“เอพี” ยิ้มรับรายได้รวม 9 เดือนแรกกว่า 2.25 หมื่นล้านบาท

alivesonline.com : “เอพี ไทยแลนด์” มั่นใจตลาดที่อยู่อาศัยในเมืองยังคงมีดีมานด์ ส่งผล 9 เดือนแรกปี 62 รายได้รวมเติบโตถึง 2.25 ล้านบาท พร้อมยอดโอนสินค้าแนวราบเท่ากับ 1.39 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีแบ็คล็อกคอนโดฯ 4.68 หมื่นล้านบาท

นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งอายุของผู้ซื้อที่ลดน้อยลงเรื่อย ๆ และมีความต้องการที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ถือเป็นอีกความท้าทายของผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่จะสร้างสรรค์สินค้าให้มีความแตกต่างและโดดเด่นโดนใจผู้บริโภค ซึ่ง “เอพี” มองว่าตลาดที่อยู่อาศัยในเมืองยังคงมีดีมานด์ เพียงแต่รูปแบบและแพ็คเกจราคาสินค้าต้องพัฒนาบนพื้นฐานความต้องการที่อยู่อาศัยจริง รวมถึงสอดรับกับความสามารถในการผ่อนชำระในยุคปัจจุบัน

ในรอบ 9 เดือนของปี 2562 บริษัทฯ มีผลประกอบการเติบโตโดดเด่นด้วยความสำเร็จจากสินค้าบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ส่งผลให้รายได้รวมเติบโตถึง 22,514 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนมียอดโอนสินค้าแนวราบเท่ากับ 13,942 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7.7% ด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 2,183 ล้านบาท

ขณะที่สินค้าสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2562 มีมูลค่ารวมประมาณ 55,293 ล้านบาท เป็นสินค้าคอนโดมิเนียม (รวมโครงการร่วมทุน) มูลค่า 46,894 ล้านบาท ซึ่งรอรับรู้ภายในไตรมาส 4 ของปี 2562 ประมาณ 5,156 ล้านบาท โดยมีโครงการ “LIFE วัน ไวร์เลส” และ “LIFE สุขุมวิท 62” เป็นคีย์สำคัญในการสร้างรายได้ และสินค้าแนวราบมูลค่า 8,399 ล้านบาท คาดรับรู้ภายในปีนี้ประมาณ 5,039 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในปี 2562 บริษัทฯ เปิดตัวโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 27 โครงการมูลค่า 47,860 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2562 สามารถสร้างยอดขายได้แล้วกว่า 30,600 ล้านบาท

9 เดือนแรก “มั่นคงเคหะการ” สร้างรายได้รวม 3.7 พันล้านบาท

alivesonline.com : “มั่นคงเคหะการ” โชว์ผลงาน 9 เดือน ปี 2562 สร้างรายได้รวม 3,742 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10% หรือประมาณ 339 ล้านบาท กำไรเพิ่ม 36% แจงธุรกิจเพื่อเช่าและบริการมาแรง สร้างรายได้กว่า 242 ล้านบาท กำไรเพิ่มสูงถึง 25% จากปีที่ผ่านมา

นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานสะสม 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 ว่า มีรายได้รวม 3,742 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% หรือประมาณ 339 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 3,237 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 6% และรายได้จากธุรกิจเพื่อเช่าและบริการ 242 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา สำหรับไตรมาส 3/2562 มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์มีจำนวน 627 ล้านบาท  ในขณะที่ธุรกิจเพื่อเช่าและบริการสามารถสร้างรายได้ 86 ล้านบาท เติบโต 37%

ผลการดำเนินงานตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา ยังคงสามารถรักษาระดับรายได้เป็นไปตามเป้าหมาย ผลเนื่องมาจากมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเพื่อผ่อนคลายผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่อ LTV และจากภาวะเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีแรกจะชะลอตัว ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงชะลอการเปิดตัวโครงการและเร่งระบายสินค้าคงคลังเก่าให้หมด เป็นผลให้มีการแข่งขันด้านราคาค่อนข้างสูง ซึ่งบริษัทฯ มีหลายโครงการที่อยู่ในช่วงใกล้ปิดการขาย เป็นผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในไตรมาส 3 ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐเรื่องการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอน และค่าจดทะเบียนการจำนองสำหรับบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีสินค้าที่อยู่ในระดับราคานี้หลายโครงการ ส่วนไตรมาส 4 บริษัทฯ ยังคงดำเนินตามแผนที่วางเอาไว้ ในการเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ โดยได้ทำการเปิด 2 โครงการแรกไปแล้วเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว “ชวนชื่น ไพรม์ วิลเลจ บางนา” ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท และโครงการทาวน์โฮม “ชวนชื่น ทาวน์ ชัยพฤกษ์–แจ้งวัฒนะ” ราคาเริ่มต้น 2.89 ล้านบาท

นายวรสิทธิ์ กล่าวในตอนท้ายว่า จากแผนธุรกิจ 5 ปีที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจเพื่อขายกับธุรกิจเพื่อเช่าและบริการให้มีสัดส่วนเป็น 50:50 ยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ สำหรับกำไรขั้นต้นจากธุรกิจการให้เช่าและบริการในไตรมาสนี้มีจำนวนรวม 44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% หรือ 10 ล้านบาท จากยอดรายได้ 86.18 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จาก โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน จำนวน 74.36 ล้านบาท สูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนถึง 41.84% หรือ 21.94 ล้านบาท อีกส่วนหนึ่งเป็นรายได้จากโครงการ “พาร์คคอร์ท” โครงการสนามกอล์ฟ “ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ” และธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ โดย บริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด และที่สำคัญบริษัทฯ ยังการรักษาสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนทุนให้ยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 มีสัดส่วนเท่ากับ 1.15 ลดลงจากสิ้นปี 61

จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานสะสม 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2562 ว่า มีรายได้รวม 3,742 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% หรือประมาณ 339 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 3,237 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 6% และรายได้จากธุรกิจเพื่อเช่าและบริการ 242 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา สำหรับไตรมาส 3/2562 มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์มีจำนวน 627 ล้านบาท  ในขณะที่ธุรกิจเพื่อเช่าและบริการสามารถสร้างรายได้ 86 ล้านบาท เติบโต 37%

ผลการดำเนินงานตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา ยังคงสามารถรักษาระดับรายได้เป็นไปตามเป้าหมาย ผลเนื่องมาจากมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเพื่อผ่อนคลายผลกระทบจากมาตรการควบคุมสินเชื่อ LTV และจากภาวะเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีแรกจะชะลอตัว ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงชะลอการเปิดตัวโครงการและเร่งระบายสินค้าคงคลังเก่าให้หมด เป็นผลให้มีการแข่งขันด้านราคาค่อนข้างสูง ซึ่งบริษัทฯ มีหลายโครงการที่อยู่ในช่วงใกล้ปิดการขาย เป็นผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในไตรมาส 3 ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นของภาครัฐเรื่องการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอน และค่าจดทะเบียนการจำนองสำหรับบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มีสินค้าที่อยู่ในระดับราคานี้หลายโครงการ ส่วนไตรมาส 4 บริษัทฯ ยังคงดำเนินตามแผนที่วางเอาไว้ ในการเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ โดยได้ทำการเปิด 2 โครงการแรกไปแล้วเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว “ชวนชื่น ไพรม์ วิลเลจ บางนา” ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท และโครงการทาวน์โฮม “ชวนชื่น ทาวน์ ชัยพฤกษ์–แจ้งวัฒนะ” ราคาเริ่มต้น 2.89 ล้านบาท

นายวรสิทธิ์ กล่าวในตอนท้ายว่า จากแผนธุรกิจ 5 ปีที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนกำไรขั้นต้นของธุรกิจเพื่อขายกับธุรกิจเพื่อเช่าและบริการให้มีสัดส่วนเป็น 50:50 ยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ สำหรับกำไรขั้นต้นจากธุรกิจการให้เช่าและบริการในไตรมาสนี้มีจำนวนรวม 44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% หรือ 10 ล้านบาท จากยอดรายได้ 86.18 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้จาก โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน จำนวน 74.36 ล้านบาท สูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนถึง 41.84% หรือ 21.94 ล้านบาท อีกส่วนหนึ่งเป็นรายได้จากโครงการ “พาร์คคอร์ท” โครงการสนามกอล์ฟ “ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ” และธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ โดย บริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด และที่สำคัญบริษัทฯ ยังการรักษาสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนทุนให้ยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 มีสัดส่วนเท่ากับ 1.15 ลดลงจากสิ้นปี 61

“ออริจิ้น” รับอานิสงส์มาตรการภาครัฐกระตุ้นอสังหาฯ

alivesonline.com : “ออริจิ้น” โชว์ผลประกอบการไตรมาส 3/2562 คว้าแบ็กล็อก 4 หมื่นล้านบาท เตรียมทยอยโอนโครงการให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่องในช่วง Q4 ยิ้มรับอานิสงส์จากมาตรการรัฐ อัดแคมเปญแรงส่งท้ายปี หนุนยอดขายทะลุเป้า 2.8 หมื่นล้านบาท หลังโกยยอดขายแล้วกว่า 90%

 

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2562 ของบริษัทฯ ยังคงอยู่ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของยอดขายพรีเซลในไตรมาส 3 อยู่ที่ 11,068 ล้านบาท ส่วนยอดขายพรีเซลสะสมในช่วง 9 เดือนมียอดรวม 24,028 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ในส่วนของรายได้รวมอยู่ที่ 3,628 ล้านบาท ทำให้ภาพรวมบริษัทฯ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี มีรายได้รวม 10,418 ล้านบาท ขณะเดียวกัน กำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/2562 อยู่ที่ 687ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิ 9 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 2,145 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น ร้อยละ 43.1 และอัตรากำไรสุทธิ ร้อยละ 20.6 โดยปัจจัยที่ทำให้มีรายได้และกำไรในระดับดังกล่าวได้ เนื่องจากโครงการใหม่ ๆ ยังคงก่อสร้างแล้วเสร็จและทยอยโอนได้ตามแผนงาน และบริษัทฯ ยังคงความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นได้อย่างยอดเยี่ยม

บริษัทฯ มียอดรอรับรู้รายได้ ณ สิ้นไตรมาส 3/2562 สูงถึงกว่า 4 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 4/2562 มีคอนโดมิเนียมหลายโครงการที่พร้อมจะรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ ไนท์บริดจ์ ไพรม์ สาทร, เคนซิงตัน สุขุมวิท-เทพารักษ์, ไนท์บริดจ์ พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์, เคนซิงตัน พหลโยธิน 63 ขณะเดียวกัน โครงการบ้านจัดสรรแบรนด์บริทาเนียหลายโครงการทั้ง บริทาเนียวงแหวน-หทัยราษฎร์, บริทาเนียบางนา กม.12, และบริทาเนียเมกะทาวน์ บางนา รวมถึงโครงการใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวอย่าง บริทาเนียบางนา กม.42 และบริทาเนียบางนา-สุวรรณภูมิ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดี และพร้อมทยอยโอนอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4 เช่นกัน

“ภาพรวมตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากการที่ภาครัฐออกมาตรการช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อและโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์หลายมาตรการตลอดทั้งปี เช่น มาตรการลดค่าธรรมเนียมการจดจำนองและค่าธรรมเนียมการโอนสำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ทั่วประเทศเมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา และมาตรการลดหย่อนภาษีสูงสุด 2 แสนบาท สำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท โดย “ออริจิ้น” มีโครงการที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จพร้อมอยู่ที่จะได้รับอานิสงส์จาก 2 มาตรการดังกล่าว รวมกว่า 6 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่ายังคงทำได้ตามแผนอย่างแน่นอน”

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 บริษัทฯ มีโครงการเปิดใหม่ทั้งสิ้น 8 โครงการ แบ่งเป็นคอนโดมิเนียมแบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” และ “นอตติ้ง ฮิลล์” ในโครงการสมาร์ท ซิตี้ โซนอีอีซี รวม 3 โครงการ และโครงการบ้านจัดสรรแบรนด์ “บริทาเนีย” 5 โครงการ ซึ่งยังคงเดินหน้าตามแผน ขณะเดียวกันได้ออกแคมเปญฉลองครบรอบก่อตั้ง 10 ปี “โปรแรงแซงมาตรการรัฐ” กับโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่แนวรถไฟฟ้าและอีอีซี 12 โครงการ มอบส่วนลดสุดพิเศษให้แก่ผู้บริโภคสูงสุดถึง 2 ล้านบาท พร้อมสิทธิพิเศษอีกมากมาย อาทิ ฟรีค่าส่วนกลาง 5 ปี ค่าจดจำนอง ค่าโอน 1% ค่ากองทุนอาคารชุด ค่าประกันมิเตอร์น้ำ, มิเตอร์ไฟ และพิเศษสุดรับดอกเบี้ย 2.50% 3 ปีแรกสำหรับผู้ขอสินเชื่อกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ผ่อนต่ำ เริ่มต้นเพียงล้านละ 3.3 พันบาทต่อเดือน นาน 40 ปี รวมถึงมีจัดแคมเปญร่วมกับ Lazada จองคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ จึงเชื่อว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นยอดขายรวมและรายได้ทั้งปีของบริษัทฯ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยปัจจุบันมียอดขายสะสมแล้วกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท หรือกว่า 90% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี และโครงการใหม่แบรนด์ “พาร์ค ออริจิ้น” (Park Origin) และ “ดิ ออริจิ้น” (The Origin) ได้รับการตอบรับที่ดีมียอดขายเฉลี่ย (Take Up Rate) กว่า 90%

อนึ่ง บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 71 โครงการ เช่น แบรนด์ “พาร์ค ออริจิ้น” (PARK ORIGIN) “ดิ ออริจิ้น” (The Origin) “ไนท์บริดจ์” (KnightsBridge), “นอตติ้ง ฮิลล์” (Notting Hill), “เคนซิงตัน” (Kensington) และ “บริทาเนีย” (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 1.1 แสนล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร

สูดออกซิเจนเสพงานศิลป์ “DOWNTOWN OASIS” @ ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร

alivesonline.com : กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ระดับคุณภาพ เปิดตัวผลงานศิลปะชิ้นที่สาม ภายใต้ชื่อ “DOWNTOWN OASIS” ที่ได้ร่วมมือกับสองศิลปิน “วีร์ วีรพร” และ “วิชชุลดา ปัณฑรานุวงศ์” สร้างสรรค์ผลงานแรงบันดาลใจจากพื้นที่สีเขียวในโครงการ “ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร” โดยจัดแสดง ณ แลนด์มาร์คงานศิลป์แห่งใหม่ที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของ “ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร” ซึ่งเป็นหนึ่งในชุดผลงานศิลปะหมุนเวียน 4 ชิ้นภายใต้ธีมความเป็นย่านสาทรที่พร้อมให้ทุกคนเข้าไปเช็คอินและถ่ายรูปแล้ว ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงสิ้นเดือนมกราคม 2563

“DOWNTOWN OASIS” ดึงจุดเด่นของพื้นที่สีเขียวขนาด 4 ไร่ในโครงการ “ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร” ที่สร้างความร่มรื่นให้คนทำงานและผู้ที่ผ่านไปมา ผสานเข้ากับพื้นที่สีเขียวในบริเวณต่าง ๆ ของย่านสาทร มาเป็นแรงบันดาลใจในการรังสรรค์ผลงานศิลปะชิ้นใหม่ที่ถ่ายทอดเอกลักษณ์ของโครงการ ซึงทำหน้าที่เป็นพื้นที่สีเขียวแห่งใหม่ใจกลางเมือง

สองศิลปิน “วีร์ วีรพร” และ “วิชชุลดา ปัณฑรานุวงศ์” ได้ทำการสำรวจพื้นที่สีเขียวที่ซุกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าใจกลางเมืองในบริเวณเขตสาทรโดยมีจุดศูนย์กลางเป็น “ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร” พบว่าในเขตสาทรนี้มีสวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวมากถึง 10 แห่ง อาทิ สวนรถไฟฟ้าตากสิน สวนหย่อมซอยอยู่ดี และสวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เป็นต้น

“DOWNTOWN OASIS” จึงนำแรงบันดาลใจจากพื้นที่สีเขียวที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในย่านสาทรดังกล่าวมาผสานกับตัวอักษร “สาทร” ที่ถูกออกแบบให้มีความอ่อนช้อยเหมือนการเขียนด้วยลายมือ มีเส้นโค้งที่เกี่ยวพันกันเปรียบเสมือนการเติบโตของต้นไม้ในป่าใหญ่ โดยเลือกนำขวดพลาสติกมารียูสกว่า 2,000 ชิ้นมาสร้างเป็นผลงานชิ้นนี้ เพื่อสร้างความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการใช้พลาสติก โดยเป็นผลงานชิ้นใหม่ล่าสุดที่ต่อยอดจากสองผลงานที่เปิดตัวไปก่อนหน้าภายใต้ชื่อ “ความเป็นย่าน เกิดจากความสัมพันธ์” และ “ความเป็นย่านคือการใช้ชีวิต” ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ที่มาเยี่ยมเยือน “ภิรัชทาวเวอร์ แอท สาทร” และผู้ที่ผ่านไปมา ในการมอบความผ่อนคลายและนำเสนอย่านสาทรผ่านผลงานศิลปะได้อย่างน่าสนใจ

สามารถรับชมและดื่มด่ำกับผลงานชิ้นที่สาม “DOWNTOWN OASIS” ผลงานรักโลกและเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจพื้นที่สีเขียวย่านสาทรได้แล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงสิ้นเดือนมกราคม หรือแชร์และติดตามรับชมผลงานเพิ่มเติมได้ที่แฮชแทก #BhirajAtSathonArt

พัฒนาผลิตภัณฑ์ระบบพลังงาน

นายสัมพันธ์ วงษ์ปาน (ที่ 2 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) ลงนามข้อตกลงทางธุรกิจเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ กับ นายอิน ยอง ชุย (ที่ 2 จากขวา) ผู้จัดการหน่วยธุรกิจย่อยทั่วโลกและระบบส่งกำลังหน่วยระบบประสิทธิภาพ บริษัท ฮโยซอง คอร์ปอเรชั่น จํากัด (Hyosung Corporation) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Energy Storage และ GIG (Gas-Insulated Substation) หนึ่งในกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเกาหลีใต้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสาธารณูปโภคด้านพลังงานของประเทศ ให้มีความก้าวหน้า ทันสมัย มีความมั่นคง และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนไทยโดยรวม ณ โรงแรมรอยัล คลิฟ โฮเต็ล พัทยา เมื่อเร็ว ๆ นี้

อุตฯ ความงาม เจาะกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล

นางคลาวเดีย บอนฟิกลอลี่ (ที่ 4 จากซ้าย) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินฟอร์มา มาร์เก็ต จำกัด พร้อมด้วย นางเกศมณี เลิศกิจจา (ที่ 4 จากขวา) นายกสมาคมสมาคมผู้ผลิตเครื่องสำอางไทย เป็นประธานเปิดงานเสวนา “เจาะลึกกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล ในอุตสาหกรรมความงาม 2020” เทรนด์ตลาดความงามในเอเชีย เจาะลึกโอกาสและเทรนด์ความงามบนโลกออนไลน์ รวมไปถึงกลยุทธ์การตลาดเชิงธุรกิจของแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม รวมถึงการจัดงาน “Cosmoprof CBE ASEAN 2020” งานจัดแสดงสินค้าเพื่อธุรกิจความงามระดับโลกที่จะจัดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย ในวันที่ 17-19 กันยายน 2563 ณ ศูนย์การแสดงสินค้า และการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมี นายสรรชาย นุ่มบุญนำ, นางสาวสุชาดา มานะศิลปาพัน,นายอนุพง จันทร และนางสาวยิง ซาน ร่วมงาน ณ  ณ โรงแรมพูลแมน คิงพาวเวอร์ รางน้ำ เมื่อเร็ว ๆ นี้

“ทรู ไอคอน ฮอลล์” เปิดตัวยิ่งใหญ่

“ทรู ไอคอน ฮอลล์” โครงการร่วมทุนระหว่าง “ไอคอนสยาม” กับ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” นำโดย นางเกตุวลี นภาศัพท์ (ที่ 7 จากขวา) ประธานกรรมการ ทรู ไอคอน ฮอลล์ นายศุภชัย เจียรวนนท์ (ที่ 7 จากซ้าย) ประธานกรรมการ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น พร้อมด้วยคณะกรรมการ “ทรู ไอคอน ฮอลล์” ร่วมเปิด “ทรู ไอคอน ฮอลล์” ศูนย์การประชุม การจัดแสดงงาน และความบันเทิงขนาดใหญ่ ระดับเวิลด์คลาสอันทันสมัยแห่งใหม่ของประเทศอย่างเป็นทางการ สร้างปรากฏการณ์ใหม่เหนือระดับในวงการไมซ์ ซึ่งได้ผสานรวมสิ่งที่ดีที่สุดเข้าด้วยกันของ 2 พันธมิตรชั้นนำ ทั้งเรื่องสถานที่อันโดดเด่นของ “ไอคอนสยาม” และความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงผู้นำด้านคอนเทนต์และมีเดียของ “กลุ่มทรู” โดยในงาน ยังได้จัดการแสดงอันตระการตา ทั้ง “โขน ไอคอนแห่งศิลปะไทย” ตอนกวนเกษียรสมุทร และโชว์สุดพิเศษส่งตรงจากประเทศอิตาลี โดยศิลปินชื่อดังก้องโลก “MATTEO BOCELLI” เพื่อโชว์ฟังก์ชั่นล้ำสมัยที่สุดเท่าที่ไทยเคยมีมาให้ผู้ร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ และประทับใจกับการได้มาเยือน “ทรู ไอคอน ฮอลล์” ไอคอนที่แท้จริงของการสร้างความสุขและประสบการณ์ที่ดีที่สุดแบบ 360 องศา

“สหพัฒน์” ให้น้อง “ยอดมนุษย์ตัวจิ๋ว Little Hero ปี 4”

นางสาวเบญญาสิริณัฐ ธนพรโชคไชย (ที่ 6 จากขวา) ผู้จัดการส่วนแผนกโฆษณาและสื่อสารองค์กร บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) จัดโครงการ “สหพัฒน์ให้น้อง ตอน…ยอดมนุษย์ตัวจิ๋ว Little Hero ปี 4” เพื่อส่งเสริมเยาวชนมีความประพฤติที่ดี ซื่อสัตย์และมีคุณธรรม ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีให้เยาวชนคนอื่นหันมาทำความดีมากยิ่งขึ้น โดยจัดอย่างต่อเนื่องก้าวเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว พร้อมกันนี้ยังได้มอบผลิตภัณฑ์ซื่อสัตย์และอุปกรณ์กีฬา “มอลเทน” ให้ นางสุชาดา บุญชิต (ที่ 5 จากขวา) ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดปากลัด (ผลาคารบำรุงวิทย์) จ.สมุทรสงคราม เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางการศึกษาให้แก่เยาวชน

ส่งมอบ “แลคตาซอย” สูตรเจ ให้โรงเจ 12 แห่ง

นางสาวขวัญสุดา สุทธิสาร (ที่ 2 จากซ้าย) หัวหน้าส่วนงานกิจกรรมสัมพันธ์ บริษัท แลคตาซอย จำกัด ส่งมอบ “แลคตาซอย” สูตรเจ รสงาดำ และไฮ-แคลเซียม ในแคมเปญ “อิ่มเจ อิ่มใจ ให้ชีวิต” ให้โรงพยาบาลเทียนฟ้ามูลนิธิ โดยมี นายชาญวิทย์ หิรัญอัศว์ (ที่ 2 จากขวา) ประธานกรรมการ เป็นผู้รับมอบ โดยยังได้เดินสายมอบ “แลคตาซอย” ให้โรงเจทั้งสิ้นรวม 12 แห่ง เพื่อนำไปแจกให้กับประชาชนได้ดื่มตลอดช่วงเทศกาลเจ ประจำปี 2562

“แสนสิริ” ตุนแบ็กล็อก 5.9 หมื่นล้าน

alivesonline.com : “แสนสิริ” เผยผลประกอบการรอบ 9 เดือน ประสบความสำเร็จจากการรุกตลาดแนวราบ โกยรายได้ 1.69 หมื่นล้านบาท โอ่ไตรมาส 3 เติบโตโดดเด่น มีรายได้ 6 พันล้านบาท ล่าสุดขึ้นแท่นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทแม่โรงแรม The Standard แบรนด์โรงแรมอเมริกันที่โด่งดัง เตรียมเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในเอเชียรวมถึงไทย ฟุ้งแผนความเชื่อมั่นในธุรกิจ ตุนพรีเซลแบ็กล็อกในมือแน่นกว่า 5.9 หมื่นล้านบาท รองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 3 ปี

นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ผลประกอบการในรอบ 9 เดือนของปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวมกว่า 1.69 หมื่นล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,113 ล้านบาท นับว่ามีผลประกอบการที่น่าพอใจ โดยเฉพาะผลการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งมีรายได้รวมกว่า 6 พันล้านบาท เติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อน 40% โดยรายได้จากการขายเติบโตขึ้นถึง 61% จากการทยอยโอนส่งมอบคอนโดมิเนียม อาทิ โครงการ 98 Wireless, ทากะ เฮาส์ และดีคอนโด หาดใหญ่ รวมถึงการโอนที่อยู่อาศัยคุณภาพให้แก่ลูกค้าตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีกำไรสุทธิเฉพาะไตรมาส 3 อยู่ที่ 424 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาสก่อนถึงเกือบ 50%

ความสำเร็จในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเป็นเพราะกลยุทธ์ที่สำคัญในการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจโดยการรุกตลาดแนวราบซึ่งเป็นตลาดที่มาจากเรียล ดีมานด์ ของลูกค้ามีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง “แสนสิริ” จึงสร้างความแตกต่างด้วยกลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่ครอบคลุมแบรนด์แนวราบ ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซ็กเมนต์ พร้อมสร้างความแข็งแกร่งและจุดเด่นในแต่ละแบรนด์ที่ชัดเจนและแตกต่างเหนือคู่แข่ง ส่งผลให้ผลประกอบการในช่วง 9 เดือนประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ยังมีผลงานการโอนที่โดดเด่นทั้งในแนวราบและแนวสูง โดยมียอดโอนโครงการแนวราบเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อน 37%

ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมยอดโอนเติบโตกว่า 104% โดยยังได้เตรียมโอนคอนโดมิเนียมอีก 6 โครงการในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ได้แก่ “ลา กาซิตา” คอนโดฯ ตากอากาศพร้อมอยู่สไตล์สแปนิช กลางหัวหิน, คอนโดมิเนียมภายใต้ความร่วมมือกับ บริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ในโครงการ “เดอะ เบส สุขุมวิท 50” รวมถึงคอนโดฯ ภายใต้ความร่วมมือ บีทีเอส-แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ใน 4 โครงการบนทำเลศักยภาพติดแนวรถไฟฟ้ารอบกรุงเทพฯ 4 โครงการ ได้แก่ “เดอะ เบส เพชรเกษม” คอนโดฯ ใจกลางย่านชุมชนของเพชรเกษม-บางแคที่ตอบโจทย์เรียลดีมานด์ที่ซื้ออยู่เอง, “เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101” คอนโดฯ ไฮไรส์บนทำเลศักยภาพใกล้รถไฟฟ้าBTS ปุณณวิถีเพียง 250 เมตร, “เดอะ ไลน์ พหลฯ-ประดิพัทธ์” ในทำเลเจาะกลุ่มผู้ต้องการอยู่อาศัยใกล้สถานีรถไฟฟ้าสะพานควาย และโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนบนที่สุดของทำเลใจกลางทองหล่อ ได้แก่ “คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค”

นายวันจักร์ กล่าวอีกว่า ผลงานที่สำคัญในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา ยังได้เข้าซื้อเงินลงทุนจากผู้ถือหุ้นเดิมรายหนึ่งใน Standard International Holdings, LLC. หรือ SIH บริษัทแม่ของโรงแรม The Standard แบรนด์โรงแรมอเมริกันที่โด่งดังไปด้วยกลุ่มลูกค้าเปี่ยมไปด้วยรสนิยม การออกแบบล้ำสมัย และการมอบการบริการที่เหนือมาตรฐาน โดย “แสนสิริ” ได้ถือหุ้นเพิ่มจากเดิม 37.26% เป็น 60.37% ส่งผลให้ SIH เป็นบริษัทย่อยทางตรงของ Sansiri (US), Inc. และเป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัทฯ โดยปริยาย

“ในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปีเต็มหลังจากที่แสนสิริได้เข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ Standard International ได้ประกาศแผนการขยายธุรกิจสู่ระดับนานาชาติโดยการเปิดโรงแรมแห่งใหม่ทั่วโลก พร้อมขยายสู่ 25 โรงแรมภายใน 5 ปีข้างหน้า โดยได้เปิดแห่งแรกนอกสหรัฐอเมริกา คือ ย่านคิงส์ครอส ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2019 The Standard ได้เปิดตัว The Standard, Huruvalhi Maldives ซึ่งเป็นโรงแรม The Standard แห่งแรกในเอเชีย และเปลี่ยนภาพเดิม ๆ ของมัลดีฟส์ เพื่อพร้อมต้อนรับกลุ่มเพื่อน ครอบครัว คู่รักที่มองหาความแตกต่าง รวมถึงคนโสดที่อยากจะมาเติมพลังให้กับชีวิตที่มัลดีฟท์ นอกจากนี้ยังพร้อมเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในเอเชีย รวมถึงประเทศไทยในเร็ว ๆ นี้อีกด้วย”

นายวันจักร์ กล่าวอีกว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 ยังนับเป็นไตรมาสที่สำคัญของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากการที่ลูกค้าจะมองหาและตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ นอกจากนี้ จากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐที่ประกาศลดค่าโอน ค่าจดจำนอง จนถึงสิ้นปี 2563 คาดว่าจะช่วยกระตุ้นความต้องการที่อยู่อาศัยให้มีความคึกคักและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยในช่วงปลายปีนี้ได้เป็นอย่างดี โดยบริษัทฯ ยังมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดในช่วงไตรมาส 4 รวมอีก 10 โครงการ รวมมูลค่า 1.48 หมื่นล้านบาท เพื่อตอบรับเรียล ดีมานด์ รวมถึงยังมีพรีเซล แบ็กล็อก อีกกว่า 5.9 หมื่นล้านบาทที่จะรองรับการเติบโตระยะยาวเป็นระยะเวลาอีก 3 ปี