“ไรมอน แลนด์” ขยายฐานลูกค้าลักซ์ชัวรี่ต่างชาติ

alivesonline.com : “ไรมอน แลนด์” โชว์ผลประกอบการ 9 เดือน ปี 62 รายได้ 3,067 ล้านบาท จากคอนโดฯ หรู “The Lofts Asoke” และ The Diplomat 39เผย Q4 วางกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าต่างชาติ เปิดโชว์รูมในสิงคโปร์ พร้อมเดินสายโรดโชว์ไต้หวัน จ่อขายหุ้นกู้ 500 ล้านบาท ให้นักลงทุนรายใหญ่และบุคคลในวงจำกัด เริ่ม 28 พ.ย.-3 ธ.ค.62

นายไลโอเนล ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ของประเทศไทย เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 3/62 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 715 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม  437 ล้านบาท จำนวน 278 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 64% และมีกำไรสุทธิ  38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 157% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ ขาดทุนสุทธิ  66 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรกปี 2562 มีรายได้รวม  3,067  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,254 ล้านบาท หรือ 69% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,813 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 189 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุน 101 ล้านบาท

ผลประกอบการของบริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีก่อน โดยรับรู้รายได้หลักจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียมหรูใจกลางเมืองคือ โครงการ “The Lofts Asoke” โครงการ “The Diplomat 39” และโครงการอื่น ๆ ในงวด 3 เดือนรวม 485 ล้านบาท ประกอบกับในไตรมาส 3 บริษัทฯ มีรายได้พิเศษจากการขายโครงการอาคารสำนักงานขนาดเล็กที่รัชดา และขายเงินลงทุนในบริษัทย่อย รวมมูลค่าประมาณ 112 ล้านบาท

เมื่อมองภาพรวม 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ รับรู้รายได้หลักจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียม รวม 2,557 ล้านบาท และมีรายได้พิเศษจากการขายที่ดินรอการพัฒนา เงินลงทุนในบริษัทย่อย และโครงการที่ขายในไตรมาส 3 อยู่ที่ 203 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิและอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยใน 9 เดือนแรกปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการโอนโครงการที่บริษัทพัฒนาเองคือ โครงการ “The Lofts Asoke” ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นปกติ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่บริษัทฯ มีรายได้หลักจากการโอนโครงการ “The Diplomat 39” ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากเป็นโครงการที่ซื้อมาเพื่อขายและรับรู้รายได้ทันที ซึ่งไม่ต้องรับความเสี่ยงในการดำเนินการก่อสร้าง

นายไลโอเนล กล่าวอีกว่า ในส่วนของแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/62 คาดว่าจะเติบโตดีต่อเนื่อง เนื่องจากมีกำหนดโอนรับรู้รายได้จากโครงการ “The Lofts Silom” มูลค่าโครงการกว่า 3.5 พันล้านบาท ถือเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ใน The Lofts Series ซึ่งมีเพดานสูงสไตล์ลอฟท์ มีห้องทั้งแบบ Duplex (2 ชั้น) และ Simplex (ชั้นเดียว) โครงการตั้งอยู่ในซอยประมวล ถนนสีลม เพิ่มความเป็นส่วนตัวที่เงียบสงบ ทว่ายังคงความสะดวกสบาย ใกล้สถานศึกษาชั้นนำ ศูนย์การค้า และศูนย์กลางทางการเงินของกรุงเทพฯ บนถนนสาทร เดินทางสะดวกสบาย ทั้งรถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีสุรศักดิ์ และทางด่วน ราคาเริ่มต้น 9.5 ล้านบาท โดยโครงการ “The Lofts Silom” มียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 3 มูลค่ารวมกว่า 2.8 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค.62 เป็นต้นไป

ล่าสุดบริษัทฯ เพิ่มช่องทางการขยายฐานลูกค้าต่างชาติและสร้างการรับรู้แบรนด์ “ไรมอน แลนด์” ให้เป็นที่รู้จัก ในวงกว้างมากขึ้น โดยเปิดสำนักงานขาย (โชว์รูม) ในประเทศสิงคโปร์ ทั้งยังได้เข้าร่วมงานโรดโชว์เพื่อนำเสนอข้อมูลโครงการอสังหาฯ ของบริษัทในประเทศไต้หวัน โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสัลูกค้าชาวไทยต่อลูกค้าชาวต่างชาติในสัดส่วน 55:45 หากไม่รวมรายได้พิเศษโดยเฉลี่ยบริษัทฯ จะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจคอนโดมิเนียมประมาณมากกว่า 85% ธุรกิจอาหารและรายได้จากงานบริการอื่น ๆ รวมประมาณ 15%

นายไลโอเนล กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนแรก บริษัทฯ ยังได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจะส่งผลกระทบให้ลูกค้าใช้เวลาตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยนานขึ้น แต่บริษัทฯ ปรับกลยุทธ์ด้วยการเปิดโครงการใหม่คือ “The Lofts Ratchathewi” ที่มีราคาต่อยูนิตต่ำลงเล็กน้อย แต่ทั้งโครงการยังรักษาระดับมาตรฐานการออกแบบและคุณภาพในระดับลักซ์ชัวรี่เช่นเดิม พร้อมกับนำนวัตกรรม Dual Keys (ดูอัล คีย์) เข้ามาตอบโจทย์อำนวยความสะดวกให้กับผู้ซื้อเพื่อลงทุนอีกด้วย ทำให้มั่นใจว่ารายได้และกำไรปี 2562 จะเติบโตสูงกว่าปีก่อน ตามการรับรู้รายได้จากยอดขายรอโอน (Backlog) ของบริษัท ณ วันที่ 30 ก.ย.62 มีมูลค่ารวม 8,115 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงที่เหลือบางส่วนในไตรมาส 4/62

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนเสนอขายหุ้นกู้ มูลค่า 500 ล้านบาท อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2564 อัตราดอกเบี้ย 5.25% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยเสนอขายให้กับผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ลงทุนรายใหญ่ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ สำหรับระยะเวลาเสนอขายหุ้นกู้กำหนดเป็นช่วงวันที่ 28 พ.ย.-3 ธ.ค. 62 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเพื่อใช้ในการปรับแผนการสร้างโครงการคอนโดมิเนียมที่ซอยสุขุมวิท 19 ให้เป็นโครงการโรงแรมระดับ 4 ดาว จำนวน 1 พันห้อง ซึ่งเป็นไปตามแผนการเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring income) เสริมความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจ โดยเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 61บริษัททริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือของ RML ที่ระดับ “BBB-”

“ไลบรารี่ เอสเตท” ทุ่มงบลงทุนเจาะตลาดคนเมือง

 

alivesonline.com : ไลบรารี่ เอสเตท” เจาะกลุ่มคนเมือง ทุ่มงบ 320 ล้านบาท ปั้นโครงการระดับลักซ์ชัวรี่ ภายใต้คอนเซปต์ “START YOUR NOVEL LIFE” กับโครงการ “โนเวล เรสซิเดนซ์ ลาดพร้าว 18” (Novel Residence Ladprao 18) บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ เตรียมเปิดอีก 2– 3โครงการใหม่ ตั้งเป้าขยายมูลค่าโครงการถึง 1 พันล้านบาทภายใน 2 ปี ควบคู่กับแผนขยายธุรกิจสู่ภาคบริการประเภทโรงแรมทั้งในกรุงเทพฯ และภูเก็ต เพื่อสร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง รองรับแผนนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

นายศุภกิจ รวีอร่ามวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไลบรารี่ เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2562 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการตามแผนที่วางไว้ โดยแต่ละโครงการมีจุดเด่นที่ชัดเจนและแตกต่าง รวมถึงยังสะท้อนถึงการใช้ชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ ของผู้อยู่อาศัยคือ โครงการ “เดอะคอมเมิร์ซ ประชาอุทิศ-สุขสวัสดิ์” (The Commerce Prachauthit–Suksawat) เป็นโครงการประเภทอาคารพาณิชย์และโฮมออฟฟิศ จำนวน 41 ยูนิต มูลค่ารวม 225 ล้านบาท โครงการ “ฟิโล เอกมัย 6” (Philo Ekkamai 6) คอนโดมิเนียม จำนวน 78 ยูนิต มูลค่ารวม 365 ล้านบาท และล่าสุดเปิดตัวโครงการ “โนเวล เรสซิเดนซ์ ลาดพร้าว 18” (Novel Residence Ladprao 18) จำนวน 16 ยูนิต มูลค่ารวม 320 ล้านบาท เพื่อให้ได้พื้นที่ทำเลทองใจกลางลาดพร้าว บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ที่มีจุดเชื่อมต่อหลัก ห่างจาก MRT สถานีลาดพร้าวเพียง 750 เมตร รวมถึง BTS และ Monorail สายสีเหลือง อีกทั้งยังใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนที่จะเชื่อมต่อไปยังส่วนต่าง ๆ ของกรุงเทพฯ

โครงการ “โนเวล เรสซิเดนซ์ ลาดพร้าว 18” (Novel Residence Ladprao 18) เป็นโครงการบ้านหรูบนพื้นที่ 2 ไร่ พัฒนาเป็นบ้านแฝดและทาวน์โฮม 3 ชั้นครึ่ง สามารถจอดรถได้ถึง 4 คัน จำนวน 16 ยูนิต บนเนื้อที่ 30-57 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย เริ่มต้น 350-400 ตารางเมตร ในราคาขายเริ่มต้น16 ล้านบาท มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ มีระบบรักษาความปลอดภัย รวมทั้งกล้องวงจรปิด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย โดยจะเริ่มก่อสร้างประมาณไตรมาสที่ 4 ปี 2562 คาดว่าแล้วเสร็จประมาณปี 2564 โดยมีทั้งหมด 3 แบบคือ OPUS, POEM และ STORY หน้ากว้าง 6 เมตร และ 6.5 เมตร ดีไซน์ให้มีฟังก์ชันหลากหลายตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยได้ทุกเจเนอเรชั่น อาทิ ชั้น 1 ปรับเปลี่ยนได้ตามใจผู้อยู่ สงบ ผ่อนคลาย ด้วยพื้นที่ต่อเนื่องสวนหลังบ้าน เพิ่มพื้นที่ Connecting Space ชั้น 2 และชั้นลอย ออกแบบเป็นพื้นที่ทั้งห้องนั่งเล่น เชื่อมต่อไปยังส่วนรับประทานอาหาร มุมไอซ์แลนด์ครัว ห้องครัว มุมทำงาน และมุมอ่านหนังสือ รอบโครงการ กว้างขวางด้วยถนนโครงการกว้าง 8 เมตร เพิ่มพื้นที่สีเขียวที่ผสมผสานไม้มงคล สื่อความหมายให้ผู้อยู่อาศัยปลอดภัยและเจริญรุ่งเรือง เพื่อให้โครงการนี้เติมเต็มชีวิตครอบครัวให้มีชีวิตชีวา ให้ทุกคน ทุกวัย ใช้พื้นที่เพื่อความสุขร่วมกัน

นายศุภกิจ กล่าวอีกว่า “บริษัทฯ เตรียมวางแผนการตลาดและการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อช่องทางให้ครอบคลุม โดยมีกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นสร้างความพึงใจให้กับลูกค้าเป็นสำคัญ โดยเร็ว ๆ นี้จะเปิดตัวอีก 2–3 โครงการใหม่ โดยตั้งเป้าขยายมูลค่าโครงการถึง 1 พันล้านบาทภายใน 2 ปี พร้อมกันนี้ยังมีแผนขยายธุรกิจสู่รูปแบบธุรกิจภาคบริการ เพื่อสร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรมในกรุงเทพฯ ภูเก็ต และกลุ่มโรงแรมนานาชาติ ขณะเดียวกันยังมีแผนที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในอนาคตด้วย โดยในปี 2562 บริษัทฯ ได้ตั้งเป้ายอดขาย 400 ล้านบาท ตั้งเป้าเติบโตเฉลี่ย 20 % ต่อปี โดยปัจจุบันมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog) 150 ล้านบาท

 

 

“อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป” เตรียมจ่ายปันผลระหว่างกาล

alivesonline.com : EPG โชว์ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 62/63 มีรายได้จากการขาย 2,763 ล้านบาท พร้อมกำไรสุทธิ 326 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.5% เตรียมจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.10 บาท วันที่ 12 ธ.ค.62

รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 62/63 (ก.ค.62–ก.ย.62) ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 2,762.5 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 2,682.3 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 80.2 ล้านบาท คิดเป็น 3.0% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 30.5% จากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ได้รับผลบวกจากราคาวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง และอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ EPG มีกำไรสุทธิ 326.3 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 262.1 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 64.2 ล้านบาท คิดเป็น 24.5% โดยเป็นผลมาจากการดำเนินงานของ 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มีรายได้จากการขาย 805.7 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายของบริษัทเติบโตจากตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้ากลุ่มพรีเมียม ซึ่งผลักดันให้รายได้จากการขายทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น ถึงแม้จะถูกกดดันจากปัจจัยภายนอก เช่น ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและสงครามการค้าที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมก่อสร้างชะลอตัว

ขณะที่ธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas มีรายได้จากการขาย 1,332.5 ล้านบาท หรือลดลง 1.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ รายได้จากการขายในประเทศปรับตัวสูงขึ้นแต่รายได้จากการขายของบริษัทย่อยในต่างประเทศลดลงเล็กน้อย เนื่องจากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งโดยรวมแล้วรายได้จากจากขายใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติก ภายใต้แบรนด์ EPP มีรายได้จากการขาย 624.4 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการมุ่งเน้นทำตลาดเพิ่มขึ้นทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมที่ต้องการสินค้ามาตรฐานสูง รวมทั้งกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกประเภทกล่องใส่อาหารและถ้วยน้ำดื่ม

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562 มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานสิ้นสุด 30 กันยายน 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท (สิบสตางค์) รวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 280 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 29 พฤศจิกายน 2562 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 12 ธันวาคม 2562

อุตสาหกรรมคอนกรีตแนวโน้มดีต่อเนื่อง

alivesonline.com : “ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี” เผยผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2562 กวาดรายได้รวม 1,946.80 ล้านบาท กำไรสุทธิ 35.80 ล้านบาท เติบโต 160.91% ส่วนไตรมาส 3 ทำรายได้ 692.54 ล้านบาท กำไรสุทธิ 29.96 ล้านบาท มองไตรมาส 4 อุตสาหกรรมคอนกรีตแนวโน้มดีต่อเนื่อง ชูกลยุทธ์พัฒนาผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปและสินค้า Landscape รองรับงานโครงสร้างพื้นฐาน งานภาครัฐ หนุน Backlog แตะ 2 พันล้านบาท

นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP เปิดเผยว่า ผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2562 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1946.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,861 ล้านบาท จำนวน 85.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 4.61% และมีกำไรสุทธิ 35.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 58.78 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 160.91% ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2562 มีรายได้รวม 692.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 682.80 ล้านบาท จำนวน 9.74 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.42 % มีกำไรสุทธิ 29.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 46.40 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 164.57 % โดยผลประกอบการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากปริมาณความต้องการผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปของโครงการภาครัฐและเอกชนสูงขึ้น ส่งผลให้ยอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งผลการดำเนินงานของบริษัทย่อยปรับตัวดีขึ้นมาก

สำหรับทิศทางภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์คอนกรีตช่วงโค้งสุดท้ายมีแนวโน้มดีกว่าไตรามาส 3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากโครงการของหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ต่าง ๆ ที่มีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง อาทิ งานถนน งานก่อสร้างอาคารสถานีรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) นิคมอุตสาหกรรมทยอยดำเนินงานก่อสร้าง ส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง-ผลิตภัณฑ์คอนกรีตปรับตัวดีขึ้น ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังทรงตัว

แผนการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 4 ปี 2562 ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้าใหม่ในกลุ่มคอนกรีตสำเร็จรูปอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับงานโครงสร้างพื้นฐานและเอกชนได้อย่างหลากหลาย อาทิ ท่อคอนกรีตขนาดใหญ่ ซึ่งบริษัทฯ เป็นผู้นำและมีความเชี่ยวชาญในการผลิตท่อขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยเน้นการขยายฐานลูกค้า กลุ่มสถาปนิก ผู้รับเหมารายย่อย โครงการขนาดกลาง-เล็ก ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีความต้องการใช้งานคอนกรีตสำเร็จรูปเพื่องานก่อสร้าง Land Scape เพิ่มยอดขายสินค้าคอนกรีตสำเร็จรูปกลุ่มบล็อกกำแพง บล็อกกันหน้าดิน บล็อกปูพื้น ที่ช่วยแก้ปัญหางานก่อสร้าง ลดต้นทุน ทำให้งานเสร็จรวดเร็ว

ปัจจุบันบริษัทมี Backlog ประมาณ 2 พันล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน แบ่งเป็นการรับรู้รายได้ภายในปี 2562 เป็นสัดส่วน 60% และจะทยอยประมูลงานเข้ามาเพิ่มอีกในอนาคต โดยคาดว่าจะสามารถรักษาการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ 2.5 พันล้านบาท มีสัดส่วนรายได้มาจากงานภาครัฐ 80% และภาคเอกชน 20%

PPS คว้างานรัฐ-เอกชนรอรับรู้รายได้ถึงปี 66

alivesonline.com : PPS เผยภาพรวมธุรกิจ Q4/62 ทยอยรับรู้รายได้งานรัฐ-เอกชนต่อเนื่อง เตรียมความพร้อมประมูลงาน หนุน Backlog 288 ล้านบาท ด้าน PPS Oneworks คว้างานสร้าง BIM Project พร้อมขยายขอบเขตการรับงานของ PPSI เพิ่มโอกาสนำเสนองาน เตรียมจัดงาน “INNOCON BANGKOK 2019” เผยแพร่ความรู้ระบบคมนาคมทางรางและทางอากาศ ขณะที่งบ 9 เดือนมีรายได้ 355.21 ล้านบาท กำไร 15.58 ล้านบาท

ดร.พงศ์ธร ธาราไชย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โปรเจค แพลนนิ่ง เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ PPS เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 4 บริษัทฯ จะทยอยรับรู้รายได้จากงานเอกชนหลายแห่ง อาทิ โครงการมิกซ์ยูส โครงการค้าปลีก รวมถึงงานภาครัฐบางส่วน และกำลังอยู่ในระหว่างศึกษาโครงการที่จะเปิดโอกาสให้มีการยื่นประมูลงานในอนาคต เช่น งานรถไฟ งานโครงการท่าเรือ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มี Backlog อยู่ที่ 288 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ประมาณ 59.24 ล้านบาทภายในปี 2562 ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ได้รายถึงปี 2566

ขณะที่ PPS Oneworks ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรต่างชาติคือ Oneworks Asia ดำเนินธุรกิจด้านการออกแบบ งาน BIM (Building Information Modeling) และ Technical Support ขณะนี้ได้รับงานใหม่เป็นการทำ BIM Project ให้กับกลุ่มลูกค้าที่สนใจในการเข้าไปอัพเกรดโรงงานและระบบการซื้อขายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจของบริษัทย่อย PPSI หรือ บริษัท พีพีเอส อินโนเวชั่น จำกัด เพื่อขยายขอบเขตการรับงานในการเป็นตัวแทนขายผลิตภัณฑ์และบริการที่มีนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน โดยคาดว่าจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพ เพิ่มโอกาสในการนำเสนองานและรับงานมากขึ้น

จากภาพรวมอุตสาหกรรมก่อสร้างทั้งงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ชะลอตัวในปี 2562 ส่งผลให้การรับงานและการรับรู้รายได้ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ บริษัทฯ จึงปรับกลยุทธ์วางแผนขยายงานด้านสาธารณูปโภค อาทิ งานสนามบินและรถไฟที่มีแนวโน้มการขยายตัวอีกมาก โดย PPS และ PPS Oneworks ร่วมกับ The International Air Rail Organization (IARO) เตรียมจัดงาน “INNOCON BANGKOK 2019” ในหัวข้อ “The International Air Rail Transport Summit 2019” เผยแพร่ความรู้ด้านการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งทางรางและการขนส่งทางอากาศ ผ่านมุมมองเจ้าหน้าที่รัฐและบริษัทชั้นนำจากนานาชาติ ถือเป็นโอกาสให้ผู้นำในอุตสาหกรรมและบริษัทเอกชนชั้นนำได้พบปะพูดคุยและสร้างโอกาสการแข่งขันทางธุรกิจ โดยงานดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2562 เวลา 08.30-17.00 น. ณ โรงแรม เซนทารา แกรนด์ บางกอก คอนเวนชั่นเซนเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ

ดร.พงศ์ธร กล่าวอีกว่า สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2562 มีรายได้รวม 355.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 299.71 ล้านบาท จำนวน 55.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.52% และมีกำไรสุทธิ 15.58 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 20.25 ล้านบาท จำนวน 4.67 ล้านบาท หรือลดลง 23.06% ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2562 มีรายได้รวม 112.75 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 104.95 ล้านบาท จำนวน 7.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 7.43% และมีกำไรสุทธิ 5.55 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5.75 ล้านบาท จำนวน 0.2 ล้านบาท หรือลดลง 3.48%

“บริษัทฯ มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากสามารถรับรู้รายได้งานในส่วนที่ดำเนินการอยู่ได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่กำไรสุทธิปรับตัวลดลง เนื่องจากมีการรับรู้รายได้เท่ากับต้นทุนในบางโครงการ ส่งผลให้ไม่สามารถรับรู้กำไรตามที่คาดไว้ อีกทั้งมีค่าใช้จ่ายจากการบริหารงานที่สูงขึ้นจากจำนวนพนักงานและค่าตอบแทนพนักงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงต้นทุนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางและการบันทึกผลประโยชน์พนักงานตามอัตราค่าชดเชยใหม่”

“คัมเวล คอร์ปอเรชั่น” ส่งสัญญาณบวกแนวโน้มธุรกิจ Q4/62

alivesonline.com : KUMWEL เตรียมรับรู้รายได้งานวางระบบโครงการรถไฟความเร็วสูง (กรุงเทพฯ-โคราช) เฟส 2 เดินหน้าเปิดศูนย์ตรวจสอบ วิเคราะห์ ปรับปรุงระบบป้องกันฟ้าผ่า “Kumwell Clinic Network” ขยายตัวแทนในต่างจังหวัดเพิ่ม พร้อมออกบูธนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมระบบป้องกันฟ้าผ่าแบบอัจฉริยะในงาน “Defense and Security 2019” วันที่ 18-21 พ.ย.62 เจาะกลุ่มภาคความมั่นคง เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ เผยผลประกอบการ Q3/62 รายได้รวม 107.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4.8 ล้านบาท

นายบุญศักดิ์ เกียรติจรูญเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คัมเวล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KUMWEL ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบป้องกันฟ้าผ่าและเตือนภัยฟ้าผ่าอย่างครบวงจรตามมาตรฐานสากล ภายใต้ตราสินค้า “Kumwell” เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/62 มีแนวโน้มดีขึ้นจากการทยอยลงทุนของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทุกโครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานมีความจำเป็นต้องติดตั้งอุปกรณ์และระบบสัญญาณเตือนภัยฟ้าผ่าจึงถือเป็นโอกาสที่ดีในอนาคตของบริษัทฯ โดยล่าสุดบริษัทฯ เตรียมรับรู้รายได้จากการส่งมอบสินค้าให้กับงานวางระบบโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง (กรุงเทพฯ-นครราชสีมา) เฟสสอง จากก่อนหน้านี้บริษัทรับรู้รายได้ในเฟสแรกแล้ว 3.5 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดมี 14 เฟส ระยะทางรวม 249 กิโลเมตร คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4/62 เป็นต้นไป

ภายหลังการเปิดตัว “Kumwell Clinic Network” ศูนย์ตรวจสอบ วิเคราะห์ ปรับปรุงระบบป้องกันฟ้าผ่า ระบบต่อลงดิน ระบบป้องกันเสิร์จ ระบบตรวจจับ แจ้งเตือนภัยฟ้าผ่าและระบบป้องกันฟ้าผ่าอัจฉริยะอย่างครบวงจร และแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายแห่งแรกใน จ.ระยอง ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดี ส่งผลให้บริษัทฯ เตรียมวางแผนขยายตัวแทนจำหน่ายในพื้นที่ต่างจังหวัดเพิ่ม อาทิ ขอนแก่น ภูเก็ต กระบี่ ตรัง เชียงใหม่ สุราษฏร์ธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา อุดรธานี และสงขลา คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/62 เป็นต้นไป

บริษัทฯ ยังเตรียมนำผลิตภัณฑ์ “ระบบ Smart Lightning Management System” ซึ่งเป็นนวัตกรรมระบบป้องกันฟ้าผ่าแบบอัจฉริยะไปจัดแสดงและนำเสนอข้อมูลในงานแสดงยุทโธปกรณ์ ประจำปี 62 (Defense and Security 2019) ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 18-21 พ.ย.62 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มภาคความมั่นคงของชาติ

“งาน Defense and Security 2019 เป็นการจัดงานแสดงยุทโธปกรณ์ เปิดโอกาสให้กับผู้ผลิตทั้งไทยและต่างประเทศได้พบปะกับลูกค้าและผู้ใช้โดยตรง เพื่อส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจ อีกทั้งเป็นการเชื่อมโยงและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม”

นายบุญศักดิ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3/62 มีรายได้รวม 107.6 ล้านบาท ลดลง 5.5 ล้านบาท หรือลดลง 4.86% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวมที่ 113.1 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4.8 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 9.1 ล้านบาท ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2562 มีรายได้รวม 326.90 ล้านบาท ลดลง 22.26 ล้านบาท หรือลดลง 6.37% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 349.16 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 21.13 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 48.44 ล้านบาท

“รายได้ของบริษัทฯ ปรับตัวลดลงจากปีก่อน เนื่องจากปริมาณยอดขายที่มาจากการส่งออกลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการนำหุ้นสามัญเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่เชื่อว่าผลประกอบการไตรมาส 4/62 จะเข้าสู่ภาวะปกติ โดยมั่นใจว่าผลประกอบการปี 2562 จะเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีรายได้ 469.72 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากต่างประเทศ 19.5% และในประเทศ 74.7% แบ่งเป็นลูกค้า 6 กลุ่มหลัก ได้แก่ ภาคการไฟฟ้าและพลังงาน 26.2% ภาคสิ่งปลูกสร้าง 29.4% ภาคอุตสาหกรรม 14.4% ภาคคมนาคม 3.5% ภาคการสื่อสารโทรคมนาคม 1.0% และภาคความมั่นคงทางทหาร 0.1%”

“FTE” ขยายฐานลูกค้างานติดตั้งระบบดับเพลิง

alivesonline.com : “ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง” เผยงวด 9 เดือนรายได้ 751.03 ล้านบาท กำไร 78.18 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4 ไม่หวั่นอสังหาฯ ชะลอตัว เน้นเจาะกลุ่มอุตสาหกรรม หน่วยงานราชการ ลุ้นคว้างานมูลค่ารวมกว่า 200 ล้านบาท เผย กฟผ.ส่งงานโครงการระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้าและโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำหนุนรายได้ปี 63 เพิ่มโอกาสรับงานเฉพาะทาง ตุน Backlog 450 ล้านบาท มั่นใจรายได้โตไม่ต่ำกว่า 10.0% หรือ 1,130 ล้านบาท

นายทักษิณ ตันติไพจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไฟร์เทรดเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ FTE ผู้นำธุรกิจนำเข้าและจำหน่ายอุปกรณ์-ระบบดับเพลิงแบบครบวงจร บริการออกแบบ รับเหมาติดตั้ง ซ่อมแซม ตรวจสอบและบำรุงรักษาอุปกรณ์ดับเพลิง และงานระบบที่เกี่ยวข้องกับการดับเพลิง เปิดเผยถึงผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2562 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 751.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 727.48 ล้านบาท จำนวน 23.55 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.24% และมีกำไรสุทธิ 78.18 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 89.03 ล้านบาท จำนวน 10.85 ล้านบาท หรือลดลง 12.19% ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3 มีรายได้รวม 251.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 248.54 ล้านบาท จำนวน 2.95 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1.19% และมีกำไรสุทธิ 24.15 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 30.57 ล้านบาท จำนวน 6.42 ล้านบาท หรือลดลง 21.00%

สำหรับผลประกอบการของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากรับรู้รายได้จากการออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง รวมทั้งมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น ขณะที่กำไรของบริษัทฯ ปรับตัวลดลง เนื่องจากโครงการขนาดใหญ่บางส่วนส่งมอบงานล่าช้า ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมากขึ้น อีกทั้งมีการบันทึกสำรองรายได้จากการรับประกันและบำรุงรักษาตามสัญญา 2-3 ปีตามมาตรฐานบัญชีใหม่

ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานช่วงไตรมาส 4/62 ในภาวะที่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว และโครงการขนาดใหญ่ยังคงมีความเสี่ยงจากความล่าช้า บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นที่จะขยายส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มลูกค้าภาคอุตสาหกรรม และเจาะงานโครงการของหน่วยงานราชการอื่น ๆ มากขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการยื่นประมูลงานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิงเพิ่มเติมอีกหลายโครงการ มูลค่ารวมประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยทราบผลการประมูลภายใน 6 เดือน

ล่าสุด บริษัทฯ ได้รับงานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิงในโครงการระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า (Energy Storage) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำ (Floating Solar Farm) เพิ่มเติมจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในการวางระบบ คาดว่าจะสามารถดำเนินงานและรับรู้รายได้ในช่วง 1-2 ปี ถือเป็นโอกาสที่บริษัทจะได้รับงานเฉพาะทางเพิ่มขึ้นในอนาคต ขณะที่โครงการติดตั้งระบบดับเพลิงในสถานีไฟฟ้าแรงสูงของ กฟผ. อยู่ระหว่างยื่นประมูลงานอีก 8-10 แห่งในปี 2562 มูลค่ารวมประมาณ 150 ล้านบาท

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันมูลค่างานในมือ (Backlog) ของบริษัทฯ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ 450 ล้านบาท แบ่งเป็นงานจัดจำหน่าย 120 ล้านบาท งานออกแบบติดตั้งระบบดับเพลิง 330 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้จำนวนประมาณ 150 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2564 โดยมั่นใจว่ารายได้ในปี 2562 จะไม่ต่ำกว่า 10.0% หรือ 1,130 ล้านบาท รักษาอัตรากำไรสุทธิ 11-13%

“บิวตี้ คอมมูนิตี้” ปรับแผนธุรกิจเร่งปั๊มยอดขาย Q4

alivesonline.com : BEAUTY เผยผลประกอบการไตรมาส 3/62 รายได้รวม 456.98 ล้านบาท กำไรสุทธิ 50.85 ล้านบาท เติบโต 8.73 % และงวด 9 เดือน รายได้รวม 1,537.32 ล้านบาท กำไรสุทธิ 167.17 ล้านบาท มองโค้งสุดท้ายไตรมาส 4 ยังมีแนวโน้มดี รับอานิสงส์ช่วงไฮซีซันนักท่องเที่ยวจีนเพิ่ม เร่งผลักดันยอดขายเต็มสูบ ลุยจัดโปรโมชันครบรอบ 12 ปี “BEAUTY BUFFET” ด้านตลาดต่างประเทศยอดสั่งซื้อเติบโตจากจีน พม่า อินโดนีเซีย และเวียดนาม เริ่มทยอยรับรู้รายได้จากการปรับโครงสร้างการจัดจำหน่าย

นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว เปิดเผยว่าผลประกอบการไตรมาส 3/2562 มีรายได้รวม 456.98 ล้านบาท ลดลง 14.04 % และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 50.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.73 % เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/62 ขณะที่งวด 9 เดือน ปี 2562 มีรายได้รวม 1,537.32 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 167.17 ล้านบาท

ผลประกอบการไตรมาส 3 ในส่วนของกำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการปรับกลยุทธ์และแผนการดำเนินงาน มุ่งเน้นบริหารจัดการต้นทุนการบริหาร ควบคุมค่าใช้จ่ายแปรผันและต้นทุนคงที่ต่าง ๆ การย้ายสาขาและปิดสาขาที่ไม่มีศักยภาพในการเติบโต ขณะที่รายได้รวมปรับตัวลดลงเนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซัน (Low Season) ของธุรกิจเครื่องสำอาง กำลังซื้อผู้บริโภคในประเทศหดตัว นักท่องเที่ยวจีนลดลง ด้านตลาดต่างประเทศยังคงได้รับผลกระทบจากกฎหมายควบคุมการนำเข้าสินค้าจีนในรูปแบบการหิ้วสินค้า แต่บริษัทฯ สามารถทำตลาดในประเทศจีนโดยตรงได้ดีขึ้นโดยแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการหลายราย

“สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 4 คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตต่อเนื่อง จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคให้กลับมาคึกคักในช่วงปลายปี 2562 ซึ่งบริษัทฯ จะเดินหน้าทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบในทุกช่องทางการจัดจำหน่ายและออกโปรโมชันต่าง ๆ พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายกับลูกค้าสมาชิก โดยเฉพาะกิจกรรมครบรอบ 12 ปี BEAUTY BUFFET”

บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศด้วยการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพเข้าถึงกลุ่มลูกค้า โดยตลาดในประเทศจะมีการปรับคอนเซ็ปต์และรูปแบบของช่องทางจำหน่ายหลัก รวมทั้งพัฒนาโมเดลใหม่ ๆ ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ส่วนช่องทางการจัดจำหน่าย Commerce Business เช่น e-Commerce และช่องทางสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Product) จะช่วยผลักดันรายได้ให้เติบโตและรักษาอัตรากำไรสุทธิอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากช่องทางดังกล่าวมีต้นทุนดำเนินการต่ำและเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงลดการพึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป

สำหรับตลาดต่างประเทศจะขยายไปในตลาดที่หลากหลายมากกว่า10 ประเทศ อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เมียนมาร์ เวียดนาม ลาว ไต้หวัน ฮ่องกง บรูไน ญี่ปุ่น อินเดีย เป็นต้น โดยจะมุ่งเน้นขยายตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต อาทิ จีน พม่า อินโดนีเซีย เวียดนาม

นายแพทย์สุวิน กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของตลาดจีนซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญเริ่มมีสัญญาณที่ดีจากการเพิ่มช่องทางจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั้งในกลุ่มออนไลน์และออฟไลน์ที่สามารถเข้าถึงลูกค้าชาวจีนได้โดยตรง ประกอบด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ของจีน (CBEC : Cross Border E-Commerce) และ ตลาดร้านค้าทั่วไป (General Trade) ตั้งเป้ามีจุดจำหน่ายสินค้าภายในสิ้นปีมากกว่า 3.3 หมื่นจุดจำหน่าย จากปัจจุบันที่มี 2.8 หมื่นแห่ง และมีกระแสตอบรับที่ดีจากช่องทาง e-Commerce ในประเทศจีน รวมถึงมีการทำการตลาดร่วมกับตัวแทนจำหน่าย เพื่อสร้างการยอมรับในสินค้าและแบรนด์ BEAUTY อาทิ เทศกาล วันคนโสด 11.11 หรือ Single Day ของอาลีบาบาในประเทศจีน สินค้าของบริษัทจำหน่ายผ่านช่องทาง TMALL เติบโตถึง 48 % เมื่อเทียบปีที่แล้ว

“การขยายธุรกิจหลายช่องทางทำให้ BEAUTY มีศักยภาพเติบโต การปรับกลยุทธ์โครงสร้างการจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้ได้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากตัวแทนจำหน่ายประเทศจีนและประเทศอื่น ๆ ซึ่งสินค้า BEAUTY ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคจีนและประเทศเขตเอเชียมีแนวโน้มการเติบโตเห็นได้ชัดเจน เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในระดับประเทศอย่างต่อเนื่อง”

 

ธุรกิจนวัตกรรมธรรมชาติเพื่อสุขภาพ “ซบ” ตามกำลังซื้อ “ทรุด”

aliveonline.com : APCO เผยแพร่ “นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัด” ดันยอดขาย LIV โต 30% รักษาอัตรากำไรขั้นต้น 80% เผยทิศทางธุรกิจ Q4/62 รุกเจรจานักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เร่งขยายฐานผู้บริโภค ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือน รายได้ 208.58 ล้านบาท กำไร 41.83 ล้านบาท

ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO เจ้าของธุรกิจนวัตกรรมธรรมชาติเพื่อสุขภาพและความงามด้วยการวิจัย พัฒนา ผลิตและจำหน่ายครบวงจร เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพและความงามในประเทศปี 2562 ยังอยู่ในเกณฑ์ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคยังค่อนข้างทรงตัว แต่ APCO ยังคงสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมจากการเผยแพร่ “นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัด” ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ LIV ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทมียอดขายเติบโต 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตลอดจนสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 80%

สำหรับทิศทางธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/62 บริษัทฯ มุ่งเน้นการขยายฐานกลุ่มผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ LIV และ Operation BIM เพิ่มเติม โดยขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจาร่วมมือกับนักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ เพื่อผลักดันให้มีการใช้นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้บริโภคในวงกว้าง คาดว่าจะเห็นความชัดเจนและเริ่มดำเนินการได้ในช่วงต้นปี 2563 เป็นต้นไป โดยเชื่อมั่นว่าหากการร่วมมือครั้งนี้ประสบความสำเร็จจะส่งให้ผลประกอบการกลับมาโดดเด่นได้ แม้ภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง

ศ.ดร.พิเชษฐ์ กล่าวอีกว่า สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2562 มีรายได้รวม 208.58 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 273.21 ล้านบาท จำนวน 64.63 ล้านบาท หรือลดลง 23.65% และมีกำไรสุทธิ 41.83 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 68.93 ล้านบาท จำนวน 27.10 ล้านบาท หรือลดลง 39.32% ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2562 มีรายได้รวม 64.87 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 94.59 ล้านบาท จำนวน 29.72 ล้านบาท หรือลดลง 31.42% และมีกำไรสุทธิ 14.87 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 25.09 ล้านบาท จำนวน 10.22 ล้านบาท หรือลดลง 40.73% โดยสาเหตุที่ผลประกอบการของบริษัทฯ ชะลอตัวลง มาจากยอดขายของผลิตภัณฑ์บางชนิดลดลง เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจยังคงมีความไม่แน่นอนจนส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค

ชอปออนไลน์ สินค้าไต้หวันลดหลุดโลก ส่งฟรีทั่วประเทศ !

บริษัท พีซีโฮม (ประเทศไทย) จำกัด แพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซชั้นนำจากประเทศไต้หวัน PChome Thai จัดงานอีเวนต์เปิดแคมเปญลดราคาสินค้าคุณภาพดีจากไต้หวันเพื่อเอาใจขาช้อปออนไลน์ชาวไทย “11.11 The Taiwanese Crazy Sale สินค้าไต้หวันลดหลุดโลก ส่งฟรีทั่วประเทศ”  ณ ศูนย์การค้า เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 โดยมี 2 ดาราหนุ่มหล่อ “ออกัส วชิรวิชญ์” และ “ไวท์ ณวัชร์” มาร่วมเปิดแคมเปญอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมร่วมเล่นกิจกรรมกับแฟนคลับอย่างใกล้ชิด

ภายในงาน นอกจากจะมีกิจกรรมระหว่าง 2 นักแสดงดังกับแฟนคลับแล้ว ยังมีการจัดแสดงสินค้าไต้หวันสุดพรีเมียมแบบอัดแน่นที่ยกขบวนมาจากไต้หวันโดยตรง เพื่อให้ผู้เข้าร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์ความฟินกับสินค้าไต้หวัน อาทิ ช็อคโกแล็ตไข่มุก พายสับปะรด สกินแคร์ เครื่องนวดตา และอื่น ๆ อีกมากมาย

แพลตฟอร์ม PChome Thai ไม่เพียงแต่จำหน่ายสินค้านำเข้าจากไต้หวันเท่านั้น แต่ยังรวบรวมสินค้าในไทยจากหลากหลายแบรนด์ชั้นนำ รวมแล้วกว่า 1 ล้านรายการ ให้ขาชอปสามารถเพลิดเพลินไปกับการเลือกซื้อสินค้าพร้อมโปรโมชั่นพิเศษแบบจัดหนักได้อย่างจุใจ!

ไม่เพียงเท่านี้! ภายในแคมเปญ 11.11 ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน – 30 พฤศจิกายน 2562 PChome Thai พร้อมจัดเต็มประสบการณ์การชอปให้สนุกยิ่งขึ้น ด้วยการจัดส่งสินค้าจากไต้หวันฟรี ไม่คิดค่าจ่ายเพิ่ม รวมถึงโค้ดส่วนลดอีกเพียบให้ได้ชอปกันในราคาเกินคุ้ม โดยโค้ดส่วนลดมีมูลค่าสูงสุดถึง 222 บาท !

หากคิดจะชอปสินค้าไต้หวันระดับพรีเมียม คุณภาพดี ราคาโดนใจ สามารถชอปออนไลน์ได้ง่าย ๆ ผ่านแพลตฟอร์ม PChome Thai จากหลากหลายช่องทาง พร้อมรับส่วนลดสุดคุ้มได้ก่อนใคร

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นของ PChome Thai ได้เลยที่ IOS : https://apple.co/2MYdDzl Android : https://bit.ly/2PGdumf สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.pchome.co.th/ หรือติดตามได้ที่ช่องทาง https://www.facebook.com/pchometh/ https://www.instagram.com/pchome_thai/?hl=th และ https://twitter.com/pchometh

OLYMPUS DIGITAL CAMERA