[ชมคลิป] “ไอคอนสยาม” เนรมิต“ระบำสายน้ำ” เสริมแกร่งท่องเที่ยวไทย

alivesonline.com : อภิหาโครงการเมืองแห่งการใช้ชีวิตสู่โลกอนาคต “ไอคอนสยาม” ต่อยอด “แผนแม่บทวิสัยทัศน์แห่งแม่น้ำเจ้าพระยา” จับมือ “Ghesa Water & Art” บริษัทออกแบบน้ำพุชื่อดัง เปิด Attraction ระดับโลกแห่งใหม่ของประเทศไทย ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา “ICONIC Multimedia Water Features” ระบำสายน้ำผสมผสานแสง สี เสียง และมัลติมีเดียที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระยะทางกว่า 400 เมตร เปิดให้ประชาชนทั่วไปชมฟรี ทุกวันๆ ละ 3 รอบ เวลา 18.30 น. 20.00 น. และ 21.00 น. พร้อมจัดประกวดภาพถ่ายชิงเงินล้าน

นางชฎาทิพ จูตระกูล กรรมการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด เปิดเผยว่า “ไอคอนสยาม” ร่วมกับ “Ghesa Water & Art” บริษัทออกแบบน้ำพุชื่อดัง ผู้ออกแบบน้ำพุมาแล้วกว่า 3 พันโครงการทั่วโลก เปิด Attraction ระดับโลกแห่งใหม่ของประเทศไทย ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา “ICONIC Multimedia Water Features” ระบำสายน้ำผสมผสานแสง สี เสียง และมัลติมีเดียที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระยะทางกว่า 400 เมตร โดยได้รับความร่วมมือจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานส่งเสริมการจัดการประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (PATA) สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) บางกอก ริเวอร์ พาร์ทเนอร์ส สมาคมการค้าธุรกิจในแม่น้ำเจ้าพระยา สมาคมเรือไทย ตลอดจนหน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้อง

“ICONIC Multimedia Water Features” ถือเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของ “ไอคอนสยาม” เป็นการแสดงระบำสายน้ำผสมผสานแสง สี เสียง และมัลติมีเดียที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความยาวกว่า 400 เมตร จัดเป็นการแสดงระบำสายน้ำที่มีการผสมผสานสื่อมัลติมีเดียที่หลากหลายมากที่สุดในโลก สร้างสรรค์การแสดงที่ผสานวัฒนธรรมประเพณีของไทยเข้าไปอย่างกลมกลืน เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของ “ไอคอนสยาม “ที่ได้สร้างสรรค์ Attraction ระดับโลกแห่งใหม่ของประเทศไทยให้เกิดขึ้นริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อเชิดชูคุณค่าและความสง่างามของแม่น้ำเจ้าพระยาให้โด่งดังไปทั่วโลก

นางชฎาทิพ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้เมื่อ 5 ปีก่อน “ไอคอนสยาม” ได้ประกาศ “แผนแม่บทวิสัยทัศน์แห่งแม่น้ำเจ้าพระยา” (Chao Phraya River Master Vision) ซึ่งถือเป็นการบุกเบิกความร่วมมือระดับชาติครั้งประวัติศาสตร์ของผู้ประกอบการและหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มีอยู่ในขณะนั้นและกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา รวมทั้งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ตลอดจนภาคประชาสังคมและชุมชนต่าง ๆ ริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ผนึกกำลังร่วมกัน จนถึงวันนี้ได้เกิดความร่วมมือและการทำงานร่วมกันในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย

“ตัวอย่างที่ชัดเจนล่าสุดคือการร่วมกันจัดงาน Amazing Thailand Countdown 2019 ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติหลั่งไหลมาท่องเที่ยวที่แม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมชมพลุมากกว่า 1.5 ล้านคน มากมาย โดยเฉพาะที่ ไอคอนสยาม ได้ต้อนรับผู้มาร่วมงานมากถึง 2 แสนคนในวันเดียว สร้างรายได้กระจายไปทั่วทุกธุรกิจในแม่น้ำเจ้าพระยา รวมถึงร้านค้าในไอคอนสยาม ตลอดจนธุรกิจร้านค้าในพื้นที่โดยรอบ อีกทั้งยังสร้างชื่อเสียงและเผยแพร่ภาพความยิ่งใหญ่และสวยงามของแม่น้ำเจ้าพระยาออกไปทั่วโลกผ่านการรายงานข่าวของสื่ออันดับหนึ่งของโลกอย่าง CNN, BBC, Reuters เป็นต้น” นางชฎาทิพ กล่าวในตอนท้าย

ด้าน นางสาวสมฤดี จิตรจง รองผู้ว่าด้านบริหาร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การสร้างสรรค์ “ICONIC Multimedia Water Features” ถือเป็น Attraction ระดับโลกอย่างแท้จริงที่เกิดขึ้นบนแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งคาดว่าจะช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งด้านภาพลักษณ์ของกรุงเทพฯ ให้เทียบชั้นมหานครดังทั่วโลก รวมทั้งส่งเสริมในเรื่องการตลาดและการขายโปรแกรมท่องเที่ยวประเทศไทยสำหรับ Travel Agent ได้อย่างมาก นอกจากนั้นยังจะส่งเสริมการท่องเที่ยวให้แม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างเป็นปรากฏการณ์ ทั้งยังจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของกรุงเทพฯ และประเทศไทยให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยเชื่อว่า “ICONIC Multimedia Water Features” จะเป็นจุดขายที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของประเทศไทยและจะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่ช่วยจุดประกายแม่น้ำเจ้าพระยาให้กลายเป็น “Next Global Destination” อย่างแท้จริง

นายคาลอส พิซซาร่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Ghesa Water & Art บริษัทออกแบบน้ำพุชื่อดังระดับโลกที่ออกแบบน้ำพุมาแล้วทั่วโลกกว่า 3 พันโครงการ กล่าวว่า ไฮไลท์ของ “ICONIC Multimedia Water Features” คือการใช้เทคโนโลยี Compress Air Technology ผสมผสานเทคนิคการยิงน้ำพุแบบ 2D 3D และ 4D jets ที่สามารถหมุนได้เหมือนจอยสติ๊ก ยิงน้ำพุขึ้นไปในอากาศที่ความสูงต่างระดับกัน โดยความสูงระดับสูงสุดจะสูงถึง 35 เมตร นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยี Cybernetic Technology ยิงน้ำพุด้วยความเร็ว 0.1 วินาที เพื่อให้ออกมาเป็นรูปดอกไม้ กลายเป็นม่านน้ำสำหรับฉายภาพและแสง ประกอบดนตรีที่เน้นเอกลักษณ์เฉพาะตัวตามแบบไทย เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างความเป็นสมัยใหม่และประเพณีความเป็นไทยแบบดั้งเดิม

สำหรับการแสดงระบำสายน้ำผสมผสานแสง สี เสียง และมัลติมีเดีย “ICONIC Multimedia Water Features” แบ่งออกเป็น 3 ช่วงการแสดง โดยการแสดงชุดแรกเป็นการแสดงระบำสายน้ำประกอบแสงสีเสียง ประกอบบทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมเผยแพร่พระอัจฉริยภาพทางดนตรีของรัชกาลที่ ๙ ต่อการแสดงระบำสายน้ำที่สะท้อนท่วงทำนองและอารมณ์ประกอบเพลงคลาสสิก ปิดท้ายด้วยการแสดงระบำสายน้ำ ประกอบบทเพลง “ICON OF DREAMS” ซึ่งเป็นเพลงจากวงออเคสตร้าประกอบเครื่องดนตรีไทย แสดงการเคลื่อนไหวที่ผสมผสานความเป็นศิลปวัฒนธรรมไทยร่วมสมัยอย่างงดงาม

การแสดงระบำสายน้ำผสมผสานแสง สี เสียง และมัลติมีเดีย “ICONIC Multimedia Water Features” จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปชมฟรี ทุกวันๆ ละ 3 รอบ ในเวลา 18.30 น. 20.00 น. และ 21.00 น. ณ บริเวณ ริเวอร์ พาร์ค ไอคอนสยาม

ทั้งนี้ “ไอคอนสยาม” ยังได้จัดกิจกรรมการประกวดภาพถ่าย “ICONIC Multimedia Water Features” ในหัวข้อ “The Symphony of Chaophraya River” เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยแสดงถึงความสวยงามของ “ICONIC Multimedia Water Features” ที่ถือเป็น New Global Attraction ในประเทศไทยผ่านทางภาพถ่าย โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปที่สนใจสามารถส่งผลงานเข้าประกวดได้โดยแบ่งการประกวดเป็น 2 ประเภท ได้แก่ การประกวดภาพถ่ายจากกล้องถ่ายภาพ และการประกวดภาพถ่ายจากกล้องสมาร์ทโฟน ชิงเงินรางวัลรวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท ผู้ที่สนใจสามารถโพสต์ภาพเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม ตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค.62 เป็นต้นไป ก่อนประกาศผลผู้ชนะการประกวดในวันที่ 16 มี.ค.62 ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.iconsiam.com

[ชมคลิป] ททท.มั่นใจ “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย” 5 วันดันคนไทยเดินทาง 90 เส้นทาง 3 แสนคน


alivesonline.com :
ตามที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กำหนดจัดงาน “
เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ประจำปี 2562 ครั้งที่ 39” (THAILAND TOURISM FESTIVAL : TTF 2019) ระหว่างวันที่ 23-27 มกราคม 2561 ระหว่างเวลา 12.00-21.00 น. (เสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-21.00 น. ณ สวนลุมพินี นั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 18.20 น. (วันที่ 23 ม.ค.) นายวีะศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดยมีนางกนกรัตน์ พันธ์นรา รองผู้อำนวยการสำนักวัฒนธรรมกีฬาและการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และผู้บริหาร ททท. ร่วมในพิธีฯ พร้อมชมการแสดงชุดพิเศษ “The Great Traditional ไทยเท่” จากดาราแถวหน้า ณ สวนลุมพินี

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า การจัดงานครั้งนี้มุ่งปลุกกระแส “amazing ไทยเท่” ภายใต้แนวคิด “เมืองไทย….สวยทุกที่ เท่ทุกเวลา” และสร้างแรงบันดาลใจในการเดินทางท่องเที่ยว ด้วยข้อมูลและกิจกรรมทางการท่องเที่ยวทั่วประเทศให้ประชาชนได้รับทราบและสามารถวางแผนเดินทางไปยังสถานที่นั้น ๆ ได้ในภายหลัง อีกทั้งยังได้รับความสนุกสนานและความบันเทิง ตลอดจนได้ชมศิลปะแขนงต่าง ๆ และชิมอาหารถิ่นจากต้นตำรับ ได้จับจ่ายสินค้าจากชุมชนผู้ผลิตโดยตรง

ในปีนี้ ททท. ยังได้เพิ่มความพิเศษให้กับการจัดงาน ด้วยการเชิญสมาคมท่องเที่ยว สายการบิน บริษัทผู้ให้บริการการเดินทาง และชุมชน มาร่วมเสนอขายแพ็คเกจทัวร์ ภายใต้แนวคิด “เที่ยวไทย สุดคุ้ม” เป็นจำนวน 90 เส้นทาง เพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวจริงไปยังแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ในประเทศ ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของผู้เข้าชมงานซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชมงานไม่ต่ำกว่า 6 แสนคน

สำหรับกิจกรรมที่ถือเป็นจุดเน้นสำคัญที่ ททท. ต้องการสร้างเป็นต้นแบบสำหรับการจัดกิจกรรมของ ททท. ต่อไปคือ กิจกรรมภายใต้แนวคิด “ลด โลก เลอะ” ซึ่งถือปฏิบัติในทุกโซน ได้แก่ การลดการใช้โฟมและพลาสติก รวมถึงการกำจัดขยะอย่างเป็นระบบ โดยขอความร่วมมือจากผู้ร่วมงานและผู้ชมงานทุกคนใช้วัสดุทดแทนอื่น ๆ เช่น ถุงผ้า กระบอกน้ำ และกล่องบรรจุอาหาร

นอกจากนี้ ในโซนที่ 7 เมืองไทยสวยด้วยสองมือ “ขยะให้โชค” ยังมีกิจกรรมการให้ความรู้เรื่องการจัดการขยะ กิจกรรมขยะให้โชค และการท่องเที่ยวแนวคิด “ 7Greens” อีกด้วย รวมถึง ททท. รับผิดชอบต่อขวดน้ำน้องสุขใจที่ ททท. เป็นผู้จำหน่าย โดยการสร้างกิจกรรม “ขวดสุขใจ 5 เปล่าแลก 1 น้ำ” คือ สามารถนำขวดเปล่าของน้ำน้องสุขใจ 5 ขวด ไปแลกน้ำน้องสุขใจได้ 1 ขวด หรือหากนำขวดเปล่าของน้ำน้องสุขใจ ไปเล่นเกมกิจกรรมขยะให้โชคก็จะได้แต้มพิเศษในการเล่นเกมแลกของรางวัลได้อีกด้วยเช่นกัน โดย ททท.จะเป็นผู้รับผิดชอบในการกำจัดขยะดังกล่าวเอง อีกทั้งมีกิจกรรม D.I.Y.ถุงใส่ของในโซนต่าง ๆ เช่น โซน 6 TAT STUDIO & Startup กับกิจกรรม “ชวนพับ อัพไซเคิล” ด้วยการนำวัสดุจากการประชาสัมพันธ์ของ ททท. ที่หมดอายุการใช้งานมาพับเป็นถุงเพื่อใส่ของ เป็นต้น

นายยุทธศักดิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการแสดงในพิธีเปิด ชุด “The Great Traditional ไทยเท่” นี้ เป็นการนำเสนอการส่งผ่านวัฒนธรรมอันเป็นรากเหง้าของความเป็นไทย ใส่ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม สู่ความเท่แบบไทย ที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร โดยมี นางสาวณฐพร เตมีรักษ์ (แต้ว) ตัวแทนไทยเท่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นางสาวชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง (มิ้นต์) ตัวแทนไทยเท่ของภาคตะวันออก นางสาวราณี แคมเปน (เบลล่า) ตัวแทนไทยเท่ของภาคกลาง นายปริญ สุภารัตน์ (หมาก) ตัวแทนไทยเท่ภาคเหนือ และ นายวรินทร ปัญหกาญจน์ (เกรท) ตัวแทนไทยเท่ภาคใต้

ททท. จึงขอเชิญชวนให้ผู้ร่วมงานทุกคน นำถุงผ้า กระบอกน้ำ และกล่องข้าว มาร่วมงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 39” เพื่อช่วยกัน “ลด โลก เลอะ” และเดินทางด้วยรถสาธารณะ เพื่อความสะดวกในการเข้าร่วมงาน โดยสามารถค้นหาข้อมูลการจัดงานได้ที่ www.tourismthailand.org และ Facebook : Amazing Thailand สอบถามข้อมูลที่ โทร.1672 เพื่อนร่วมทาง หรือดาวโหลดแอปพลิเคชัน “TTF 2019” เพื่อบอกทิศทางและที่ตั้งของโซนต่าง ๆ หรือเพิ่ม Line : @TTF209 เพื่อค้นหาข้อมูลภายในงาน หรือหากมาในงานแล้วสามารถสอบถามเจ้าหน้าที่ “Ask Me” ก็ได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ภายในงาน  “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย ครั้งที่ 39” มีการนำเสนอกิจกรรมการท่องเที่ยว 9 โซนไฮไลท์ ได้แก่

โซนที่ 1 “ไทยเที่ยวไทย ไทยยั่งยืน” บริเวณหน้าลานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 ด้วยการตกแต่งภูมิทัศน์โดยรอบและติดตั้งแลนด์มาร์คลอยตัวสะท้อนเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น ได้แก่ แลนด์มาร์คปลาตะเพียนสาน แลนด์มาร์คร่มบ่อสร้าง แลนด์มาร์คตุงอีสานใยแมงมุม แลนด์มาร์คงานจักสานและกกย้อมสี และแลนด์มาร์คกรงนก

โซนที่ 2 “เที่ยวไทย สุดคุ้ม” แนะนำโปรแกรมและสินค้าท่องเที่ยวที่ทุกคนจะได้สัมผัสเสน่ห์ ประสบการณ์ที่สนุกสนาน ชุมชนน่าเที่ยว อาหารห้ามพลาด โดยแบ่งเป็น 5 แบบ ได้แก่ ภาคเหนือ : เส้นทางบอกเล่าเรื่องราวผ่านวิถีผ้า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : เส้นทางอาหารภูมิปัญญาท้องถิ่น ภาคกลาง : เส้นทางวิถีแห่งสายน้ำอารยธรรมอันรุ่งเรืองสืบทอดจากอดีตสู่ปัจจุบัน ภาคตะวันออก : เส้นทางสนุกสนาน เรียนรู้ เติมสีสันให้ชีวิต เที่ยวชุมชน และภาคใต้ : เส้นทางแห่งแรงบันดาลใจให้เยือนภาคใต้ สักครั้งในชีวิต รวม 90 เส้นทาง โดยจะจำหน่ายและแนะนำโปรแกรมการท่องเที่ยวโดยสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ

โซนที่ 3 “ไทยเท่ 5 ภูมิภาค” นำเสนอหมู่บ้านท่องเที่ยวทั้ง 5 ภูมิภาค เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสบรรยากาศจำลองเสมือนจริง นำเสนอในแนวคิดที่แตกต่างกัน ได้แก่ ภาคกลาง : More Legacy มรดกแห่งสยาม ภาคเหนือ : More Authentic ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : More Gastronomy ภาคตะวันออก : More Fun และภาคใต้ : More Inspired ซึ่งแต่ละภาคได้ยกการแสดงทางศิลปวัฒนธรรมที่หาชมได้ยาก อาหารถิ่น สินค้าที่ระลึก ให้เลือกชิมเลือกชอปอย่างจุใจ และกิจกรรม D.I.Y. พร้อมมุมถ่ายภาพที่สวยงาม

โซนที่ 4 “ของดี กทม.” คัดสรรอาหารดี อาหารเด็ดของ 50 เขตกทม. มานำเสนอ ภายใต้แนวความคิด “Bangkok 24 hrs.” หรือ “กรุงเทพฯ…กินได้ทุกที่ เท่ทุกเวลา” ซึ่งกรุงเทพฯ ถือเป็นสวรรค์ของนักชิมที่สามารถหาอาหารอร่อยได้ตลอดเวลา อาทิ ผัดหมี่ ข้าวยำปักษ์ใต้ ร้านพี่บ่าวข้าวยำ BIG BRO’S RICE SALAD เขตบางกะปิ, เค้กบดิน ร้านขนมหวาน มัสยิดมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย, ข้าวแช่โบราณ ร้านข้าวแช่แม่เฉลียว เขตคลองสาน เป็นต้น พร้อมจัดกิจกรรมการแสดงและจุดบริการข้อมูลข่าวสาร แนะนำแหล่งท่องเที่ยวของแต่ละเขต

โซนที่ 5 “เวทีกลาง” กิจกรรมบันเทิง การแสดงศิลปวัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาค การแสดงศิลปะร่วมสมัย เติมเต็มความสุข ความสนุกของผู้เข้าชมงาน การแสดงละครนอก การแสดงมโนราห์เรืองแสง การแสดงผีตาโขนประยุกต์ รวมถึงการแสดงของศิลปินที่มีชื่อเสียง เช่น หนึ่ง จักรวาล, ปาล์มมี่, หญิงลี, เจ เจตริน, จ๊ะอาร์สยาม, นนท์ ธนนท์, แสตมป์ อภิวัชร์, Getsunova, Potato, Scrubb และ Twopee เป็นต้น

โซนที่ 6 “TAT STUDIO” และ “Startup” พื้นที่นำเสนอส่วนผสมของข้อมูลทางการท่องเที่ยวและเทคโนโลยีสู่การสื่อสารเชิงการตลาดผ่านสถานีข่าว ททท. หรือ TAT STUDIO ที่จะผลิตและนำเสนอข้อมูลทางการท่องเที่ยวของงาน “เทศกาลเที่ยวเมืองไทย” ทุกโซน ในรูปแบบการรายงานข่าวสกู๊ปข่าว สัมภาษณ์พิเศษ การถ่ายทอดสดกิจกรรมที่น่าสนใจไปสู่ผู้ชมงาน ร่วมถ่ายภาพกับภาพ Graffiti ที่สร้างสรรค์แหล่งท่องเที่ยวด้วยศิลปะร่วมสมัย พร้อมทั้งการนำเสนอของบริษัทที่ให้บริการทางการท่องเที่ยวของเหล่านักธุรกิจ Startup ร่วมด้วยกิจกรรมความสนุกอีกมากมาย และการเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ในแคมเปญ “amazing ไทยเท่” อีกด้วย

โซนที่ 7 เมืองไทยสวยด้วยสองมือ “ขยะให้โชค” ส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อสัมผัสวิถีไทยและสร้างกระแสใส่ใจสิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยวแนวคิด “7 Greens” โดยร่วมกันรณรงค์ปลูกจิตสำนึกและกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวร่วมกันรับผิดชอบต่อทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ลดการสร้างขยะในแหล่งท่องเที่ยว พบการเสวนา โดยบล็อกเกอร์ท่องเที่ยวแนะนำการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อาทิ I Roam Alone, Journey เจอนี่ และพาลูกเที่ยวดะ สนุกกับเกมแยกขยะ การนำขยะรีไซเคิล ขวด Pet ขวดแก้ว และกระป๋อง มาแลกเพื่อร่วมลุ้นของรางวัล การจัดกิจกรรมบนเวทีการแสดงและนำเสนอกิจกรรมท่องเที่ยวใส่ใจในสิ่งแวดล้อมโดยผู้มีชื่อเสียง ดาราและศิลปิน อาทิ BNK48, กอล์ฟ – พิชญะ, ฮั่น เดอะสตาร์, หมวดแวน Rapper, ปุณ ศิริปัญญา, ดนตรี EDM DJ Roxy june และ DJ ICON

โซนที่ 8 “เมืองไทย…  ก็เที่ยวได้” นำเสนอเส้นทางท่องเที่ยวที่คนไทยทุกคนสามารถเที่ยวได้ Tourism for All พร้อมชมการสาธิต และการจำหน่ายสินค้าจากผู้ด้อยโอกาสทางร่างกายที่จะมาอวดฝีมือให้ผู้ร่วมงานได้ช้อปสินค้ากลับบ้าน Tourism Department Store กับแพ็คเกจท่องเที่ยวชุมชน แพ็คเกจท่องเที่ยวมูลค่าสูง และ Tourism Clinic คลีนิกท่องเที่ยว ให้คำปรึกษา แนะนำการเสริมสร้างแหล่งท่องเที่ยว

โซนที่ 9 “พันธมิตรท่องเที่ยวไทย” นำเสนอสินค้าจากหน่วยงานเจ้าของสถานที่ท่องเที่ยว เช่น Dino Park โดยกรมทรัพยากรธรณี ความสุขจากใจชุมชนรอบเขื่อน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และหน่วยงานพันธมิตรด้านการท่องเที่ยวไทย อีกมากมาย อาทิ มูลนิธิมิราเคิลออฟไลฟ์  บจ. ไปรษณีย์ไทย จำกัด ผู้สนับสนุน ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

DGA นำทัพพันธมิตรโชว์ผลงานรัฐบาลดิจิทัล

พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง (ซ้าย) รองนายกรัฐมนตรี และ ดร.ศักดิ์ เสกขุนทด (ขวา) ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA

alivesonline.com : สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA นำทัพพันธมิตรโชว์ผลงานรัฐบาลดิจิทัล ในงานสัมมนา Digital Government Summit 2019 พร้อมเปิดตัว “คุณหลวง” ตัวแทนราชการยุคใหม่ชวนใช้แอปพลิเคชัน “CITIZENinfo” ช่วยอำนวยความสะดวกให้ติดต่อราชการได้ง่ายขึ้น พร้อมสานพลัง 19 กระทรวง และสถาบันพัฒนาข้าราชการกรุงเทพมหานคร ลงนาม MOU หนุนพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลแก่ข้าราชการและบุคลากรภาครัฐให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

งานสัมมนาดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 18-19 ม.ค.ที่ผ่านมา ณ ลานอีเดน ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ ได้รับความสนใจจากประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมตลอดการจัดงานทั้ง 2 วัน กว่า 1 หมื่นคน โดยพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีพร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ภาครัฐไทยกับการก้าวเข้าสู่รัฐบาลดิจิทัล” เพื่อตอกย้ำความสำเร็จโครงการเด่นของรัฐบาลและแสดงความก้าวหน้าโครงการยกเลิกสำเนา

พลอากาศเอกประจิน กล่าวตอนหนึ่งว่า รัฐมีความพร้อมแล้วที่จะนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาช่วยปลดล็อกข้อจำกัดประเทศไปสู่ Thailand 4.0 และสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงเทคโนโลยี ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน และการใช้บริการภาครัฐ ซึ่งเห็นได้จากความก้าวหน้าของรัฐบาลดิจิทัลตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย ระยะ 3 ปี (2559-2561) ณ วันนี้ เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยน คน และระบบก็ต้องพัฒนาไปควบคู่กัน โชคดีที่ภาคเอกชนและประชาชนปรับตัวได้เร็วมาก ดังนั้นภาระสำคัญจึงตกอยู่ที่ภาครัฐว่าทำอย่างไรให้เกิดการบูรณาการแนบแน่นระหว่างภาครัฐ เอกชน ประชาชน โดยการขับเคลื่อนเพื่อเติมเต็มเทคโนโลยีดิจิทัลทุกบริบทของสังคมไทย

ในการจัดงานครั้งนี้จึงเป็นการประกาศถึงผลสำเร็จของรัฐบาลดิจิทัล โดยพบว่าจากตัวเลขมูลค่าการโอนเงินผ่านบริการพร้อมเพย์ 5.1 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 7 ธ.ค.61) ในปี 2561 การใช้ข้อมูลจาก Linkage Center ของหน่วยงานภาครัฐ จำนวน 11,823,291 ครั้ง ใน 4 เดือนที่ผ่านมามีการแสดงผลข้อมูลผ่านระบบ Government Data Exchange Center (GDX) จำนวน 9,181 ครั้ง มีบริการข้อมูลการใช้จ่ายที่พัฒนาจากชุดข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างของกรมบัญชีกลาง โครงการ (ปี 2558-2561) ผ่านระบบ Thailand Government Spending หรือภาษีไปไหน กว่า 9,956,251 มียอดผู้ใช้บริการตู้บริการอเนกประสงค์ภาครัฐ ปี 2561 กว่า 46,969 ครั้ง มีหน่วยงานที่ยกเลิกการเรียกสำเนาแล้วครอบคลุม 20 กระทรวง หรือ 151 หน่วยงานทั่วประเทศ จึงถือเป็นตัวอย่างส่วนหนึ่งของความก้าวหน้าที่ทุกหน่วยงานของรัฐส่งสัญญาณให้ประชาชนทราบถึงความพร้อมแล้วในการเปลี่ยนผ่านสู่รัฐบาลดิจิทัล

พลอากาศเอกประจิน ยังกล่าวเชิญชวนประชาชนดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน CITIZENinfo ของขวัญปีใหม่จากรัฐบาลติดมือถือไว้เป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวกให้ติดต่อราชการได้ง่ายขึ้น ซึ่งในอนาคตประชาชนจะสามารถใช้แอปพลิเคชันนี้ตรวจสอบสิทธิ์สวัสดิการของตนเอง เช็คยอดเงินในบัตรสวัสดิการภาครัฐ และเข้าถึงข้อมูลเอกสารดิจิทัลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นเอกสารต่าง ๆ ที่ออกโดยราชการได้ด้วย พร้อมทั้งยังแนะนำ “คุณหลวง” ตัวแทนเจ้าหน้าที่ภาครัฐยุคใหม่ที่จะคอยนำเสนอบริการดิจิทัลต่าง ๆ จากภาครัฐซึ่งจะมีการแจ้งไปยังทุกหน่วยงานของรัฐให้มารับสื่อประชาสัมพันธ์ไปติดที่เคาน์เตอร์ให้บริการประชาชนทุกจุดทั่วประเทศ เพื่อแสดงให้ประชาชนทราบว่าหน่วยงานนั้นยกเลิกการเรียกขอสำเนาจากประชาชนแล้ว

ด้าน ดร. ศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ DGA กล่าวว่า การบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง 19 กระทรวง และสถาบันพัฒนาข้าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลสำหรับข้าราชการและบุคลากรภาครัฐในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยหนุนให้เกิดการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการยกระดับประสิทธิภาพการทำงานภาครัฐสูงขึ้น มีการพัฒนาคุณภาพด้านการให้บริการแก่ประชาชน ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้จะมีบริการดิจิทัลภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One Stop Service : OSS)

บริการดังกล่าวแบ่งเป็นการบริการภาคประชาชน (Citizen Portal) และภาคเอกชน (Business Portal) โดยปัจจุบัน OSS เปิดบริการแล้วที่เว็บไซต์ biz.govchannel.go.th ส่วนภาคเอกชนมีการเชื่อมโยงบริการภาครัฐแล้ว 21 บริการ ตั้งแต่การเริ่มต้นธุรกิจ การขอใบอนุญาตต่าง ๆ เป็นต้น นอกากนั้น DGA ยังมุ่งส่งเสริมให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีเข้าถึงประชาชนได้ง่ายขึ้น โดยจัดทำหนังสือ Blockchain for Government Services การใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนสำหรับภาครัฐ ฉบับภาษาไทย ให้ดาวน์โหลด PDF ฟรี หรือไปอ่าน e-Magazine ได้ที่เว็บไซต์ www.dga.or.th

ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลด หนังสือ Blockchain for Government Services หรือดาวน์โหลด App. CITIZENinfo

 

Y1N จับมือ VIMN ขยายฐานผู้ชมออนไลน์เวียดนาม-ไทย

alivesonline.com : Yeah1 Network (Y1N) จับมือพันธมิตรผู้ดำเนินธุรกิจความบันเทิงชั้นนำระดับโลก Viacom International Media Networks (VIMN) และช่อง Nickelodeon สื่อบันเทิงสำหรับเด็กอันดับหนึ่งของโลก ประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการ ในการนำเสนอคอนเทนต์จากช่อง Nickelodeon บนแพลตฟอร์มดิจิทัล หวังสร้างคอมมูนิตี้สำหรับเด็กที่ใหญ่ที่สุดเพื่อขยายฐานผู้ชมออนไลน์ในประเทศเวียดนามและไทย

นายตรี ฟุค ด๋าว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร YEG เปิดเผยว่า ด้วยความตั้งใจสร้างคอมมูนิตี้สำหรับเด็กที่ใหญ่ที่สุดบนแพลตฟอร์มดิจิทัล จึงได้ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้คือ Viacom International Media Networks (VIMN) หนึ่งในหน่วยงานภายใต้ Viacom Inc. (NASDAQ: VIAB, VIA) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจความบันเทิงชั้นนำระดับโลก อาทิ MTV, MTV LIVE HD, Comedy Central และ Paramount Channel และธุรกิจความบันเทิงต่าง ๆ ภายใต้ Viacom ซึ่งมี Subscriber รวมกว่า 3.8 พันล้านคนในกว่า 180 ประเทศ มีช่องรายการทีวีมากกว่า 200 ช่อง และอีกกว่า 550 สื่อดิจิทัล และช่อง Nickelodeon สื่อบันเทิงสำหรับเด็กอันดับหนึ่งของโลก เพื่อนำเสนอคอนเทนต์จากช่อง Nickelodeon บนยูทูปและเฟซบุ๊ก เพื่อให้เข้าถึงแฟน ๆ ในประเทศเวียดนามและไทย

ความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นการนำเสนอคอนเทนต์สั้น ๆ สำหรับเด็ก รวมถึงแอนิเมชั่นยอดนิยมของช่อง Nickelodeon เช่น SpongeBob, SquarePants และ PAW Patro ซึ่งผู้ชมสามารถเลือกภาษาในการดูคอนเทนต์ได้เองและจะช่วยขยายฐานคนดูบนออนไลน์ โดยในประเทศไทย SPRINGme Network บริษัทภายใต้ Yeah1 Network (Y1N) ได้รับสิทธิ์ในการดูแลคอนเทนต์จากช่อง Nickelodeon บนยูทูปและเฟซบุ๊ก

“เราพยายามค้นหารายการสำหรับเด็กที่มีคุณภาพอย่างรายการจากช่อง Nickelodeon ซึ่งเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้คอนเทนต์จากช่องนี้มาอยู่ในแพลตฟอร์มของเรา เพราะเรามีเป้าหมายที่จะสร้างคอมมูนิตี้สำหรับเด็กที่ใหญ่ที่สุดบนยูทูปและเฟซบุ๊ก” นายตรี ฟุค ด๋าว กล่าวในตอนท้าย

ด้าน นาย Paras Sharma รองประธานอาวุโส และผู้จัดการทั่วไป ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Viacom International Media Networks กล่าวว่า การเปิดตัวช่อง Nickelodeon ร่วมกันกับ Y1N บนแพลตฟอร์มดิจิทัล ถือเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนอกจากคอนเทนต์จากช่องดังกล่าวจะช่วยเพิ่มเอนเกจเมนต์ของผู้ชมบนแพลตฟอร์มของเราแล้ว ยังช่วยดึงความสนใจจากผู้ชมให้ดูคอนเทนต์อื่น ๆ มากขึ้นอีกด้วย โดยเราได้รับความร่วมมือจาก Viacom Digital Studios ในการผลิตคอนเทนต์แบบสั้น ๆ ที่จะใช้นำเสนอทั้งในประเทศเวียดนาม และไทย

“อินเซนทิฟไทย” ทำรายได้ 2 หมื่นล้าน เติบโตสูงสุดในรอบ 7 ปี


alivesonline.com :
สมาคมส่งเสริมธุรกิจการจัดอินเซนทิฟระดับโลก เลือกไทยจัดประชุมใหญ่ครั้งแรกในรอบหลายสิบปี หลังเห็นศักยภาพรอบด้าน ทั้งภาพลักษณ์ของประเทศ การพัฒนาเมืองรอง ความปลอดภัย และการขับเคลื่อนด้านเทคโนโลยี ด้าน “ทีเส็บ” เผยตลาดอินเซนทิฟไทยในปี 2561 มีนักเดินทางต่างประเทศสูงสุดในรอบ
14 ปี รวมกว่า 3.6 แสนราย ทำรายได้สูงสุดในรอบ 7 ปี คิดเป็นจำนวนเงิน 2 หมื่นล้านบาท เผยจุดหมายปลายทางการจัดงานที่ กรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต

นายฟิลลิป อายส์วอด ประธานสมาคมส่งเสริมธุรกิจการจัดอินเซนทิฟระดับโลก (The Society for Incentive Travel Excellence : SITE) เปิดเผยว่า SITE เป็นสมาคมที่ดำเนินงานเกี่ยวกับธุรกิจการเดินทางเพื่อเป็นรางวัล หรืออินเซนทิฟ (Incentive) ที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก มีประสบการณ์ยาวนานถึง 50 ปี โดยเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและนำเสนอประสบการณ์สำหรับการจัดประชุมและเดินทางเพื่อเป็นรางวัล มีจำนวนสมาชิก 2,480 ราย จากสมาชิก 84 ประเทศ และมีเครือข่ายสาขาในลักษณะ Chapter ของสมาชิกในภูมิภาคเดียวกันจำนวน 29 กลุ่มจากทั่วโลก จึงถือว่ามีบทบาทในการสร้างเครือข่ายและพัฒนาธุรกิจ นำเสนอหลักสูตรการศึกษาเพื่อผู้ประกอบการ สร้างเครือข่ายพันธมิตรเพื่อแบ่งปันข้อมูลจากทั่วโลก จัดทำงานวิจัยที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับอุตสาหกรรม ตลอดจนสนับสนุนพร้อมผลักดันในระดับนโยบาย

สำหรับเทรนด์โลกของธุรกิจการจัดงานอินเซนทิฟ หรือการเดินทางเพื่อเป็นรางวัลมีการเติบโตเร็วที่สุดและมีค่าใช้จ่ายต่อคนสูงที่สุดจากทุกกลุ่มของอุตสาหกรรมไมซ์ โดยนักเดินทางกลุ่มอินเซนทิฟส่วนใหญ่จะเดินทางอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน เพราะเสน่ห์ของจุดหมายปลายทางที่ดึงดูดนักเดินทางกลุ่มอินเซนทิฟ ได้แก่ ภาพลักษณ์ชื่อเสียงของประเทศ และแบรนด์ของเมืองหรือจังหวัดเป็นสิ่งสำคัญ โดยเน้นการพัฒนาเมืองรองเป็นจุดหมายปลายทางใหม่เพื่อตอบโจทย์นักเดินทาง รวมถึงมีความนิยมในกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ความปลอดภัยยังเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ขณะที่เทคโนโลยีคือปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญเช่นกัน

ด้านภาพรวมแนวโน้มของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการจัดอินเซนทิฟ นับว่ามีแนวโน้มที่ดีมาก เนื่องจากไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการจัดอินเซนทิฟที่สมบูรณ์แบบ มีเสน่ห์มากมาย เดินทางเข้าถึงได้ง่าย มีโรงแรมที่พักและสถานที่จัดงานระดับห้าดาว มีรากฐานวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์หยั่งลึก และอาหารการกินที่มีชื่อเสียงเป็นเอกลักษณ์

นายฟิลลิป กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยเป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในฐานะหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญด้านการจัดอินเซนทิฟของเอเชีย จึงได้รับเลือกให้จัดงานประชุมใหญ่ของสมาคมในครั้งนี้คือ การประชุมใหญ่ “SITE2019 Global Conference” ภายใต้คอนเซปต์งานคือ “Incentivising Diversity & Innovation” เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ณ โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ โดยสมาคม SITE ได้มีการนำเสนอจุดเด่นของกรุงเทพฯ ในด้านความร่วมสมัยของเมืองและวัฒนธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่วงการอินเซนทิฟกําลังมองหาเพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้เข้าร่วมประชุม

“SITE2019 Global Conference” เป็นงานประชุมประจำปีของผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมอินเซนทิฟระดับมืออาชีพจากทั่วโลกหลายภาคส่วน อาทิ Incentive Planner, Corporate Buyer, Incentive House, DMC, Convention Bureau, Tourism Bureau, สายการบิน, ศูนย์ประชุม, โรงแรม และบริษัทเดินเรือสำราญ เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเวทีของการสร้างเครือข่ายธุรกิจอุตสาหกรรมอินเซนทิฟและใช้เป็นเวทีขับเคลื่อนส่งเสริมการศึกษา ความรู้ แนวคิดใหม่ตลอดจนพัฒนาการใหม่ ๆ เพื่อความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมต่อไป

นายฟิลลิป กล่าวอีกว่า ในส่วนของกิจกรรมที่เกิดขึ้นในงาน “SITE2019 Global Conference” มีมากมาย อาทิ การสัมมนาให้ความรู้ในหัวข้อ บลอกเชน คริปโตเคอเรนซีกับการดำเนินธุรกิจอินเซนทิฟ, การเรียนรู้ข้อกังวลของลูกค้าเพื่อนำมาพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในการจัดงานที่ตอบโจทย์ลูกค้า, การขาย การตลาดในวงการอินเซนทิฟ การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานระหว่างผู้ประชุม, การเรียนรู้การก้าวทันแนวโน้มใหม่ ๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีโปรแกรมด้านการศึกษา ได้แก่ Certified Incentive Specialists (CIS) สำหรับผู้เริ่มต้น และ Certified Incentive Travel Professional (CITP) สำหรับผู้ทำงานในวงการมาอย่างน้อย 5 ปี โดยโปรแกรมสำคัญคือการศึกษาเชิงสร้างสรรค์นอกสถานที่ หรือ “Cultural & Creative Immersion” เพื่อให้มีประสบการณ์ตรงกับแนวคิด สถานที่ กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่หลากหลายในกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถตอบโจทย์สร้างแรงบันดาลใจในการใช้ความหลากหลายสร้างความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็น workshop จากงานศิลป์ที่ Soy Sauce Factory การดูงานพัฒนาความสร้างสรรค์เชิงศิลป์ ณ Warehouse 30 และ Thailand Creativity and Design Center (TCDC)

  • “ไทย” เป็นเจ้าภาพในอาเซียนในรอบหลายสิบปี

ด้าน นายจิรุตถ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เปิดเผยว่า การประชุมใหญ่ของสมาคม SITE ครั้งนี้ถือเป็นการกลับมาจัดในอาเซียนอีกครั้งในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา โดยการที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพการจัดประชุมใหญ่ครั้งนี้ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศใน 4 ด้านหลักด้วยกัน คือ 1.การสร้างความเชื่อมั่นจากประชาคมโลกถึงศักยภาพความพร้อมของไทยในการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมอินเซนทิฟในระดับภูมิภาคและการเพิ่มจำนวนงานอินเซนทิฟระดับโลกเข้าสู่ประเทศไทย 2.การกระตุ้นอุตสาหกรรมอินเซนทิฟในระดับภูมิภาคอาเซียนให้เติบโต 3.การสร้างแรงบันดาลใจและผลักดันบุคลากรในวงการอินเซนทิฟให้ตื่นตัวและมีการพัฒนาต่อเนื่องอยู่เสมอ 4.การสร้างโอกาสให้กับอุตสาหกรรมอินเซนทิฟไทยได้แสดงศักยภาพด้านวัฒนธรรมที่หลากหลายและนวัตกรรมภูมิปัญญาสร้างสรรค์ของประเทศสู่สายตาผู้เชี่ยวชาญด้านอินเซนทิฟจากทั่วโลก (Incentive Professional) ที่จะเข้าร่วมงานกว่า 300 ราย โดยคาดว่าจะสร้างรายได้ให้ระบบเศรษฐกิจไทยได้กว่า 25 ล้านบาท

บทบาทของ “ทีเส็บ” ในครั้งนี้ได้ดำเนินตามแนวการทำงานภายใต้แบรนด์ไมซ์ไทย THAILAND : Redefine Your Business Events ในฐานะของ Co-Creator ผู้ร่วมประมูลสิทธิ์การจัดงานประชุมใหญ่ของมืออาชีพด้านอินเซนทิฟจากทั่วโลกมาพบปะแลกเปลี่ยนหารือการทำธุรกิจร่วมกันในอนาคต ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับหน่วยงานภาครัฐและผู้ประกอบการภาคเอกชนในการสร้างทีมคณะทำงานเจ้าภาพ เช่น กรุงเทพมหานคร การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) การบินไทย และสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) ขณะเดียวกันยังเป็น Collaborator สร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในการอำนวยความสะดวกการจัดงาน อาทิ การบริการไมซ์เลนช่องทางพิเศษ ประสานเรื่องสถานที่จัดงานและที่พัก ตลอดจนเป็น Thought Leader ผู้นำสร้างสรรค์การนำเสนอวัฒนธรรมและนวัตกรรมให้วงการอินเซนทิฟไทยและระดับนานาชาติ

นอกจากนี้ ยังทำให้ได้มองเห็นช่องทางของการพัฒนาแนวคิด สินค้า หรือบริการใหม่เพื่อตอบสนองนักเดินทางเป้าหมายในอนาคต ขณะเดียวกันยังนำเสนอกิจกรรมก่อน-หลังการประชุมที่ให้ผู้เข้าประชุมได้เรียนรู้วัฒนธรรมไทยและชีวิตความเป็นอยู่ของไทยริมแม่น้ำเจ้าพระยา เนื่องจากเป็นที่ตั้งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ รวมถึงเป็นที่ตั้งของสถานที่จัดงานและศูนย์การค้าสมัยใหม่ จึงเหมาะสมกับการเป็นสถานที่จัดงานให้ผู้เข้าประชุมเห็นภาพประเทศไทยทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และพัฒนาการที่ก้าวทันโลกสมัยใหม่ไปพร้อมกัน

“สำหรับกิจกรรมก่อนการประชุมที่ ทีเส็บ นำเสนอให้แก่ผู้เข้าร่วมงานผ่านกิจกรรม Bangkok Discovery Tour คือ การเยี่ยมชมตลาดยอดพิมาน เรียนรู้การพับดอกไม้ วัดโพธิ์ เรียนรู้ศาสตร์การนวดแผนไทยพื้นฐาน และการทำลูกประคบที่สามารถจัดเป็นกิจกรรมสำหรับการจัดงานอินเซนทิฟในอนาคตได้”

นายจิรุตถ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทีเส็บ” ยังได้ร่วมมือกับสมาคม SITE จัดหลักสูตรอบรมเพื่อเรียนรู้การเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอินเซนทิฟ (Incentive Specialist) หรือ Certified Incentive Specialists (CIS) เพื่ออบรมเบื้องต้นและสร้างแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์แนวทางการออกแบบโปรแกรมอินเซนทิฟที่สามารถกระตุ้นจูงใจผู้ร่วมงานให้พัฒนาตนเอง พัฒนาอาชีพ เรียนรู้การตลาดและห่วงโซ่ของธุรกิจอินเซนทิฟ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมอบรมถึง 60 ราย จากฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และไทย โดยปัจจุบันมีคนไทยผ่านการอบรม CIS สูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียรวมถึง 68 คน ตอกย้ำศักยภาพบุคลากรด้านอินเซนทิฟที่มีมาตรฐานนานาชาติของประเทศไทย

สำหรับตลาดอินเซนทิฟไทยในปีที่ผ่านมา 2561 (สิ้นสุดปีงบประมาณเดือนกันยายน 2561) มีจำนวนนักเดินทางจากต่างประเทศทั้งสิ้น 369,370 ราย เติบโตร้อยละ 35.90 (สูงที่สุดในรอบ 14 ปี) มีรายได้รวม 20,670 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 23.80 (สูงที่สุดในรอบ 7 ปี) โดยกลุ่มนักเดินทาง 10 อันดับแรกที่มีจำนวนสูงสุดได้แก่ จีน 79,121 ราย อินเดีย 65,717 ราย มาเลเซีย 32,980 ราย เวียดนาม 26,046 ราย ฟิลิปปินส์ 22,025 ราย เกาหลีใต้ 17,596 ราย อินโดนีเซีย 16,164 ราย สิงคโปร์ 14,596 ราย ญี่ปุ่น 13,187 ราย และ สปป. ลาว 13,157 ราย โดยมีจุดหมายปลายทางของการจัดงานที่ กรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ต ตามลำดับ ส่วนกิจกรรมที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การนัดหมายประชุมทางธุรกิจล่วงหน้า การนำเที่ยวก่อนการประชุม และงานแสดงวัฒนธรรม

ในปี 2562 “ทีเส็บ” ได้เตรียมแคมเปญสนับสนุนธุรกิจอินเซนทิฟภายใต้แนวคิด “MEET BY DESIGN – Redefined” เพื่อดึงดูดกลุ่มอินเซนทิฟจากต่างประเทศให้มาจัดงานในประเทศไทย โดยปรับแนวทางการสนับสนุนให้สอดคล้องกับตลาดเป้าหมาย ทั้งตลาดยุโรป อเมริกา โอเชียเนีย ญี่ปุ่น สาธารณรัฐประชาชนชนจีน อินเดียและกลุ่มประเทศอาเซียน โดยประมาณการว่า ในปี 2562 จะมีนักเดินทางกลุ่มอินเซนทีฟจากต่างประเทศมายังประเทศไทยจำนวน 388,000 ราย และสร้างรายได้ 21,700 ล้านบาท

“จากภาพรวมตลาดอินเซนทิฟของไทยที่มีแนวโน้มดีมาก ประกอบกับมีจำนวนผู้ดำเนินงานมืออาชีพระดับนานาชาติในอุตสาหกรรมอินเซนทิฟจากประเทศไทยที่เป็นสมาชิกสมาคม SITE ถึง 23 ราย ส่งผลให้มีการจัดตั้งสมาคม SITE สาขาประเทศไทยขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางการสร้างเครือข่ายธุรกิจอินเซนทิฟระดับนานาชาติ โดยกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมดำเนินงานจัดกิจกรรมส่งเสริมธุรกิจอินเซนทิฟสำหรับกลุ่มสมาชิกในภูมิภาคเดียวกัน โดยจะมีการประกาศการจัดตั้งสมาคม SITE สาขาประเทศไทยอย่างเป็นทางการภายในงาน SITE2019 Global Conference โดย “ทีเส็บ” เป็นแกนนำให้การสนับสนุนและร่วมประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนจนประสบความสำเร็จในการก่อตั้งสมาคม SITE สาขาประเทศไทยขึ้นเป็นประเทศแรกในอาเซียน ตอกย้ำภาพลักษณ์ไทยในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลกของการจัดอินเซนทิฟในระดับนานาชาติ” นายจิรุตถ์ กล่าวในตอนท้าย

 

“ออลล์ อินสไปร์” ร่วมสนับสนุนกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ

บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร มอบรถจักรยาน เป็นของรางวัลให้เด็ก ๆ ที่มาร่วมกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ 2562 โดยใช้แนวทางการจัดกิจกรรม “จิตอาสา” เป็นการทำกิจกรรมเพื่อสาธารณประโยชน์ มีการจัดฐานกิจกรรมต่าง ๆ ด้านภูมิปัญญาและความรู้ ด้านกีฬา ด้านการแสดงออกและดนตรี รวมถึงส่งเสริมความรู้ในการรักษาสิ่งแวดล้อม อาทิ ลดรับ ลดให้ ลดใช้ถุงพลาสติก การคัดแยกขยะ นิทรรศการมลพิษทางอากาศ นอกจากนี้ยังมีการจัดชุดเครื่องเล่น เกม และมอบของรางวัลต่าง ๆ มากมาย ณ สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) เขตจตุจักร

“แลคตาซอย” เติมพลังน้อง ๆ ในงานวันเด็ก 2562

บริษัท แลคตาซอย จำกัด นำทีมโดย ‘น้องถั่วเหลือง’ มาสคอตสุดน่ารัก ร่วมออกบูธกิจกรรมสร้างสีสันในงานวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2562 พร้อมทั้งนำนมถั่วเหลือง “แลคตาซอย” หลากหลายรสชาติ ไปแจกให้น้อง ๆ หนูๆ ได้ดื่มเติมพลัง อิ่มอร่อย และได้ประโยชน์กันถ้วนหน้า ระหว่างการร่วมกิจกรรมต่างๆ ณ โรงเรียนนายเรือและพิพิธภัณฑ์ทหารเรือ จ.สมุทรปราการ

OCC เปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

‘ธีรดา อำพันวงษ์’ (กลาง) กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โอซีซี เปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร LIMEX PLUS รอยัลเยลลีผสมกระชายดำอัดเม็ด และ DIVA PLUS คอลลาเจนเกรดพรีเมี่ยมจากประเทศญี่ปุ่น โดยมี ‘เภสัชกรหญิง ดร.พรวนิช เจริญพุทธคุณ’ และ ‘ทรัพย์พร ตันติพงษ์’ ผู้เชี่ยวชาญด้านนมผึ้งและคอลลาเจน ร่วมให้ความรู้และตอบปัญหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ณ ห้องประชุม 101 อาคารโอซีซี เมื่อเร็ว ๆ นี้

“ออลล์ อินสไปร์” จับมือ 7 – 11 เพิ่มความสะดวกให้ลูกบ้าน

‘ธนากร ธนวริทธิ์’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้อยู่อาศัย โดยได้เปิดให้บริการนำร่องกับ 2 โครงการแรก ได้แก่ โครงการ “ดิ เอ็กเซล กรูฟ” (The Excel Groove) ซอยลาซาล 52 และโครงการ “ไรส์ พระราม 9” (Rise Rama 9)

“โอซีซี” ปรับระบบหลังบ้านโฉมใหม่

 

‘ธีรดา อำพันวงษ์’ (ที่ 4 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โอซีซี พร้อมด้วย ‘สมพจน์ สุขกระสานติ’ (ที่ 4 จากขวา) ผู้อำนวยการโครงการ บริษัท ไอเอสเอส คอนซัลติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด จัดงาน PROJECT KICK OFF เปิดตัวระบบการบริหารจัดการข้อมูลของโอซีซีใหม่ SAP S/4HANA เพื่อตอบสนองการทำงานขององค์กรอย่างเป็นระบบ พร้อมเพิ่มระบบ IS-RETAIL ที่ช่วยบริหารจัดการร้านค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ณ ห้องประชุม 101 อาคารโอซีซี เมื่อเร็ว ๆนี้