นายมาร์คุส ลอเรนซินี่ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานและหัวหน้าฝ่ายบริหาร บริษัท ซีเมนส์ จำกัด ส่งมอบพื้นคอนกรีตด้านหน้าอาคารโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบางโปรง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ภายใต้โครงการ “Siemens Caring Hands” เพื่อลดการเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มของประชาชนที่มาใช้บริการ เนื่องจากสภาพพื้นดินเดิมที่ขรุขระ และชื้นแฉะเมื่อฝนตก โดยมีนายพงษ์วรรณ ศุขโภคา (ที่ 2 จากขวา) นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บางโปรง เป็นผู้รับมอบ เมื่อเร็ว ๆ นี้
ผู้เขียน: admin2
เปิดตัว “Thai SELECT Application” ขยายช่องทางเข้าถึงร้านอาหารไทยทั่วโลก
alivesonline.com : กระทรวงพาณิชย์ เปิดตัว Thai SELECT Application ขยายช่องทางให้ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่อยู่ในต่างประเทศเข้าถึงร้านอาหารไทยในต่างประเทศง่ายและสะดวกขึ้นเพียงปลายนิ้ว นำร่องให้บริการด้วย 3 ภาษา “อังกฤษ เยอรมัน และญี่ปุ่น” ก่อนเตรียมขยายรูปแบบไปสู่ภาษาอื่น ๆ ในอนาคต หวังเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการอาหารไทยในร้านที่ได้รับมาตรฐานดังกล่าว 1,327 แห่ง สอดรับนโยบายประเทศไทย 4.0 ที่มุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม

นายสกนธ์ วรัญญูวัฒนา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ (กลาง) ให้เกียรติเป็นประธานในงานเปิดตัว “ไทย ซีเล็กท์ แอปพลิเคชั่น” (Thai SELECT Application) ระบบค้นหาร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT และร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารไทยในต่างประเทศ ผ่านโมบาย แอปพลิเคชัน โดยมีคณะผู้บริหารกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ อาทิ นางนันทวัลย์ ศกุลตนาค ปลัดกระทรวงพาณิชย์ (ที่ 3 จากซ้าย), นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (ที่ 3 จากขวา) ร่วมด้วยบล็อกเกอร์ด้านอาหารชื่อดังจากฮ่องกง เข้าร่วมงาน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ ร้าน R.HAAN (อาหาร) ทองหล่อ ซอย 9
นางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ จึงได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “ไทย ซีเล็กท์ แอปพลิเคชัน” (Thai SELECT Application) ที่ใช้งานได้อย่างสะดวกกับสมาร์ทโฟน หรือแท็ปเล็ต ทั้งในระบบแอนดรอยด์และไอโอเอส เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการให้ไทยเป็นผู้นำในการผลิตและส่งออกสินค้าอาหารและการบริการด้านอาหารอันดับ 1 ใน 10 ของโลกที่มีความปลอดภัยและสุขอนามัยสูง มีคุณภาพมาตรฐานสากล บนพื้นฐานของความยั่งยืนและมั่นคงทางอาหารของประเทศตามยุทธศาสตร์ครัวไทยสู่ครัวโลก พ.ศ.2559–2564 ของรัฐบาล เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการประชาสัมพันธ์ร้านอาหารไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ดังกล่าว
ในเบื้องต้นแอปพลิเคชันดังกล่าวเปิดให้บริการแล้วในภาษาอังกฤษ เยอรมัน และญี่ปุ่น โดยกำลังขยายรูปแบบไปสู่ภาษาอื่น ๆ อีกภายในเวลาอันใกล้นี้ เพื่อต้องการเพิ่มจำนวนผู้ที่ไปใช้บริการที่ร้านอาหาร Thai SELECT ในประเทศต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ชาวไทยและชาวต่างชาติในต่างประเทศที่ต้องการบริโภคอาหารไทยรสชาติไทยแท้ให้เข้าถึงร้านอาหารต่าง ๆ ง่ายขึ้น ทั้งยังเป็นการสอดรับนโยบายประเทศไทย 4.0 ในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ Value-Based Economy หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม
“แอปพลิเคชัน Thai SELECT จะช่วยให้ผู้ที่รักอาหารไทยและต้องการรับประทานอาหารรสชาติตามมาตรฐานอาหารไทย สามารถค้นหาร้านอาหาร Thai SELECT ได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยสามารถค้นหาได้จากเมนูที่เลือกประเทศและเมืองที่ต้องการ โดยแต่ละร้านจะมีการรีวิว หรือให้คะแนนจากผู้ใช้บริการก่อนหน้า นอกจากนั้นผู้ใช้งานยังจะสนุกกับการเรียนรู้ส่วนผสมของอาหารไทยเมนูโปรด หรือหากต้องการทำอาหารไทยรับประทานเองก็สามารถค้นหาผลิตภัณฑ์สำหรับปรุงอาหารไทยได้ ทั้งยังสามารถรับรู้ข่าวสารและโปรโมชั่นใหม่ ๆ จาก Thai SELECT”
นางจันทิรา กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมีร้านอาหารไทยกระจายตัวอยู่ทั่วโลกมากกว่า 2 หมื่นร้าน การส่งเสริมธุรกิจบริการร้านอาหารไทยและยกระดับอาหารไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลเพื่อสร้างมูลค่าให้แก่อาหารไทยสู่ผู้บริโภคทั่วโลกจึงเป็นการช่วยสร้างกระแสความต้องการสินค้าอาหารไทยอย่างยั่งยืนและกระตุ้นความต้องการในกลุ่มผู้บริโภคซึ่งจะส่งผลต่อการเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารและสินค้าที่เกี่ยวเนื่องของไทยสู่ตลาดโลก นอกจากนี้การพัฒนาและผลักดันสินค้าเกษตรและอาหารไทยยังเป็นนโยบายสำคัญเพื่อรักษาความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจภาคเกษตร ตลอดจนส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลกทั้งในแง่สินค้าเกษตร อาหารไทย และธุรกิจบริการด้านอาหารไทยด้วย
โครงการตราสัญลักษณ์ “Thai SELECT” ภายใต้ภารกิจการดำเนินงานของ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการส่งเสริมธุรกิจบริการอาหารไทยในต่างประเทศ ถือเป็นโครงการสำคัญในการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการบริโภคอาหารไทยทั่วโลกโดยใช้ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ในการรับรองร้านอาหารไทยในต่างประเทศและผลิตภัณฑ์อาหารไทยสำเร็จรูปที่มีรสชาติตามมาตรฐานอาหารไทยและให้บริการอย่างมีคุณภาพ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,327 ร้าน แบ่งเป็น 1.Thai SELECT Premium (ไทย ซีเล็กท์ พรีเมียม) สำหรับร้านอาหารไทยคุณภาพยอดเยี่ยม 5 ดาว ที่ให้บริการอาหารไทยรสชาติอาหารตามมาตรฐานอาหารไทย มีการตกแต่งร้านสวยงามและบริการเป็นเลิศ มีจำนวน 246 ร้าน และ 2.Thai SELECT (ไทย ซีเล็กท์) สำหรับร้านอาหารไทยคุณภาพเยี่ยมระดับ 3-4 ดาวที่ให้บริการอาหารไทยรสชาติอาหารตามมาตรฐานอาหารไทย มีจำนวน 1,081 ร้าน
โครงการตราสัญลักษณ์ “Thai SELECT” จึงเท่ากับเป็นการยกระดับร้านอาหารไทยและคุณภาพของผลิตภัณฑ์อาหารไทยสำเร็จรูปให้เป็นที่ยอมรับและรู้จักมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ร้านอาหารไทยและผู้ผลิตอาหารไทย รวมถึงพ่อครัวและแม่ครัวไทยให้พัฒนาและรักษามาตรฐานคุณภาพของอาหารไทยในธุรกิจของตน ตลอดจนเป็นช่องทางในการส่งเสริมสินค้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและของตกแต่งร้าน เป็นต้น
“ในช่วงที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ให้ความสำคัญทั้งต่อผู้ประกอบการร้านอาหารและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับร้านอาหารไทยในต่างประเทศ โดยทำการอบรม พัฒนาองค์ความรู้ และสร้างการเชื่อมโยงทางธุรกิจด้วยวิธีต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ การเปิดตัวแอปพลิเคชัน Thai SELECT จึงเป็นอีกแนวหนึ่งที่จะทำให้การส่งเสริมครบทุกมิติ ทั้งยังถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือของการส่งเสริมการค้าและการตลาดระหว่างประเทศ เพื่อให้สินค้าไทยสามารถส่งออกสู่ตลาดโลกและแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้อย่างยั่งยืน อันจะส่งผลต่อรายได้ที่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคตต่อไป” นางจันทิรา กล่าวในที่สุด
“แอททิจูด บียู” เน้นจุดเด่น “คอนโดฯ สุดแนว” รับคนรุ่นใหม่
alivesonline.com : “ATTITUDE BU” คอนโดมิเนียมรูปแบบใหม่ย่านรังสิต เผยความคืบหน้าหลังเซ็นสัญญาผู้รับเหมารายใหญ่ ดีเดย์ปักหมุดก่อสร้าง 15 ต.ค.61 มั่นใจปิดการขายก่อนโครงการแล้วเสร็จ ชูจุดเด่นทำเลตรงข้าม ม.กรุงเทพ รังสิต มุ่งตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ด้วยการออกแบบเน้นความคิดสร้างสรรค์ ด้านผู้รับเหมาย้ำโครงการให้ผู้บริโภคมากกว่าการทำธุรกิจ

นายสมภพ วาณิชเสนี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
นายสมภพ วาณิชเสนี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เออเบิ้ล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้บริหารโครงการ “แอททิจูด บียู” (ATTITUDE BU) คอนโดมิเนียมรูปแบบใหม่เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน เปิดเผยว่า บริษัทฯ ใช้เงินลงทุน 1.1 พันล้านบาทในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มนักศึกษา วัยทำงานตอนต้น และนักลงทุน เน้นการออกแบบที่มีความโดดเด่นและแตกต่างเพื่อให้สอดคล้องกับการพักอาศัยและใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความอิสระภายใต้แนวคิด Creative Space Condominium มีทั้งหมด 3 อาคาร ความสูง 8 ชั้น มีทั้งหมด 544 ยูนิต ขนาด 23.5 ถึง 34.5 ตารางเมตร รวมพื้นที่กว่า 5.6 พันตารางเมตร หรือประมาณ 3 ไร่ 2 งาน ราคาเริ่มต้นที่ 1.8 ล้านบาท
ความโดดเด่นของโครงการ “แอททิจูด บียู” คือเรื่องทำเลที่ตั้งย่านรังสิต ติดถนนพหลโยธิน ฝั่งตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่กำลังมีการขยายตัวสูงด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบของคอนโดมิเนียมและอะพาร์ตเมนต์สมัยใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้บริโภคหลักซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ปกครอง นักศึกษา และนักลงทุนที่มีกำลังซื้อสูง ทั้งยังมีพฤติกรรมการซื้อมากกว่าการเช่า
“ตลาดคอนโดมิเนียมในเมืองมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจนส่งผลให้เริ่มมีความแออัดมากขึ้น จึงทำให้ความเจริญด้านต่าง ๆ เริ่มกระจายไปยังพื้นที่แถบชานเมือง ดังจะเห็นได้ว่าปัจจุบันเริ่มมีโครงการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่เน้นความหรูหราและอำนวยสะดวกสบายมากขึ้น จึงทำให้บริษัทฯ ต้องใช้เวลาในการศึกษาความต้องการของผู้บริโภคทั้งในเชิงรูปแบบและราคา” นายสมภพกล่าว
โครงการ “แอททิจูด บียู” จึงเป็นคอนโดมิเนียมที่ถูกออกแบบเพื่อสร้างความแตกต่างและเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียม ภายใต้ 4 แนวคิดหลัก ได้แก่ Creativity, Space & Time, Explore และ.Individual โดยจัดพื้นที่ส่วนกลางให้ผู้อยู่อาศัยมากถึงประมาณ 3.2 พันตารางเมตร คิดเป็นสัดส่วนกว่า 21% ของพื้นที่ขายทั้งหมด ทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสบายอย่างครบครัน อาทิ คาเฟ่, พื้นที่ Co-Working Space, Music Room, Photo Studio, Sky Lounge, สระว่ายน้ำ, พื้นที่ออกกำลังกาย รวมถึงจุดเด่นของโครงการคือดาดฟ้าของทั้ง 3 อาคารซึ่งถูกออกแบบให้เดินเชื่อมต่อกัน โดยได้จัดสรรไว้เป็นพื้นที่สำหรับสำหรับออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีทั้งสนามฟุตซอล, ชกมวย, โยคะ ฯลฯ ล้อมรอบด้วยลู่วิ่งโทนสีสดใส รวมถึงพื้นที่พักผ่อนในสวนสวย
“กลุ่มลูกค้าของโครงการฯ แบ่งเป็นนักลงทุน 70% และผู้ปกครอง,นักศึกษา 30% ครอบคลุมพื้นที่หลากหลายจังหวัดโดยรอบและจังหวัดอื่น ๆ เช่น สมุทรปราการ ชลบุรี และนครราชสีมา เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการลงทุน เป็นบ้านหลังที่สองเพื่อพักอาศัยและอำนวยความสะดวกในการเดินทางไปทำงานในพื้นที่ใกล้เคียง โดยปัจจุบันมีผู้สนใจซื้อพื้นที่โครงการแล้วประมาณ 60% และคาดว่าจะขายหมดก่อนสิ้นปี 2562 และพร้อมเข้าอยู่ต้นปี 2563 ” นายสมภพ กล่าวในตอนท้าย

นายพีระพัฒน์ ผุริจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ต.พีระกฤช จำกัด
ด้าน นายพีระพัฒน์ ผุริจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ต.พีระกฤช จำกัด ผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการ “แอททิจูด บียู” กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ ได้รับการแต่งตั้งและลงนามในสัญญาดำเนินงานอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 ก.ย.61 โดยจะเริ่มปรับพื้นที่และก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.61 เนื่องจากมั่นใจในปัจจัยบวกด้านต่าง ๆ ที่จะเอื้อต่อการดำเนินงาน
“แอททิจูด บียู” ถือเป็นโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับทั้งอยู่เองและลงทุน เพราะผู้พัฒนาโครงการตั้งใจจัดสรรและมอบสิ่งที่ดีให้แก่ผู้บริโภคมากอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ การจัดสรรพื้นที่การใช้งาน สิ่งอำนวยความสะดวกสบายให้ผู้พักอาศัย รวมไปถึงการจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางให้เหมาะสมกับทุกวัย จึงมั่นใจว่าจะสามารถดำเนินงานโครงการฯ นี้ได้ตรงตามเป้าหมาย
“ผมมั่นใจว่าการดำเนินงานโครงการโครงการนี้จะไม่มีปัญหาในส่วนของประเด็นมวลชนสี่ทิศแต่อย่างใด เนื่องจากทิศเหนือเป็นที่ดินว่างสาธารณะ ทิศใต้มีถนนสาธารณะกั้นระหว่างโครงการ ทิศตะวันออกติดกับอะพาร์ตเมนต์เก่า ขณะที่ทิศตะวันตกติดกับถนนพหลโยธิน ส่วนเรื่องปัญหาราคาวัสดุก่อสร้างที่อาจมีปรับราคาสูงขึ้นก็คาดว่าจะไม่มีผลแต่อย่างใด” นายพีระพัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัท ต.พีระกฤช จำกัด มีประสบการณ์การดำเนินงานมานาน 18 ปี ด้วยผลงานกว่า 100 โครงการ ล่าสุดคือ โครงการ “เคนซิงตัน เกษตร แคมปัส” (Kensington Kaset Campus) และ “เคฟ คอนโด” (Kave Condo) ซึ่งมีพื้นที่โครงการใกล้กับโครงการ “แอททิจูด บียู”
“อุทัย อุทัยแสงสุข” : จาก “บิ๊ก ดาต้า” สู่กลยุทธ์บ้านของแสนสิริ
alivesonline.com : โลกยุคปัจจุบัน ถือเป็นยุคแห่งการปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในทุกมิติ ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และเทคโนโลยีแบบวินาทีต่อวินาที ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน การนำ “บิ๊กดาต้า” (Big Data) หรือข้อมูลที่มีอยู่อย่างมหาศาลจากการเก็บรวบรวมในที่ต่าง ๆ มาวิเคราะห์ เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคมาใช้ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่สามารถสร้างแต้มต่อให้แก่การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ปัจจุบันองค์กรชั้นนำต่าง ๆ มีการนำข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความต้องการของผู้บริโภคจาก “บิ๊กดาต้า” มาใช้อย่างแพร่หลาย ส่วนภาคอสังหาริมทรัพย์เองก็มีการนำมาใช้เพื่อจับเทรนด์พฤติกรรมของผู้บริโภคว่า ผู้บริโภคมีความต้องการเชิงลึกด้านใดในการออกแบบที่อยู่อาศัยและดูแลลูกบ้านเพื่อให้ตอบสนองความต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคต เช่นเดียว%
“เมย์เบลลีน” ตอกย้ำเมคอัพอันดับหนึ่ง
“วิลาสินี ภานุรัตน์” (ขวา) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด เมย์เบลลีน นิวยอร์ก (ประเทศไทย) จัดงานแถลงข่าว “เมย์เบลลีน นิวยอร์ค แฟชั่น วีค 2018” พร้อมเปิดตัว “ไปรยา ลุนด์เบิร์ก” (ซ้าย) ในฐานะ Maybelline IT Girl (เมย์เบลลีน อิท เกิร์ล) คนล่าสุดที่จะเข้าร่วมงาน “นิวยอร์ก แฟชั่น วีค” กลางเดือนกันยายน 2561 ที่สหรัฐอเมริกา ในฐานะสปอนเซอร์หลักอย่างเป็นทางการจากประเทศไทย
“สมคิด” ชี้ 4 ปัจจัยบวกเอื้อ “ทีเส็บ” ดันไมซ์ไทยสู่ชั้นเวทีโลก
alivesonline.com : “สมคิด” ยก “ทีเส็บ” มีบทบาทสำคัญในภาวะเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ แนะฉวยโอกาสเร่งหาพันธมิตรธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขับเคลื่อนองค์กรและอุตสาหกรรมไมซ์เติบโตอย่างยั่งยืนจากแรงหนุน 4 ด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจในประเทศ การเติบโตของภูมิภาคอาเซียน การจัดตั้งระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และบทบาทการเมืองระหว่างประเทศ
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “ประเทศไทย แรงขับเคลื่อนใหม่แห่งเศรษฐกิจเอเชีย” (Thailand the New Driving Force of Asian Economy) ในงาน Thailand MICE Forum2018, Redefining Our Industry ซึ่งจัดโดย สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” เมื่อวันที่ 11 ก.ย.61 ณ บางกอกคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ว่า นับตั้งแต่ตนเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้ง “ทีเส็บ” มาตั้งแต่ปี 2547 จนปัจจุบันก้าวเข้าสู่ปีที่ 15 ถือเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในภาวะเศรษฐกิจกำลังเติบโต จึงเป็นช่วงจังหวะและโอกาสที่จะพัฒนาองค์กรให้สามารถขับเคลื่อนไปข้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีปัจจัยบวก 4 ด้านคือ
1.เศรษฐกิจอยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัวเข้มแข็งในทุกมิติ โดยในครึ่งปีแรกอัตราจีดีพีเติบโตถึง 4.8% ถือเป็นการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพต่อเนื่องจากตัวชี้วัดทุกดัชนีมีการเติบโตทุกภาคส่วน อาทิ การส่งออก การบริโภค การจับจ่ายของรัฐบาล รวมทั้งการท่องเที่ยว จึงมั่นใจว่าหากไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เศรษฐกิจปี 2562 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก เนื่องจากเป็นช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น จึงเป็นจังหวะและโอกาสของ “ทีเส็บ” ที่จะต้องเร่งหาพันธมิตรธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ
2.จากการเติบโตทางจีดีพีของภูมิภาคอาเซียน 4-5% ทำให้ประเทศไทยจะเป็นยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน ทั้งในตลาดซัปพลายเชนและตลาดแรงงาน เพราะประเทศไทยเป็นจุดตัดระหว่างเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก หากสามารถสร้างเส้นทางรถไฟออกไปสู่เมียนมาร์และลาว ประเทศไทยก็จะเป็นจุดศูนย์กลางของกลุ่ม CLMV ส่งผลให้บริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพื่อใช้เป็นศูนย์กลางไปยังประเทศเพื่อนบ้านรอบข้าง “ทีเส็บ” จึงควรฉวยโอกาสเพื่อสร้างความร่วมมือและก้าวไปข้างหน้า
3.การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโต โดยเฉพาะการจัดตั้งโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งภายในปี 2561 จะเปิดการประมูลรถไฟเชื่อมต่อ 3 สนามบิน อันจะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นพอร์ตที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เพราะจะเป็นทางเข้าและทางออกด้านการผลิตของ CLMVT (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม และไทย) ซึ่งจะกระจายการส่งออกไปทั่วโลก ทั้งยังเป็นการต่อยอดโครงการท่าเรือแหลมฉบังและอีสเทิร์นซีบอร์ด เป็นแหล่งรองรับอุตสาหกรรม การเกษตรแปรรูป และอื่น ๆ ในอนาคต
4.บทบาทการเมืองระหว่างประเทศของไทย จำเป็นต้องรู้จักวิธีการสร้างตัวเองให้มีนัยสำคัญดังเช่นที่สิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการผลักดันประเทศจนเป็นศูนย์การจัดงานหลายประเภท จึงคาดว่า หากประเทศไทยสามารถจัดการเลือกตั้งได้ในปี 2562 และได้รับการเลือกให้เป็นประธานอาเซียนจะส่งผลให้สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง โอกาสนี้ “ทีเส็บ” จึงจำเป็นต้องเร่งประสานงานกับทุกหน่วยงาน ทุกกระทรวง รวมทั้งสร้างพันธมิตรให้มากขึ้นทั้งในและต่างประเทศในการวางแผนร่วมมือเพื่อเปิดแนวรุกก้าวไปข้างหน้า เพื่อผลักดันให้อุตสาหกรรมไมซ์ไทยเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งในภูมิภาคอาเซียน เอเชีย และระดับโลก
อุตสาหกรรมไมซ์ปักธงปี 64 ขึ้นท็อปไฟว์ของเอเชีย
alivesonline.com : “ทีเส็บ” จัดงานใหญ่ “Thailand MICE Forum 2018: Redefining Our Industry” โชว์ผลงาน 13 ปี สร้างรายได้เข้าประเทศไทยกว่า 1 ล้านล้านบาท หลังประมูลสิทธิ์งานไมซ์นานาชาติได้กว่า 300 งาน คิดเฉลี่ยปีละ 20 งาน ทั้งยังให้การรวมทั้งสนับสนุนงานไมซ์ทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 5 พันงาน พลิกโฉมแนวทางดำเนินงานหวังขึ้นอันดับ 5 ด้านการประชุม และอันดับ 6 ด้านการแสดงสินค้าของภูมิภาคเอเชียภายในปี 2564

ดร. อรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ
ดร. อรรชกา สีบุญเรือง ประธานกรรมการส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” จัดงาน “Thailand MICE Forum 2018: Redefining Our Industry” ณ ห้องบางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อเป็นเวทีในการแถลงผลการดำเนินงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 พร้อมนำเสนอแผนกลยุทธ์การส่งเสริมอุตสาหกรรมไมซ์ในปีงบประมาณ พ.ศ.2562 ตลอดจนจัดกิจกรรมสัมมนาเพื่อถ่ายทอดความรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมไมซ์
ตลอดระยะเวลา 13 ปีของการดำเนินงาน “ทีเส็บ” ได้ประมูลสิทธิ์งานไมซ์นานาชาติกว่า 300 งาน คิดเฉลี่ยปีละ 20 งาน พร้อมให้การสนับสนุนงานไมซ์ทั้งในและต่างประเทศแล้วมากกว่า 5 พันงาน รวมสร้างรายได้ให้แก่เศรษฐกิจแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีบทบาทในการพัฒนาธุรกิจไมซ์ด้านต่าง ๆ อาทิ การสร้างมาตรฐานให้กับธุรกิจไมซ์ การอำนวยความสะดวกด้านลอจิสติกส์ วีซ่า การจัดทำคู่มือขั้นตอนและกระบวนการจัดงานไมซ์ การพัฒนาไมซ์ซิตี้ และ Area Base
การจัดงานไมซ์แต่ละครั้งยังก่อให้เกิดองค์ความรู้ การแลกเปลี่ยนนวัตกรรม การสร้างเครือข่ายทางธุรกิจและการลงทุน ซึ่งถือเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล โดยข้อมูลล่าสุดในปี 2560 พบว่าการดำเนินงานของ “ทีเส็บ” ร่วมกับผู้ประกอบการไมซ์ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ หลายด้านคือ เกิดค่าใช้จ่ายจากการจัดกิจกรรมไมซ์มีมูลค่า 231,200 ล้านบาท ก่อให้เกิดเป็นรายได้ประชาชาติ เป็นมูลค่าปีละ 1.73 แสนล้านบาท คิดเป็น 1.1% ของ GDP ประเทศ โดยมีสัดส่วนเทียบเท่ากับประเทศสิงคโปร์ ขณะเดียวกันยังมีรายได้จากมูลค่าภาษีที่ภาครัฐจัดเก็บได้จากธุรกิจไมซ์ 2.1 หมื่นล้านบาท ก่อให้เกิดการจ้างงาน 1.673 แสนตำแหน่ง”
ดร.อรรชกา ยังกล่าวถึงผลการดำเนินงานของทีเส็บ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ว่า จากสามไตรมาสแรกที่ผ่านมามีจำนวนนักเดินทางไมซ์ทั้งจากต่างประเทศและนักเดินทางชาวไทยที่เข้าร่วมงานไมซ์ในประเทศทั้งสิ้นแล้วจำนวนกว่า 25,291,439 ล้านคน สร้างรายได้ให้ประเทศไทยเป็นมูลค่ากว่า 154,779 ล้านบาท โดยประมาณการณ์ว่าเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.2561 จะมีนักเดินทางไมซ์ทั้งจากต่างประเทศและนักเดินทางชาวไทยที่เข้าร่วมงานไมซ์ในประเทศ ประมาณ 38,397,033 คน สร้างรายได้ให้แก่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 207,561 ล้านบาท
จากรายงาน ของ International Congress and Convention Association (ICCA)และรายงานของ the Global Association of the Exhibition Industry (UFI) ในปี 2560 พบว่า ประเทศไทยเป็นอันดับที่ 5 ของเอเชียด้านการจัดประชุมนานาชาติ เป็นอันดับที่ 7 ของเอเชียในด้านการแสดงสินค้านานาชาติ โดยเป็นที่ 1 ของอาเซียนทั้งในด้านการประชุมและการแสดงสินค้า
“ความท้าทายของ ทีเส็บ ในการดำเนินงานต่อไปคือการรักษาอันดับ 1 ของไมซ์ในอาเซียน และผลักดันให้ไทยเป็นอันดับ 5 ด้านการประชุม และอันดับ 6 ด้านการแสดงสินค้าของภูมิภาคเอเชียภายในปี 2564 โดยต้องเร่งส่งเสริมการดึงงานและเพิ่มพื้นที่การขายของการจัดงานแสดงสินค้าในประเทศไทย รวมถึงการปรับตัวให้ทันกับเทรนด์ใหม่ของอุตสาหกรรมไมซ์โลก เช่น การสร้างประสบการณ์ใหม่ให้แก่ผู้เข้าร่วมงานไมซ์ การสร้างความพึงพอใจและความประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงาน ตลอดจนการนำเนื้อหาจากชุมชนและท้องถิ่นในประเทศมาสร้างอัตลักษณ์ให้กับการจัดงานไมซ์”
“ทีเส็บ” จะต้องเร่งสนับสนุนนโยบายรัฐบาล โดยใช้กิจกรรมไมซ์ส่งเสริมอุตสาหกรรมตามนโยบาย Thailand 4.0 ให้มากขึ้น และนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในอุตสาหกรรมไมซ์ ตลอดจนกระจายกิจกรรมไมซ์ไปยังภูมิภาคและเมืองรองเพื่อการกระจายรายได้ในประเทศ โดยต้องเร่งสร้างความกระตือรือร้นและการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบขององค์กรภาครัฐในการอำนวยความสะดวกและส่งเสริมธุรกิจไมซ์
ดร.อรรชกา กล่าวด้วยว่า “ทีเส็บ” จึงกำหนด 3 แนวทางหลักเพื่อดำเนินงาน ได้แก่ (1) การพัฒนาเศรษฐกิจ โดยมุ่งสร้างรายได้จากกิจกรรมไมซ์เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศ เป็นผู้อำนวยความสะดวกและจัดทำแพ็คเกจสนับสนุนและส่งเสริมการตลาดให้แก่ภาคเอกชน ร่วมกันดึงงานและสนับสนุนการจัดงานภายใต้นโยบายประเทศไทย 4.0 ของรัฐบาล ดังเช่นในปี 2560 ที่ได้ให้การสนับสนุนงานในอุตสาหกรรม S Curve และ New S Curve ทั้งสิ้นกว่า 90 งาน อาทิ งานด้าน Robotics / ด้าน Logistics / ด้านเชื้อเพลิงและพลังงานทดแทน / ด้านการแพทย์ และด้านอุตสาหกรรมดิจิทัล
(2) การใช้นวัตกรรมสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมไมซ์ อาทิ โครงการจัดทำแอปพลิเคชัน BIZ CONNECT ที่จะช่วยสร้างเวทีสื่อกลางการเจรจาธุรกิจระหว่างผู้จัดงานและผู้ร่วมงานไมซ์ผ่านแอปพลิเคชันที่สะดวกรวดเร็ว ซึ่งแอปพลิเคชั่นดังกล่าวจะรวบรวมการจัดงานทั้งหมดให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถศึกษาและตอบรับการร่วมงานพร้อมเจรจาธุรกิจได้ทันที นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA ในการส่งเสริมและยกระดับอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทยด้วยนวัตกรรม ส่งเสริมธุรกิจ Start-up ในอุตสาหกรรมไมซ์ ให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจไมซ์ที่ใช้นวัตกรรมในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
(3) การกระจายรายได้และองค์ความรู้จากกิจกรรมไมซ์สู่ชุมชน ภายใต้โครงการ “ไมซ์เพื่อชุมชน” โดยร่วมมือกับ กรมส่งเสริมสหกรณ์ เพื่อพัฒนาสหกรณ์การเกษตรเป็นสถานที่รองรับการจัดงานไมซ์ โดยเบื้องต้นคัดเลือกสหกรณ์ 35 แห่ง และเตรียมขยายการดำเนินงานไปยังอีก 200 สหกรณ์ทั่วประเทศ
ทั้งนี้ “ทีเส็บ” ยังร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมงานแสดงสินค้าในประเทศ โดยจัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการพัฒนางานแสดงสินค้าของประเทศไทยเป็นครั้งแรก หรือ “EMTEX” (Empower Thailand Exhibition) เพื่อเป็นเวทีให้ภาครัฐและเอกชนร่วมกันผลักดันให้เกิดการสร้างงานแสดงสินค้าใหม่ ๆ และกระจายงานแสดงสินค้าสู่ภูมิภาค
“การเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำเนินงานในครั้งนี้ถือเป็นการพลิกโฉมบทบาทและการทำงาน โดยเน้นการทำงานร่วมกันด้วยใจบริการอย่างแท้จริงให้กับอุตสาหกรรม การสร้างความแตกต่างอย่างสร้างสรรค์และการสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ ซึ่งได้ประมาณการการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ว่าจะมีโอกาสต้อนรับนักเดินทางกลุ่มไมซ์รวมทั้งสิ้นประมาณ 40,356,337 คน สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศได้ประมาณ 228,627 ล้านบาท แบ่งเป็นนักเดินทางกลุ่มไมซ์ต่างประเทศ ประมาณ 1,419,890 คน สร้างรายได้ให้ประเทศได้ 130,200 ล้านบาท ส่วนนักเดินทางชาวไทยที่เข้าร่วมงานไมซ์ในประเทศนั้นคาดว่าจะมีประมาณ 38,936,447 คน สร้างรายได้ให้ประเทศ 98,427 ล้านบาท” ดร. อรรชกา กล่าวในที่สุด
“วอลโว่” เปิดตัว XC40 รุกตลาดเอสยูวีระดับพรีเมียม
alivesonline.com : หลังประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการเปิดตัวรุ่น XC60 ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของแบรนด์ “วอลโว่” ในตลาดเมืองไทย วันนี้ “วอลโว่” ภูมิใจนำเสนอเอสยูวีรุ่นใหม่ล่าสุด เพื่อมอบนิยามใหม่ของยานยนต์สำหรับคนเมืองด้วยภาพลักษณ์ที่สวยงามทันสมัยในสไตล์รถสวีเดน โดย XC40 พร้อมรุกตลาดเอสยูวีระดับพรีเมียมอย่างเต็มตัว และถือเป็นยานยนต์ในตระกูล 40 รุ่นแรกของโลก นำเสนอความเป็นเลิศทั้งในด้านความปลอดภัย ระบบขับเคลื่อนและเทคโนโลยีอินโฟเทนเมนท์ ซึ่งนำมาจากยานยนต์ขนาดใหญ่ (SPA) เพื่อนำมาติดตั้งในระบบยานยนต์ขนาดเล็ก (Compact Modular Architecture : CMA) รุ่นใหม่ล่าสุด

นายคริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด
นายคริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “The New Volvo XC40” คือสุดยอดคอมแพกต์เอสยูวีรุ่นแรกจากแบรนด์ “วอลโว่” ซึ่งพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด “Designed to Break the Norms” สู่ผู้บริโภคเมืองไทยด้วยความโดดเด่นทั้งการดีไซน์ การจัดสรรพื้นที่ใช้สอย และเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการขับขี่ที่ครบครัน นำเสนอทั้งในรุ่นเครื่องยนต์ T5 AWD และ T4 เบนซิน ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 2.09 ล้านบาท ซึ่งจะมาถึงประเทศไทยในช่วงสิ้นเดือน มี.ค.62 เป็นจำนวน 400 คัน และพร้อมจะส่งมอบให้ลูกค้าได้ตั้งแต่กลางเดือน ม.ค. 62 เป็นต้นไป
แพลตฟอร์มพื้นฐานการพัฒนายานยนต์รุ่น XC40 ของเราคือ CMA หรือ Compact Modular Architecture ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาอย่างมากเมื่อพิจารณาในแง่นวัตกรรม ประการแรก สถาปัตยกรรมนี้มอบ ความยืดหยุ่น ในการผลิตรถยนต์ ทำให้เราสามารถนำเสนอสุดยอดยานยนต์ได้ในหลากหลายขนาด เนื่องจากเป็นระบบที่ถูกพัฒนาให้สามารถรองรับกำลังไฟฟ้าได้หลายระดับ และเหนือสิ่งอื่นใด รถยนต์รุ่นนี้คือการทำให้แนวคิด “90 สู่ 60 สู่ 40” เป็นจริงขึ้นมา โดยสามารถปรับขนาดแพลตฟอร์มเทคโนโลยีจากระดับ SPA มาเป็น CMA และ C segment ได้ โดยเฉพาะการปรับในส่วนของระบบความปลอดภัยขั้นสูงและระบบสนับสนุนการขับขี่ รวมถึงการยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้งานโดยรวม ซึ่งก็คือความรื่นรมย์ที่ทั้งนักขับและผู้โดยสารจะสามารถสัมผัสได้จากการควบคุมและการโดยสารในเอสยูวีขนาดเล็กของเรารุ่นนี้
สำหรับรุ่น XC40 วอลโว่ได้นำเสนอประสบการณ์ผู้ใช้งานที่ดีเยี่ยมที่สุดในรถยนต์ระดับเดียวกันซึ่งเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีที่ติดตั้งมาพร้อมสรรพ บริการอันชาญฉลาด และเทคนิคการเก็บสัมภาระขั้นสุดยอดที่มอบโซลูชั่นการเก็บสิ่งของในห้องโดยสารแนวใหม่ที่ยังไม่เคยปรากฏมาก่อน สมรรถนะการควบคุมที่ฉับไวที่มาพร้อมเทคโนโลยีช่วยขับขี่รุ่นใหม่แสดงให้เห็นถึงแนวทางใหม่ของ “วอลโว่” ในการสร้างสรรค์รถเอสยูวีขนาดเล็กเพื่อการขับขี่ในตัวเมืองที่ดีเยี่ยมภายใต้รูปลักษณ์ที่ทั้งสวยงามและเด่นชัดในอัตลักษณ์ของผู้ขับขี่
“XC40 ยังถือเป็นการเติมเต็มกลุ่มยานยนต์ระดับลักซ์ชัวรี่ของ วอลโว่ ให้ครบสมบูรณ์ต่อจากรุ่นพี่อย่าง XC90 และ XC60 ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทั่วโลก ซึ่งแม้ XC40 จะเป็นยานยนต์รุ่นเล็ก หากยังคงความเป็นเยี่ยมตามแบบฉบับ วอลโว่ เพราะ XC40 มิใช่รถยนต์ที่ถูกย่อส่วนมาจากรุ่นใหญ่ แต่เป็นการสร้างตัวตนใหม่และอัตลักษณ์อันโดดเด่นในแบบเฉพาะตัว” นายคริส กล่าวในที่สุด
ด้าน นายฌอง-เดวิด ฮาเรล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเปิดตัว XC40 ถือเป็นก้าวสำคัญของ วอลโว่ คาร์ ประเทศไทย เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคชาวไทยของเรากำลังมองหารถยนต์ดีไซน์ใหม่ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว โดยต้องเป็นรถยนต์ที่ทำให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้นด้วยการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยและส่วนเก็บสัมภาระอย่างชาญฉลาด และมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีเยี่ยมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ
สำหรับลูกค้าที่เลือก XC40 รุ่นท็อปจะได้รับแพ็คเกจ R-Design เต็มรูปแบบ ซึ่งรวมถึงระบบการเก็บสัมภาระและพื้นที่เก็บของที่ใหญ่กว่า พร้อมประตูท้ายระบบไฟฟ้าที่สามารถเปิดได้โดยไม่ต้องใช้มือจับและเทคโนโลยีอัจฉริยะอีกมากมาย อาทิ แท่นชาร์จอุปกรณ์แบบไร้สาย เป็นต้น ซึ่งแสดงถึงภาพลักษณ์ที่สวยงามทันสมัยในสไตล์รถสวีเดนขนานแท้
“ซีเมนส์” จัดกิจกรรม CSR
นายชัยรัตน์ เกตุเงิน (กลางซ้าย) ผู้อำนวยการโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าทดแทนโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ให้การต้อนรับคณะผู้บริหารและพนักงานจาก บริษัท ซีเมนส์ จำกัด นำโดย นายมาร์คุส ลอเรนซินี่ (กลางขวา) ประธานและหัวหน้าฝ่ายบริหาร ระหว่างการทำกิจกรรมภายใต้โครงการ “Siemens Caring Hands” เพื่อสร้างสรรค์กิจกรรมที่เป็นสารธารณะประโยชน์ต่อชุมชนและสังคม เมื่อเร็ว ๆ นี้
“พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต” คว้ารางวัล
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ (ขวา) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นครบวงจร (Prime Minister’s Insurance Awards) แก่ นายอามัน โชวลา (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) ซึ่งได้รับรางวัล “บริษัทประกันชีวิตที่มีการพัฒนาดีเด่น” ประจำปี 2560 จากการคัดเลือกของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์