ตลาด Grocery ฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ในภาวะตลาดแข่งเดือด

ปราณิดา ศยามานนท์ 

ผู้จัดการคลัสเตอร์บริการ

Economic Intelligence Center (EIC)

ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

alivesonline.com : ภาพรวมธุรกิจค้าปลีกสินค้าร้านขายสินค้าอุปโภคบริโภค (Grocery) ในปี 2562 มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างช้า ๆ จากในปี 2561 ที่สภาวะตลาดชะลอตัวต่อเนื่องจากภาวะการจ้างงานและรายได้ที่ยังอ่อนแอ ขณะที่หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง แต่ในปี 2562 ตลาดจะค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้นโดยคาดว่าจะขยายตัวราว 3-4% ตามการฟื้นตัวของการจ้างงานและรายได้ที่ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นรวมถึงปัจจัยสนับสนุนจากนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะจีนที่ยังเติบโต

การฟื้นตัวของกำลังซื้อยังกระจุกตัวเฉพาะบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางถึงสูงเป็นหลัก ขณะที่กลุ่มที่มีรายได้น้อยยังไม่ฟื้นตัวเนื่องจากราคาสินค้าเกษตรที่ยังอยู่ในระดับตํ่า อีกทั้งยังมีปัจจัยลบจากหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ปัจจัยที่ส่งผลต่อการฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีก Grocery ในระยะต่อไปคงต้องจับตามองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังเลือกตั้งซึ่งคาดว่ารัฐบาลชุดใหม่จะให้ความสำคัญกับการกระตุ้นการบริโภคเป็นอันดับต้น ๆ

แม้ว่าตลาดค้าปลีก Grocery จะฟื้นตัวอย่างช้า ๆ แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ยังคงขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นขยายร้านขนาดเล็กอย่างร้านสะดวกซื้อซึ่งยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก รวมถึงมองหาโอกาสในการขยายสาขาในต่างประเทศโดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV แนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวทั้งปรับรูปแบบสาขา รวมถึงเพิ่มความหลากหลายและสร้างความแตกต่างของสินค้าและบริการ ขณะเดียวกันการแข่งขันจากช่องทางออนไลน์ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวไปสู่ Omni channel โดยขยายตลาดออฟไลน์ควบคู่กับออนไลน์ด้วย รวมถึงนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการบริหารจัดการร้านค้าและทำการตลาด ตลอดจนการใช้ big data ในการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ

แนวโน้มธุรกิจค้าปลีก Grocery ปี 2562

ธุรกิจค้าปลีกสินค้า Grocery ในปี 2562 คาดว่าจะเติบโตราว 3-4% แต่ยังเป็นการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ จากสภาวะตลาดที่ซบเซาต่อเนื่องในปี 2561 จากการจ้างงานและรายได้ที่ยังอ่อนแอ ทั้งนี้ในปี 2562 ตลาดมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นแต่เป็นการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ เนื่องจากภาวการณ์จ้างงานและค่าจ้างแรงงานยังฟื้นตัวในอัตราที่ตํ่า รวมถึงรายได้ภาคเกษตรที่ยังอ่อนแอจากราคาสินค้าเกษตรที่ยังอยู่ในระดับตํ่า ส่งผลให้กำลังซื้อยังฟื้นตัวจำกัดแต่เฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางถึงสูง

หากดูภาพรวมการเติบโตของดัชนีค้าปลีกสินค้าไม่คงทนซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดภาวะตลาดค้าปลีกสินค้าหมวด Grocery จะพบว่า ในไตรมาส 4 ปี 2561 ยอดขายเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น โดยกลับมาขยายตัวเป็นบวกที่ 1.7% (YOY) จากในช่วง 9 เดือนแรกที่ติดลบ 0.9% (YOY) ขณะที่ดัชนีค้าปลีกหมวดห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ตขยายตัว 5.9% ในปี 2561

เมื่อดูการเติบโตของมูลค่าตลาดค้าปลีก Grocery ในปี 2561 ที่แบ่งตามประเภทร้านค้าจากข้อมูลของสมาคมค้าปลีกจะพบว่า ร้าน Grocery ประเภทซูเปอร์มาร์เก็ตมีแนวโน้มขยายตัวดีกว่ารูปแบบอื่น ๆ โดยเติบโต 6.5% เทียบกับร้านค้าประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อที่เติบโต 3% และ 3.4% ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากกำลังซื้อที่ยังฟื้นตัวจำกัดแต่เฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางถึงสูงซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของซูเปอร์มาร์เก็ต

สำหรับแนวโน้มปี 2562 ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (EIC) คาดการณ์ว่า มูลค่าตลาด Grocery มีแนวโน้มค่อย ๆ ฟื้นตัวดีขึ้น โดยอัตราการเติบโตจะอยู่ที่ราว 3-4% โดยปัจจัยสนับสนุนจะมาจากการจ้างงานและรายได้ที่ค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจีนที่มีการใช้จ่ายชอปปิงสูงยังเติบโตได้ต่อเนื่อง แต่ยังต้องจับตามองความเชื่อมั่นของผู้บริโภคซึ่งจะขึ้นกับปัจจัยด้านเสถียรภาพการเมืองเป็นหลัก รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจภายหลังเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่ารัฐบาลชุดใหม่จะเน้นกระตุ้นการบริโภค รวมถึงนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นตํ่าซึ่งจะทำให้กำลังซื้อปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ดี ราคาสินค้าเกษตรที่ยังไม่ฟื้นตัวและหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อ การฟื้นตัวของการบริโภคและจะส่งผลให้ธุรกิจค้าปลีกฟื้นตัวได้อย่างช้า ๆ

แม้ว่าแนวโน้มการบริโภคยังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ยังมีแผนขยายสาขาร้าน Grocery อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรูปแบบขนาดเล็กอย่างร้านสะดวกซื้อ ซึ่งยังมีโอกาสเพิ่มจำนวนได้อีกมาก สะท้อนจากความหนาแน่น (Penetration Rate) ของร้านสะดวกซื้อต่อประชากรที่ยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนักโดยในปัจจุบันอยู่ที่ราว 200 สาขาต่อประชากร 1 ล้านคน เทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่นที่ตลาดค่อนข้างอิ่มตัวแล้วมีสัดส่วนอยู่ที่ราว 700-800 สาขาต่อประชากร 1 ล้านคน สะท้อนถึงโอกาสในการขยายสาขาของร้านค้าปลีกขนาดเล็กที่ยังสามารถขยายได้อีกมากตามการขยายตัวของเมือง (Urbanization Rate)

ขณะที่โอกาสในการขยายสาขาร้านขนาดใหญ่อย่างไฮเปอร์มาร์เก็ตมีค่อนข้างจำกัดเนื่องจากสาขาร้านขนาดใหญ่ค่อนข้างครอบคลุมในทุกจังหวัดแล้วประกอบกับยังมีข้อจำกัดหลายด้านทั้งในแง่ของพื้นที่ขนาดใหญ่ที่หายากขึ้น รวมถึงข้อจำกัดด้านกฎระเบียบผังเมือง ส่งผลให้การขยายสาขาขนาดเล็กมีความคล่องตัวมากกว่า ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปโดยต้องการความสะดวกรวดเร็ว รวมถึงครอบครัวที่มีขนาดเล็กลงทำให้นิยมซื้อสินค้าจำนวนน้อยแต่ไปบ่อยขึ้น ส่งผลให้รูปแบบของร้านสะดวกซื้อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ได้ดีกว่า

การแข่งขันในธุรกิจค้าปลีก Grocery มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นและจะเกิดการแข่งขันข้าม Segment มากขึ้น โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการ Grocery มีการแข่งขันกันทั้งในการขยายสาขา รวมถึงการแข่งขันด้านราคาและเพิ่มความหลากหลายและสร้างความแตกต่างในสินค้า ส่งผลให้ยอดขายต่อสาขามีแนวโน้มลดลงโดยเฉพาะไฮเปอร์มาร์เก็ตที่ปรับตัวลดลงราว 3% ต่อปีในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ ยอดขายต่อสาขาของร้านขนาดเล็กลดลงไม่มากนัก ส่งผลให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังมุ่งขยายสาขาประเภทร้านสะดวกซื้อและซูเปอร์มาร์เก็ตเป็นหลัก

ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการยังมีการปรับตัวโดยพัฒนาสาขารูปแบบต่าง ๆ อย่าง เช่น การเพิ่มพื้นที่ของร้านสะดวกซื้อให้ใหญ่ขึ้นเพื่อสามารถเพิ่มรายการสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้น รวมถึงการเปิดสาขาที่เป็น Stand Alone โดยรูปแบบการขยายสาขาจะขึ้นกับแต่ละทำเล ส่งผลให้ร้าน Grocery รูปแบบต่าง ๆ ไม่เพียงแต่แข่งขันกันเองในรูปแบบเดียวกัน แต่จะเกิดการแข่งขันกับรูปแบบอื่น ๆ มากขึ้นอย่างเช่นร้านสะดวกซื้อจะแข่งกับซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ตด้วย

Mega Trend ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดค้าปลีก Grocery

แม้ว่าการเติบโตของช่องทางออนไลน์จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจค้าปลีกที่มีหน้าร้านโดยรวม แต่สำหรับร้าน Grocery จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าร้านประเภทอื่น ๆ ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์เทรนด์ของโลกเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในการซื้อสินค้า Grocery จะพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังนิยมซื้อสินค้า Grocery โดยเฉพาะอาหารสดจากร้านค้ามากกว่าช่องทางออนไลน์

จากข้อมูลผลสำรวจของ eMarketer ในปี 2561 พบว่า การซื้อสินค้า Grocery ของประเทศในเอเชียและยุโรป 10 ประเทศผ่านช่องทางออนไลน์ยังมีสัดส่วนไม่มากนักโดยเฉลี่ยอยู่ที่ราว 3.5% ของยอดขายออนไลน์โดยรวม นอกจากนี้ จากผลสำรวจของ Morgan Stanley เกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อสินค้า Grocery ผ่านช่องทางออนไลน์ใน 10 ประเทศทั่วโลกพบว่า สาเหตุสำคัญที่ผู้บริโภคไม่ซื้อสินค้า Grocery ผ่านช่องทางออนไลน์คือ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการไปเลือกซื้ออาหารสดด้วยตนเองและบางส่วนชื่นชอบการเดินเลือกซื้อสินค้า Grocery จากร้านค้า

สำหรับประเทศไทย EIC มองว่า ร้าน Grocery ยังไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากช่องทางออนไลน์มากนัก จากผลสำรวจของ EIC เกี่ยวกับพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ของผู้บริโภคพบว่า แม้คนไทยจะซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น แต่ยังไม่บ่อย โดย 83% ของผู้ตอบแบบสำรวจมีการซื้อสินค้าออนไลน์น้อยกว่า 2 ครั้งต่อเดือน

อย่างไรก็ดี การเติบโตของอี-คอมเมิร์ซในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้ผู้ประกอบการค้าปลีกส่วนใหญ่รวมถึงร้าน Grocery รายใหญ่ของไทยตื่นตัวและปรับตัวไปสู่ Omni Channel โดยให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์ควบคู่กับช่องทางออฟไลน์ ทั้งนี้แม้ว่ายอดขายออนไลน์ของผู้ประกอบการ Grocery รายใหญ่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แต่ยอดขายออนไลน์ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับยอดขายรวม โดยในปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่เพียงราว 2-3% ของยอดขายรวม แต่แนวโน้มคาดว่าน่าจะเติบโตสูงขึ้นในอนาคตและจะเป็นช่องทางยอดขายซึ่งกันและกันเนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการหาข้อมูลและซื้อสินค้าจากหลากหลายช่องทาง เช่น รูปแบบการซื้อสินค้าอย่าง Click and Collect รวมถึงการโปรโมทสินค้าผ่านช่องทางต่างๆ

จับตามองการพัฒนาโมเดลร้านค้า Grocery รูปแบบอื่น ๆ

ดิสเคาน์สโตร์ขนาดเล็กเป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นการชะลอตัวของตลาด Grocery ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรปที่ตลาดค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว แต่ยังมีรูปแบบของร้าน Grocery บางประเภทที่ยังเติบโตได้ค่อนข้างดีท่ามกลางภาวะตลาดที่ซบเซา ทั้งนี้จากกรณีศึกษาของประเทศอังกฤษพบว่า หากเปรียบเทียบยอดขายของร้าน Grocery รายใหญ่ ๆ จะพบว่าผู้เล่นรายใหญ่ที่มีรูปแบบร้านค้าอย่างไฮเปอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างเช่น Tesco Asda และ Sainsbury มียอดขายลดลง ขณะที่ ร้านดิสเคาน์สโตร์ขนาดเล็กอย่าง Aldi และ Lidl กลับมียอดขายเติบโตและมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น โดยกลยุทธ์สำคัญคือ การขายสินค้าในราคาที่ถูกกว่าร้านไฮเปอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปถึงราว 30-40% โดยรูปแบบร้านค้ามีขนาดไม่ใหญ่มากอยู่ที่ประมาณ 1,500 ตารางเมตรใกล้เคียงกับขนาดของซูเปอร์มาร์เก็ตและจำกัดจำนวนสินค้าในร้านอยูที่ราว 3,000 SKUs เทียบกับร้านทั่วไปที่มีสินค้ามากถึง 10,000-50,000 SKUs โดยจะเน้นขายสินค้าตราห้าง (Private brand) ซึ่งจะมีอัตรากำไรสูงกว่าสินค้าแบรนด์ทั่วไป ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้สามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนอกจากการขายสินค้า Private Brand ที่ทำให้ขายสินค้าโดยไม่ต้องผ่านตัวแทนจำหน่ายแล้ว ยังไม่มีต้นทุนในด้านการทำการตลาดมากเท่ากับร้าน Grocery ทั่วไป นอกจากนี้ รูปแบบการจัดร้านยังเป็นแบบเรียบง่าย อย่างเช่นการวางสินค้าที่อยู่ในลัง ทำให้ลดการจ้างพนักงานลงได้อีกด้วย

 

แม้ว่าดิสเคาน์สโตร์ขนาดเล็กในไทยอาจยังไม่แพร่หลายมากนัก แต่เป็นอีกโมเดลที่น่าสนใจและน่าจะตอบโจทย์โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด

ในปัจจุบันภาวะการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงส่งผลให้ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายใหญ่ ๆ ยังคงมีการแข่งขันด้านราคาค่อนข้างมาก ผู้ประกอบการ Grocery รายใหญ่มีอำนาจต่อรองสูง อีกทั้งยังได้มีความร่วมมือกับผู้ผลิตในการพัฒนาสินค้า Private Brand มาจำหน่ายในร้านค้ามากขึ้น ทำให้สามารถขายสินค้าได้ในราคาที่ถูกกว่าสินค้า Company Brand ตามปกติถึงราว 20% ซึ่งนับว่าเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับดิสเคาน์สโตร์อยู่แล้ว

อย่างไรก็ดี พฤติกรรมของผู้บริโภคมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปจากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนทั้งการเข้าสู่สังคมสูงอายุและครอบครัวที่มีขนาดเล็กลงส่งผลให้ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมจากที่ซื้อสินค้าจำนวนมากหันมาซื้อสินค้าจำนวนน้อยลงแต่ซื้อบ่อยขึ้น ส่งผลให้รูปแบบร้านค้าอาจต้องปรับขนาดให้เล็กลง โดยเลือกรายการสินค้าบางรายการที่ขายดีและเน้นขายในราคาประหยัดซึ่งน่าจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ อีกทั้งยังขยายได้เร็วและสามารถเจาะตลาดโดยเฉพาะต่างจังหวัดได้เป็นอย่างดี

ในปัจจุบันการแข่งขันจากโมเดิร์นเทรดรายใหญ่ที่รุนแรงมากขึ้นส่งผลกระทบต่อร้าน Grocery ท้องถิ่นค่อนข้างมาก ผู้ประกอบการท้องถิ่นจึงมีการปรับตัวซึ่งโมเดลในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการท้องถิ่นหลายรายที่ยังแข่งขันได้ดีในตลาดค้าปลีก Grocery ก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับรูปแบบดิสเคาน์สโตร์ โดยจะเน้นขายสินค้าราคาประหยัดโดยมีการจับมือกับ ซัพพลายเออร์ในการพัฒนาสินค้า Private Brand รวมถึงการนำสินค้าแบรนด์เล็ก ๆ ที่มีราคาถูกกว่าแบรนด์ขนาดใหญ่ที่คนทั่วไปรู้จักซึ่งจะเป็นจุดขายสำคัญที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อน้อยได้เป็นอย่างดี

กลยุทธ์การแข่งขันของผู้ประกอบการจะเปลี่ยนไปอย่างไร?

ผู้ประกอบการยังเน้นกลยุทธ์การขยายสาขาหลากหลายรูปแบบ (Multi-Format) และปรับเปลี่ยนรูปแบบสาขารวมถึงการเพิ่มบริการที่หลากหลายให้ตอบโจทย์ความต้องการในแต่ละทำเล แม้ว่าสาขาร้าน Grocery ขนาดเล็กยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังมีการขยายสาขาหลากหลายรูปแบบรวมถึงมีการพัฒนารูปแบบสาขาให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละทำเลมากขึ้น

นอกจากนี้ การเพิ่มบริการที่หลากหลายภายในร้านนอกเหนือจากการขายสินค้าจะช่วยดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการมากขึ้นและยังช่วยให้สามารถแข่งขันกับร้านค้าออนไลน์ได้มากขึ้นด้วย ตัวอย่างเช่น บริการชำระเงิน บริการจุดรับสินค้าที่ซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ การให้บริการทางการเงิน (Banking Agent) รวมถึงโซนนั่งรับประทานอาหาร มุมกาแฟ เครื่องดื่มและเบเกอรี่

ทั้งนี้ Grocerant ซึ่งเป็นการนำเอาร้านอาหารเข้ามาไว้ภายใน Grocery Store มีแนวโน้มได้รับความนิยมมากขึ้น โดยบางแห่งจะมีจุดขายอยู่ที่การที่ลูกค้าสามารถเลือกสรรวัตถุดิบเองจากตู้แช่และนำมาให้ทางร้านปรุงให้ ทำให้มั่นใจในคุณภาพและความสดใหม่ของอาหาร นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่ไฮเปอร์มาร์เก็ตและซูเปอร์มาร์เก็ตเท่านั้น แม้แต่ร้านขนาดเล็กอย่างร้านสะดวกซื้อยังหันมาให้บริการพื้นที่นั่งทานอาหารสำหรับสาขาในบางทำเล ซึ่งสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการมากขึ้น

การแข่งขันจะเน้นไปที่การนำเอานวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ และตอบโจทย์การให้บริการกับลูกค้า ตลอดจนการบริหารจัดการร้านค้าและทำการตลาดผ่านช่องทางดิจิทัล ตัวอย่างเช่น การนำเทคโนโลยี Artificial Intelligence (AI) มาใช้ในการประมาณการยอดสั่งซื้อสินค้า รวมถึงใช้ในการติดตามความเคลื่อนไหวและพฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าเพื่อนำมากำหนดราคาและโปรโมชัน

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังอาจนำเอาโมบายคูปองมาใช้ร่วมด้วย โดยจะวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลการซื้อสินค้าของลูกค้าแต่ละรายเพื่อจัดส่งคูปองหรือโปรโมชันให้สอดคล้องกับพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของลูกค้าเป็นรายบุคคล นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังได้นำเอาเทคโนโลยีการชำระเงิน Self-Check Out มาใช้และคาดว่าจะพัฒนาไปสู่รูปแบบใหม่ ๆ ดังเช่นเทรนด์ในต่างประเทศ อาทิ Kroger และ Walmart ที่ใช้ระบบ Scan and Go โดยลูกค้าสามารถใช้แอปพลิเคชันในมือถือมาสแกนราคาและชำระเงินได้เลยขณะที่ Amazon Go พัฒนาไปถึงขั้นที่ลูกค้าเลือกซื้อสินค้าและสามารถเดินผ่านจุดชำระเงินได้โดยไม่ต้องหยิบสินค้าออกจากรถเข็น ซึ่งเทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้นอกจากจะช่วยในการบริหารจัดการร้านค้าแล้ว ยังมีส่วนช่วยในการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคที่จะได้รับความสะดวกและสนุกกับการชอปปิงมากขึ้นอีกด้วย

โดยสรุปภาพรวมธุรกิจค้าปลีก Grocery มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นแม้ว่าแรงกระตุ้นการบริโภคในประเทศยังไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่โอกาสในการขยายสาขาร้าน Grocery ของไทยยังมีอีกมาก โดยเฉพาะรูปแบบขนาดเล็กที่สอดรับกับพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ขณะเดียวกัน แนวโน้มการแข่งขันจะรุนแรงมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันผู้ประกอบการได้มีการปรับตัวหลายด้านทั้งการพัฒนารูปแบบร้านค้า การเพิ่มความหลากหลายนำเอาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาช่องทางออนไลน์ควบคู่ไปด้วยซึ่งน่าจะช่วยเสริมให้ธุรกิจค้าปลีก Grocery ยังเติบโตได้ต่อเนื่องในระยะ 1-2 ปีข้างหน้า.

 

UNHCR เปิดตัวแคมเปญระดับโลก “2 พันล้านกิโลเมตรเพื่อผู้ลี้ภัย”

 

alivesonline.com : สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) เปิดตัวแคมเปญระดับโลกครั้งแรกในประเทศไทย “2 พันล้านกิโลเมตรเพื่อผู้ลี้ภัย” 16 มิ.ย.62 เชิญชวนคนไทยร่วมสะสมระยะทางเทียบเท่ากับการเดินทางของผู้ลี้ภัยในแต่ละปี ส่งเสริมให้ทุกคนสนับสนุนผู้ลี้ภัยโดยกิจกรรมที่ทำได้ด้วยตนเองเพื่อแสดงพลังแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน กิจกรรมดังกล่าวเมื่อนำมารวมกันจะสะท้อนความเข้มแข็ง และกล้าหาญของผู้ลี้ภัย

นายจูเซ็ปเป้ เด วินเซ็นทีส ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า จากสถิติของ UNHCR พบว่าผู้ลี้ภัยทั่วโลกเดินทางเป็นระยะทางรวมกัน 2 พันล้านกิโลเมตร เพื่อแสวงหาที่พักพิงที่ปลอดภัย ในปี 2559 ชาวโรฮิงญาต้องเดินทาง 80 กิโลเมตรกว่าจะถึงบังกลาเทศ ผู้ลี้ภัยชาวซีเรียเดินทาง 240 กิโลเมตรเพื่อพักพิงในตุรกี หรือชาวซูดานใต้ต้องเดินทาง 640 กิโลเมตรเพื่อหาที่ปลอดภัยในประเทศเคนยา

แคมเปญ “2 พันล้านกิโลเมตรเพื่อผู้ลี้ภัย” จึงขอเชิญชวนคนไทย ร่วมสะสมระยะทางเดิน วิ่ง และปั่นเพื่อให้ได้ระยะทาง 2 พันล้านกิโลเมตรผ่านแอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ www.unhcr.or.th ซึ่งจะนำระยะทางที่ได้รับจากคนไทย ไปรวบรวมกับระยะทางของคนทั่วโลกให้ครบตามเป้าหมาย

“การเดิน วิ่ง และปั่น เป็นการออกกำลังกายที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในประเทศไทย พวกเราทุกคนและคุณสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ จากสิ่งที่เราทำอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ในเวลาที่โลกเผชิญกับการพลัดถิ่นครั้งยิ่งใหญ่ เราต้องย้ำเตือนตัวเองถึงการเดินทางที่อันตรายที่เกิดขึ้นจริงกับเพื่อนมนุษย์ของเรา”

นายจูเซ็ปเป้ กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 27 ประเทศทั่วโลกจากแอฟริกา เอเชีย อเมริกากลาง และอเมริกาเหนือ ยุโรป และตะวันออกกลาง รวมถึงผู้มีชื่อเสียงระดับโลก ผู้ลี้ภัย และเจ้าหน้าที่ของ UNHCR ร่วมผลักดันการเคลื่อนไหวทางสังคมครั้งยิ่งใหญ่นี้ โดย UNHCR ประจำประเทศไทย ได้จัดงานวิ่งการกุศลงานแรกของแคมเปญ “2 พันล้านกิโลเมตรเพื่อผู้ลี้ภัย” ในประเทศไทย วันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน 2562 บริเวณรอบอาคารสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก ในระยะทาง 5 และ 10 กิโลเมตร และงานวิ่งในครั้งนี้ได้จัดขึ้นเพื่อเป็นการระลึกถึงวันผู้ลี้ภัยโลกที่จะมาถึงในวันที่ 20 มิถุนายน 2562 ด้วย

ด้าน นางสาวไปรยา ลุนด์เบิร์ก ทูตสันถวไมตรี สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ผู้ลี้ภัยไม่มีทางเลือกนอกจากออกเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตรายเพื่อหาที่พักพิงที่ปลอดภัยเพื่อรักษาชีวิตของตนและคนที่เขารัก โดย ปู จะร่วมวิ่งกับทุกคนในงานวิ่งการกุศล 2 พันล้านกิโลเมตรเพื่อผู้ลี้ภัย จึงขอเชิญชวนทุกคนให้ร่วมสะสมระยะทางที่คุณเดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน กับ UNHCR เพื่อแสดงพลังแห่งความห่วงใยจากประเทศไทยในการยืนหยัดเคียงข้างผู้ลี้ภัยทั่วโลกไปด้วยกัน

สำหรับบัตรงานวิ่งการกุศลแคมเปญ “2 พันล้านกิโลเมตรเพื่อผู้ลี้ภัย” จำหน่ายในราคา 550 และ 1,000 บาท ผ่านเว็บไซต์ www.unhcr.or.th โดยเงินบริจาคทั้งหมดจะนำไปให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทั่วโลกให้ได้รับความคุ้มครองและมีน้ำสะอาด ที่พักพิง ยารักษาโรค และการเยียวยาจิตใจเพื่อให้ผู้ลี้ภัยได้มีชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป

อนึ่ง ตลอดทั้งปี 2562 UNHCR มีพันธมิตรร่วมจัดงานเดิน วิ่ง ปั่น โดยมีเป้าหมายของประเทศไทยที่จะรวบรวมระยะทางให้ได้ 1 ล้านกิโลเมตร ดังนี้

  • 2 มิถุนายน : One Siam One Run
  • 8 – 9 มิถุนายน : ลากูน่า ภูเก็ต มาราธอน 2562
  • 9 มิถุนายน : Hua Hin – Classic Run Ultra Half Marathon
  • 16 มิถุนายน : งานวิ่งการกุศล “2 พันล้านกิโลเมตรเพื่อผู้ลี้ภัย”
  • กันยายน : งานวิ่งโดยโรงเรียนนานาชาติ ISB
  • 8 กันยายน : River Kwai International Half Marathon 2019
  • 27 ตุลาคม : Bangkok International Run

ทั้งนี้ UNHCR ขอขอบคุณ แบรนด์ “อาริ” ที่ให้ความสนับสนุนทั้งแคมเปญ และงานวิ่งการกุศล “2 พันล้านกิโลเมตรเพื่อผู้ลี้ภัย”

ทุกระยะทางของคุณมีค่าและสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เพื่อนมนุษย์ได้ ร่วมสะสมระยะทางกับ UNHCR ได้ที่ www.unhcr.or.th #WithRefugees  #StepwithRefugees

 

“เอ็กซ์โปลิงค์ฯ” จัดงานใหญ่ดันไทยเป็นฮับโลจิสติกส์

alivesonline.com : “เอ็กซ์โปลิงค์ฯ” ผู้จัดงาน Intelligent Warehouse งานแสดงเทคโนโลยีด้านโลจิสติกส์ คลังสินค้า และระบบจัดการ ผนึกกำลัง “ยูโร เอ็กซ์โป” และ “เมสเซ่ สตุ๊ตการ์ท” ผู้จัดงาน LogiMAT งานด้านอินทราโลจิสติกส์ระดับโลกจากประเทศเยอรมนี ร่วมกันจัดงาน “LogiMAT-Intelligent Warehouse” เพื่อขยายงานแสดงสินค้าด้านโลจิสติกส์ของไทยให้เป็นงานระดับโลก ดึงผู้เข้าร่วมงานจากระดับนานาชาติ ตั้งเป้าให้งานเป็นศูนย์กลางของตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายภูษิต ศศิธรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็กซ์โปลิงค์ โกลบอล เน็ทเวอร์ค จำกัด ผู้นำตลาดด้านจัดงานแสดงนิทรรศการและการประชุมระดับนานาชาติของประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการที่บริษัทฯ ได้ร่วมกับ ชมรมเทคโนโลยีคลังสินค้าและระบบจัดการ จัดงาน “Intelligent Warehouse” ในทุก 2 ปี ซึ่งเป็นงานนิทรรศการแห่งนวัตกรรมระบบคลังสินค้าและการจัดการคลังสินค้าในอนาคตด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยตั้งแต่ปี 2558 มีผู้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าทั่วโลกกว่า 50 ราย โดยในปี 2562 ถือเป็นการจัดงานครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 24-27 กรกฏาคม 2562 ณ อิมแพ็ค ฮอลล์ 5 เมืองทองธานี

บริษัทฯ ได้ร่วมกับ“ยูโร เอ็กซ์โป” และ “เมสเซ่ สตุ๊ตการ์ท” ผู้จัดงาน “LOGIMAT” งานด้านอินทราโลจิสติกส์ระดับโลกจากประเทศเยอรมนี ร่วมกันจัดงาน “LogiMAT-Intelligent Warehouse” โดยจะใช้ความเชี่ยวชาญและเครือข่ายระดับนานาชาติเพื่อเพิ่มศักยภาพและความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจจัดงานแสดงสินค้าได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้เข้าแสดงสินค้าและผู้เข้าชมงานที่ต้องการผู้บริหารอย่างมืออาชีพเป็นที่ยอมรับของตลาดในระดับโลก โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าให้งาน “LogiMAT-Intelligent Warehouse” เป็นงานนิทรรศการทางด้านอินทราโลจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

นายภูษิต กล่าวว่า “ยูโร เอ็กซ์โป” เป็นบริษัทจัดงาน “LogiMAT” งานแสดงสินค้าระหว่างประเทศสำหรับการแก้ไขปัญหากระบวนการโลจิสติกส์ภายในโรงงาน (Intralogistics) และระบบการจัดการ (Process Management) ซึ่งจัดขึ้นตั้งปี 2003 ที่เมืองสตุ๊กการ์ด ประเทศเยอรมัน และมีประสบการณ์การจัดงานมากว่า 16 ปี ซึ่งการร่วมมือในครั้งนี้คาดว่าจะเปิดโอกาสให้บริษัทจากต่างชาติเข้ามาเปิดตลาดในไทย สร้างเครือข่ายจากวงการโลจิสติกส์จากทั่วโลกและส่งเสริมการลงทุนในประเทศกลุ่มอาเซียนมากยิ่งขึ้น

ส่วน “เมสเซ่ สตุ๊ตการ์ท” เป็นศูนย์แสดงนิทรรศการในเมืองสตุ๊ตการ์ท ประเทศเยอรมนี และเป็นศูนย์แสดงสินค้าที่ใหญ่ที่สุดอันดับเก้าในประเทศเยอรมนี โดยการผนึกกำลังในครั้งนี้ “เมสเซ่ สตุ๊ตการ์ท” ร่วมกับ “ยูโร เอ็กซ์โป” ในการจับมือกับบริษัท บริษัท เอ็กซ์โปลิงค์ โกลบอล เน็ทเวอร์ค จำกัด เพื่อจัดงาน “LogiMAT-Intelligent Warehouse” ในปี 2563

นายภูษิต กล่าวอีกว่า จากความร่วมมือทางธุรกิจในครั้งนี้ถือเป็นการเชื่อมโยงทางด้านเทคโนโลยีการเพิ่มศักยภาพและสร้างเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น รวมถึงแนะนำให้คนต่างชาติเดินทางเข้ามาร่วมงานแสดงสินค้าในประเทศไทย ถือเป็นการสร้างรายได้เข้าประเทศอีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นการผลักดันธุรกิจการแสดงสินค้าของไทยให้มีความคึกคักมากยิ่งขึ้น

งาน  “LogiMAT-Intelligent Warehouse” จะประกอบไปด้วยผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น Warehousing, Intra-logistic, Supply Chain, Material Handling Storage, Cold Chain โดยผู้เข้าร่วมงานคือกลุ่มผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจทางด้าน Retail, Process Manufacturing, Logistics/Freight, Government /Regular รวมไปถึงกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์

“บริษัทฯ ตั้งเป้าในการจัดงานด้วยพื้นที่กว่า 10,000 ตร.ม. โดยมีจำนวนบริษัทด้านโลจิสติกส์และคลังสินค้าที่มีนวัตกรรมจากทุกมุมโลกซึ่งคาดว่าจะสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางและเป็นผู้นำตลาดทางด้านโลจิสติกส์ของตลาดเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2563” นายภูษิต กล่าวในตอนท้าย

นางนิชาภา ยศวีร์ รองผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ “ทีเส็บ” กล่าวว่า การร่วมมือของ “เอ็กซ์โปลิงค์ฯ” , “ยูโร เอ็กซ์โป และ “เมสเซ่ สตุ๊ตการ์ท” เพื่อจัดงานแสดงสินค้าตัวใหม่ “LogiMAT Intelligent Warehouse” ในเดือนพฤษภาคมปี 2563 สะท้อนให้เห็นความเชื่อมั่นในประเทศไทยของผู้จัดงานงานแสดงสินค้าโลจิสติกส์ชั้นนำของโลกจากเยอรมนี ทั้งยังบ่งชี้ให้เห็นความมุ่งมั่นของผู้จัดงานชาวไทยในการยกระดับสู่ตลาดโลก โดย “ทีเส็บ” มีความภูมิใจที่ได้มีโอกาสสวมบทบาทเป็นผู้ร่วมผลักดันการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างประเทศในครั้งนี้และเชื่อมั่นว่างาน “LogiMAT Intelligent Warehouse” จะเป็นเวทีช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ซึ่งเป็น 1 ใน 10 อุตสาหกรรมหลักของนโยบาย 4.0 ให้ก้าวไกลไต่ระดับความสำเร็จบนพื้นฐานของความยั่งยืนต่อไปและทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของอาเซียน

“สมาร์ทคอนกรีต” เผยอากาศร้อนเอื้อผลประกอบการ Q2

alivesonline.com : SMART โชว์ผลประกอบการ Q1/62 กำไรสุทธิ 2.717 ล้านบาท รายได้รวม 107.198 ล้านบาท เผยไตรมาส 2 ธุรกิจฟอร์มดีต่อเนื่อง สภาพอากาศร้อนหนุนความต้องการวัสดุลดความร้อนและประหยัดพลังงาน ด้านสินค้าอิฐมวลเบาโครงสร้าง-ตกแต่งกระแสตอบรับดี ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชนทยอยลงทุนเปิดโครงการใหม่ ชูกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้า เพิ่มช่องทางจำหน่ายทุกรูปแบบทั้งในและต่างประเทศ

นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) หรือ SMART ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานกั้นผนังอาคาร เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวม 107.198 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 88.447  ล้านบาท จำนวน 18.751 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น  21.20 % และมีกำไรสุทธิ 2.717 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 8.058 ล้านบาท

ผลประกอบการของบริษัทฯ ที่มีการปรับตัวดีขึ้นและสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ เนื่องจากปริมาณความต้องการวัสดุอิฐมวลเบาของโครงการภาครัฐและเอกชน รวมถึงราคาจำหน่ายอิฐมวลเบามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้น

สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/62 คาดว่าจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสภาพอากาศร้อน ส่งผลให้ปริมาณวัสดุลดความร้อนและประหยัดพลังงานมีความต้องการเพิ่มขึ้น อีกทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชน ทั้งแนวราบและแนวสูง ทยอยเปิดโครงการต่อเนื่อง โดยในส่วนของงานภาครัฐ บริษัทฯ ยังคงได้รับงานขนาดกลางที่มีการลงทุน อาทิ โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน สถานศึกษนอกจากนี้ยังได้ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในประเทศทุกช่องทาง อาทิ โมเดิร์นเทรด ตลอดจนเพิ่มตัวแทนจำหน่ายร้านค้าวัสดุก่อสร้างเพื่อกระจายสินค้าเข้าสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้เพิ่มขึ้น

ขณะที่ตลาดต่างประเทศในกลุ่ม AEC ปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อจากดีลเลอร์ในประเทศกัมพูชาและลาวต่อเนื่อง โดยนำสินค้าเข้าไปใช้กับงานโครงการต่าง ๆ และนำสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายในร้านขายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างขนาดใหญ่ โดยในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 400 ล้านบาท เติบโตอย่างน้อย 10% และคาดว่าจะเริ่มกลับมามีกำไรสุทธิและล้างขาดทุนสะสมภายในปี 2562 โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากงานภาครัฐ 28 % ภาคเอกชน 70 % และต่างประเทศ 2 %

ATP30 เร่งเดินหน้าเจรจาลูกค้าใหม่

alivesonline.com : ATP30 อวดงบไตรมาสแรก รายได้ 113.45 ล้านบาท กำไรโต 16.02% คาดทำนิวไฮต่อเนื่องทั้งปี หลังปลดค่าเสื่อมรถปี 61 จำนวน 20 คัน สร้างพื้นฐานใหม่ ตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 25% ตอกย้ำรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% หรือ 465 ล้านบาท เผยไตรมาส 2 แนวโน้มดี พร้อมเดินหน้าพัฒนาระบบการเดินรถ บุคลากร ควบคุมต้นทุนต่อเนื่อง

นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30 ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการรถรับส่งพนักงานจากแหล่งที่พักอาศัยในเขตชุมชนไปยังโรงงานอุตสาหกรรม หรือสถานประกอบการโดยเฉพาะรอบเขตนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก (Eastern Seaboard) เปิดเผยถึงผลประกอบการงวดไตรมาส 1 ปี 2562 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 113.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 100.95 ล้านบาท จำนวน 12.50 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 12.38 % และมีกำไรสุทธิ 12.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10.49 ล้านบาท จำนวน 1.68 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16.02%

ผลประกอบการของบริษัทฯ ที่ปรับตัวดีขึ้นมาจากการให้บริการเดินรถโดยสารรับส่งบุคลากรลูกค้ารายใหม่ นอกจากนี้ยังได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงและการควบคุมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับรถให้อยู่ในระดับคงที่ จึงคาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2562 จะสามารถทำนิวไฮต่อเนื่องทั้งปี จากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยหลักมาจากรถที่หมดค่าเสื่อมในปี 2561 จำนวน 20 คัน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานใหม่ของอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ไม่ต่ำกว่า 25% ขณะที่รายได้รวมในปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ไม่ต่ำกว่า 10-15% หรือ 465 ล้านบาท

สำหรับแนวโน้มธุรกิจของบริษัทฯ ในช่วงไตรมาส 2 คาดว่าจะสามารถขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่องจากการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากลูกค้าใหม่ ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าเจรจากับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ จะยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาระบบบริหารจัดการการเดินรถให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร เพื่อรักษาคุณภาพในการให้บริการอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบริหารจัดการต้นทุนในด้านต่าง ๆ อย่างเหมาะสม

“ไวส์ โลจิสติกส์” ขยายไลน์บริการธุรกิจส่งสินค้าแช่แข็ง

alivesonline.com : WICE เผยงบ Q1/62 รายได้ 482.97 ล้านบาท เติบโต 24.74% เดินหน้าปั้นมาร์จิ้นโต 20% ชูกลยุทธ์ปรับลดต้นทุน เล็งเปิดสาขาใหม่ในเซินเจิ้น รับรู้รายได้เข้าทันที มั่นใจ Q2 ธุรกิจขยายตัวดี เผยงานโลจิสติกส์เริ่มเข้าไฮซีซั่น รวมถึงงานขนส่งข้ามแดนมีปริมาณงานเพิ่ม ลงทุนสั่งตู้ Double Rack รับสินค้าแบบไม่เต็มตู้ ลุยเปิดตลาดใหม่ รับส่งสินค้าแช่แข็งเพิ่มรายได้ ตั้งเป้ารายได้ทั้งปีทำนิวไฮที่ 25%

นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1/62 บริษัทฯ มีรายได้รวม 482.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 387.18 ล้านบาท จำนวน 95.79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.74 % และมีกำไรสุทธิ 11.65 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 18.61 ล้านบาท จำนวน 6.96 ล้านบาท หรือลดลง 37.40%

ส่วนช่วงไตรมาส 2/62 คาดว่าจะมีการปรับตัวดีขึ้นตามความต้องการใช้งานโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้นจากแนวโน้มการนำเข้าและส่งออกในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่ม Auto Part ซึ่งมีปริมาณงานเพิ่มมากขึ้น และเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นซึ่งจะยาวต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี โดยมั่นใจว่าตั้งแต่ไตรมาส 2/62 เป็นต้นไป บริษัทฯ จะเริ่มเห็นสัญญาณการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit  Margin) กลับสู่ภาวะปกติที่ระดับ 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 16% โดยบริษัทฯ เน้นกลยุทธ์ปรับลดต้นทุนด้านการขนส่งของ WICE Logistics (Hong Kong) Ltd. หรือ WICE HK ก่อน ทั้งการลดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและบริหารจัดการเส้นทางขนส่งให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมไปถึงป้องกันความเสี่ยงจากการขาดทุนของค่าเงิน

“ภายหลังจากการเปิดสำนักงานใหม่ที่เซินเจิ้น บริษัทฯ เตรียมรับรู้รายได้จาก WICE Logistics (Shenzhen) Company Ltd. หรือ WICE SZ เข้ามาในไตรมาส 2/62 ทันที หลังจากก่อนหน้านี้ WICE HK จัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับหุ้นส่วนชาวจีนและได้ทำสัญญากับบริษัท Universal Express Star Company Ltd. (UES) เพื่อซื้อธุรกิจทั้งหมดและโอนธุรกิจไปยัง WICE SZ  โดยรายได้เดิมที่ UES ทำไว้ประมาณปีละ120 ล้านบาท”

นายชูเดช กล่าวอีกว่า ในส่วนของธุรกิจคลังสินค้าในแหลมฉบังใช้พื้นที่ไปแล้วกว่า 70% ของพื้นที่รวม 1.7 หมื่นตารางเมตร ปัจจุบันบริษัทฯ เตรียมต่อสัญญาลูกค้าเดิมเพิ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นลูกค้าผู้ผลิตแผงโซล่าเซลล์และผู้ผลิตโรงงานกระจกรายใหญ่ เพื่อรับงานหาพื้นที่คลังสินค้าให้ลูกค้าและงานบริหารจัดการแบบ Onsite Service ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนในช่วงกลางปี 2562

ส่วนงานขนส่งข้ามชายแดน )Cross Border) ระหว่างประเทศจีน ฮ่องกง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามเส้นทาง One Belt One Road ของจีน โดยการบริหารงานของบริษัทร่วมทุน EUROASIA TOTAL LOGISTICS CO., LTD. (ETL) ปัจจุบันมีปริมาณงานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ ได้มีการลงทุนสั่งต่อตู้แบบต่อกันได้ (Double Rack) เพื่อรองรับสินค้าแบบไม่เต็มตู้ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการที่ต้องการขนส่งสินค้าจำนวนไม่มาก โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในกลางปี 2562 อีกทั้งได้เริ่มเปิดตลาดใหม่ในการรับขนส่งสินค้าประเภทแช่แข็งเพื่อเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่งด้วย

“บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าการชะลอตัวของผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1/62 จะไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการเติบโต เนื่องจากเป็นผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น จึงมั่นใจว่ารายได้รวมทั้งปี 2562 จะเติบโตเป็นไปตามเป้าหมายที่ 25% ถือเป็นการสร้างสถิติการเติบโตสูงสุดต่อเนื่อง โดยปัจจัยสนับสนุนมาจากกลยุทธ์ขยายธุรกิจแบบออร์แกนิกจากปริมาณงานบริการทุกประเภทและการเติบโตแบบ Inorganic จากการที่บริษัทฯ ลงทุนขยายโครงข่ายไปทั่วเอเชีย โดยในปี 2562 จะเป็นปีที่บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากการดำเนินงานของทุกสาขาเข้ามาเต็มปี โดยยังไม่นับรวมบริษัทร่วมทุน WICE SZ

“ควิกแสบ” หนุนนักศึกษาไทย โชว์ศักยภาพคนรุ่นใหม่

alivesonline.com : “ควิกแสบ” บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสำหรับคนพันธุ์แสบ ร่วมโครงการ “U Power Digital Idea Challenge Season 3” คัดไอเดียเด็ดนักศึกษาร่วมเวิร์คชอปแผนธุรกิจที่ใช้ได้จริง พร้อมทดลองลงมือทำกิจกรรมจริง ชิงทุนการศึกษารวมกว่า 1,500,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตรและถ้วยรางวัลจากนายกรัฐมนตรี

นายยศสรัล แต้มคงคา (กลาง) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด

นายยศสรัล แต้มคงคา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “ควิกแสบ” เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับเกียรติจาก กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงศึกษาธิการ และสมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย ในการเข้าร่วมโครงการ “U Power Digital Idea Challenge Season 3” เวทีการประกวดแผนการตลาดดิจิทัล ระดับทีมอุดมศึกษา เพื่อค้นหาสุดยอดนักสร้างสรรค์แผนการตลาดที่สามารถผนึก Digital Technology โดยจะมีโจทย์ในการแข่งขันจากหลากหลายบริษัทชั้นนำต่าง ๆ เพื่อให้นักศึกษา พัฒนาความคิดอย่างไรขีดจำกัด เกิดเป็นแผนธุรกิจที่ใช้ได้จริง พร้อมทดลองลงมือทำกิจกรรมจริง เพื่อชิงทุนการศึกษารวมกว่า 1,500,000 บาท พร้อมประกาศนียบัตรและถ้วยรางวัลจากนายกรัฐมนตรี โดยได้เข้าร่วมในฐานะผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ (Official Partner Sponsor) และเป็นหนึ่งในโจทย์ของการแข่งขันซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญในการร่วมพัฒนาศักยภาพนิสิตนักศึกษา เพื่อสร้างสรรค์ผลงานผ่านการประมวลในรูปแบบ Digital Marketing Plan ในฐานะเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่อยู่ในใจผู้บริโภคมากอย่างยาวนาน

บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป “ควิกแสบ” เป็นแบรนด์ที่ได้รับการตอบรับจากน้อง ๆ นักศึกษาอย่างดียิ่งเสมอมา บริษัทฯ จึงมีนโยบายในการสร้างความผูกพันอย่างใกล้ชิดระหว่างแบรนด์และนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมาย Young at Heart สำคัญของแบรนด์ จึงเป็นโอกาสดีที่บริษัทฯ ได้มาเข้าร่วมเฟ้นหาสุดยอดนักสร้างสรรค์แผนการตลาดมือดีในโครงการนี้ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญที่น้อง ๆ จะได้มาเรียนรู้แนวทางในการทำธุรกิจ การตลาดที่ถูกต้องชัดเจนและยังได้ทดลองปฏิบัติจริงตามแผนที่ทำ

“ควิกแสบ ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญเพื่อจุดประกายความคิดให้แก่ทีมน้อง ๆ ที่เลือกโจทย์ควิกแสบ ผ่านการเวิร์คชอปอย่างใกล้ชิด และมีโอกาสร่วมแสดงความคิดเห็นให้พวกเขาได้แสดงออกและเพิ่มแรงบันดาลใจเพื่อให้น้อง ๆ แต่ละทีมสามารถสร้างแผนงานได้อย่างมีคุณภาพ โดยระหว่างการเวิร์คชอป เรายังได้ผลักดันให้น้อง ๆ ได้พัฒนาศักยภาพของของตนเองเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติจริง ซึ่งจะสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับนิสิตนักศึกษามากกว่าการเรียนรู้แต่ในห้องเรียน โดยสิ่งหนึ่งที่เราคาดหวังจากการร่วมโครงการนี้คือ การสร้างความผูกพันอย่างใกล้ชิดระหว่างแบรนด์กับน้อง ๆ และการเข้าใจอันดีทีมีต่อแบรนด์ อีกทั้งเรายังต้องการสร้าง Brand Awareness และ Brand Engagement ผ่านการจัดกิจกรรมการแข่งขันในครั้งนี้ด้วย”

นายยศสรัล กล่าวในตอนท้ายว่า แบรนด์ “ควิกแสบ” ถือเป็นสินค้าในกลุ่มธุรกิจ FMCG ซึ่งเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะต้องใช้ในชีวิตประจำวัน การแข่งขันทางการตลาดจึงค่อนข้างขับเคี่ยวอย่างดุเดือด บางสินค้ามีอัตราการเติบโตที่ก้าวกระโดด บางสินค้ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นการสร้างสรรค์แผนการตลาดที่ตอบโจทย์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงค่านิยมและเทรนด์ที่หลากหลายของคนไทยจึงมีความแตกต่างจากเดิมตามยุคสมัย ซึ่งบางครั้งทฤษฎีในห้องเรียนอาจจะต้องนำมาปรับประยุกต์ใช้กับตลาดการแข่งขันในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นการเข้าร่วมกิจกรรมนี้จะมีประโยชน์ต่อน้อง ๆ ในการสร้างสรรค์ผลงาน จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นการจำลองการทำแผนทางการตลาดที่เกิดขึ้นจริงและเราเชื่อว่าโครงการนี้จะเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญในการสร้างนักวางแผนการตลาดที่ดีให้กับวงการการตลาดประเทศไทยในอนาคต

นางสาวอลิสษา ทองขาว (ขวา) ผู้จัดการฝ่ายการตลาด (บริหารผลิตภัณฑ์) บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด

ทางด้าน นางสาวอลิสษา ทองขาว ผู้จัดการฝ่ายการตลาด (บริหารผลิตภัณฑ์) บริษัท โรงงานผลิตภัณฑ์อาหารไทย จำกัด กล่าวเสริมว่า ในการแข่งขันครั้งนี้มีน้อง ๆ เลือกทำโจทย์ของแบรนด์ “ควิกแสบ” มากถึง 343 ทีม โดยมีเพียง 12 ทีมเท่านั้นที่ผ่านการคัดเลือกให้ได้ทำโจทย์ของเราและมาร่วมเวิร์คชอปกับเรา เพื่อให้เข้าใจถึงผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ “ควิกแสบ” ซึ่งน้อง ๆ เหล่านี้จะได้เข้ามาศึกษาการทำการตลาด โดยนำไอเดียใหม่ ๆ ครีเอทออกมาเป็นแคมเปญของควิกแสบ เพื่อตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์และตรงใจกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด อาจกล่าวได้ว่า เราให้ผู้บริโภคตัวจริงมาสร้างสรรค์ผลงานเพื่อตอบโจทย์ และเข้าถึงใจกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์อย่างแท้จริง

สำหรับโจทย์การแข่งขันที่ “ควิกแสบ” ตั้งไว้ เราจะให้ออกแบบแผน Mass Promotion ผ่านแผนดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง โดยเจาะกลุ่มลูกค้าโมเดิร์นเทรดโดยใช้หลัก Think Out Of The Box ที่แสบแบบไม่จำเจ โดยจะวัดผลงานที่ใกล้เคียง หรือสามารถนำมาปรับใช้ได้จริง รวมถึงไอเดียที่ใส่ลงไปในการสร้างสรรค์ผลงาน เพราะการครีเอท Mass Promotion ผ่านแผนดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง โดยเจาะกลุ่มช่องทางโมเดิร์นเทรด ไม่ใช่เพียงการสร้างสรรค์คอนเทนต์ของการทำไวรัลเพียงเท่านั้น แต่ต้อง Research Mechanic ของการทำ Mass Promotion ที่น่าสนใจและทันสมัยอีกด้วย”

Healthy Black Coffee ชั้นดีจาก “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่”

“Gloria Jean’s Coffees” (กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่) Coffee House ชั้นดีที่มีต้นกำเนิดจากประเทศออสเตรเลีย ขอแนะนำเมนูใหม่ เอาใจคนรักกาแฟที่ใส่ใจสุขภาพกับ “Iced Coffee Yuzu Soda” (ไอซ์ คอฟฟี่ ยูซุ โซดา) Healthy Black Coffee ที่ผสานความสดชื่นและคุณค่าของวิตามินซีและไฟเบอร์สูงจากยูซุ (Yuzu) สายพันธุ์ดีจากญี่ปุ่น เพิ่มความซาบซ่าด้วยโซดา Ontop ด้วย Black Coffee จากกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าแท้ 100% สูตรพิเศษจาก “กลอเรีย จีนส์” ที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวา ทั้งช่วยต้านอนุมูลอิสระ และช่วยต้านสารพิษที่เกิดจากภายในและภายนอกร่างกาย อีกทั้งให้ความหอมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว กับคุณภาพเกรดพรีเมี่ยมมาตรฐานระดับโลก เหมาะกับผู้ที่รักสุขภาพเป็นอย่างยิ่ง

“Iced Coffee Yuzu Soda” (ไอซ์ คอฟฟี่ ยูซุ โซดา) ขนาด 16 ออนซ์ (Regular Size) ราคาเพียง 89 บาท กับรสชาติที่เข้ากันอย่างลงตัว ของความเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นกาแฟ…สดชื่นทุกครั้งที่ได้สัมผัส จนต้องบอกลารสชาติเดิม ๆ ของ Black Coffee ที่คุณเคยลอง

สัมผัสประสบการณ์ใหม่กับเครื่องดื่ม “Iced Coffee Yuzu Soda” ได้แล้ววันนี้ที่ “กลอเรีย จีนส์ คอฟฟี่” ทุกสาขา (Gloria Jean’s Coffees, Number 1 Coffee House from Australia) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.09 8936 9891 หรือคลิก FB : Gloria Jean’s Coffees Thailand

เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ “เชนไดร้ท์ โฟม”

นายสิริณัฏฐ์ ชญาน์นันท์ กรรมการผู้จัดการ นายนรินทร์ ตรีสุโกศล ผู้ช่วยรองกรรมการผู้จัดการสายพาณิชย์ และคณะผู้บริหาร บริษัท เชอร์วู้ด คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ร่วมเปิดตัวนวัตกรรมใหม่! “เชนไดร์ท์ โฟม” สเปรย์โฟมเจ้าแรกและเจ้าเดียวในเมืองไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำในกลุ่มผลิตภัณฑ์สเปรย์กำจัดปลวก ด้วยจุดเด่น “เชนไดร้ท์ โฟม” คือ เป็นสินค้ากำจัดปลวกด้วยตัวโฟมที่มีสารฟิโพรนิล เมื่อปลวกได้รับสารตัวนี้ติดตัวไปและจะส่งผลต่อตัวอื่น ๆ ซอกซอนลึกได้ทุกพื้นที่และไม่ทิ้งคราบ พร้อมรุกแผนกลยุทธ์การตลาดอย่างครบวงจร โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่ป้องกัน-กำจัดปลวกและแมลงด้วยตัวเอง รวมถึงกลุ่มช่างที่ต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ในการกำจัดปลวกให้กับลูกบ้าน

CEO ยอดเยี่ยมปี 2019

ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ (ซ้าย) ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KTBST คว้ารางวัล “CEO of the Year” หรือ “ผู้บริหารสูงสุดยอดเยี่ยมแห่งปี 2019” ของประเทศไทย จาก Asia Asset Management วารสารด้านการลงทุนชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย ณ โรงแรมมารีน่า เบย์ แซนด์ส ประเทศสิงค์โปร์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงถึงศักยภาพของ ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ และทีมผู้บริหารของ KTBST ที่บริหารงานและขยายธุรกิจการให้บริการด้านการเงินและการลงทุน นอกเหนือจากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ เช่น ธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง กองทุนรวม กองทุนส่วนบุคคล วาณิชธนกิจ และการลงทุนในต่างประเทศ ส่งผลให้ KTBST พลิกกลับมามีผลประกอบการเป็นกำไรในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังสามารถสร้างผลกำไรเติบโตโดดเด่นและมีสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยังได้พัฒนาเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าในหลายด้าน ขณะเดียวกันยังได้ขยายธุรกิจจัดตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วี จำกัด และบริษัท เคทีบีเอสที รีท แมเนจเมนท์ จำกัด (KTBST REIT) เพื่อเป็นสถาบันการเงินที่ให้บริการครบวงจร