ชักนำนักการตลาด ยึด “B-A-S-I-C” รับมือผู้บริโภคยุค 2020

alivesonline.com : สมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย จัดงานวันนักการตลาด “Marketing Day 2019” ส่งท้ายทศวรรษเก่า อัปเดตหลากประเด็นฮ็อตที่โลกธุรกิจต้องจับตามอง ทั้งมุมของผู้บริโภค นวัตกรรม ความเปลี่ยนแปลง และรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปของนักการตลาดแห่งอนาคต พร้อมย้ำให้นักการตลาดใช้หลักการ “B-A-S-I-C” รับเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังจะมาถึง

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ นายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทย กล่าวในงานวันนักการตลาด “Marketing Day 2019” ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด “ARE YOU READY FOR 2020s” ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัล เวิลด์ ว่า ในปี 2562 เป็นปีแห่งความท้าทาย แม้เทรนด์ของเศรษฐกิจจะชะลอตัวทั่วโลกและส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงที่ร้อยละ 2.8 แต่เราได้เห็นการต่อสู้ของโลกธุรกิจอย่างเข้มข้นทั้งในระดับประเทศและระดับชาติ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าผู้อยู่รอดในสนามแข่งขันทางธุรกิจและการตลาดในยุคนี้คือผู้ที่เข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริงและนำเสนอสุดยอดสินค้า-บริการได้ตรงความต้องการของลูกค้า อย่างที่เรียกได้ว่า “ของดี ถูกความต้องการ ถูกที่ ถูกเวลา และดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามจรรยามารยาทของสังคม”

หากนับตามแบบคริสตศักราช ปี 2019 นับเป็นปีส่งท้ายทศวรรษเก่า โดยใน ช่วง 10 ปีที่ผ่านมาถือเป็นทศวรรษที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง เป็นช่วงเวลาแห่งการเติบโตของเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจและโลกการตลาดอย่างชัดเจน ดังนั้นหลาย ๆ สาขาอาชีพจึงถูก Disrupt อย่างมากมาย ทั้งในแง่การปรับเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติแบบเดิม ๆ รวมไปถึงการทลายมุมมองความคิดและความเชื่อเก่าๆ  เพราะเมื่อโลกเปลี่ยน คนก็ต้องเปลี่ยนตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นายอรรถพล กล่าวอีกว่า หากสรุปโดยย่อนั้น ความเปลี่ยนแปลงสำคัญของทศวรรษที่ผ่านมามี 2 ด้าน กล่าวคือ (1) ในภาคการผลิตรวมถึงในมุมของธุรกิจ และ (2) ในมุมของผู้บริโภค โดยในภาคการผลิตรวมถึงในมุมของธุรกิจนั้นอาจกล่าวได้ว่า ยุคดิจิทัลเป็นยุคของความท้าทาย เป็นยุคที่ผู้ทำธุรกิจและนักการตลาดต้องเหนื่อยหนัก เพราะโลกปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา แต่ในอีกมุมหนึ่งถือเป็นยุคแห่งโอกาส เพราะเทคโนโลยีมีผลเชิงบวกมากมาย โดยเฉพาะด้านการผลิตและการทำธุรกิจ เพราะสามารถช่วยลดต้นทุนและช่วยด้าน Economy of Scale ผู้ประกอบการรายย่อยจึงไม่ต้องผลิตจำนวนมากมหาศาลอีกต่อไป ทั้งยังช่วยเชื่อมโลกเข้าด้วยกัน จึงเป็นโอกาสด้านการขายให้แบรนด์ที่เห็นโอกาส และยังช่วยเชื่อมแบรนด์ให้ใกล้ชิดกับผู้บริโภคอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นโอกาสทางธุรกิจและขุมทรัพย์ของนักการตลาดที่มีความเข้าใจและมีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

“ส่วนในมุมของผู้บริโภคนั้นจะเห็นได้ว่าการเดินทางทางความคิดของผู้บริโภคไม่ได้เป็นแนวตรงอีกต่อไป แต่พวกเขามีวิธีคิดที่แยบยล และมีทางเลือกที่ชัดเจน ดังนั้นการวิเคราะห์ผุ้บริโภคยุคดิจิทัลเราจึงต้องมองภาพรวมของชีวิตเขาเป็น Consumer Journey Ecosystem ที่แบรนด์ต้องเข้าใจทุก Stage ความต้องการ ผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น จึงกล่าวได้ว่ายุคนี้เป็นยุคที่ผู้บริโภคเป็นใหญ่อย่างแท้จริง แบรนด์ที่จะอยู่รอดคือ แบรนด์ที่มีความเข้าใจและใส่ใจที่จะปรับตัวให้ตอบความต้องการของพวกเขาอย่างแท้จริง”

นายอรรถพล กล่าวอีกว่า ในทศวรรษหน้าที่จะมาถึง แม้การแข่งขันยังเข้มข้นและสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงไม่นิ่ง แต่ฟันเฟืองหลักของการเติบโตจะยังคงเป็นเรื่องของเทคโนโลยีและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจชาติด้วยเทคโนโลยี หรือ “Digital Economy” นั้นจะเป็นวาระสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามโดยในโลกธุรกิจนักการตลาดจะสามารถขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจได้ ต่อเมื่อมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่กำลังจะมาถึง โดยการย้อนกลับมาที่หัวใจ 5 ข้อซึ่งเป็น BASIC ของการตลาดยุค Digital Economy นั่นคือ B” Beyond Tool “A” Advocacy is the key “S” Strategic Shift “I” Integrated Platform “C” Customer Experience

Beyond Tools : แม้ในทศวรรษที่กำลังจะมาถึงนี้จะมี Tools และ Technologyใหม่ ๆ เกิดขึ้นมามายจากเทคโนโลยี 5G ที่กำลังจะมาถึงอย่างเต็มรูปแบบ แต่เราต้องไม่ลืมว่าตัวอุปกรณ์นั้นไม่มีความสำคัญเท่าผลลัพธ์จากการใช้งาน นักการตลาดจึงต้องมีกลยุทธ์และเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อจะหาอุปกรณ์ที่เหมาะสมมาใช้งานให้ตรงวัตถุประสงค์และเกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลสูงสุด

Advocacy is the key : ในยุคที่ลูกค้าเป็นใหญ่และเทคโนโลยีก้าวไกล นี่คือโอกาสที่แบรนด์จะสร้างกลุ่มนักรบของตัวเองที่จะเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญที่สุดให้กับแบรนด์ แต่งการจะสร้างคนกลุ่มนี้ได้แบรนด์ต้องมีให้ทั้งคุณภาพและความจริงใจออย่างต่อเนื่อง ในยุคที่โลกใบเล็กลงและเสียงของผู้บริโภคเชื่อมต่อกันทั่วโลก การที่แบรนด์สามารถเปลี่ยนกลุ่มคนที่ซื้อและใช้ซ้ำให้กลายเป็นคนที่แนะนำแบรนด์ของเราให้แก่คนอื่น ๆ ได้นับเป็นความสำเร็จขั้นสูงสุดของโลกยุคนี้

Strategic Shift : นักการตลาดยุคใหม่ยังคงต้องมีการวางกลยุทธ์ แต่จะเป็นวางกลยุทธ์การตลาดที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะรูปแบบของ 4P ได้เปลี่ยนไปแล้ว ในมุมของสินค้า เทคโนโลยีทำให้เกิดสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ที่เราเคยได้แต่จินตนาการถึง ทำให้รูปแบบการตั้งราคา หรือ Pricing เปลี่ยนไปจากที่เคยรู้จัก ยุคนี้เกิดเป็น Consumption หรือ Usage Based Pricingได้ เพราะความเที่ยงตรงของ Data–Place ที่เราเคยรู้จักก็เปลี่ยนไป จากห้างร้านกลายเป็น Market Place และ Omni-Channel  และ Promotion ก็กลายเป็นการสร้าง Value ให้แก่ลูกค้ามากกว่าการลดแลกแจกแถม เมื่อโลกเปลี่ยน การวางกลยุทธ์ก็ต้องเปลี่ยนไปเช่นกัน

Integrated Platform : นักการตลาดต้องไม่มองว่าดิจิทัลเป็นแค่สื่อ แต่ต้องมองว่าดิจิทัลคือชีวิตและความเปลี่ยนแปลงในโลกของผู้บริโภค และสิ่งนี้ส่งผลอย่างมากกับรูปแบบพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป นักการตลาดต้องและทำความเข้าใจกับ Customer Journey ให้ถ่องแท้และนำศาสตร์ของ Moment Design มาใช้ ทั้งในแง่มุมของการออกแบบการสื่อสาร หรือการออกแบบช่องทางการขาย ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ก็สอดคล้องกลมกลืนกันอย่างแยกไม่ได้ในยุคปัจจุบัน ต้องถูกออกแบบเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการในทุก ๆ Moment ของกลุ่มเป้าหมายของเรา

Customer Experience : ยิ่งโลกแห่งเทคโนโลยีก้าวไกล ผู้บริโภคยิ่งคาดหวังว่าจะได้รับ ประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นจากแบรนด์ ซึ่งประสบการณ์นี้ไม่ได้แยกเป็นออนไลน์ หรือออฟไลน์ แต่เป็น All Experience ที่เขาจะได้รับทั้งหมด เป็นประสบการณ์ที่ถูกออกแบบมาโดยมีผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง ซึ่ง CX นั้นครอบคลุมทุก ๆ Micro Moments ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ UX, ประสบการณ์กับสินค้าและบริการโดยตรง ,ประสบการณ์ผ่านช่องทาง หรือพนักงานขาย ประสบการณ์ที่ได้จากการสื่อสารต่าง ๆ ทั้งจากอีเวนต์ หรือคอนเทนต์ออนไลน์ ทุกสิ่งอยู่บนพื้นฐานเดียวกันทั้งสิ้นคือจะต้องเป็นประสบการณ์ที่เขาต้องการในช่องทางที่เขาต้องการ ณ เวลาที่เขาต้องการ (Right Thing / Right Timing / At The Right Place) เพราะไม่เช่นนั้นจาก The Right Brand ก็อาจจะกลายเป็น The Wrong Brand ก็เป็นได้

นายอรรถพล กล่าวในตอนท้ายว่า ไม่ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปมากแค่ไหน หรือโลกธุรกิจจะมีการแข่งมากเพียงใด หากนักการตลาดเปิดใจที่จะเรียนรู้และพร้อมที่จะปรับ พร้อมเปิดรับให้เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาช่วยเป็นฟันเฟืองสำคัญในการเร่งการเติบโต โดยไม่ทิ้งจรรยาบรรณของการทำธุรกิจอย่างถูกต้อง โปร่งใส และวางประโยชน์ของผู้บริโภคไว้สูงสุด หากทำได้เช่นนี้ธุรกิจของทุกท่านก็จะเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนได้

“แม็คโคร” เปิดสาขา “สัตหีบ” รับเศรษฐกิจพื้นที่อีอีซี

alivesonline.com : “แม็คโคร” บุกขยายสาขาในเขตเศรษฐกิจพิเศษอีอีซี เปิดสาขาที่ 132 “สัตหีบ” รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจและธุรกิจการท่องเที่ยว ชูจุดแข็งคลังวัตถุดิบดี อาหารสด คุณภาพปลอดภัย ในราคาขายส่งกว่า 9.5 พันรายการ ตอบทุกความต้องการผู้ประกอบการกลุ่มร้านอาหาร โรงแรม ธุรกิจจัดเลี้ยง และโชห่วย

นางสุชาดา อิทธิจารุกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจสยามแม็คโคร เปิดเผยว่า “แม็คโคร” เป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคระบบสมาชิกในราคาขายส่งแบบครบวงจร มีสมาชิกในระบบกว่า 3 ล้านราย ด้วยความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบวัตถุดิบคุณภาพ ปลอดภัย ไปยังภูมิภาคต่าง ๆ ให้ครอบคลุมมากขึ้น จึงขยายสาขาในจังหวัดที่มีศักยภาพ เพิ่มในเขตเศรษฐกิจการเข้าถึงของลูกค้าสมาชิกและลูกค้ากลุ่มใหม่ เช่นเดียวกับการเปิดสาขาลำดับที่ 132 ที่สัตหีบ พื้นที่พิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซีที่มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง

“แม็คโคร สาขาสัตหีบ เกิดขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของผู้ประกอบการเช่น ร้านค้าปลีกรายย่อย ร้านอาหาร โรงแรม ธุรกิจจัดเลี้ยง เพราะด้วยศักยภาพของพื้นที่ อ.สัตหีบ ที่อยู่ระหว่างพัทยากับนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด เมื่อผสานกับเมกกะโปรเจกต์ของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี มหานครการบินสนามบินอู่ตะเภา ปัจจัยบวกเหล่านี้จะทำให้ภาคธุรกิจในพื้นที่มีการขยายตัวและเติบโต”

“แม็คโคร” สาขาสัตหีบ มีขนาดพื้นที่จำหน่ายสินค้าประมาณ 5.2 พันตารางเมตร เป็นสาขาในรูปแบบ “อีโค พลัส” มีสินค้ากว่า 9.5 พันรายการ ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดชลบุรี เมืองท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ ครอบครัว สุขภาพ และสันทนาการระดับโลก มีรายได้จากการท่องเที่ยวกว่า 2 แสนล้านบาทและมีศักยภาพสูงทั้งในด้านทำเลและกำลังซื้อ

 

นางสุชาดา กล่าวอีกว่า “แม็คโคร” สาขาสัตหีบ จะเป็นแหล่งรวบรวมวัตถุดิบคุณภาพปลอดภัยที่ผู้ประกอบการสามารถเลือกซื้อสินค้าได้อย่างครบครันซึ่งจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นและไม่จำเป็นต้องสต็อกสินค้าเป็นจำนวนมาก เนื่องจาก “แม็คโคร” จะเป็นเสมือนคลังสินค้า หรือสต็อกอาหารสดที่พร้อมบริการตลอดเวลา จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกิจการให้ธุรกิจคล่องตัวและมีผลกำไรที่น่าพอใจ นอกจากนี้ ยังช่วยสนับสนุนผลผลิตของเกษตรกรในพื้นที่ให้มีช่องทางการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสับปะรดสายพันธุ์ปัตตาเวีย, ผักสลัดไฮโดรโปนิกส์,ไมโครกรีน ,ต้นอ่อนทานตะวัน, ผักโตเหมี่ยว โดยในวันเปิดสาขาอย่างเป็นทางการ “แม็คโคร” ได้มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนโรงเรียนบ้านเตาถ่าน โรงเรียนบ้านสัตหีบ และโรงเรียนชุมชนบ้านสำเสร่ จำนวนทั้งหมด 15 ทุน อีกด้วย

อนึ่ง ปัจจุบัน “แม็คโคร” มีทั้งหมด 132 สาขา แบ่งเป็น คลาสสิก 79 สาขา อีโค พลัส 15 สาขา ฟูดเซอร์วิส 26 สาขา ฟูดชอป 5 สาขา และสยามโฟร์เซ่น 7 สาขา  โดยจะขยายสาขาอย่างต่อเนื่อ งเน้นทำเลที่มีศักยภาพในการเติบโตและกำลังซื้อสูง รวมถึงยังคงเดินหน้าขยายสาขาในต่างประเทศแถบอาเซียนอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน

 

 

10 แอคเคาท์ทวิตเตอร์ที่ต้องติดตาม

alivesonline.com : ในทุกมุมโลกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวต่าง ๆจะถูกรายงานบน ทวิตเตอร์ก่อนใคร เพราะถือเป็นแพลตฟอร์มที่ผู้ใช้ ค้นพบและได้ลองสิ่งใหม่ ๆ ตามความสนใจ ทั้งยังเป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการรายงานข่าวด่วน ประเด็นร้อนที่เกิดขึ้นในขณะนั้น

ผู้ใช้ทวิตเตอร์อีกหลายล้านคนยังพึ่งพาทวิตเตอร์ในด้านอื่น ๆ เช่น ติดตามสภาพการณ์จราจร เช็คตารางขนส่งมวลชน และเช็ค พยากรณ์อากาศล่วงหน้า นอกจากนี้ทวิตเตอร์ยังเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ได้รับการอัปเดตอย่างทันท่วงทีมากที่สุด เป็นเครื่องมือ สื่อสารที่มีประสิทธิภาพสูงในยามฉุกเฉิน ที่สำคัญแพลตฟอร์มนี้ยังเป็นเวทีสำคัญในการสร้างแรงบันดาลใจ สำหรับคนที่สนใจ กิจกรรมด้านสังคม รวมถึงหาคนคุยปลอบใจในยามที่กำลังรู้สึกดิ่งสุด ๆ

มาดูกันว่าแอคเคาท์ทวิตเตอร์ที่มีประโยชน์ควรติดตามมีอะไรกันบ้าง

4 แอคเคาท์น่าสนใจหมวดการสัญจรในกรุงเทพฯ

JS100 (@js100radio)
“จส. 100” เป็นสถานีวิทยุข่าวการจราจรที่เปิดตัวเมื่อ 28 ปีก่อน และได้กลายเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญของผู้ใช้รถใช้ถนนเรื่อยมา ซึ่งไม่น่าแปลกใจว่าทำไมแอคเคาท์นี้มีผู้ติดตามมากที่สุดรายหนึ่งในประเทศไทยหลังจากตั้งขึ้นเมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว จส.100 บนแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ยังคงทำหน้าที่อย่างมั่นคงในการรายงานสภาพจราจรบนท้องถนนในทุก ๆ วันและด้วยการที่มีฐานผู้ติดตามจำนวนมากซึ่งร่วมกันรายงานสภาพการจราจรผ่านทางแอคเคาท์นี้บวกกับความรวดเร็วในการสื่อสารผ่านทางทวิตเตอร์ จึงทำให้ จส 100 เป็นผู้นำในด้านการรายงานจราจรแบบเรียลไทม์ในประเทศไทย

BTS SkyTrain (@BTS_SkyTrain)

“รถไฟฟ้าบีทีเอส” เป็นระบบขนส่งแบบสาธารณะที่สำคัญของคนกรุงเทพมหานคร ซึ่งทวิตเตอร์ของบีทีเอสนั้นเป็นแอคเคาท์ที่มีการ สนทนามากที่สุดบัญชีหนึ่งในหมวดขนส่ง อีกทั้งยังเป็นช่องทางสำคัญในการแจ้งข่าวสารและโต้ตอบกับผู้โดยสารเมื่อมี “วิกฤติ” เกิดขี้น เช่น ปัญหาด้านเทคนิคและความล่าช้าของการเดินรถไฟ ทวิตเตอร์ของบีทีเอสจะดำเนินการแจ้งข้อมูลและข่าวสารแบบเรียลไทม์ การรายงานสถานการณ์ในแต่ละสถานีของระบบรถไฟฟ้า นอกจากนี้ทางบีทีเอสยังใช้ทวิตเตอร์ในการให้สื่อสารถึงผู้โดยสารเกี่ยวกับข้อปฏิบัติ หรือสิ่งที่ไม่ควรกระทำขณะใช้บริการบนรถไฟฟ้า

Airport Rail Link (@AirportRailLink

“แอร์พอร์ตเรลลิ้งก์” เป็นระบบขนส่งมวลชนอีกสายที่มีความสำคัญในการเดินทางระหว่างสนามบินสุวรรณภูมิสู่ใจกลางเมืองโดยมี สถานีต่าง ๆ เชื่อมโยงกับย่านชุมชนฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ซึ่งแอคเคาท์ทวิตเตอร์ของแอร์พอร์ตเรลลิ้งก์นั้นเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับผู้ใช้บริการรถไฟโดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วน เช่น ให้ข้อมูลเวลาของขบวนรถเสริมที่จะออกจากสถานี ความถี่ของรถไฟ และความล่าช้าของขบวนรถ หรือแม้แต่เตือนผู้โดยสารเมื่อเกิดปัญหาชานชาลาแออัด

กรมอุตุนิยมวิทยา (@tmdthai)

บทบาทของ กรมอุตุนิยมวิทยา ในการพยากรณ์อากาศมีความสำคัญมากกว่าที่ผ่านมา เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อนที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วมเฉียบพลัน และเหตุการณ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ยิ่งทำให้ประชาชนให้ความสนใจเพื่อตรวจสอบข้อมูลจาก กรมอุตุฯ เพื่อวางแผนในการเดินทางส่งผลให้ทวิตเตอร์ของ กรมอุตุฯ มีประโยชน์มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

แอคเคาท์ของกรมอุตุฯจะทวีตพยากรณ์อากาศทั่วประเทศและเตือนประชาชนในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เช่น เมื่อเร็ว ๆ นี้ กรมอุตุฯ ทวีตไลฟ์อัปเดตรายงานสภาพอากาศแต่ลืมปิดฟิลเตอร์การ์ตูนตลกๆ จนกลายเป็นที่ฮือฮา ความผิดพลาดเล็ก ๆ นี้ กลับยิ่งทำให้ประชาชนมองเห็นประโยชน์มากขึ้นไปอีก

 

ทวิตเตอร์ช่วยคุณได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ในช่วงเวลาฉุกเฉินหรือเกิดสถานการณ์วิกฤติ เครือข่ายโทรศัพท์มือถืออาจไม่เสถียรและมีปัญหาในการเชื่อมต่อ แอปพลิเคชัน “ทวิตเตอร์ ไลต์” (Twitter Lite) จึงเป็นตัวช่วยที่ดีในสถานการณ์คับขัน เพราะถูกออกแบบมาให้สามารถทวีตโดยใช้ข้อมูลเพียงเล็กน้อย จึงทำให้โหลดข้อมูลได้เร็วแม้ว่าสัญญาณโทรศัพท์มือถือจะไม่เสถีย รหรือผู้ใช้เปิดโทรศัพท์ในโหมดประหยัดพลังงาน “ทวิตเตอร์ ไลต์” จะช่วยให้ผู้ใช้ไม่พลาดการทวีตข่าวสารและสถานการณ์ได้อย่างไม่มีสะดุด โดย “ทวิตเตอร์ ไลต์” มีให้บริการในระบบแอนดรอยด์ และที่ mobile.twitter.com อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงในโหมดออฟไลน์ได้เช่นกัน โดยพร้อมให้บริการแล้วในกว่า 45 ประเทศรวมถึง ประเทศไทย

แอคเคาท์สำคัญในสถานการณ์ฉุกเฉิน

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) (@DDPMNews)

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รับผิดชอบการจัดการภัยพิบัติและการบรรเทาสาธารภัยทั่วประเทศ แม้ว่า ปภ.จะเพิ่งมี ทวิตเตอร์แอ็คเคานต์ แต่ได้ทวีตเกี่ยวกับการทำงานในภาคสนามของเจ้าหน้าที่ของกรมฯ และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ในด้านมาตรการความปลอดภัย จึงเป็นแอ็กเคานต์น้องใหม่บนทวิตเตอร์ที่น่ามีไว้ในรายการที่ติดตามเผื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน

 ข่าวการไฟฟ้านครหลวง (@mea_news)

การไฟฟ้านครหลวง จ่ายไฟฟ้าไปยังทุกครัวเรือนในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งก่อนที่การไฟฟ้านครหลวงจะมีแอคเคาท์ทวิตเตอร์ ผู้คนจำนวนมากไม่รู้ว่าจะติดต่อขอความช่วยเหลือที่ไหนในกรณีที่เกิดไฟดับ การไฟฟ้านครหลวงได้สร้างแอคเคาท์ @mea_news เมื่อ 9 ปีที่แล้ว นับจากนั้นทวิตเตอร์นี้ก็ได้ให้บริการประชาชนในด้านข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์เชื่อถือได้เกี่ยวกับ เรื่องไฟฟ้า เช่น วิธีการเลือกอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ช่วยประหยัดพลังงานภายในบ้าน รวมถึงประกาศแจ้งเตือนไฟฟ้าดับ เป็นต้น

แอคเคาท์ทวิตเตอร์ที่สร้างผลกระทบเชิงบวก

Samaritans of Thailand (@Samaritans_Thai)

สะมาริตันส์แห่งประเทศไทย (@Samaritans_Thai) เพิ่งเปิดตัวบนทวิตเตอร์โดยมุ่งช่วยเหลือผู้คนที่ประสบปัญหาสุขภาพจิตเพื่อป้องกันและช่วยเหลือคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย ปัจจุบัน มีคนไทยราว 12 คนฆ่าตัวตายในแต่ละวัน ผู้ที่รู้สึกเหงา เศร้า หรือหดหู่และต้องการพูดคุยกับใครสักคนสามารถติดต่อ “สะมาริตันส์” ได้ผ่านทางทวิตเตอร์ โดยแอคเคาท์นี้ทวีตทั้งภาษาไทยและอังกฤษจึงเป็นประโยชน์กับชาวต่างชาติที่พักอาศัยอยู่ในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีคลิปเสียงสั้น ๆ ที่อาสาสมัครแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับปัญหาด้านจิตใจและแนวทางแก้ไขอื่น ๆ ให้ผู้ที่ประสบปัญหาได้ฟังอีกด้วย

ทวิตเตอร์ร่วมมือกับสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย (@Samaritans_Thai) ออกแฮชแท็กพิเศษเพื่อช่วยเหลือผู้ที่กำลังคิดจะฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตนเอง ด้วยการติดแฮชแท็ก #ThereIsHelp ซึ่งเป็นบริการ แจ้งเตือนบนทวิตเตอร์ถึงผู้เชี่ยวชาญทางด้านสุขภาพจิต และพยายามทำให้กลุ่มคนเหล่านี้กล้าที่จะบอกเล่าปัญหาและขอความช่วยเหลือในยามต้องการเมื่อมีการค้นหาคำที่เกี่ยวข้อง กับคำว่า “ฆ่าตัวตาย” หรือ “ทำร้ายตนเอง” บนทวิตเตอร์ในประเทศไทย ทั้งนี้ จะมีการแจ้งเตือนเป็นภาษาไทยปรากฎในผลการค้นหาเพื่อให้กลุ่มผู้มีความเสี่ยงกล้าขอความช่วยเหลือโดยในการแจ้งเตือนจะมีเบอร์ติดต่อของสมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย (@Samaritans_Thai)

กรมสุขภาพจิต (@PR_dmh)

จากสภาพสังคมในปัจจุบันส่งผลให้ปัญหาสุขภาพจิตและสภาวะทางจิตของคนไทยทวีความรุนแรงขึ้น พร้อมสถิติการฆ่าตัวตาย ที่สูงขึ้นจนน่าตกใจ และนี่คือสาเหตุที่ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ตระหนักถึงบทบาทที่สำคัญในการส่งเสริมสุขภาพจิต ผ่านทางทวิตเตอร์ของกรมฯ ที่จะเป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสัญญาณเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพจิต รวมถึงให้คำแนะนำที่มีประโยชน์ ต่อประชาชน และบางครั้งยังใช้ตัวอย่างจากภาพยนตร์เพื่ออธิบายเกี่ยวกับโรคทางจิตเวชเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น

Manushya Foundation (@ManushyaFdn)

มูลนิธิมานษุยะ (Manushya) เป็นองค์กร NGO ในภูมิภาคเอเชียตั้งอยู่ในประเทศไทยที่มุ่งโปรโมตการสร้างความแข้มแข็งของชุมชน โดยการมีส่วนร่วมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในภูมิภาคนี้เชื่อมโยงผู้คนและระดมพลังเพื่อตอกย้ำว่าสิทธิมนุษยชนเป็นหัวใจสำคัญของชุมชน ทวีตส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลที่รายงานเกี่ยวกับกิจกรรมของมูลนิธิมานุษยะ ข้อความที่สื่อถึงสถานการณ์สังคม ในปัจจุบันการให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นสิทธิมนุษยชน และการเรียกร้องความยุติธรรมในสังคม

มูลนิธิกระจกเงา (@Mirror_org)

มูลนิธิกระจกเงามีรากฐานอาสาสมัครในงานสังคมสงเคราะห์ที่หลากหลาย ตั้งแต่เด็กหาย ปัญหาชนกลุ่มน้อย การรับมือกับภัยพิบัติ การบริจาค คนเร่ร่อน รวมไปถึงคนชราที่ต้องการความช่วยเหลือและการดูแล นอกจากนี้ มูลนิธิยังเป็นศูนย์รับบริจาคสำหรับ ผู้ด้อยโอกาส มูลนิธิฯ จะทวีตเกี่ยวกับงานของพวกเขาเพื่อเปิดโอกาสให้สาธารณะชนได้รับรู้ปัญหาสังคม ผู้ตามแอคเคาท์นี้ยัง สามารถเรียนรู้ติดตามปัญหาต่าง ๆ และยังสามารถเข้าร่วมเป็นอาสาสมัครเพื่อช่วยกันสร้างสังคมที่ดีขึ้นได้อีกด้วย

สำหรับผู้ใช้ทวิตเตอร์สามารถติดตามหลายแอคเคาท์ได้ด้วยการใช้ฟังก์ชั่นรายการของทวิตเตอร์ (Twitters Lists function) เพื่อช่วยจัดการหัวข้อต่าง ๆ เช่นตั้งชื่อว่า “Bangkok Travel” (การสัญจรในกรุงเทพ) หรือ “Emergencies” (ฉุกเฉิน) เพื่อให้สามารถ ติดตามแอคเคาท์ที่น่าสนใจในแต่ละหัวข้อได้ง่ายขึ้น โดยฟังก์ชั่นนี้จะเลือกเปิดเป็นแบบสาธารณะให้ผู้อื่นติดตามรายการของตนเอง หรือเป็นแบบส่วนตัวก็ได้

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการทำงานของ Twitter’s Lists Function สามารถศึกษาวิธีตั้งค่านี้ได้ที่ https://help.twitter.com/using-twitter/twitter-lists                                                                                      

 

ผลวิจัยพบความน่าดึงดูดใจของรถยนต์ใหม่ “ลดลงต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน”

alivesonline.com : ผลการศึกษาวิจัยสมรรถนะ, ระบบปฏิบัติการ และการออกแบบรูปลักษณ์ของรถยนต์ในประเทศไทย ประจำปี 2562 โดยเจ.ดี.พาวเวอร์ (J.D. Power 2019 Thailand Automotive Performance, Execution and Layout (APEAL) Study,SM) เปิดเผยว่า ความสบายของเบาะที่นั่งและพื้นที่เก็บสัมภาระไม่เพียงพอเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้ความพึงพอใจด้านการออกแบบโดยรวมของรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ลดลง เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว

นายศิรส สาตราภัย ผู้อำนวยการระดับภูมิภาค “เจ.ดี. พาวเวอร์” ประจำประเทศไทยและประเทศเวียดนาม กล่าวว่า ผู้ผลิตรถยนต์จำเป็นต้องพิจารณาถึงความสวยงามของการออกแบบภายในโดยรวมและความสะดวกสบายของผู้ขับขี่และผู้โดยสารไปพร้อมกัน เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า เพราะลูกค้าไม่เพียงขับขี่ หรือโดยสารจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งเท่านั้น ผู้ผลิตจึงต้องคำนึงถึงของใช้ส่วนตัวต่าง ๆ ที่ผู้ขับขี่นำเข้ามาในรถด้วย เช่น สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, แก้วเก็บอุณหภูมิ, ถุงชอปปิง และของใช้อื่น ๆ ดังนั้นการออกแบบรถยนต์จึงจำเป็นต้องพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้

คุณลักษณะต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเบาะที่นั่งและพื้นที่เก็บสัมภาระซึ่งส่งผลต่อความพึงพอใจโดยรวมที่ลดลง ได้แก่ ประโยชน์ของที่วางแก้วน้ำด้านหลัง ประโยชน์ของพื้นที่เก็บของบริเวณคอนโซลกลาง ประโยชน์ของช่องเก็บของด้านหน้า พื้นที่เหนือศรีษะ/วางขา/วางเท้าของเบาะด้านหน้า และความสบายของเบาะที่นั่งด้านหลัง ทั้งนี้คะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจโดยรวมลดลงเหลือ 824 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 1,000 คะแนน) จาก 846 คะแนนในปี 2561

ข้อมูลสำคัญเพิ่มเติมที่ได้จากการสำรวจ ประจำปี 2562:

  •  ความสบายของเบาะที่นั่งได้คะแนนน้อยที่สุดในบรรดาองค์ประกอบทั้งหมดของรถยนต์ : คุณลักษณะสำคัญ 3 อันดับแรกที่ได้คะแนนน้อยที่สุด ได้แก่ ความสบายของเบาะที่นั่งแถว 3 สำหรับรถยนต์อเนกประสงค์ (คะแนนความพึงพอใจอยู่ที่ 78 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) ความสบายของเบาะที่นั่งด้านหลังหรือที่นั่งแถวที่สอง (8.04 คะแนน) และความรู้สึกต่อวัสดุของเบาะที่นั่ง (8.12 คะแนน) 
  • ปัญหาภายในห้องโดยสาร : ลูกค้ามีความพึงพอใจน้อยต่อความน่าสนใจของแสงไฟภายในตัวรถและการออกแบบรูปแบบแผงหน้าปัดและมาตรวัดต่าง ๆ เช่นเดียวกันกับรูปลักษณ์และความรู้สึกที่มีต่อปุ่มควบคุมต่าง ๆ และพวงมาลัย นอกจากรูปลักษณ์ภายในแล้ว ลูกค้ายังมีความพึงพอใจน้อยที่สุดเกี่ยวกับกลิ่นภายในตัวรถ 
  • กลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่มีความพึงพอใจน้อยกว่า : เมื่อพิจารณาถึงสมรรถนะและการออกแบบรถยนต์ ลูกค้าที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี มีความพึงพอใจน้อยกว่าลูกค้าที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป (821 คะแนน และ 839 คะแนน ตามลำดับ) 
  • ความตั้งใจในการกลับมาซื้อรถยี่ห้อเดิมลดลงตามระดับความพึงพอใจ : น้อยกว่าครึ่งของลูกค้า (44%) ระบุว่าจะซื้อรถยนต์ยี่ห้อเดิม ลดลงจาก 57% ในปี 2561 ซึ่งความพึงพอใจโดยรวมของลูกค้ากลุ่มนี้อยู่ที่ 841 คะแนน ลดลงจาก 856 คะแนนในปีที่แล้ว 

ผลการจัดลำดับจากการศึกษาวิจัย

  • โตโยต้า ยาริส ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก ด้วยคะแนน APEAL 841 คะแนน
  • ฮอนด้า แจ๊ส ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มรถยนต์ขนาดกลางระดับต้น ด้วยคะแนน APEAL 844 คะแนน
  • ฮอนด้า ซีวิค ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มรถยนต์ขนาดกลาง ด้วยคะแนน APEAL 841 คะแนน
  • ฮอนด้า เอชอาร์-วี ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูงขนาดเล็ก ด้วยคะแนน APEAL 840 คะแนน
  • โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มรถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูงขนาดใหญ่ ด้วยคะแนน APEAL 847 คะแนน
  • โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ สมาร์ท แค๊ป และ โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่ พรีรันเนอร์ สมาร์ท แค๊ป ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มประเภทรถกระบะตอนขยายเท่ากัน ด้วยคะแนน APEAL 820 คะแนน
  • นิสสัน ฟรอนเทียร์ เอ็นพี300 นาวารา คาลิเบอร์ ดี-แค๊ป ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มประเภทรถกระบะ 4 ประตู ด้วยคะแนน APEAL อยู่ที่ คะแนน

 การศึกษาวิจัยครั้งนี้ใช้คำตอบของเจ้าของรถยนต์ในประเทศไทยเป็นมาตรวัดถึงสิ่งที่ทำให้เจ้าของรถมีความพึงพอใจต่อสมรรถนะและการออกแบบรถยนต์คันใหม่ของพวกเขาในช่วง 2-6 เดือนแรกของการเป็นเจ้าของ โดยการศึกษานี้ได้พิจารณาคุณลักษณะของรถยนต์ 79 คุณลักษณะ ครอบคลุมองค์ประกอบของรถยนต์ 10 หมวดหมู่ ได้แก่ ภายนอกรถยนต์, ภายในห้องโดยสาร, พื้นที่เก็บสัมภาระและพื้นที่ว่าง, เครื่องเสียง / ระบบสื่อสาร / ระบบความบันเทิง / ระบบนำทาง, เบาะที่นั่ง, ระบบทำความร้อน, ระบบระบายอากาศและระบบแอร์, สมรรถนะในการขับขี่, เครื่องยนต์ / ระบบเกียร์, ทัศนวิสัยและความปลอดภัยในการขับขี่, และการประหยัดเชื้อเพลิง

ทั้งนี้ การศึกษาวิจัยสมรรถนะ ระบบปฏิบัติการ และการออกแบบรูปลักษณ์ของรถยนต์ (APEAL) ในประเทศไทย ประจำปี 2562 ได้จากการประเมินคำตอบของเจ้าของรถใหม่จำนวน 6,632 รายที่ซื้อรถในช่วงเดือนสิงหาคม 2561 ถึงเดือนมิถุนายน 2562 ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล, รถกระบะ และรถยนต์อเนกประสงค์ จำนวน 66 รุ่น จากทั้งหมด 10 ยี่ห้อ โดยมีการเก็บรวบรวมข้อมูลภาคสนามในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนสิงหาคม 2562

NOSTRA Map ร่วมแก้วิกฤต “ขยะพลาสติก”

alivesonline.com : น่าเศร้าไม่น้อยที่ประเทศไทยติด 1 ใน 5 ของประเทศที่ทิ้งขยะพลาสติกลงมหาสมุทรมากที่สุดในโลก โดย 3 อันดับที่พบมากสุดในทะเลไทยคือ ถุงพลาสติก หลอด และฝาขวดพลาสติก ส่งผลกระทบมหาศาลต่อสัตว์ทะเล สัตว์บก และมนุษย์

บริษัท โกลบเทค จำกัด ผู้นำการให้บริการโซลูชันด้านข้อมูลแผนที่ดิจิทัล Location Contents ในภูมิภาคอาเซียน ภายใต้แบรนด์ “NOSTRA” จึงเร่งรณรงค์ประชาชนตระหนักและให้ความสำคัญ พร้อมใจช่วยกันดูแลสิ่งแวดล้อม เพิ่ม12 จุดที่เปิดรับขยะพลาสติกลงใน NOSTRA Map” นำทางประชาชนเพื่ออำนวยความสะดวกในการนำขยะไปทิ้ง เข้าสู่กระบวนการคัดแยกและกระบวนการรีไซเคิลขยะ โดยผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปฯ NOSTRA Map ใช้ฟรีได้แล้วตั้งแต่วันนี้

นายวิชัย แสงหิรัญวัฒนา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โกลบเทค จำกัด เปิดเผยว่า จากปัญหาภาวะโลกร้อน (Climate Change) ต่อเนื่องสู่ “ปัญหาขยะล้นโลก” ซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองถึงความสูญเสียต่อสัตว์ทะเลหายากในท้องทะเลจากการกลืนขยะพลาสติก โดยรายงานจากองค์กรอนุรักษ์ท้องทะเล (Ocean Conservancy) พบว่า หลายประเทศในอาเซียน ซึ่งมีประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 เป็นต้นตอของการทิ้งขยะพลาสติกในทะเลรวมแล้วมากว่า 8 ล้านตัน โดย 3 อันดับที่พบมากสุดในทะเลไทยคือ ถุงพลาสติก 13% หลอด 10% และฝาขวดพลาสติก 8% เร่งรณรงค์ประชาชนใส่ใจสิ่งแวดล้อม เพิ่ม12 จุดที่เปิดรับขยะพลาสติกเพื่อรีไซเคิล ลงใน NOSTRA Map

“ขยะพลาสติกส่งผลกระทบมหาศาลต่อสัตว์ทะเล สัตว์บก และมนุษย์ โดยข้อมูลงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมพบว่า สารไมโครพลาสติกที่เกิดจากขยะพลาสติกสร้างความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อาหารของมนุษย์ คาดประชากรครึ่งโลกรับสารปนเปื้อนจากการบริโภคอาหารทะเล NOSTRA เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาดังกล่าว จึงขอมีส่วนร่วมเล็ก ๆ ด้วยการเพิ่ม12 จุดเปิดรับขยะพลาสติกลงใน NOSTRA Map แผนที่นำทางเพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนในการนำขยะไปทิ้ง เพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดแยกและการรีไซเคิลขยะต่อไป”

 

สำหรับ 12 จุดรับรีไซเคิลพลาสติก ได้แก่

1.โครงการ “วน” บริษัท ทีบีพีไอ จำกัด รับบริจาคถุงชอปปิง / ถุงน้ำตาล / ล้างสะอาด เปลี่ยนให้เป็นถุงใหม่เพื่อวนกลับมาใช้

2.วัดทองนพคุณ จ.เพชรบุรี รับบริจาคขวดพลาสติกใส เปลี่ยนให้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีประโยชน์ภายในวัด เช่น สะพาน หรือแพ ซึ่งนอกจากจะใช้ในการประชาสัมพันธ์วัดแล้ว ยังเป็นตัวอย่างในการนำของเหลือใช้มาเพิ่มคุณค่า

3.วัดจากแดง จ.สมุทรปราการ รับบริจาคขวดพลาสติกใส PET (แกะฉลากบีบให้แบน) แปรรูปเป็นเส้นด้ายแล้วนำมาเย็บเป็นจีวรพระ

4.โครงการหลังคาเขียว บริษัท ไฟเบอร์พัฒน์ จำกัด รับบริจาคกล่องนม กล่องเครื่องดื่ม กล่องน้ำผลไม้เปลี่ยนให้เป็นกระเบื้องหลังคา โต๊ะ เก้าอี้

5.Precious Plastic BKK “จักรพงษ์วิลล่า” รับบริจาครับฝาน้ำดื่มพลาสติกเกรด HDPE/ PP เปลี่ยนให้เป็นภาชนะพลาสติกแบบต่าง ๆ

6.บมจ.ไทยคม รับบริจาคหลอดที่ล้างสะอาดและแห้งแล้ว เปลี่ยนให้เป็นหมอนเพื่อผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน

7.“มูลนิธิพลังที่ยั่งยืน” ปตท.สนง.ใหญ่ รับบริจาคหลอดพลาสติกสะอาดเปลี่ยนให้เป็นหมอนเพื่อผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน

8.โครงการกรีนโรด (ผศ.ดร.เวชสวรรค์ หล้ากาศ) รับบริจาคถุงหูหิ้ว ถุงแกงล้างสะอาด เปลี่ยนให้เป็นอิฐบล็อกปูถนน

9.กรมควบคุมมลพิษ รับบริจาคอลูมิเนียมใช้แล้วทุกชนิด เปลี่ยนให้เป็นส่วนประกอบของขาเทียมพระราชทาน 10.Trash Hero Thailand : Ecobricks รับบริจาคพลาสติกชิ้นเล็ก ๆ ใส่ขวดพลาสติกให้แน่นสร้างโรงเรียนจากขวดพลาสติกอัดด้วยขยะ

11.บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) รับบริจาคกล่องนมเปลี่ยนให้เป็นหลังคาให้มูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภา) ยามยาก

12.ผึ้งน้อยนักสู้ Ecobricks รับบริจาคซองกาแฟ ถุงขนม ถุงพลาสติก นำไปล้างให้สะอาดแล้วกดอัดใส่ขวด ทำเป็นขวดพลาสอิฐเป็นโครงสร้างผนังแทนอิฐ หรือ Ecobricks

นายวิชัย กล่าวอีกว่า ในปีที่ผ่านมากลุ่มบริษัทซีดีจี ยังได้มีการรณรงค์ภายในองค์กรในเรื่อง Save Earth อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง โดยมีการมอบกล่องข้าวและหลอดสแตนเลสแบบพกพาให้พนักงานได้นำไปใช้ รวมทั้งโครงการแบ่งปันถุงผ้าเพื่อลดการใช้พลาสติกและการรณรงค์ภายในองค์กร Say No Plastic โดยในปี 2563 มีแผนจะดำเนินโครงการอีกมากมายที่สะท้อนความตั้งใจในการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ซึ่งบริษัทฯ  ขอเป็นส่วนเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งในสังคมเพื่อขับเคลื่อนการโครงการรักษาสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ต่อไป

สำหรับประชาชนที่สนใจเปิดดูพิกัดและนำทางไปยังจุดรับรีไซเคิลขยะพลาสติก สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน NOSTRA Map และกดเปิดแผนที่ได้ทันที โดยกด “12 จุดรับรีไซเคิลพลาสติก” หรือกด http://map.nostramap.com/nostramap/?layer/Recycle2019 ใช้งานฟรีบน App Store และ Google Play ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

 

 

 

ดู Netflix ฟรี ! กับบัตรเครดิตกรุงศรี

นายชีวิน ปราชญานุพร (ซ้าย) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การตลาด บริษัท บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด ร่วมกับ นายเจโรม บิจิโอ (ขวา) ผู้อำนวยการ ฝ่ายพันธมิตรด้านการตลาด “เน็ตฟลิกซ์” จัดโปรโมชันสุดพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรเครดิต โฮมโปร วีซ่า แพลทินัม และสมาชิกบัตรเครดิตกรุงศรี รับสิทธิ์ดู Netflix ฟรีเพิ่ม สูงสุด 2 เดือน เมื่อชอปสินค้าหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าผ่านบัตรตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไปต่อเซลล์สลิปที่ “โฮมโปร” ทุกสาขา จนถึงวันที่ 29 มกราคม 2563 เพียงลงทะเบียนผ่านแอป UCHOOSE หรือส่ง SMS พิมพ์ NF เว้นวรรค ตามด้วยหมายเลขบัตร 16 หลัก ส่งมาที่ 08 1927 9999 เพื่อร่วมรายการ (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) รายละเอียดเพิ่มเติม www.krungsricard.com/th/Promotion/Netflix

พัดลมกรองอากาศเทคโนโลยีใหม่ “Dyson Pure Cool Cryptomic”

Dyson เปิดตัวผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีพัดลมกรองอากาศใหม่ล่าสุด “Dyson Pure Cool Cryptomic” ในประเทศสิงคโปร์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาโดยทีมนักเคมีและวิศวกรของ Dyson มีคุณสมบัติในการกำจัด “สารฟอร์มาลดีไฮด์” อย่างต่อเนื่องในระดับโมเลกุลและสามารถเปลี่ยนก๊าซที่อาจเป็นสารอันตรายให้กลายเป็นเพียงน้ำในปริมาณที่เล็กน้อยและคาร์บอนไดออกไซด์ได้

Dyson ได้พัฒนาและปรับใช้ความเชี่ยวชาญด้านเคมี การตรวจจับ การกรอง และพลศาสตร์ของไหล จนได้มาเป็นผลิตภัณฑ์พัดลมกรองอากาศ Dyson Pure Cool Cryptomic ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อเป็นทางออกของการฟอกอากาศที่สมบูรณ์แบบสำหรับบ้านของคุณ โดยสามารถกำจัดอนุภาคขนาดเล็ก กลิ่น ก๊าซ และ สารฟอร์มัลดีไฮด์” ได้อย่างต่อเนื่อง

 การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน

เราสามารถหายใจสูดอากาศได้มากถึง 9 พันลิตรต่อวัน ซึ่งการใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบันนั้นจะใช้เวลาในแต่ละวันอยู่ภายในอาคารบ้านเรือนถึงประมาณ 90% ดังนั้น อากาศมลพิษที่เราสูดหายใจเข้าไปส่วนมากจะมาจากภายในอาคารบ้านเรือน โดยมลพิษเหล่านี้อาจมาจากมลพิษทางด้านนอกที่ผ่านเข้ามายังทางประตูหรือหน้าต่างที่เราเปิด หรือแม้กระทั่งเกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่เราทำภายในบ้านเป็นประจำก็ได้ เช่น การทำอาหารและความร้อนในการประกอบอาหาร ขนสัตว์เลี้ยง ละอองเกสรดอกไม้และพืชต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการใช้ผลิตภัณฑ์สีทาเล็บ หรือเทียนหอมภายในบ้านก็สามารถปล่อยสารประกอบอินทรีย์ระเหย (VOCs) ออกมาได้

“สารฟอร์มาลดีไฮด์” สามารถเป็นมลพิษได้นานกว่าหนึ่งปี

เครื่องใช้ในบ้านหลายอย่างในชีวิตประจำวันสามารถปล่อยสารฟอร์มาลดีไฮด์ได้ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับไม้อัด น้ำยาฆ่าเชื้อ น้ำยาทำความสะอาด พรม ผ้า บุหรี่ เครื่องสำอาง สีทาบ้านและสารเคลือบเงาเป็นต้น อย่างไรก็ตาม สารฟอร์มาลดีไฮด์เหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในครั้งเดียว แต่สารเหล่านี้สามารถอยู่ได้นานถึง 3-15 ปี ตามที่คนจีนได้ศึกษามา

ดร.นาธาน บราวน์ Head of Research for Environmental Care กล่าวว่า สารฟอร์มาลดีไฮด์มีขนาดเล็กกว่า PM0.1 ถึง 500 เท่า และเป็นสารที่ดักจับได้ยาก ทั้งนี้ ทีมนักเคมีของเราได้วิจัยและค้นหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหานี้เริ่มตั้งแต่ปี 2559 เราได้ทดสอบตัวเร่งปฏิกิริยาที่แตกต่างกันมากกว่า 20 รายการ ก่อนที่จะค้นพบสูตรคริปทอมีเลน(Cryptomelane) ซึ่งความพยายามค้นหาวิธีการต่าง ๆ ทำให้เราได้ค้นพบวิธีการที่แตกต่างกันออกไป

พัดลมกรองอากาศ “Dyson Pure Cool Cryptomic” สามารถตรวจจับมลพิษทางอากาศภายในบ้านและอาคารได้อย่างอัตโนมัติและฟอกอากาศทั่วทุกมุมห้อง สามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กได้ถึง 99.95% และกำจัดสารฟอร์มาลดีไฮด์ได้อย่างต่อเนื่อง

การตรวจวัด

พัดลมกรองอากาศ “Dyson Pure Cool Cryptomic” มีหน้าจอ LCD ที่แสดงผลการตรวจวัดอนุภาคขนาดเล็กและก๊าซได้อัตโนมัติแบบเรียลไทม์ อัลกอริทึมเฉพาะของ Dyson ประมวลข้อมูลจากเซ็นเซอร์ทั้ง 3 ตัว ที่ติดอยู่บนเครื่องและแสดงค่าคุณภาพอากาศ

เลเซอร์จะวัดและดักจับอนุภาคขนาดเล็ก โดยเซ็นเซอร์อีกตัวจะทำหน้าที่ตรวจจับปริมาณสาร VOCs (ส่วนประกอบสารอินทรีย์ระเหยง่าย เช่น เบนซิน ฟอร์มาลดีไฮด์ และไนโตรเจนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากสี ควันที่เกิดจากเผาไหม้ธูปและเทียน และวัสดุในเฟอร์นิเจอร์ ส่วนเซ็นเซอร์ตัวที่สามจะวัดค่าความชื้นสัมพัทธ์และอุณหภูมิภายในห้อง

การดักจับ

แผ่นบอโรซิลิเกตไมโครไฟเบอร์ขนาดความยาว 9 เมตร จะดักจับอนุภาคขนาดเล็กและก๊าซได้ถึง 99.95% รวมทั้งสารที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ แบคทีเรีย ละอองเกสร และเชื้อรา ส่วนฟิลเตอร์ผงถ่านช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซับ กำจัดกลิ่นควันและก๊าซต่าง ๆ เช่น ไนโตรเจนออกไซด์และเบนซิน

การกำจัด

เทคโนโลยีพัดลมกรองอากาศ “Dyson Pure Cool Cryptomic” ห่อหุ้มด้วยตัวฟอกเชิงเร่งปฏิกิริยาที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเป็นสูตรเดียวกันกับแร่คริปทอมีเลน สามารถดักจับและทำลายสารฟอร์มาลดีไฮด์ และแปรให้เป็นเพียงน้ำและคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณเพียงเล็กน้อย

สารฟอร์มัลดีไฮด์เป็นสารที่ไม่มีสี แต่เป็นก๊าซที่อาจเป็นอันตรายได้ ทีมวิศวกรของ Dyson จึงได้นำความท้าทายนี้มาวิจัยเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาและได้มาซึ่งเทคโนโลยีพัดลมกรองอากาศ “Dyson Pure Cool Cryptomic” โดย Dyson ได้ลงทุนถึง 1 ล้านปอนด์ในการสร้างห้องวิจัยพริสต์ลีย์ ณ เมืองมาล์มสบรี สหราชอาณาจักร ซึ่งศูนย์วิจัยที่ทันสมัยแห่งนี้ได้ติดตั้งเครื่องตรวจจับก๊าซที่มีความไวสูงถึง 10 ตัว สามารถตรวจจับก๊าซอันตรายได้ถึง 19 ชนิด รวมถึงฟอร์มาลดีไฮด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ และแอมโมเนีย เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเร่งปฏิกิริยาออกซิเดชันของสารฟอร์มาลดีไฮด์นั้นปลอดภัย ทีมนักเคมีของ Dyson ได้ก้าวข้ามมาตรฐานอุตสาหกรรมและดำเนินการทดสอบตัวเครื่องกับการผสมสารเคมีต่าง ๆ ที่แตกต่างถึง 50 ครั้ง โดยการผสมสารเคมีเหล่านี้เปรียบเสมือนตัวอย่างของมลพิษทางอากาศภายในบ้านเรือนที่พบได้บ่อยกว่า 200 ชนิด

การปล่อยกระแสลม

มีเทคโนโลยี Air Multiplier™ และการปล่อยกระแสลมแบบ 350 องศา สามารถปล่อยอากาศที่ผ่านการกรองไปยังทั่วทุกมุมห้องได้ถึง 290 ลิตร ต่อวินาที

โหมดพัดลม

การใช้งานในโหมดพัดลม กระบังจะอยู่กับที่เพื่อส่งอากาศที่กรองแล้วไปข้างหน้าด้วยความแรง ช่วยทำความเย็นได้ดีในหน้าร้อน ไปพร้อมกับการกรองอากาศภายในห้องได้เป็นอย่างดี

 โหมดกระจายลม

กระบังจะเคลื่อนตัวไปบังช่องด้านหน้า เพื่อเปลี่ยนการไหลเวียนของลมให้ไปด้านหลังผ่านวงแหวนในมุมระดับ 45 องศา ช่องที่มีความกว้างเพิ่มขึ้น ช่วยให้อากาศกระจายได้มากขึ้น ใช้พลังงานน้อยลง และทำงานได้เงียบมาก ประสิทธิภาพการกรองอากาศยังคงเดิม โดยไม่ปล่อยความเย็นออกไป

แอปฯ Dyson Link

สามารถใช้บนโทรศัพท์มือถือระบบ iOS และ Android ผู้ใช้สามารถตรวจระดับมลภาวะภายในและภายนอกอาคาร รวมทั้ง อุณหภูมิและระดับความชื้น นอกจากนี้ยังใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องและเช็คเวลาที่เหลือในการใช้งานตัวฟิลเตอร์

พัดลมกรองอากาศนี้มาพร้อมกับระบบการทำงานผ่านทางอากาศแบบสมบูรณ์ หรือ Over the Air Update Capability (OTA) ลูกค้าจะยังคงได้รับซอฟท์แวร์ทันสมัยที่สุดหลังจากซื้อผลิตภัณฑ์

 ออกแบบสำหรับการใช้งานภายในบ้านอย่างแท้จริง

พัดลมกรองอากาศ Dyson ถูกออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานจริงภายในบ้าน ผู้ผลิตเครื่องกรองอากาศบางแห่งประเมินประสิทธิภาพการทำงานผ่านการทดสอบในห้องทดลองเพียงอย่างเดียว หรือวัดผลเพียงอัตราอากาศบริสุทธิ์หรือ Clean Air Delivery Rate ซึ่งกระบวนการนี้เกิดขึ้นในห้องขนาด 30 ตารางเมตร ที่มีพัดลมสำหรับช่วยให้อากาศหมุนเวียนและเซ็นเซอร์เพียงหนึ่งตัวเพื่อวัดคุณภาพของอากาศ ซึ่งไม่ใช่บรรยากาศทั่วไปของการอยู่อาศัยจริง

วิศวกร Dyson จึงสร้างห้องทดลองที่มีชื่อว่า POLAR test ขนาด 81 ตารางเมตร ที่สร้างขึ้นให้มีขนาดเทียบเท่ากับห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ โดยไม่มีพัดลม ภายในห้องประกอบด้วยเซ็นเซอร์ 8 ตัว ติดอยู่ทุกมุมห้อง และเซ็นเซอร์อีก 1 ตัว ติดตั้งไว้กลางห้องเพื่อเก็บข้อมูลคุณภาพอากาศในทุก ๆ 5 วินาที พร้อมตรวจจับฝุ่นมลภาวะทางอากาศที่มีขนาดเล็กกว่าเส้นผมของมนุษย์ถึง 300 เท่า โดยผลการวิเคราะห์จากเซ็นเซอร์ทั้ง 9 ตัว ทำให้วิศวกร Dyson มั่นใจว่าพัดลมกรองอากาศ Dyson Pure Cool Cryptomic มีประสิทธิภาพในการความสะอาดได้ทั่วถึงทั้งห้อง

พัดลมกรองอากาศ “Dyson Pure Cool Cryptomic” วางจำหน่ายในราคา 28,900 บาท สามารถส่งซื้อได้ที่ shop.dyson.co.th และที่ร้าน Dyson Demo สาขาสยาม พารากอน และไอคอนสยาม

 

 

“แสนสิริ” ชูแบรนด์ “อณาสิริ” โครงการแนวราบไตรมาสสุดท้าย ปี 62

alivesonline.com : “แสนสิริ” เดินหน้าสู่เป้าหมายผู้นำตลาดแนวราบใน 3 ปีเผยแผนแนวราบไตรมาสสุดท้ายปี 62 เปิด 8 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1.1 หมื่นล้านบาท ล่าสุดเปิดตัว “อณาสิริ บางใหญ่” 423 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1.9 พันล้านบาท ภายใต้แนวคิด “บ้านที่ รวมสังคมดี ๆ เอาไว้ด้วยกัน” ในรูปแบบมิกซ์โปรดักส์ ประกอบด้วย บ้านแฝดและบ้านเดี่ยวในโครงการเดียว

 

นายสมเกียรติ หงษ์ทรัพย์ภิญโญ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 บริษัทฯ ได้เดินหน้ารุกสู่เป้าหมายผู้นำตลาดแนวราบตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ โดยวางแผนเปิดตัวโครงการแนวราบ รวม 8 โครงการ มูลค่ารวม 1.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 3 โครงการ ทาวน์โฮม 4 โครงการ และมิกซ์โปรดักส์อีก 1 โครงการ

จากความสำเร็จของกลยุทธ์การรุกตลาดแนวราบในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี ล่าสุดบริษัทฯ จึงได้นำแบรนด์แนวราบ “อณาสิริ” ภายใต้แนวคิด “บ้านที่ รวมสังคมดี ๆ เอาไว้ด้วยกัน” ในรูปแบบมิกซ์โปรดักส์ตอบรับทุกความต้องการลูกค้าไว้ในโครงการเดียวที่ได้รับการตอบรับที่ดีในตลาดต่างจังหวัดมาเปิดการขายเป็นครั้งแรกในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในชื่อโครงการ “อณาสิริ บางใหญ่” ประกอบด้วย บ้านแฝดและบ้านเดี่ยว จำนวนทั้งสิ้น 423 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1.9 พันล้านบาท โดยได้เปิดพรีเซลในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ปรากฎว่าได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้า สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 30 ยูนิต

บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการ “อณาสิริ บางใหญ่” ต่อยอดความสำเร็จและเจาะตลาดเพื่อเติมเต็มทุกความต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลย่านบางใหญ่–บางบัวทอง ซึ่งเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่รองรับการขยายตัวของกรุงเทพฯ และนับเป็นทำเล New CBD (New Central Business District) ซึ่งก่อนหน้านี้ “แสนสิริ” ประสบความสำเร็จจากการปิดการขายบ้านเดี่ยวแบรนด์ “คณาสิริ” ไปแล้วถึง 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ “คณาสิริ วงแหวน–พระราม 5”, โครงการ “คณาสิริ ศาลายา” และโครงการ “คณาสิริ ปิ่นเกล้า–กาญจนา” รวมถึงยังมีโครงการยังเปิดการขายคือ “คณาสิริ ศาลายา–ปิ่นเกล้า” ที่มียอดขายแล้ว 40%

สำหรับโครงการ “อณาสิริ บางใหญ่” จำนวนทั้งสิ้น 423 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการ 82 ไร่ ประกอบด้วย บ้านแฝดและบ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์นที่ออกแบบให้ทุกพื้นที่อยู่อาศัยใช้สอยได้อย่างลงตัวกับการใช้ชีวิตและพร้อมรองรับครอบครัวทุกขนาดให้เลือกถึง 4 แบบ บนพื้นที่ 130–170 ตารางเมตร จากชื่อแบบบ้านที่มีแรงบันดาลใจจากชื่อของดอกไม้ จากบริบทของพื้นที่ ที่ส่งเสริมการปลูกดอกไม้ประดับ ทำให้ถนนกาญจนาภิเษกถูกยกให้เป็น “ถนนสายดอกไม้” จึงเป็นที่มาแนวคิดในการออกแบบโครงการภายใต้แนวคิด “Blooming Design” ที่ถ่ายทอดออกมาบนความโมเดิร์น เพื่อให้เข้ากับคุณรุ่นใหม่ที่พร้อมสร้างความรู้สึกที่หลากหลายด้วยฟังก์ชันให้เกิดชีวิตชีวาให้ทุกพื้นที่ในโครงการสู่แนวคิด “ความหลากหลายที่ลงตัว” ประกอบด้วยชื่อแบบบ้านที่มีแนวคิดมาจากพรรณไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของฤดูใบไม้ผลิ ได้แก่ Camellia (คาเมเลีย) บ้านแฝดในความรู้สึกบ้านเดียว พื้นที่ใช้สอย 130 ตารางเมตร, แบบบ้าน Tulip (ทิวลิป) บ้านเดี่ยวเพื่อครอบครัวเริ่มต้น พื้นที่ใช้สอย 138 ตารางเมตร, แบบบ้าน Iris ไอริส บ้านเดี่ยวเพื่อครอบครัวขยาย พื้นที่ใช้สอย 153 ตารางเมตร และ แบบบ้าน Peony (พีโอนี) บ้านเดี่ยวเพื่อครอบครัวขนาดใหญ่ พื้นที่ใช้สอย 170 ตารางเมตร เปิดขายในระดับราคา 3.79–6 ล้านบาท

 

 

นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า โครงการ “อณาสิริ บางใหญ่” มีจุดขาย หรือความโดดเด่นในเรื่องฟังก์ชันการจัดวางพื้นที่ใช้สอยที่เริ่มต้นถึง 4 ห้องนอนในทุกแบบบ้าน พร้อมนวัตกรรม “Cooliving Designed Home” ที่คิดค้นขึ้นเพื่อช่วยทำให้บ้านปลอดโปร่ง เย็นสบาย ประกอบด้วย ช่องระบายอากาศและแผ่นสะท้อนความร้อนใต้หลังคา เพื่อทำให้อากาศภายในตัวบ้านเย็นลง, Breeze Panel ช่องระบายอากาศบริเวณหน้าต่างเพื่อการถ่ายเทอากาศภายในบ้าน, UV Shield สีทาภายนอกชนิดพิเศษที่สะท้อนความร้อนของแสงแดดออกจากตัวบ้านในระหว่างวัน และยังเลือกใช้กระจกเขียวตัดแสงที่ช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน

ภายในบ้านยังประกอบด้วยเทคโนโลยีสมาร์ทโฮม อาทิ กล้อง IP Camera, เซนเซอร์ระบบจับการเคลื่อนไหว, ระบบสั่งการเปิดไฟอัตโนมัติ, หลอดไฟ LED ทั้งหลังเพื่อประหยัดพลังงาน และระบบไฟโรงจอดรถเปิดปิดอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังประกอบด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่ประกอบด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทั้งความร่มรื่นของโครงการ คลับเฮาส์ สวนส่วนกลาง สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์ทันสมัย รวมถึง Co-Working Space และ Educational Playground หรือพื้นที่มากกว่าสนามเด็กเล่น ภายใต้ความร่วมมือกับโรงพยาบาลเด็กสมิติเวช พร้อมการบริการในแบบ Sansiri Service และ LIV24 ที่ยกระดับความปลอดภัย 24 ชั่วโมงด้วยเทคโนโลยีเชื่อมต่อกับระบบรักษาความปลอดภัยและควบคุมอาคารเต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย

 

 

“จุดเด่นของโครงการคือทำเลที่ตั้งซึ่งใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง, เซ็นทรัล พลาซา เวสเกต, อิเกีย บางใหญ่, โรงเรียนเทพศิรินทร์ นนทบุรี, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พัฒนาการ บางใหญ่, โรงพยาบาลบางใหญ่และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รัตนาธิเบศร์ รวมถึงยังอยู่ใกล้ทางด่วนศรีรัช ทั้งนี้ เพื่อเป็นการตอบรับความสำเร็จจากการเปิดขายโครงการในเฟสแรก บริษัทฯ ยังได้มอบโปรโมชันรับส่วนลดสูงสุด 1 แสนบาท ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนและฟรีค่าส่วนกลางจนถึงเดือนธันวาคม 2564 มูลค่ารวมสูงสุดถึง 3 แสนบาทอีกด้วย”

นายสมเกียรติ กล่าวในตอนท้ายว่า บริษัทฯ คาดว่าแบรนด์ “อณาสิริ” จะเป็นอีกหนึ่งแบรนด์โครงการแนวราบที่ประสบความสำเร็จและแข็งแกร่งในการเติมเต็มความต้องการที่อยู่อาศัยให้ครอบคลุมทุกความต้องการได้ในอนาคต รวมถึงโครงการ “อณาสิริ บางใหญ่” จะนับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยและสามารถสร้างยอดขายที่ดีในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 ด้วยปัจจัยสนับสนุนจากความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงกลยุทธ์ที่มุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มเรียลดีมานต์ ทำให้เชื่อมั่นว่า บริษัทฯ จะสามารถสร้างยอดขายและยอดโอนโครงการแนวราบได้ 15,000 ล้านบาทตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน

 

“พฤกษา” ฝ่าวิกฤตอสังหาฯ สร้างยอดขาย 1.4 หมื่นล้านบาท

alivesonline.com : “พฤกษา” โชว์ผลงานไตรมาส 3 สวนกระแสวิกฤติตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ติดลบ 35% สร้างยอดขายรวม 14,113 ล้านบาท เติบโต 15% มีรายได้ 8,517 ล้านบาท เติบโต 9.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ไตรมาสสุดท้ายเดินหน้าปรับแผนกลยุทธ์เปิดโครงการใหม่ “Right Location, Right Timing และ Right Target” พร้อมจัดโปรแกรม Win Back ช่วยลูกค้าที่มีปัญหากู้เงินไม่ผ่านให้กลับมาซื้อบ้านได้อีกครั้ง

นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สร้างยอดขายได้ 14,113 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 15% มีรายได้ 8,517 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 9.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และมีกำไร 916 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาทำยอดขายได้ 37,480 ล้านบาท ลดลง 3.7% มีรายได้ 28,179 ล้านบาท ลดลง 6.8% และมีกำไร 3,534 ล้านบาท ลดลง 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือว่ายังทำได้ดีกว่าตลาดรวมที่มีกำลังซื้อชะลอตัวลง แต่ “พฤกษา” ยังคงเดินหน้าสร้างยอดขายและรายได้ให้เติบโตเพิ่มขึ้น โดยในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมามียอดจองโครงการใหม่สูงขึ้นถึง 30% ซึ่งสามารถทำได้ดีกว่าตลาดที่มียอดจองอยู่ที่ 27% และยังคงครองความผู้นำอสังหาฯ เบอร์ 1 ด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงสุด 12%”

ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในไตรมาส 3 มีมูลค่าตลาดฯ ติดลบถึง 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยลบจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา รวมไปถึงมาตรการ LTV และการปล่อยสินเชื่อของธนาคารที่เข้มงวดขึ้น โดย บริษัทฯ มีแผนช่วยเหลือลูกค้าที่มีปัญหาการกู้เงินไม่ผ่านให้กลับมาซื้อบ้านได้อีกครั้งผ่านโปรแกรม Win Back ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทฯ ได้ถึง 4,878 ล้านบาท คิดเป็น 13% ของยอดขายรวม

นางสุพัตรา กลาวอีกว่า สำหรับแผนการดำเนินงานในไตรมาสสุดท้าย บริษัทฯ ได้ร่วมกับธนาคารพันธมิตรในการช่วยเตรียมความพร้อมให้ลูกค้ากู้ผ่านได้ง่ายยิ่งขึ้น พร้อมปรับแผนกลยุทธ์เปิดโครงการใหม่อีก 9 โครงการ มูลค่า 8.8 พันล้านบาท โดยเลือกเปิดตัวโครงการที่มีศักยภาพ Right Location, Right Timing และ Right Target และยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่สามารถรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ 16,092 ล้านบาท พร้อมยังคงเดินหน้ามุ่งสร้างความเป็นเลิศทางการขาย (Sales Excellence) ผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยล่าสุดจัดแคมเปญต่อเนื่องผ่านธุรกิจ e-Commerce บนแพลตฟอร์ม Shopee เพื่อเพิ่มช่องทางการขายให้เข้าถึงตลาดกลุ่มมิลเลนเนียลที่เป็นกลุ่มที่นิยมการใช้สื่อดิจิทัลมากขึ้น โดยออกแคมเปญใหม่ “11.11 ลดอลัง ปังทุกยูนิต” เพียงกดซื้อคูปองผ่าน Shopee ในราคา 11 บาท สามารถนำไปแลกรับส่วนลดมูลค่าสูงถึง 2 แสนบาท ในการซื้อทาวน์โฮมพร้อมอยู่ของพฤกษาที่เข้าร่วมโครงการกว่า 111 ยูนิต ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 พ.ย.62 ขณะเดียวกันมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองที่เพิ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา คาดว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงโค้งสุดท้ายซึ่งน่าจะเป็นแรงผลักดันช่วยให้ “พฤกษา” ก้าวผ่านพ้นปีนี้ไปได้ด้วยดี

ALL โชว์งบ Q3 อัตรากำไรสุทธิพุ่งแตะนิวไฮ 20%

alivesonline.com : “ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์” โชว์ฟอร์มผลงานโตสวนกระแส ไตรมาส 3/62 โกยรายได้รวม 647 ล้านบาท เติบโต 39% ส่งซิกไตรมาส 4/2562 พีคสุดของปี รับอานิสงส์ไฮซีซั่น–มาตรการลดค่าโอนและค่าจดจำนองรัฐ-ดอกเบี้ยนโยบายลด เสริมทัพสร้างมูลค่ายอดขายเพิ่ม เตรียมกลยุทธ์เจาะอสังหาฯ แนวราบครบทุกมิติแบบครบวงจร ตอกย้ำการเป็นผู้นำบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ

นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL ผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยทั้งแนวสูงและแนวราบ รวมไปถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มแบบครบวงจร (Total Real Estate Solutions) เปิดเผยว่า จากความเข้าใจและความพร้อมในการปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับทุกสภาวการณ์และภาวะเศรษฐกิจมาโดยตลอด ด้วยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในแนวรถไฟฟ้า ประกอบกับการเจาะเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) ในระดับราคาขายที่เหมาะสม ทำให้ทุก ๆ โครงการมีกระแสตอบรับที่ดี ส่งผลภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา (มกราคม–กันยายน 2562) ประสบความสำเร็จอย่างมาก สะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงาน ทั้งรายได้ กำไรสุทธิ และยอดขาย (Presales) นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังประสบความสำเร็จด้านการพัฒนาโครงการให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันซึ่งเห็นได้จากยอดขายสะสมที่เกิดขึ้น

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/2562 (กรกฎาคม–กันยายน 2562) บริษัทฯ มีรายได้รวม 647 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 466 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 129 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 172% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิประมาณ 20% โดยมีปัจจัยหลักมากจากการส่งมอบโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการโอนอสังหาริมทรัพย์ 2,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้จากการโอนอสังหาริมทรัพย์งวดเดียวกันของปีก่อน 1,399 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นมาจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่มีกำหนดการแล้วเสร็จ และเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2562 ของ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการ “ดิ เอ็กเซล คูคต” มูลค่าโครงการ 720 ล้านบาท โครงการ “ไรส์ พระราม 9” มูลค่าโครงการ 1.6 พันล้านบาท และโครงการ “เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว–นวมินทร์”  มูลค่าโครงการ 1.4 พันล้านบาท

โครงการ “ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว–สุทธิสาร”

 

ณ สิ้นไตรมาส 3/62 บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) รวมมูลค่ากว่า 1.14 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการทาวน์โฮม จำนวน 300 ล้านบาท โครงการประเภท High Rise จำนวน 3.4 พันล้านบาท และ โครงการประเภท Low Rise จำนวน 7.7 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า (2562-2565) ทำให้บริษัทฯ มั่นใจผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีจากนี้ (2563-2565) จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ จากผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2562 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 เติบโตขึ้นอย่างโดดเด่น โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 2,339 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,602 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิที่ 342 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 213 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิประมาณ 15% สำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2562 โดยสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการโอนอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 2,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการโอนอสังหาริมทรัพย์ 1,399 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่นมาจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดที่มีกำหนดการแล้วเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2562 ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นในช่วง 9 เดือนแรกอยู่ที่ 36% และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 15%

“ยอดขายในช่วง 9 เดือนแรก ปี 2562 อยู่ที่ 6.5 พันล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 90% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี 2562 ที่ 7 พันล้านบาท โดยโครงการที่ส่งผลให้ภาพรวมยอดขายเป็นไปตามเป้าในช่วงที่ผ่านมา ประกอบด้วยโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโครงการที่มีการเปิดขายในปี 2562 ได้แก่ โครงการ “ดิ เอ็กเซล ลาดพร้าว–สุทธิสาร” โครงการ “เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว–นวมินทร์” และโครงการ “อิมเพรสชั่น เอกมัย”

โครงการ “อิมเพรสชั่น เอกมัย”

นายธนากร กล่าวอีกว่า ในช่วงไตรมาส 4/62 จะเป็นไตรมาสที่ดีสุดของปี เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับรัฐบาลได้ออกมาตรการปรับลดค่าใช้จ่ายในการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน และค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และล่าสุดที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.50 เป็นร้อยละ 1.25 ต่อปี โดยให้มีผลทันที ส่งผลให้ธุรกิจในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยดังกล่าว ในด้านอัตราการผ่อนชำระต่องวดของผู้กู้ที่อยู่อาศัยที่ลดลง และจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคให้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยบวกที่หนุนให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4/62 กลับมาคึกคัก

“จากแผนการดำเนินงานและกลยุทธ์ที่บริษัทฯ ตั้งเป้าไว้ เป็นเครื่องตอกย้ำให้บริษัทฯ มั่นใจถึงอัตราการเติบโตของผลการดำเนินงานในปี 2562 ว่า รายได้รวมในปีนี้ มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากปีที่ผ่านมา ขณะที่ยอดขายคาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่าที่ระดับ 7 พันล้านบาทอย่างแน่นอน”

นายธนากร กล่าวว่า บริษัทฯ ยังมีแผนในการปรับกลยุทธ์ธุรกิจในเชิงลึกมากขึ้น เพื่อตอกย้ำสู่การเป็นบริษัทผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ติดอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศ ตามเป้าวิสัยทัศน์ที่วางไว้ โดยการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ครบทุกมิติ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยเริ่มจากการแตกไลน์ เข้าไปลงทุนในสิทธิการเช่าช่วงอาคารศูนย์การค้า “เดอะ นิว ฟอรั่ม พลาซ่า” (The New Forum Plaza ) จังหวัดชลบุรี ซึ่งโครงการดังกล่าวคาดว่าจะแล้วเสร็จ และจะเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์ ในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 จะส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้จากค่าเช่า (Recurring Income) เฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปี ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป ตลอดอายุสัญญาเช่า 29 ปี

นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนบุกตลาดอสังหาริมทรัพย์แนวราบมากขึ้น อาทิ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ซึ่งปัจจุบันมีโครงการแนวราบ 1 โครงการคือ โครงการ “เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว–นวมินทร์” ซึ่งเป็นโครงการทาวน์โฮม โดยบริษัทฯ มองว่าดีมานด์ความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบมีปริมาณที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งจากความต้องการดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ มีแนวคิดที่จะปรับกลยุทธ์ โดยการเพิ่มรูปแบบประเภทที่อยู่อาศัย เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคให้หลากหลายและครบทุกมิติของที่อยู่อาศัย ในขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมทั้งประเภท Low Rise และ High Rise บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในแนวรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง

โครงการ “เดอะ วิชั่น ลาดพร้าว–นวมินทร์”