฮิเดโอะ โอกะ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้บริหารส่วนงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ซีอาร์ส โฮม จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศญี่ปุ่น และ นางฟูมิ ซาซากิ (ขวาสุด) กรรมการผู้จัดการ บริษัท กลอรี่ ไทฟูน จำกัด เพื่อจัดตั้ง บริษัท รีโว ซีอาร์ส โฮม จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 52,000,000 บาท (ชำระเต็มจำนวน) เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และที่อยู่อาศัยในรูปแบบต่าง ๆ โดยโครงการแรกที่จะพัฒนาร่วมกันคือ โครงการ “เรซิโอ-โฮม” (วงแหวน-รามอินทรา) เป็นโครงการทาวน์โฮม 2 ชั้น ภายใต้แนวคิด Exclusive Japanese Sensation ส่วนตัวที่สุดเพียง 89 ยูนิต ในราคาเริ่มต้นที่ 2.19 ล้านบาท

“สปาชา” อวดโฉมผู้ชนะการแข่งขันลดน้ำหนัก “เมค นิว มี ซีซั่น 3”

นางสาวชัญญา ประนิช (กลาง) กรรมการผู้จัดการ สปาชา กรุ๊ป ร่วมแสดงความยินดีและมอบรางวัล รวมกว่า 2,550,000 บาท ให้แก่ นางสาวสิรินาถ พฤกไพบูลย์ (ซ้าย) และนายภัทรพล มหาสิทธิลาภ (ขวา) ผู้ชนะการแข่งขันลดน้ำหนัก ในโครงการ “สปาชา เมค นิว มี ซีซั่น 3” (SparSha Make New Me Season 3) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สถาบันลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วน “สปาชา สลิมมิ่ง เซ็นเตอร์” ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเรื่องลดน้ำหนักมากกว่า 17 ปี จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อสานฝันและเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วนให้กลับมามีสุขภาพดี รูปร่างดี และเสริมความมั่นใจได้อีกครั้ง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ สุขภาพดี รูปร่างดี ดูดีทุกวัน ” โดยพิธีมอบรางวัลจัดขึ้นที่โรงแรมเรเนซองส์ กรุงเทพฯ ราชประสงค์ เมื่อเร็ว ๆ นี้

BEAUTY โชว์แผนธุรกิจ

นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ (ที่ 6 จากขวา )รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, สุรพล เพชรกลึง (ที่ 6 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน, ศิริการย์ พัฑฒิวีระนนท์ (ที่ 8 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ และ ภัทราพร ถนอมกิจชัย (ที่ 4 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่สายงานพาณิชย์ ร่วมถ่ายภาพเป็นที่ระลึกร่วมกับคณะนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ พร้อมให้ข้อมูล “แผนการดำเนินงานและกลยุทธ์การเติบโตปี 2562” โดยมีนักวิเคราะห์เข้าร่วมรับฟัง จำนวน 29 หลักทรัพย์รวม 41 ท่าน ณ สำนักงานใหญ่ บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ ซ.นวลจันทร์ 34 เมื่อเร็ว ๆ นี้

EPP ร่วมจัดแสดงบรรจุภัณฑ์พลาสติกคุณภาพ

นายธีระวัฒน์ วิทูรปกรณ์ (ขวา) กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทิร์น โพลีแพค จำกัด หรือ EPP นำบรรจุภัณฑ์ พลาสติกสำหรับเครื่องดื่มและอาหารหลากหลายรูปแบบ ร่วมจัดแสดงภายในงาน “Thailand Coffee Fest 2019” มหกรรมกาแฟที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถเลือกบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์กับการใช้งานได้อย่างเหมาะสม พร้อมส่งเสริมกิจกรรมการคัดแยกขยะภายในงาน โดยได้จัดถังขยะแยกประเภทบริเวณรอบงานแสดง เพื่อให้ความรู้และปลูกฝังพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมงานในการแยกขยะอย่างเหมาะสม จนนำไปสู่กระบวนการรีไซเคิลต่อไป ณ อิมแพค เอกซิบิชั่นฮอลล์ 5-6 เมืองทองธานี เมื่อเร็วๆ นี้

“วัตสัน โบว์สีเขียว”

 

นางสาวนวลพรรณ ชัยนาม (ที่ 2 จากขวา) Customer Director “วัตสัน ประเทศไทย” ผู้นำร้านเพื่อสุขภาพและความงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย จัดกิจกรรม “วัตสันโบว์สีเขียว Watsons Green Ribbons” เนื่องในวันสตรีสากล โดยจำหน่ายโบว์สีเขียวและเชิญชวนคนไทยให้เห็นความสำคัญและช่วยเหลือเด็กและสตรีที่ประสบปัญหาทั้งร่างกายและจิตใจ ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง พร้อมมอบเงินรายได้โดยไม่หักค่าใช่จ่ายให้ สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรี ในพระอุปถัมภ์ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ (บ้านพักฉุกเฉิน) โดยมี นางเอกสาวสวย “แอฟ ทักษร” และ “ดีเจนุ้ย ธนวัฒน์” ร่วมงาน ณ ร้านวัตสัน สาขา ซี.พี. ทาวเวอร์ สีลม ที่ผ่านมา

“อัญมณีและเครื่องประดับไทย” เปล่งประกายรุกตลาดฮ่องกง

alivesonline.com : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จัดกิจกรรมโรดโชว์ที่ฮ่องกง เพื่อโปรโมทงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair ครั้งที่ 64 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-14 กันยายน 2562 นำเสนอความเป็นเลิศของฝีมือช่างไทย ภายใต้แนวคิด “Thailand Magic’s Hands”

จากที่ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในฐานะแหล่งรวมอัญมณีและเครื่องประดับที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลกและเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของการผลิตที่มีคุณภาพสูง งาน “Bangkok Gems & Jewelry Fair” (BGJF) คือหนึ่งในงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับระดับโลก จัดขึ้นปีละสองครั้ง ในเดือนกุมภาพันธ์และกันยายน โดย กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่ช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไทยสู่สายตาชาวโลก ซึ่งประเทศไทยติดอันดับสามผู้ส่งออกอัญมณีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมโลกในการคัดสรรอัญมณีหินสีจำพวกพลอย รวมถึงเครื่องประดับทองคำและเงิน

อัญมณีและเครื่องประดับที่ผลิตโดยช่างฝีมือไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดชั้นนำหลายแห่งทั่วโลก รวมถึงสวิตเซอร์แลนด์ ฮ่องกง อินเดีย และสหรัฐอเมริกา โดยในปี 2561 การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูป) มีมูลค่าสูงถึง 7,606 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 240,427 ล้านบาท) การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา เยอรมนี เบลเยียม และจีนมีอัตราสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้มูลค่าการส่งออกภาพรวมจะลดลงเล็กน้อย

สำหรับ ฮ่องกง ยังคงเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของประเทศไทยด้านอัญมณีและเครื่องประดับ โดยมีสัดส่วนการส่งออกประมาณ 1 ใน 4 ของมูลค่าการส่งออก 2.08 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท) การซื้อเหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเพชร อัญมณีและเครื่องประดับทองคำตามลำดับ โดยผู้ประกอบการไทยส่งออกหินสีไทยไปยังฮ่องกงโดยได้รับการสนับสนุนจากระบบภาษีนำเข้าที่เป็นศูนย์ (Zero Import Tax System) ไปยังประเทศจีน และ PANDORA ซึ่งมีฐานการผลิตในประเทศไทยถือเป็นตัวอย่างสำคัญของแบรนด์ที่ผลิตในประเทศไทยซึ่งทำตลาดได้ดีในฮ่องกง

ความเป็นเลิศของฝีมือไทยในอุตสาหกรรมโลก

Mr.Ng King Hon Kevin ประธานสมาคมนักออกแบบเครื่องประดับนานาชาติ (ฮ่องกง) กล่าวว่า “ทักษะและแรงงานของประเทศไทยไม่เพียงแค่ได้มาตรฐานสากล แต่เราจะหาคุณภาพแบบนี้ได้จากที่ไหนอีกในโลก หาตัวเทียบกันได้ยากจริง ๆ”

Mr.Fiorence Chan บรรณาธิการบริหารนิตยสาร Hong Kong Jewellery และสมาคมผู้ผลิตอัญมณีและหยกฮ่องกง กล่าวว่า “การออกแบบเครื่องประดับของไทยน่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ และเรื่องการพัฒนาเทคโนโลยี ความโปร่งใสและความยั่งยืนในเรื่องธุรกิจก็เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยสร้างความมั่นใจของผู้ซื้อทั่วโลกด้วยเช่นกัน”

 นายสุเมธ ประสงค์พงษ์ชัย รองผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านอัญมณีหินสีอยู่แล้ว ความร่วมมือระหว่าง GIT และศูนย์ทดสอบพลอยแห่งชาติของจีนก็กำลังพัฒนามาตรฐานการประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมถึงเรื่องภาษาและระบบใบรับรองระดับโลก”

นายปรีดา เตียสุวรรณ์ ประธานกรรมการ บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ฝีมือของคนไทยที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นทำให้ประเทศไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก ผมหวังว่าเราจะยังคงรักษาความเป็นเลิศของงานฝีมือไทยนี้ให้เป็นลายเซ็นของราได้ตลอดไป”

สำหรับงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair ครั้งที่ 64 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-14 กันยายน 2562 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็คเมืองทองธานี  ข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาเยี่ยมชม www.bkkgems.com หรือ  DITP Call Center 1169

 

 

บลจ.วี ให้บริการกองทุนรวม ประเดิม IPO 2 กองทุนตราสารหนี้เด่น

alivesonline.com : บลจ.วี พร้อมให้บริการด้านกองทุนรวมอย่างเป็นทางการแล้ว ประเดิมเปิดเสนอขาย IPO 2 กองทุนตราสารหนี้ WE-MONEY และ WE-INCOME เน้นลงทุนในตราสารหนี้ ทั้งในและต่างประเทศที่สร้างโอกาสผลตอบแทนส่วนเพิ่มในภาวะดอกเบี้ยเงินฝากในระดับต่ำ เล็งเปิดตัวกองทุนใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง

นายอิศรา พุฒตาลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วี จำกัด (บลจ.วี) เปิดเผยว่า บลจ. วี เกิดขึ้นโดยมีความมุ่งมั่นที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์กองทุนรวมที่สร้างผลการดำเนินงานของกองทุนที่ดีอย่างสม่ำเสมอ พร้อมด้วยความหลากหลายด้านนวัตกรรมทางการเงิน และมุ่งที่จะออกแบบกองทุนรวมที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันเพื่อความมั่งคั่งของลูกค้า ภายใต้แนวคิด “We design your wealth…We grow together”

บลจ.วี ก่อตั้งโดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านตลาดเงินและตลาดทุน มีประสบการณ์ในธุรกิจหลักทรัพย์จัดการกองทุนและธุรกิจหลักทรัพย์มานานกว่า 20 ปี ดังนั้นผู้ลงทุนจึงเชื่อมั่นได้ว่า บลจ. วีมีความชำนาญทั้งในด้านการสรรหาผลิตภัณฑ์กองทุนรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับลูกค้าภายใต้ระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เริ่มดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2562 โดยในช่วงแรกพร้อมให้บริการด้านกองทุนรวมให้นักลงทุนผ่านช่องทางการขายคือ ตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุน (Selling Agent) ของบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)

นายอิศรา กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้วยมุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนในปี 2562 ซึ่งประเมินว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกยังสามารถเติบโตได้ดี แม้จะมีการคาดการณ์ว่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อย โดยที่เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังสามารถเติบโตได้ดีที่ระดับ 2.3-2.5% แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 1/62 อาจจะชะลอตัวลงบ้าง เนื่องจากผลกระทบจากเรื่องสงครามการค้า แต่คาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นในปลายไตรมาส 2/62 ดังนั้นเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาในภาพรวมยังเป็นการเติบโตที่ดี นอกจากนี้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (Fed) ยังมีแนวโน้มที่จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยจึงคาดว่าจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนตลาดหุ้นต่อไป

“ในส่วนของเศรษฐกิจไทยด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ยังแข็งแกร่ง ภาพรวมของเศรษฐกิจที่สามารถเติบโตได้ที่ระดับ 3.5-4% ในปีนี้ ดังนั้น บลจ.วี จึงมีแผนที่จะนำเสนอกองทุนใหม่ที่มีนโยบายลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนที่ดี”

ด้าน นางสาวนิตยา เลิศแสงเพชร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารผลิตภัณฑ์และช่องทางบริการ บลจ. วี กล่าวว่า บลจ.วี มุ่งเน้นการออกแบบกองทุนรวมที่สนองตอบความต้องการของนักลงทุนเป้าหมาย โดยในช่วงแรก บลจ.วี จะเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ 2 กองทุนที่สร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่จูงใจเมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากตลาดเงินในปัจจุบัน จึงคาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่จากช่องทางการขายของ KTBST ที่มีฐานลูกค้าบุคคลธรรมดารายใหญ่ (High Net Worth) ซึ่งต้องการหาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนส่วนเพิ่มจากเงินฝากธนาคารในภาวะที่ดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำ จากการลงทุนในตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ บลจ.วี พร้อมเสนอขายกองทุนตลาดเงินและกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ได้แก่ กองทุนเปิด วี มันนี่ มาร์เก็ต (WE-MONEY) กองทุนตลาดเงินเหมาะสำหรับการบริหารสภาพคล่องระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ลงทุน มีความเสี่ยงต่ำ ลงทุนในเงินฝาก ตราสารภาครัฐ ตราสารหนี้เอกชนระยะสั้นที่มีความแข็งแกร่งทางการเงิน  โดยกองทุนสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ และเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันที่ 18-19 มีนาคม 2562

หลังจากนั้นจะเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) กองทุนเปิด วี ฟิกซ์ อินคัม ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (WE-INCOME) มีนโยบายลงทุนในพันธบัตร หรือตราสารหนี้ที่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือในอันดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) เป็นหลัก และกระจายการลงทุนบางส่วนลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำกว่าที่สามารถลงทุนได้ (Non–Investment Grade) และตราสารหนี้ที่ไม่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Unrated Securities) ระยะสั้นที่มีฐานะทางการเงินและมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้น เหมาะกับนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้มากขึ้น โดยกองทุนมีสภาพคล่องสามารถซื้อขายได้ทุกวันทำการ และจะเปิดเสนอขายครั้งแรก (IPO) ประมาณวันที่ 21-22 มีนาคม 2562 นอกจากนี้ ยังเตรียมที่จะออกกองทุนใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้า เช่น กองทุนประเภทคอมเพล็กรีเทิร์น, กองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์ และกองทุนต่างประเทศ

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วี จำกัด โทร.0 2648 1555 หรือ  www.weasset.co.th และบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร.0 2648 1111

ทั้งนี้ การลงทุน ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน โดยกองทุน WE-INCOME ไม่ถูกจำกัดความเสี่ยงด้านการลงทุนเช่นเดียวกับกองทุนรวมทั่วไป จึงเหมาะกับผู้ลงทุนที่รับผลขาดทุนได้ในระดับสูงเท่านั้น

 

KTBST เปิดตัวแพลตฟอร์มสร้างสังคมการลงทุนคุณภาพ

alivesonline.com : KTBST เปิดตัวแพลตฟอร์มการลงทุนรูปแบบใหม่ KTBST SOCIAL TRADING ยกระดับคุณภาพสังคมการลงทุนให้สามารถแบ่งปันแนวคิด หรือกลยุทธ์การลงทุนสำหรับนักลงทุนออนไลน์ผ่านการปฎิบัติจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้ลงทุนสามารถแบ่งปันไอเดียการลงทุนได้แบบ Real-Time เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน รวมถึงติดตามสถิติการซื้อขายและวัดผลการลงทุนของตนเอง หรือผู้อื่นที่ให้ความยินยอมภายใต้แพลตฟอร์มเดียวกันได้อย่างมีมาตรฐาน

นายชาตรี โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้เปิดตัวบริการ KTBST SOCIAL TRADING เป็นรายแรกของประเทศไทยที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เข้าสู่สังคมการลงทุน (Investment Community) ผ่านเทคโนโลยี Social Trading Platform ที่พัฒนาโดย บริษัท สกายเน็ต ซิสเต็มส์ จำกัด ซึ่งเป็นนวัตกรรมการลงทุนในรูปแบบ “เครือข่ายสังคมการลงทุนคุณภาพที่แบ่งปันข้อมูลและความคิดทางการลงทุนสำหรับนักลงทุนออนไลน์” เพื่อยกระดับคุณภาพของสังคม การลงทุนออนไลน์ ด้วยการสนับสนุนให้เกิดเครือข่ายการแลกเปลี่ยนและแบ่งปันแนวคิด หรือกลยุทธ์การลงทุนเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกันในสังคมผ่านการปฏิบัติจริง

นักลงทุนที่สนใจใช้บริการ KTBST Social Trading เพียงเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับ KTBST ได้ และเมื่อเปิดบัญชีสำเร็จแล้ว ลูกค้าจะสามารถตั้งชื่อผู้ใช้  Username) และรหัสผ่าน (Password) ผ่าน www.ktbst.co.th และนำไปล็อคอินเพื่อเข้าระบบ KTBST Social Trading ผ่านแอปพลิเคชัน SKYNET Stock Trading และลูกค้าสามารถเลือกใช้บริการได้ 2 แบบ คือ แบบที่ 1 : ทดลองซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์จำลองโดยไม่ต้องใช้เงินจริง (Skynet Stock Demo) และแบบที่ 2 : ซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินจริง (Real Account )

สำหรับลูกค้าที่เลือกใช้บริการแบบ Skynet Stock Demo จะสามารถทดลองเรียนรู้การซื้อขายหุ้นเสมือนจริงได้แบบเรียลไทม์ และสามารถทดลองใช้ทุกฟังก์ชั่นของแอปพลิเคชัน ได้แก่ ฟังก์ชั่น Follower และ Master โดยนักลงทุนที่สนใจติดตามการซื้อขายของสังคมการลงทุนจะเรียกว่า “ผู้ติดตาม” หรือ Follower ซึ่งจะสามารถติดตามธุรกรรมซื้อ ขาย และเปลี่ยนแปลงคำสั่งของนักลงทุนที่สมัครใจจะเปิดเผยรายการซื้อขายของตน ซึ่งเรียกว่า “ผู้ให้ข้อมูล” หรือ Master ได้แบบเรียลไทม์ โดย Follower 1 ท่าน สามารถเลือกติดตาม Master ได้ครั้งละ 1 คนเท่านั้น และเมื่อติดตามแล้วระบบจะส่งสัญญาณ Master Signal เพื่อแจ้งเตือนการซื้อขายไปยัง Follower ของ Master แต่ละรายพร้อมกัน เมื่อ Master รายนั้น ๆ มีการส่งคำสั่งซื้อขาย

ทั้งนี้ Follower สามารถเลือกที่จะกดปุ่มเพื่อ ซื้อ ขาย หรือเปลี่ยนแปลงคำสั่งตาม Master หรือไม่ก็ได้ตามดุลยพินิจของตนเอง หรือ Follower สามารถเลือกใช้คำสั่ง Auto Trade เพื่อซื้อขายตาม Master โดยอัตโนมัติทุกธุรกรรมตามสัดส่วนเงินลงทุนของลูกค้าในระบบทดลองได้ เพื่อให้ Follower ไม่พลาดทุกการซื้อขายของ Master โดย Follower ยังสามารถติดตามสถิติการเทรด และดูผลการลงทุนของ Master ทุกรายได้ด้วยวิธีการวัดผลที่เป็นมาตรฐานได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เพื่อเป็นข้อมูลเปรียบเทียบและประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนที่เป็นผู้ติดตามในการเลือก Master เพื่อติดตาม และสามารถเปลี่ยน Master ที่ตนเองต้องการติดตามได้เช่นกัน ทั้งนี้เป็นไปตามเงื่อนไขของบริษัทฯ

นายชาตรี กล่าวด้วยว่า แอปพลิเคชันดังกล่าวยังมีฟังก์ชั่นที่โดดเด่นอีกมากมาย ทั้งฟังก์ชั่น Tournament Ranking ซึ่งเป็นระบบจัดการแข่งขัน Stock Trading พร้อมคำนวณ Gain / Win Rate / Drawdown ให้อัตโนมัติได้ในระดับ วัน / เดือน / ปี, ฟังก์ชั่น Analyst Signal แจ้งเตือนซื้อขายตามบทวิเคราะห์เทคนิคของโบรกเกอร์, ฟังก์ชั่น Social Profile บันทึกสถิติจำนวนหุ้นและการเทรด, ฟังก์ชั่น Point Systems มีระบบสะสม Point สำหรับ Master & Follower ที่มีการซื้อขายอยู่เป็นประจำ, ฟังก์ชั่น Chart ใช้สำหรับวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีเครื่องมือทางเทคนิคให้เลือกใช้ได้มากมายและสามารถวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลังได้สูงสุดถึง 35 ปี, ฟังก์ชั่น Volume Conditional Order ตั้งระบบซื้อขายอัตโนมัติ เงื่อนไขด้านราคาและ Volume ที่ต้องการ, ฟังก์ชั่น Ticker Filter มีระบบ Filter Ticker เลือกดูฝั่ง Buy / Sell หรือ Filter ราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงขึ้น หรือลงเป็น % ของหุ้นก่อนทำการส่งคำสั่งซื้อขายจริงได้, ฟังก์ชั่น Theme & Profile เลือก Theme และ Upload รูปส่วนตัวได้, ฟังก์ชั่นรองรับ Algorithm และ AI ได้ในระดับ Machine Learning & Deep Learning โดยต้องเป็นไปเงื่อนไขของตลาดหลักทรัพย์ฯ และหน่วยงานกำกับดูแลกำหนดไว้, ฟังก์ชั่น Trade Value  Calculation คำนวณราคาก่อนตัดสินใจซื้อขายหุ้นได้อัตโนมัติ และฟังก์ชั่น Markets Filter จัดอันดับ Gain / Lose ราคาหุ้นในตลาด SET50, SET100 และ mai

“สำหรับลูกค้าที่เลือกใช้บริการแบบ Real Account หรือการซื้อขายหลักทรัพย์ด้วยเงินจริง สามารถใช้งานได้ทุกฟังก์ชั่นที่กล่าวมาข้างต้น ยกเว้นฟังก์ชั่น Follower, ฟังก์ชั่น Master Signal และฟังก์ชั่น Analyst Signal ที่อยู่ระหว่างการรอความชัดเจนของเกณฑ์การกำกับดูแลจากจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง และพร้อมเปิดให้บริการทันทีที่มีความชัดเจนด้านหลักเกณฑ์การกำกับดูแล โดยในส่วนของความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวลูกค้านั้น ลูกค้าที่ใช้บริการแอปพลิเคชันสามารถมั่นใจได้ว่าข้อมูลส่วนตัวที่ลูกค้าให้กับ KTBST ในการเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อใช้บริการ KTBST SOCIAL TRADING จะถูกเก็บเป็นความลับตามข้อตกลงการให้บริการ ภายใต้การกำกับดูแลของ KTBST ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเปิดบัญชีซื้อขาย”

ผู้สนใจบริการ KTBST SOCIAL TRADING สามารถใช้คอมพิวเตอร์เข้าผ่านเว็บไซต์ https://ranking.skynetsystems.co.th/main/stock และสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันผ่านสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต โดยค้นหาแอปพลิเคชัน SKYNET Stock Trading ได้ผ่าน App Store (ลิงค์: https://apple.co/2UiJOLe) และ Play Store (ลิงค์ : https://bit.ly/2GTIKdD) โดยผู้ลงทุนที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อใช้บริการได้ที่ https://bit.ly/2tSWLja และสามารถศึกษารายละเอียดวิธีการเปิดบัญชีและคู่มือการใช้บริการ KTBST SOCIAL TRADING ได้ที่ http://opn.to/a/9Eo0y และสามารถติดต่อสอบถามได้ที่บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KTBST) หมายเลขโทรศัพท์ 0 2648 1166 หรืออี-เมล์ spd@ktbst.co.th

ด้าน นายพิพัฒน์ รุ่งเรือง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สกายเน็ต ซิสเต็มส์ จำกัด (SKYNET) กล่าวว่า SKYNET เป็นบริษัทฟินเทคสตาร์ทอัปของประเทศไทยที่ให้บริการระบบ Social Trading Platform ที่รองรับทั้งการตัดสินใจซื้อขายตามดุลยพินิจของนักลงทุนและอัลกอริธึม หรือกลยุทธ์ในขั้นตอนวิธีการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น และ Artificial Intelligence (AI) หรือปัญญาประดิษฐ์ได้ในระดับ Machine Learning ที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง และ Deep Learning ซึ่งเป็นชุดคำสั่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้เครื่องจักร หรือเครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้และเข้าใจได้เหมือนกับมนุษย์ โดยระบบสามารถจัดอันดับนักลงทุน หรือบทวิเคราะห์ หรือ AI เพื่อให้นักลงทุนทั่วไป สามารถขอติดตามและตรวจสอบความน่าเชื่อถือได้

สำหรับ Social Trading Platform ที่ SKYNET พัฒนานี้ถือเป็นหนึ่งในนวัตกรรมทางการลงทุนที่ได้รับการยอมรับและได้รับรางวัลในระดับประเทศ ได้แก่ รางวัลชนะเลิศอันดับ 1 Business Services (Finance and Accounting Solutions) จาก Thailand ICT Awards 2018 รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 จากโครงการประกวด “รางวัลสุดยอด นวัตกรรมตลาดทุนไทย 2561” (Capital Market Innovation Awards 2018) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเป็นผู้ผ่านเข้ารอบ 12 ทีมสุดท้ายของ SEC FinTech Challenge 2018 จากสำนักงาน ก.ล.ต. และได้รับคัดเลือกเป็นบริษัท Top 10 Startup ตัวแทนของประเทศไทยจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) กับ RISE Accelerator และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) กับ Thailand Tech Startup Association ให้ไปแสดงผลงานในประเทศสิงคโปร์ และประเทศฮ่องกงในปี 2561

นายพิพัฒน์ กล่าวอีกว่า SKYNET Systems เป็นผู้ดำเนินการภายใต้การริเริ่มพัฒนาแอปพลิเคชัน SKYNET Stock Trading ซึ่งเป็น Social Trading Platform จาก KTBST ในครั้งนี้ SKYNET มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งและถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นของ SKYNET Systems ที่เชื่อมต่อระบบ Social Trading Platform กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้จนสำเร็จ และต้องการยกระดับมาตรฐานของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพเทียบเคียงกับตลาดหลักทรัพย์ในระดับโลก โดยมีเป้าหมายที่จะช่วยสร้างสรรค์สังคมการลงทุนออนไลน์ให้มีคุณภาพและเกิดเป็นเครือข่ายสังคมที่แบ่งปันข้อมูลและความคิดทางการลงทุนอย่างแท้จริง ขณะที่ช่วงต้นไตรมาส 2/2562 ทาง SKYNET มีโครงการที่จะเปิดตัวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ CME Group ซึ่งเป็นสถาบันการเงินผู้ให้บริการด้านตลาดการซื้อขายและลงทุนในฟิวเจอร์ โดยได้ลงนามทำสัญญาเริ่มดำเนินการเชื่อมต่อระบบกันเป็นที่เรียบร้อย

 

ยักษ์ใหญ่โลจิสติกส์สัญชาติเบลเยียม ทุ่มงบลงทุนกว่า 450 ล้านบาท เพิ่มพื้นที่คลังสินค้ามาบตาพุด

alivesonline.com : “คาทูน นาที” ผู้นำด้านโลจิสติกส์ครบวงจรระดับโลก สัญชาติเบลเยียม มั่นใจศักยภาพไทยเอื้อพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ขยายการลงทุนกว่า 450 ล้านบาท สร้างคลังสินค้าสุดไฮเทคเพิ่มในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ภายใต้แนวคิด “โลจิสติกส์ โซลูชั่น” ชูการออกแบบด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และตอบสนองตามความต้องการของลูกค้า พร้อมตั้งเป้าปี 2565 สร้างรายได้กว่า 2 พันล้านบาท

นายเฟอร์นานด์ ฮัทส์ ประธานกลุ่ม “คาทูน นาที” ผู้นำด้านโลจิสติกส์ครบวงจรระดับโลก สัญชาติเบลเยียม เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีเครือข่ายให้บริการมากกว่า 165 แห่งครอบคลุมทั่วโลก ทั้งทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา รวมถึงเอเชีย ได้แก่ เวียดนาม สิงคโปร์ และไทย โดยมีรูปแบบการให้บริการด้านขนส่งและบริการคลังสินค้า ในลักษณะ Ready Build Warehouse (RBW) และ Built to Suit (BTS) ซึ่งมีมาตรฐานโครงสร้างคลังสินค้าที่มีเทคโนโลยีและระบบวิศวกรรมแบบครบวงจร พร้อมการออกแบบเพื่อการอนุรักษ์พลังงานและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการนำระบบพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมมาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ที่ครอบคลุมความต้องการทุกประเภท ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เครื่องจักร สินค้าควบคุมอุณหภูมิแช่เย็น แช่แข็ง และสินค้าเกษตร เป็นต้น รวมถึงบริการด้านการขนส่ง การจัดการ และการเก็บสะสมงานศิลปะสำหรับพิพิธภัณฑ์ทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยบริษัทฯ ได้ออกแบบสโตร์เก็บผลงานศิลปะที่มีการควบคุมอุณหภูมิ แสงสว่าง และความปลอดภัยโดยได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญด้านการศิลปะโดยเฉพาะ

“คาทูน นาที” ได้เข้ามาลงทุนด้านโลจิสติกส์ในประเทศไทยเป็นเวลา 20 ปี ภายใต้ชื่อ บริษัท คาทูน นาที (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท คาทูน นาที เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยงบการลงทุนรวมกว่า 9 พันล้านบาท เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพในพื้นที่ของประเทศไทย ทั้งด้านระบบการขนส่งภายในประเทศและการเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อไปสู่ประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มประเทศ CLMV จึงได้เปิดให้บริการด้านโลจิสติกส์ภายใต้แนวคิด “โลจิสติกส์ โซลูชั่น” ทั้งคลังสินค้า (Warehouse) ในลักษณะ RBW และ BTS ที่ใช้ระบบการออกแบบและการดำเนินงานตามมาตรฐานของบริษัทฯ รวมถึงบริการคัดแยกและบรรจุผลิตภัณฑ์ (Packaging) จำนวนทั้งสิ้น 5 แห่ง รวมพื้นที่ทั้งหมด 4 แสนตารางเมตร แบ่งออกเป็น กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และสินค้าอุปโภคบริโภค ณ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง จำนวน 2 แห่ง กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีชนิดพิเศษ บริเวณนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง จำนวน 2 แห่ง

ล่าสุด บริษัทฯ ใช้งบประมาณการลงทุนกว่า 450 ล้านบาท สร้างศูนย์กระจายสินค้าใหม่ขึ้นมาอีก 1 แห่ง บริเวณนิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุด จ.ระยอง ขนาดพื้นที่ 1.8 หมื่นตารางเมตร เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของลูกค้าในพื้นที่เขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก Eastern Economic Corridor (EEC) โดยเป็นศูนย์กระจายสินค้าที่มีเครื่องมือและระบบการบริหารจัดการที่ทันสมัยสำหรับเคมีภัณฑ์ชนิดต่าง ๆ

นายเฟอร์นานด์ กล่าวในตอนท้ายว่า บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพที่มั่นคง เห็นได้จากการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์เชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ส่งผลให้ในปัจจุบันมีกลุ่มนักลงทุนบริษัทต่างชาติหันเข้ามาลงทุนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น จึงเป็นสัญญาณที่ดีว่าประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งตลาดทางด้านโลจิสติกส์ที่น่าดึงดูดกลุ่มนักลงทุนในระยะยาว โดยบริษัทฯ ได้เตรียมแผนการลงทุนในประเทศไทยเพิ่มเติมในด้านต่าง ๆ ทั้งการพัฒนาระบบให้สอดรับกับการเป็น “โลจิสติกส์ โซลูชั่น” รวมถึงการขยายศูนย์กระจายสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการของกลุ่มลูกค้า โดยตั้งเป้าในปี 2565 จะสามารถสร้างรายได้กว่า 2 พันล้านบาทต่อปี จากเดิมที่ทำได้ประมาณ 1.5 พันล้านบาทต่อปี

 

“ซีเมนส์” เปิดศูนย์บริการพลังงานไฟฟ้าระยอง

ดร.อาร์มิน บรัค (ที่4จากขวา) ประธานกรรมการและหัวหน้าฝ่ายบริหาร บริษัท ซีเมนส์ จำกัด ประจำสิงคโปร์และภูมิภาคอาเซียน ร่วมกับ นายมาร์คุส ลอเรนซินี่ (ที่3จากขวา) ประธานกรรมการและหัวหน้าฝ่ายบริหาร บริษัท ซีเมนส์ จำกัด ประจำประเทศไทย ร่วมทำพิธีเปิดศูนย์บริการพลังงานไฟฟ้า (Power Generation Services) แห่งใหม่อย่างเป็นทางการที่จังหวัดระยอง เพื่อเพิ่มศักยภาพในการสนับสนุนและส่งเสริมการเติบโตและความยั่งยืนของภาคพลังงานไทย

alivesonline.com : “ซีเมนส์” บุกพื้นที่อีอีซี เปิดศูนย์บริการพลังงานไฟฟ้าแห่งใหม่ที่ระยอง ยกไทยต้นแบบสร้างภูมิทัศน์ทางพลังงานที่ยั่งยืน หนุนแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าฉบับล่าสุดของไทย พร้อมเพิ่มศักยภาพและส่งเสริมการเติบโตและความยั่งยืนของภาคพลังงานไทย เร่งให้บริการลูกค้าที่ใช้กังหันก๊าซสำหรับการผลิตไฟฟ้าเชิงอุตสาหกรรมกว่า 100 ราย

นายทอร์เบียน ฟอร์ส หัวหน้าฝ่ายบริหาร ธุรกิจบริการพลังงานไฟฟ้า โรงไฟฟ้าย่อย และธุรกิจน้ำมันและก๊าซ (Power Generation Services, Distributed Generation and Oil and Gas) บริษัท ซีเมนส์ จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ “ซีเมนส์” ได้เปิดศูนย์บริการพลังงานไฟฟ้า (Power Generation Services) แห่งใหม่อย่างเป็นทางการในประเทศไทยที่ จ.ระยอง ซึ่งเป็นเป็นพื้นที่สำคัญของโครงการพื้นที่พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (อีอีซี) ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ

ศูนย์บริการพลังงานไฟฟ้าแห่งใหม่มีพื้นที่ 1.2 พันตร.ม. ทำหน้าที่เป็นทั้งศูนย์ซ่อมบำรุง รวมถึงคลังอะไหล่และอุปกรณ์ ให้บริการครบวงจรทั้งการตรวจสอบสภาพ เปลี่ยนอะไหล่ พร้อมทั้งเป็นโรงจัดเก็บเครื่องมือและซ่อมแซมกังหันก๊าซ คอมเพรสเซอร์ก๊าซ รวมถึงกังหันไอน้ำอุตสาหกรรมแก่ลูกค้าของ “ซีเมนส์” ซึ่งถือเป็นการเพิ่มศักยภาพในการสนับสนุนและส่งเสริมการเติบโตและความยั่งยืนของภาคพลังงานไทย ทั้งยังเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการส่งมอบบริการอันเป็นเลิศแก่ลูกค้าในท้องที่ไปพร้อมกับการสนับสนุน ซึ่งให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีการผลิตพลังงานไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงจากวัตถุดิบก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น

“ศูนย์บริการพลังงานไฟฟ้าแห่งใหม่นี้จะสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างใกล้ชิดโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าอุตสาหกรรม อีกทั้งยังเป็นการยกระดับการให้บริการเพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมของไทยที่กำลังเติบโต โดยสามารถให้บริการแก่ลูกค้าโรงไฟฟ้าที่ไว้วางใจใช้กังหันก๊าซสำหรับการผลิตไฟฟ้าเชิงอุตสาหกรรมที่มีอยู่ประมาณ 100 รายในประเทศไทยซึ่งถือเป็นประเทศที่มีการติดตั้งกังหันก๊าซรุ่น SGT-800 มากที่สุดในโลก นับเป็นความสำเร็จอันน่าทึ่งสำหรับประเทศที่ไม่ได้มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด”

นายทอร์เบียน กล่าวในตอนท้ายว่า ศูนย์บริการแห่งใหม่นี้ยังเอื้อประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อลูกค้าของซีเมนส์ พร้อมทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ภาคพลังงานของไทย เพราะไม่เพียงช่วยให้เราใกล้ชิดกับลูกค้าในประเทศไทยมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการบริการที่มีความเฉพาะเจาะจงสำหรับลูกค้าในประเทศไทยได้รวดเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในอุตสาหกรรมพลังงานได้เป็นอย่างดี

ด้าน นางนัดจา ฮากันสัน รองประธาน และหัวหน้าฝ่ายธุรกิจบริการพลังงานไฟฟ้า (Power Generation Services) ประจำประเทศไทย ของ “ซีเมนส์” กล่าวว่า ศูนย์บริการพลังงานไฟฟ้าแห่งนี้จะมอบประโยชน์มากมายให้แก่ลูกค้าของ”ซีเมนส์” ทั้งด้านคุณภาพและความสะดวกรวดเร็วของการให้บริการ โดยมีเป้าหมายคือการอยู่ใกล้ชิดกับลูกค้าให้มากที่สุด ทั้งยังพร้อมส่งมอบบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยโดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้พวกเขาเพิ่มความสามารถในการผลิต ความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน และเพิ่มประสิทธิภาพ โดยกังหันรุ่น SGT-800 ที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยปรับปรุงด้านอัตราการใช้เชื้อเพลิงให้ดีขึ้นและลดการปล่อยมลพิษในอากาศ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้ ยังได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลในธุรกิจการผลิตไฟฟ้ามาใช้ในการติดตามสถานะการทำงานของเครื่องจักรและวิเคราะห์แบบเรียลไทม์เพื่อทำการบำรุงรักษาเชิงป้องกันและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการดำเนินงาน

“การสนับสนุนโรงไฟฟ้าขนาดเล็กอย่างต่อเนื่องและการกระจายอำนาจในภาคพลังงานทำให้ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศต้นแบบที่ดีเยี่ยมสำหรับการสร้างภูมิทัศน์ทางพลังงานที่ยั่งยืน โดยการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนควบคู่ไปกับก๊าซธรรมชาติ และเชื้อเพลิงดั้งเดิมอื่น ๆ เช่น น้ำมันและถ่านหิน ถือเป็นเป็นการสร้างความมั่นคงให้แก่ระบบนิเวศน์ทางพลังงาน ซึ่งเอื้อต่อการเติบโตทางอุตสาหกรรมและการพัฒนาประเทศ เพื่อตอบรับความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น”

นางนัดจา กล่าวเสริมว่า ความเชื่อถือไว้วางใจ ประสิทธิภาพ และความยืดหยุ่น คือกุญแจสำคัญของการสร้างภูมิทัศน์ทางพลังงานที่ยั่งยืน โดย “ซีเมนส์” ได้พัฒนาการใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนกับกังหันก๊าซ เนื่องจากเชื่อมั่นว่าเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการใช้พลังงานที่ไม่ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) และการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ผู้บริหารของ “ซีเมนส์” ต่างเห็นตรงกันว่าบริษัทฯ มีความพร้อมในทุกด้านทั้งวิศวกรรม เทคโนโลยี และบริการที่เข้าถึงในระดับท้องถิ่นสำหรับการสนับสนุนประเทศไทยและผู้ผลิตกระแสไฟฟ้าทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (เอสพีพี) ซึ่งให้บริการลูกค้าในพื้นที่และชุมชนของตน ไปจนถึงโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (ไอพีพี) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งให้บริการทั่วทั้งประเทศ ทั้งนี้มีการประมาณการณ์ว่าร้อยละ 30 ของกระแสไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศไทยมาจากเครื่องจักรและเทคโนโลยีของ “ซีเมนส์”