คุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ภาคใต้

 

สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดย สำนักรับเรื่องร้องเรียนและคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (รท.) จัดกิจกรรมเพื่อสร้างเสริมศักยภาพเครือข่ายภาคประชาชนระดับอำเภอด้านการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม สำหรับภาคใต้ ณ ห้องเรืองราษฎร์รังสรรค์ โรงแรมทินิดี อ.เมืองระนอง จ.ระนอง โดยได้รับเกียรติจาก นายพรเทพ ผ่องศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นประธานเปิดการจัดกิจกรรมฯ พร้อมด้วย พันเอกวีรชาติ ศรีกังวาล รักษาการผู้อำนวยการสำนัก รท. และ นายชุติเดช บุญโกสุมภ์ ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีและมาตรฐานโทรคมนาคม เป็นวิทยากรบรรยาย หัวข้อ “บริบทกิจการโทรคมนาคมไทยและการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม ในยุคไทยแลนด์ 4.0” ให้แก่ผู้นำเครือข่ายระดับจังหวัดและระดับอำเภอของภาคใต้ จำนวน 15 จังหวัด ได้แก่จังหวัดระนอง จังหวัดพัทลุง จังหวัดสงขลา จังหวัดสตูล จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส จังหวัดภูเก็ต จังหวัดกระบี่ จังหวัดพังงา จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดตรัง จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดชุมพร และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวนกว่า 300 คน

“Cryonics4U” เปิดตลาดไทย “เทคโนฯ แช่แข็งร่างกาย”

alivesonline.com : ไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องราวในภาพยนตร์ หรือเรื่องเหลือเชื่อแปลกประหลาดอีกต่อไปแล้วในเรื่องของ “การฟื้นคืนชีพ” สำหรับบริการ “การแช่แข็งร่างกาย” (Cryonics) และการแช่แข็งเพื่อรักษาสภาพของเซลล์ หรือเนื้อเยื่อ” (Cryopreservation) ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ในเชิงวิทยาศาสตร์แต่อย่างใด เพราะเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นมานานนับ 60 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 หรือพ.ศ.2503

เทคโนโลยี “ไครโอนิกส์” (Cryonics) คือกระบวนการแช่แข็งร่างกายเพื่อรักษาชีวิตเพื่อรอวันฟื้นคืนเมื่อความก้าวหน้าทางการแพทย์ในอนาคตสามารถรักษาโรคที่เป็นอยู่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่รุดหน้าอย่างมากที่ช่วยให้การวิจัยเกี่ยวกับ “ไครโอนิกส์” ดำเนินต่อไปและส่งผลให้กระบวนการทำไครโอนิกส์ใกล้ความเป็นจริงมากกว่าที่เคยมีมาก่อน อาทิ การพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า “ดีเซลลูไลซ์เซชั่น” (Decelluarization) หรือ การลบล้างเซลล์ในอวัยวะเพื่อให้เกิดอวัยวะเปล่าเพื่อจะใส่เซลล์ใหม่เข้าไป (Extra Cellular Matrix : ECM) และความก้าวหน้าของนาโนเทคโนโลยีที่นักวิทยาศาสตร์เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า สามารถฟื้นคืนชีพบุคคลที่รักษาไว้ซึ่งการทำงานของสมองขั้นพื้นฐานไว้ได้

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง “ไครโอนิกส์” คือ กระบวนการแช่แข็งร่างสิ่งมีชีวิตที่เสียชีวิตไปแล้ว เป็นการคงสภาพเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกายได้เป็นระยะเวลานานเนื่องจากไม่สามารถรักษาได้ในปัจจุบัน จึงรอความหวังที่สิ่งมีชีวิตนั้นจะคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยวิธีการรักษาโดยใช้วิวัฒนาการทางด้านการแพทย์ในอนาคต โดยแช่แข็งร่างกายของมนุษย์ที่เสียชีวิตไว้ด้วย “ไนโตรเจนเหลว” ภายใต้อุณหภูมิต่ำกว่า -196 องศาเซลเซียส

พบเด็กไทย 2 ขวบ “ถูกแช่แข็ง”

สำหรับกระบวนการใช้เทคโนโลยีไครโอนิกส์ในปัจจุบันยังคงมีเพียงไม่กี่ประเทศบนโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา รัสเซีย ออสเตรเลีย สเปน และจีน โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐเมริกามีคนไข้ที่ถูกแช่แข็งด้วยวิธี “ไครโอนิกส์” แล้วจำนวน 250 คน และมีผู้เซ็นสัญญาที่จะแช่แข็งเมื่อเสียชีวิตแล้ว 1.5 พันคน ขณะที่ทั่วโลกมีผู้ที่แช่แช่แข็งแล้ว 400 คน และมีผู้เซ็นสัญญาแล้ว 4 พันคน

ไม่เพียงเท่านั้น เพราะในช่วงที่ผ่านมา กระบวนการนำเทคโนโลยีไครโอนิกส์มาใช้ยังปรากฎให้เห็นเป็นผลสำเร็จมาแล้วหลายตัวอย่าง เช่น กรณีที่ประสบความสำเร็จกับสัตว์ในรัฐแคลิฟอร์เนียประเทศสหรัฐอเมรกา เมื่อปี 2558 โดยสามารถละลายสมองของกระต่ายโดยไม่มีความเสียหายเป็นครั้งแรก ในปีเดียวกันนั้น Dr.Vita-More และ Daniel Barranco แห่ง University of Seville ยังประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูความทรงจำของหนอนหลังจากที่อยู่ในสถานะไครโอนิกส์ได้อีกด้วย จนกระทั่งในปี 2559 มีผู้ป่วยคือ นายจัสติน สมิธ ในรัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐเมริกา สามารถกลับมามีชีวีตได้อีกครั้งหลังถูกแช่แข็ง 12 ชั่วโมง

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ธุรกิจไครโอนิกส์เริ่มได้รับการยอมรับและความสนใจจากกลุ่มลูกค้าที่มีชื่อเสียงมากหน้าหลายตา ทั้งลาร์รีย์ คิง, ปารีส ฮิลตัน, บริทนีย์ สเปียร์ และไซมอน โคเวลล์ ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า พร้อมจะแช่แข็งตัวเองเมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายจริง ๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังมี “คนไทย” คือ “ดร.สหธรณ – ดร.นารีรัตน์ เนาวรัตน์พงษ์” ซึ่งพำนักในรัฐแอริโซน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ตัดสินใจนำร่าง “น้องไอนส์” บุตรสาวอายุ 2 ปีที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งสมอง เมื่อปี 2558 เข้าสู่กระบวนการ “ไครโอนิกส์” ด้วยความหวังว่าจะมีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าในอนาคตที่จะสามารถชุบชีวิตบุตรสาวคืนมาได้อีกครั้งหนึ่ง

 

“Cryonics4U” ที่ปรึกษาอิสระรายแรกของโลก

นายคลิฟ บราวน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “Cryonics4U (ไครโอนิกส์ฟอร์ยู) เปิดเผยว่า ถึงแม้ว่า “ไครโอนิกส์” จะไม่ใช่เรื่องใหม่และมีมาแล้วกว่า 50 ปี แต่ยังสร้างความไม่มั่นใจเกี่ยวกับการตัดสินใจในบั้นปลายชีวิตอย่างถูกต้อง “Cryonics4U” จึงถูกก่อตั้งขึ้นเป็นรายแรกของโลก ณ รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ความเข้าใจและเชื่อมั่นแก่ประชาชนมากขึ้นเกี่ยวกับศักยภาพในการทำไครโอนิกส์อย่างแท้จริง โดยการดำเนินงานของ Cryonics4U คือเป็นที่ปรึกษาอิสระซึ่งให้บริการแต่ละบุคคลโดยให้คำปรึกษาที่พร้อมสรรพ เพื่อลดการตัดสินใจที่ยุ่งยาก ช่วยสร้างทางเลือกที่เป็นความสำเร็จในกระบวนการสุดท้ายของชีวิตด้วยการทำไครโอนิกส์ นอกจากนั้น ยังมุ่งเน้นสร้างผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและความรู้สึกสบายใจของลูกค้าทุกคนอีกด้วย

Cryonics4U สร้างธุรกิจด้วยบริการที่ปรึกษาอิสระที่พร้อมให้คำปรึกษาอย่างเที่ยงตรงและจริงใจ ให้คำแนะนำด้านสถานบริการที่ใช้สำหรับกระบวนการสุดท้ายของการทำ ไครโอพรีเซิร์ฟเวชั่น” (Cryopreservation) รวมทั้งการเลือกกรมธรรม์ประกันภัยที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนในเรื่องนี้ การฝึกอบรมในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน การประกันภัย บริการพิธีศพทางเลือกใหม่ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายการแจ้งแก่ครอบครัว การแถลงเปิดพินัยกรรม ความยินยอมของแพทย์ทั่วไป การแจ้งแก่แพทย์ หรือโรงพยาบาลประจำท้องถิ่นซึ่งจะช่วยให้ขั้นตอนในการทำ “ไครโอพรีเซิร์ฟเวชั่น” ดำเนินไปอย่างราบรื่นและการรักษาความลับของผู้ใช้บริการแต่ละคนเป็นอย่างดี

เปิดตลาดไทย สู่เอเชียต.อ.เฉียงใต้

นายคลิฟ กล่าวอีกว่าปัจจุบันมีผู้สนใจทำไครโอนิกส์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา รัสเซีย สเปน ออสเตรเลีย จีน สหราชอาณาจักร เยอรมนี แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เช่นเดียวกับในประเทศไทย ซึ่งแม้ว่าไครโอนิกส์จะเป็นกระบวนการใหม่และไม่มีการควบคุม แต่ผู้คนก็หันมาให้ความสนใจกับการรักษาด้วยวิธีไครโอนิกส์เป็นทางเลือก Cryonics4U จึงได้เข้ามาเปิดดำเนินธุรกิจตัวแทน หรือเอเจนซี่ (Agency) ในประเทศไทยแล้วเป็นเวลา 3 ปี เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้สนใจรับบริการที่เป็นชาวไทยและชาวต่างประเทศที่พักอาศัยในประเทศไทย

“เหตุผลที่ตัดสินใจขยายธุรกิจไครโอนิกส์เข้าสู่ประเทศไทยเพราะองค์ประกอบหลักสำคัญ 2 ส่วนคือ คนไทยมีความพร้อมที่จะรับและผสมผสานเทคโนโลยี วัฒนธรรม และศาสนา ทั้งจากตะวันตกและตะวันออก ขณะเดียวกันยังมีจำนวนประชากรที่สูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Cryonics4U จึงมีแผนที่จะใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการขยายธุรกิจไครโอนิกส์ไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยตั้งเป้าว่าในปี 2563 จะมีผู้สนใจในประเทศไทยสนใจเซ็นสัญญาประมาณ 5 พันราย จากนั้นจะเริ่มทำตลาดในประเทศเกาหลีใต้เป็นลำดับต่อไป”

นายคลิฟ กล่าวในตอนท้ายว่า สำหรับค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการบริการแช่ทั้งร่างกายคือ 3 ล้านบาท โดยไม่เน้นกลุ่มเป้าหมายที่มีรายได้สูงเท่านั้น เพราะปัจจุบันมีนบายการประกันชีวิตที่คุ้มครองการทำไครโอนิกส์แล้ว จึงทำให้กลุ่มคนชั้นกลางสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการรักษาทางเลือกนี้ได้เช่นกัน โดยกลุ่มเป้าหมายในประเทศไทยคือผู้ป่วยระยะสุดท้าย ตั้งแต่เด็กอายุไม่มากนักจนถึงกลุ่มวัยกลางคน โดยจะเน้นทำการตลาดเจาะจงกลุ่มผู้รักสุขภาพ (Health Care) เป็นหลัก

นายคลิฟ บราวน์ (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “Cryonics4U” (ไครโอนิกส์ฟอร์ยู) และ นายแอร่อน เดรค (ขวา) ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ ด้าน “ไครโอพรีเซิร์ฟเวชั่น”

พร้อมเผยพันธมิตร “บริษัทประกันชีวิต” ม.ค.63

ด้าน นายแอร่อน เดรค ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญ ด้าน “ไครโอพรีเซิร์ฟเวชั่น” กล่าวเสริมว่า ในส่วนของผู้ต้องการเข้าสู่กระบวนการไครโอนิกส์เปิดกว้างรับทุกเพศทุกวัยและทุกสถานะโดยไม่มีข้อจำกัด รวมถึงทุกโรคทั้งมะเร็ง เอดส์ ความเสียหายของอวัยวะต่าง ๆ ภายใน ไม่ว่าจะเป็น ปอด ม้าม ตับ และอื่น ๆ ตลอดจนอุบัติเหตุแขน หรือขาขาด ยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือความเสียหายทางสมองซึ่งยากต่อการฟื้นฟู ส่วนในกรณีความเชื่อมั่นของคนไทยต่อกระบวนการทำไครโอนิกส์นั้นถือได้ว่าเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น โดยมีตัวอย่างสุภาพสตรีชาวไทยที่มีสามีเป็นชาวสวิสเซอร์แลนด์ได้เซ็นสัญญาในต่างประเทศแล้วที่จะทำไครโอนิกส์ทั้งครอบครัว รวมบุตรและหลาน

สำหรับวงเงินค่าใช้จ่ายเริ่มต้นในการบริการ 3 ล้านบาทนั้น ผู้รับบริการสามารถแบ่งชำระได้เป็นงวด ๆ ในลักษณะเดียวกันกับการชำระเบี้ยประกันชีวิต พร้อมใช้เวลาในการจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ ประมาณ 3 เดือน โดยขณะนี้ “ไครโอนิกส์โฟร์ยู” กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจากับบริษัทประกันชีวิตในประเทศไทย 1-3 รายในการร่วมเป็นพันธมิตรในการเข้าร่วมเป็นพันธมิตร โดยมีความคืบหน้าแล้วประมาณ 50-60% โดยคาดว่าภายในเดือนมกราคม 2563 จะสามารถสรุปผลได้อย่างเป็นทางการอย่างน้อย 1 ราย จากนั้นจะเริ่มเจรจากับโรงพยาบาลชั้นนำเป็นขั้นตอนต่อไป

นายแอร่อน ยังกล่าวด้วยว่า ในส่วนของการตลาดและประชาสัมพันธ์ธุรกิจนั้นไม่ได้มีข้อจำกัดทางกฎหมายในประเทศไทยแต่อย่างใด โดยปัจจุบัน “ไครโอนิกส์โฟร์ยู” มีทีมการตลาดคนไทย 16 คนเพื่อเน้นทำการตลาดตัวต่อตัวเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องกับผู้สนใจรับบริการ นอกจากนั้นยังเน้นทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์และอีเมล รวมถึงการจัดงาน “Life Conference” งานประชุมระดับโลกเกี่ยวกับสุขภาพและการรักษาชีวิต รวมถึงการใช้ชีวิตที่ยืนยาวด้วยเทคโนโลยีและเวชภัณฑ์ในอนาคต เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่นมากขึ้นเกี่ยวกับศักยภาพในการทำไครโอนิกส์ซึ่งเริ่มจัดครั้งแรกเมื่อปี 2561 และล่าสุดเมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา ณ โรงแรมพาร์ค ไฮแอท กรุงเทพฯ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงานครั้งละประมาณ 50 คน ส่วนในปี 2563 วางแผนจัดงานในลักษณะดังกล่าว 3 ครั้ง โดยจะมีการจัดงานใหญ่รองรับผู้ร่วมงานถึง 400 คน

จึงอาจกล่าวได้ว่า “ไครโอนิกส์” ถือเป็นธุรกิจสำคัญที่จะทำให้การฟื้นคืนชีพใกล้ความเป็นจริงและชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร.0 2040 7884 อีเมล mail@cryonics4u.com หรือเข้าไปที่เว็บไซต์ https://www.cryonics4u.com/

[ชมคลิป] “แม็คโคร” จับมือ “มหิดล” ร่วมพัฒนาโภชนาการผัก-ผลไม้

นายเรวัติ อารีรอบ (ที่ 2 จากขวา) ผู้ช่วยเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) และสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมี นางศิริพร เดชสิงห์ (ที่ 2 จากซ้าย) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) เป็นสักขีพยาน

alivesonline.com : “แม็คโคร” ลงนามบันทึกความร่วมมือกับ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล นำผลงานข้อมูลคุณค่าโภชนาการอาหาร เสริมอาหารปลอดภัย เชื่อมระบบตรวจสอบย้อนกลับผ่านคิวอาร์โค้ด i-Trace ประเดิมที่ผักผลไม้กว่า 120 ชนิด ภายใต้แบรนด์ MQP ย้ำภาพแหล่งรวมวัตถุดิบอาหารคุณภาพปลอดภัย ตอบโจทย์ผู้ประกอบการยุคกระแสสุขภาพมาแรง

เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ณ ห้อง MCC อาคารธาราพัฒนาการ แม็คโคร สำนักงานใหญ่ ถ.พัฒนาการ กรุงเทพฯ ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการเพื่อสนับสนุนและพัฒนาวิชาการด้านอาหารและโภชนาการ ระหว่าง บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) และสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยมี นายเรวัติ อารีรอบ ผู้ช่วยเลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เกียรติเป็นประธาน

นางศิริพร เดชสิงห์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการสื่อสารองค์กร บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แม็คโคร” มุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมั่นมาตรฐานด้านอาหารปลอดภัยในกลุ่มสินค้าผักและผลไม้อย่างต่อเนื่อง โดยทีมตรวจสอบคุณภาพได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับเกษตรกรและหน่วยงานภาครัฐในการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล นอกจากนี้ยังทำงานร่วมกับสถาบันวิชาการด้านอาหารต่าง ๆ รวมถึง สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีงานวิชาการและฐานข้อมูลทางด้านคุณค่าโภชนาการที่ได้รับการยอมรับและเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จึงนำมาซึ่งการลงนามบันทึกความร่วมมือทางวิชาการในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับให้ครอบคลุมทั้งมาตรฐานอาหารปลอดภัยและคุณค่าทางโภชนาการ เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการและผู้บริโภคตามแนวโน้มการเติบโตของอาหารเพื่อสุขภาพในปัจจุบัน

“เบื้องต้นจะมีการนำข้อมูลคุณค่าทางโภชนาการมาใช้ในผักผลไม้ปลอดภัยและผักผลไม้ภายใต้แบรนด์ MQP (Makro Quality Pro) ประกอบด้วยผลไม้ 14 ชนิด ผัก 120 ชนิด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลการตรวจสอบย้อนกลับผ่านคิวอาร์โค้ด i-Trace เพื่อเพิ่มการเข้าถึงข้อมูลสำคัญต่อคนทุกช่วงวัยที่มีความต้องการโภชนาการแตกต่างกัน ซึ่งผักผลไม้ไม่ได้ให้ประโยชน์แค่เกลือแร่และวิตามินเท่านั้น แต่ยังมีสารอาหารอื่น ๆ ที่ร่างกายต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีข้อจำกัดเรื่องอาหาร การมีข้อมูลโภชนาการจะทำให้รู้ว่า ผัก ผลไม้ แต่ละชนิดมีปริมาณน้ำตาล แป้ง หรือสารอาหารอื่น ๆ อย่างไรจะได้เลือกรับประทานได้อย่างเหมาะสม”

นางศิริพร กล่าวอีกว่า ในยุคสมัยที่ผู้คนมีความต้องการทางโภชนาการอาหารที่แตกต่างกัน ความร่วมมือครั้งนี้จึงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพัฒนาข้อมูลด้านอาหารมาใช้จริงในภาคธุรกิจ เรามุ่งเน้นให้ผู้ประกอบการและลูกค้าสมาชิกของแม็คโครสามารถนำข้อมูลโภชนาการไปต่อยอดสร้างเมนูใหม่ ๆ เพื่อสุขภาพ อันจะเป็นการสร้างโอกาสทางการขายเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันยังเป็นการช่วยตอกย้ำความเป็นแหล่งรวมวัตถุดิบอาหารคุณภาพปลอดภัยและมีคุณค่าโภชนาการเพื่อผู้ประกอบการไทยอย่างแท้จริงของ “แม็คโคร”

ด้าน ดร.ชลัท ศานติวรางคณา ผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า สถาบันโภชนาการ หาวิทยาลัยมหิดล ได้สร้างความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม โดยการนำองค์ความรู้ด้าน “ฐานข้อมูลคุณค่าทางโภชนาการของอาหาร” (Thai Food Composition Databases) ซึ่งเป็นข้อมูลที่แสดงปริมาณสารอาหารต่าง ๆ ได้แก่ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร น้ำ แร่ธาตุ วิตามิน น้ำตาล คอเลสเตอรอล กรดไขมัน เป็นต้น ซึ่งหากผู้บริโภคไม่ทราบถึงปริมาณและสัดส่วนที่สมดุลย่อมนำไปสู่ปัญหาทุพโภชนาการได้ โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases, NCDs) ซึ่งกำลังเป็นปัญหาที่สำคัญของประชากรไทยและทั่วโลก

“ฐานข้อมูลคุณค่าทางโภชนาการของอาหารจึงมีความสำคัญมากและเป็นที่ต้องการของหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งในงานสาธารณสุข อุตสาหกรรม และเกษตรกรรม โดยนำไปใช้ในงานด้านต่าง ๆ เช่น การประเมินความเสี่ยงต่อการได้รับสารอาหารน้อย หรือมากเกินไป การแนะนำผู้บริโภคให้รู้จักการเลือกซื้อและบริโภคอาหารที่มีประโยชน์เพื่อป้องกันการเกิดภาวะทุพโภชนาการ การจัดทำสูตรอาหารให้แก่ผู้ป่วยเฉพาะโรค การวางแผนและประเมินการผลิตผลิตผลการเกษตรเพื่อให้เพียงพอในการบริโภคในประเทศ การคัดเลือกวัตถุดิบ การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร การประเมินคุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์เพื่อการจัดทำฉลากโภชนาการ เป็นต้น ซึ่งสถาบันโภชนาการได้ดำเนินการพัฒนาฐานข้อมูลดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครอบคลุมชนิดอาหารมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

ทั้งนี้ ขอบเขตความร่วมมือที่เกิดขึ้น ประกอบด้วย การให้ความร่วมมือในการศึกษาและพัฒนางานวิจัยด้านอาหารเพื่อโภชนาการ อาทิ ร่วมพัฒนาฐานข้อมูลคุณค่าทางโภชนาการ พัฒนานวัตกรรมอาหารผ่านโครงการวิจัยสนับสนุน การจัดทําฐานข้อมูลคุณค่าทางโภชนาการของอาหาร และการพัฒนาห้องปฏิบัติการ

 

REAL ASSET เผยแผนธุรกิจที่อยู่อาศัยแนวราบ นำหุ่นยนต์ช่วยงานก่อสร้าง

alivesonline.com : “เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์” เตรียมแผนธุรกิจที่อยู่อาศัยแนวราบ รับ “ปัจจัยลบ” ธุรกิจอสังหาฯ ปี 63 ผุดโครงการ “เซนส์ บางนา–สุวรรณภูมิ”รับเทรนด์ “Active Wellness” พร้อมนำ Robotic Construction มาใช้ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นรายแรกของไทย

นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด หรือ REAL ASSET เปิดเผยถึงแนวทางในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ว่า บริษัทฯ ยังคงเน้นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งประเภทแนวสูง (คอนโดมิเนียม)และแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และโฮมออฟฟิศ อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงหลังจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการ LTV (Loan to Value) ที่เริ่มใช้ไปแล้วเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้ภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ได้รับผลกระทบไปตาม ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายในของตัวลูกค้า เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ส่งผลต่อความเข้มงวดต่อการยื่นขอสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ และยังมีปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา–จีน ปัญหาการประท้วงในฮ่องกง และแนวโน้มกำลังการซื้อจากต่างชาติลดลง โดยเฉพาะจากประเทศจีน เป็นต้น

“ปีนี้จึงถือเป็นบททดสอบที่สำคัญให้บริษัทฯ ต้องปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในครึ่งหลังปี 2562 และในปี 2563 อย่างรอบคอบ ด้วยการเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในเรื่องของคุณภาพการก่อสร้างและการใส่ใจในการบริการที่มีต่อลูกค้า โดยมีการปลูกฝังค่านิยมเหล่านี้ภายในองค์กร ผ่านวิสัยทัศน์ “We Build Real Matters For Living” เพื่อให้ลูกค้าสัมผัสถึงความคุ้มค่าที่ได้รับจากโครงการผ่านทางคุณภาพบ้าน สภาพแวดล้อม และพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถตอบสนองทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าให้เป็นจริงได้

ใช้หุ่นยนต์ช่วยงานก่อสร้างรายแรกของไทย

นายบดินทร์ธร ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า บริษัทฯ ได้เริ่มศึกษาการนำ Robotic Construction มาใช้งาน เพราะเชื่อว่าภายใน 5-10 ปีข้างหน้า AI และ Parametric Design จะเปลี่ยนวงการอสังหาริมทรัพย์ การออกแบบ และก่อสร้างใหม่ทั้งหมด โดยการก่อสร้างแบบดั้งเดิมที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ก็จะค่อย ๆ หายไปและถูกแทนที่โดยหุ่นยนต์มากขึ้น

“ผมเชื่อว่า Robotic Construction จะสามารถยกระดับคุณภาพงานก่อสร้าง เพิ่มประสิทธิภาพด้านความรวดเร็วและแม่นยำ ลดขั้นตอนการทำงาน รวมทั้งลดจำนวนแรงงาน และยังสามารถเพิ่มการทำ Customization เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นอีกด้วย บริษัทฯ จึงนับเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกของประเทศไทยที่ได้นำ Robotic Construction มาใช้กับการออกแบบและก่อสร้าง โดยขั้นต้นเตรียมศึกษาเพื่อนำมาใช้ในพื้นที่ส่วนกลางของ Real Square ในรุปแบบ Sculpture หรือ Pavilion”

 

พัฒนาโครงการ “เซนส์ บางนา–สุวรรณภูมิ” รับเทรนด์ Active Wellness

นายบดินทร์ธร กล่าวอีกว่า บริษัท ฯ เล็งเห็นว่า ลูกค้าในปัจจุบันหันมาใส่ใจในการดูแลสุขภาพของตัวเองและคนในครอบครัวมากยิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องการออกกำลังกาย การกินอาหารที่มีสุขภาพ และหันมาตั้งเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง สะท้อนชัดเจนว่า เทรนด์ “Active Wellness” ยังมาแรงมาก บริษัทฯ จึงมีแผนพัฒนาโครงการให้สอดรับกับเทรนด์ “Active Wellness” โดยโครงการแรกที่จะเห็นภาพชัดเจนในปีนี้คือ โครงการ “เซนส์ บางนา–สุวรรณภูมิ” ซึ่งออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวรวมมากถึง 2.96 หมื่นตารางเมตร รวมถึง Bike Lane พื้นที่รวม 2.6 พันเมตร และ Jogging Track ความยาว 7.4 พันเมตร เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนอยากที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น

ในส่วนของแนวคิดการออกแบบโครงการ “เซนส์ บางนา-สุวรรณภูมิ” นั้นมาจากแนวคิด “WHERE THE BEAUTIFUL LIFE BEGINS” ที่เน้นความสวยงาม ทนทาน เรียบง่าย และประโยชน์ใช้สอยที่เพิ่มมากขึ้น คือหัวใจของการออกแบบสไตล์สแกนดิเนเวียน โดยบริษัทฯ เลือก “ผีเสื้อ” อยู่ในโลโก้ เพื่อสื่อถึงสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่ ความสวยงาม ความสดใส และแสดงถึงความเป็นอิสระ สะท้อนให้เห็นภาพจากทุกรายละเอียด เพื่อสร้างพื้นที่ภายในบ้านที่คิดมาเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยใช้ชีวิตแบบพอดี ทั้งการออกแบบภายนอกที่แปลกตา ขณะที่ดีไซน์ภายในแบ่งเป็นพื้นที่เพื่อให้ใช้ชีวิตได้ตรงกับความต้องการในแต่ละวัน

ด้าน นายวีระชัย หาญจริยากูล ผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์ ธุรกิจบ้านจัดสรรและอาคารพาณิชย์ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวเสริมว่า โครงการ “เซนส์ บางนา–สุวรรณภูมิ” ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 23 ไร่จำนวน 160 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 810 ล้านบาท พัฒนาเป็นทาวน์โฮมและบ้านแฝด มีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ คือ แบบบ้าน IDAS (ไอดาส) เป็นบ้านทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 8 เมตรบนที่ดิน 28–35ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 136 ตารางเมตร ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท และแบบบ้าน AMANDA (อแมนด้า) เป็นบ้านแฝด ฟังก์ชันครบ ออกแบบให้ผนังบ้านไม่ติดกัน เป็นอิสระและให้ความเป็นส่วนตัวเหมือนอยู่บ้านเดี่ยว ปลูกสร้างบนที่ดินเริ่มต้น 39 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 151 ตารางเมตร ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท

ภายในโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ คลับเฮ้าส์ พร้อมสระว่ายน้ำ ฟิตเนส บริเวณพักผ่อน ลู่วิ่งกลางแจ้ง สวนสาธารณะ Playground  ปลอดภัยด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24ชั่วโมง พร้อมเข้า-ออกโครงการด้วยนวัตกรรม Access Control และ CCTV บริเวณทางเข้า-ออกโครงการ เป็นต้น

ด้านศักยภาพทำเลของโครงการฯ มีทางเข้า-ออก ติดถนนหลักถนนกิ่งแก้ว เดินทางสะดวกหลากหลายเส้นทางไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์เวย์ ทางด่วน วงแหวน แอร์พอร์ต เรลลิงค์ และรถไฟรางเบา (LRT) ใช้เวลาเพียง 15 นาทีถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งยังมีถนนสายสำคัญคือ ถนนบางนา–ตราด สามารถเชื่อมต่อไปยัง ถนนสุขุมวิทและถนนศรีนครินทร์ รวมถึงใกล้ทางด่วนถึง 2 เส้นคือ ทางพิเศษเฉลิมมหานค และวงแหวนรอบนอก ทำให้เดินทางเข้าออกเมืองสะดวก นอกจากนี้ ในอนาคตยังจะมีโครงการเมกะโปรเจกต์จากภาครัฐและเอกชนเข้ามาลงทุนในพื้นที่รวมมูลค่าโครงการกว่า 6.5 แสนล้านบาท ประกอบด้วยระบบคมนาคมและโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่หลายโครงการ ซึ่งจะทำให้พื้นที่นี้เป็นศูนย์รวมทั้งแหล่งงาน แหล่งชอปปิง และพื้นที่กิจกรรมขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร

 

WICE มั่นใจปัจจัยหนุนธุรกิจลอจิสติกส์ เร่งแผนขยายงานต่างประเทศ

alivesonline.com : WICE ประกาศผลงาน Q3/62 กวาดรายได้ 590. ล้านบาท มั่นใจดีต่อเนื่องใน Q4 ไม่หวั่นเศรษฐกิจโลกผันผวน พร้อมลุยขยายงานร่วมกับบริษัทในเครือ อัฐานลูกค้าตลาดจีนเพิ่ม โชว์จุดแข็งบริการครบวงจร มีเครือข่ายรองรับทุกประเทศการค้าสำคัญ การันตีผลงานปีนี้เข้าเป้า 2.2 พันล้านบาท

นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ผู้ให้บริการลอจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/62 บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 590.71 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 490.53 ล้านบาท จำนวน 100.19 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20.42% มีกำไรสุทธิ 27.54 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 30.76 ล้านบาท จำนวน 3.22 ล้านบาท หรือลดลง 10.48%

ส่วนผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 2562 มีรายได้รวม 1,619.28 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,313.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 305.86 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 23.29% มีกำไรสุทธิ 48.62 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 79 ล้านบาท จำนวน 30.38 ล้านบาท หรือลดลง 38.46%

รายได้ของบริษัทฯ มีการเติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงเข้าสู่ไฮซีซั่นของธุรกิจ ส่งผลให้ความต้องการเคลื่อนย้ายขนส่งสินค้าทุกประเภทมีปริมาณเพิ่มขึ้น ขณะที่กำไรสุทธิปรับตัวลดลง เนื่องจากต้นทุนการบริหารงานของบริษัท ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ จำกัด (Euroasia Total Logistics Co.,Ltd. หรือ ETL) ที่ดำเนินธุรกิจให้บริการลอจิสติกส์ขนส่งข้ามพรมแดน (Cross – Border Transport Services) มีต้นทุนค่อนข้างสูง ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นจัดตั้งบริษัทและสินค้าเที่ยวขากลับยังมีปริมาณไม่สูงมากนัก

นายชูเดช กล่าวอีกว่า ทิศทางธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/62 ยังมีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง แม้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงมีความไม่ชัดเจนทั้งปัญหาสงครามการค้า ม็อบฮ่องกง และเงินบาทแข็งค่า อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้วางแผนขยายงานในอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพิ่มเติม อาทิ อุตสาหกรรมการบิน (Aerospace) และสินค้านำเข้าธุรกิจค้าปลีก (Retail Market) เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ สร้างรายได้เพิ่มขึ้นในอนาคต

บริษัทฯ ยังวางแผนการทำงานผ่านเครือข่ายสาขา ทั้ง WICE Logistics (Singapore) Pte.Ltd. (WICE SG) , WICE Logistics (Hong Kong) Ltd. (WICE HK), EUROASIA TOTAL LOGISTICS CO., LTD. (ETL) และ WICE Logistics (Shenzhen) Company Ltd. (WICE SZ) ด้วยการขยายบริการทุกรูปแบบในตลาดจีน ทั้งในฮ่องกง เซียงไฮ้ กวางโจว เซินเจิ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าขนาดกลางและขนาดเล็กเพิ่มขึ้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้าดังกล่าวมีโอกาสย้ายฐานการผลิตมายังไทย

“บริษัทฯ มองเห็นโอกาสการขยายงานจำนวนมากกับฐานลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ในอนาคต เนื่องจาก WICE มีบริการที่ครบวงจร สามารถรองรับความต้องการได้ทุกรูปแบบ อีกทั้งมีบริษัทเครือข่ายกระจายอยู่ในประเทศศูนย์กลางการค้าที่สำคัญซึ่งมีความต้องการใช้งานบริการลอจิสติกส์สูง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความร่วมมือในที่ประชุมอาเซียนด้วยการอำนวยความสะดวกด้านการค้าและลดผลกระทบจากความขัดแย้งทางเศรษฐกิจระหว่างคู่ค้าที่สำคัญ อีกทั้งการเชื่อมโยง ASEAN Single Window ให้ครบทั้ง 10 ประเทศในปี 2562 ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์เช่นเดียวกัน”

นายชูเดช กล่าวในตอนท้ายว่า ในปี 2562 มั่นใจว่ารายได้จะเติบโตเป็นไปตามเป้าหมาย 25% หรือประมาณ 2.2 พันล้านบาท จากการปรับกลยุทธ์ดังกล่าวข้างต้น โดยมีสัดส่วนรายได้จากการงานบริการทางอากาศ (Air Freight) 35% การขนส่งทางทะเล (Sea Freight) 31% ขนส่งสินค้าข้ามชายแดน (Cross border) 18% และงาน Logistics 16%

นักการตลาดหญิงที่โดดเด่นแห่งเอเชีย

นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เข้ารับมอบรางวัล “นักการตลาดหญิงที่โดดเด่นแห่งเอเชียประจำปี 2019” (Asia’s Top Outstanding Woman Marketeer of the Year 2019) ในฐานะนักการตลาดที่มากไปด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการบริหารการตลาดจนประสบความสำเร็จ รวมถึงมีการสร้างนักการตลาดรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพในการขับเคลื่อนสังคมไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง ณ เมืองไทเป ประเทศไต้หวัน

รางวัล Asia’s Top Outstanding Woman Marketeer of the Year 2019 จัดขึ้นโดย “สมาพันธ์การตลาดแห่งเอเชีย” (Asia Marketing Federation) โดยในปีนี้ นางสุพัตรา ได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของคนไทยไปแข่งขันกับนักการตลาดจากประเทศอื่น ๆ ในแถบภูมิภาคเอเชีย ถือเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิใจของนักการตลาดไทยที่ก้าวสู่ระดับสากล

 

“อูโน่” เปิดหลักสูตร “นู๋เมด อคาเดมี 2019” ขยายฐาน “แม่บ้านฟรีแลนซ์”

alivesonline.com : ประเทศไทยมีศักยภาพโดดเด่นด้าน “งานบริการ” หลายแขนง โดยเฉพาะงาน “แม่บ้าน” ซึ่งถือเป็นจุดแข็งและจุดขายในโซนกรุงเทพมหานคร จึงนับเป็นโอกาสในการต่อยอดธุรกิจงานบริการมากขึ้น

บริษัท อูโน่ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำด้านบริการรักษาความสะอาดโดยทีมงานมืออาชีพ ในเครือ พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จึงเร่งขยายงานบริการเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บ้าน คอนโดมิเนียม อะพาร์ตเมนต์ และโรงแรม จึงเปิดอบรมหลักสูตร “นู๋เมด อคาเดมี 2019” (Numaid Academy 2019) รุ่นที่ 1” สร้างเครือข่ายแม่บ้านฟรีแลนซ์ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล มาร่วมเป็น “แม่บ้านนู๋เมด” แม่บ้านมืออาชีพที่มีความเป็นเลิศในงานบริการ น่าเชื่อถือ ซื่อสัตย์ พร้อมยกระดับมาตรฐานแม่บ้านสู่ระดับสากล โดยมีวิทยากรที่เติบโตและมีประสบการณ์ในการทำงานด้านบริการทำความสะอาดมากกว่า 10 ปี มาร่วมมอบความรู้แบบไม่มีกั๊ก พร้อมต้อนรับเหล่าแม่บ้านรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมอบรมกันอย่างคึกคัก

นายธนา ต่อสหะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ผู้ให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เล่าว่า เนื่องจากทุกปีจะมีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลปีละเฉลี่ยกว่า 1 แสนยูนิต ส่งผลให้มีความต้องการบริการทำความสะอาดในที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อูโน่ เซอร์วิส จึงวางแผนขยายงานบริการครบวงจรให้ครอบคลุมกรุงเทพฯ และปริมณฑล ด้วยการสร้างเครือข่าย “แม่บ้านฟรีแลนซ์” ให้ได้มากที่สุด และเพื่อให้งานบริการมีมาตรฐานในระดับเดียวกัน จึงเปิดหลักสูตรอบรม “นู๋เมด” แม่บ้านยุคใหม่บริการด้วยใจ ภายใต้หลักสูตร “Numaid Academy 2019” ซึ่งเปิดอบรมขึ้นเป็นครั้งแรก ในการรวบรวมองค์ความรู้ และเทคนิคต่าง ๆ ด้านการทำความสะอาดห้องชุดและบ้านพักอาศัยซึ่งเป็นบริการแม่บ้านตามความต้องการของลูกค้า (On Demand Services)

นอกจากนี้ ยังมีทีมงานผู้ชำนาญการที่คอยแนะนำเทคนิคต่างๆ นำโดย ศศิธร พานนนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อูโน่ เซอร์วิส จำกัด ผู้มีประสบการณ์การในการทำงานด้านบริการทำความสะอาดมากกว่า 10 ปีที่มาเผยเทคนิคพิเศษ เรียนรู้เร็ว เข้าใจง่ายภายในวันเดียว อาทิ การใช้อุปกรณ์ทำความสะอาด, การใช้น้ำยาที่เหมาะสมกับประเภทงาน, ความปลอดภัยในระหว่างปฏิบัติงาน และมาตรฐานการให้บริการแก่ลูกค้า โดยเนื้อหาในการอบรมมีทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้รับความรู้และมีทักษะในการทำความสะอาด จากการลงมือปฏิบัติจริง สามารถปฏิบัติงานได้ตรงตามมาตรฐานของบริษัทฯ โดยหลังจบการฝึกอบรมแม่บ้านทุกท่านจะได้รับใบประกาศนียบัตรเพื่อเป็นการรับรองจากทางหลักสูตร และมีคุณสมบัติในการเข้าร่วมเป็น “แม่บ้านฟรีแลนซ์” ของ “นู๋เมด” อีกด้วย

ศศิธร พานนนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อูโน่ เซอร์วิส จำกัด เปิดเผยว่า หลักสูตรฝึกอบรม Numaid Academy” เกิดขึ้นหลังจากที่ได้มีการเปิดตัว “แม่บ้านนู๋เมด” บริการแม่บ้านทำความสะอาดที่พักอาศัยรายครั้ง ตามความต้องการของลูกค้า (On Demand) ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีและทางลูกค้ามีความต้องการใช้บริการทำความสะอาดจำนวนมาก อูโน่ จึงเปิดรับสมัครแม่บ้านฟรีแลนซ์ เพื่อขยายพื้นที่การให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น โดยคอนเซ็ปต์ของ “แม่บ้านนู๋เมด” คือ กลุ่มคนที่มีใจรักในงานบริการ ต้องการมีรายได้เสริม สามารถเลือกรับงานตามวัน เวลา และเลือกรับงานในเขตพื้นที่ที่สามารถเดินทางสะดวก

ปัจจุบัน “แม่บ้านนู๋เมด” ให้บริการครอบคลุม 3 พื้นที่ ได้แก่ โซนรังสิต โซนสุขุมวิท 24 และ โซนบางนา-แบริ่ง โดยมีทีมแม่บ้านมืออาชีพที่ผ่านการอบรมพร้อมให้บริการทุกวัน ในราคาเริ่มต้นเพียง 550 บาทต่อครั้ง ผู้ที่สนใจสามารถเรียกใช้บริการแม่บ้าน “นู๋เมด” ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ โทร.06 1392 9000 ในวันจันทร์–เสาร์ เวลา 09.00–18.00 น. ยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์

องค์กรชั้นนำยกระดับแนวปฏิบัติการรับมือภัยไซเบอร์

alivesonline.com : PwC เผยองค์กรชั้นนำทั่วโลกยกระดับแนวทางในการรับมือกับภัยคุกคามขั้นสูง หลังถูกโจมตีทางไซเบอร์มากขึ้น พบ 25% ขององค์กรในกลุ่มที่มีความสามารถสูงในการต้านทานภัยคุกคาม (The high resilience-quotient : High-RQ group) สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง รวมทั้งทนทานต่อการถูกโจมตีและกู้คืนระบบได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ยังให้บริการ หรือดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ ชี้องค์กรไทยยังมีการป้องกันแบบเดิม ๆ ต้องเร่งพัฒนาองค์กรให้รับมือกับภัยจากไซเบอร์เชิงรุก

นางสาววิไลพร ทวีลาภพันทอง หุ้นส่วนสายงานธุรกิจที่ปรึกษา บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงรายงาน “Digital Trust Insights” ครั้งที่ 4 ของ PwC ซึ่งได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารจำนวนกว่า 3,500 รายทั่วโลกว่า บริษัทชั้นนำของโลกหันมายกระดับขีดความสามารถและปรับแนวปฏิบัติในการรับมือกับภัยคุกคามในเชิงรุกมากขึ้น โดยสร้างความยืดหยุ่นให้สอดรับกับสถานการณ์หรือประเภทของการบุกรุกโจมตีที่เกิดขึ้น ซึ่งจากผลสำรวจพบว่า โดยภาพรวมองค์กรที่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีความต้านทานต่อภัยคุกคามสูง มีคะแนนสูงสุด 25% ใน 3 ด้านดังต่อไปนี้:

  •  มีการมองเห็นได้ถึงสินทรัพย์หลักและกระบวนการทำงานแบบเรียลไทม์
  •  มีแผนงานและการตอบสนองทั่วทั้งองค์กร
  •  มีการออกแบบการให้บริการทางธุรกิจและกระบวนการทางธุรกิจขององค์กรอย่างต่อเนื่อง

สาระสำคัญของผลสำรวจอยู่ที่การปรับเปลี่ยนความคิด (Mindset) ของสมาชิกขององค์กรที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูงจากการใช้รูปแบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจและการสำรองระบบเดิม ๆ ไปสู่การมีแผนรับมือความปลอดภัยทางด้านดิจิทัลที่มีความยืดหยุ่น รวมถึงมีความพร้อมในการตอบสนองเมื่อถูกโจมตีและมีความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ภัยคุกคามที่ไม่คาดฝัน (Resilience by design) โดยแนวทางนี้รวมถึงความสามารถในการเข้าถึงกระบวนการทำงานที่มีลำดับความสำคัญมากกว่าก่อน เพื่อให้ผู้มีอำนาจในการตัดสินใจและผู้ที่ต้องรับมือกับเหตุการณ์สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้พร้อมกันโดยส่งผลเสียหายต่อตัวธุรกิจน้อยที่สุด

การมองเห็นได้ถึงกระบวนการทำงานหลัก สินทรัพย์ และการพึ่งพา

หากองค์กรปราศจากความเข้าใจว่า สินทรัพย์และกระบวนการต่าง ๆ มีการพึ่งพาและเชื่อมโยงเข้ากับบริการของธุรกิจหลักของตนอย่างไร องค์กรนั้น ๆ ก็จะไม่ทราบว่าเลยว่า ระบบ หรือสินทรัพย์ไหนที่สามารถแยกออกจากกันได้เมื่อธุรกิจเกิดการหยุดชะงัก รายงานชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างที่เด่นชัดในจุดนี้ โดย 91% ของบริษัทในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูง มีการทำรายการสินค้าคงคลังของสินทรัพย์ที่ถูกต้องและมีการอัปเดตรายการอย่างสม่ำเสมอ เปรียบเทียบกับ 47% ของบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูง

สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ตามปกติมีการใช้งานสินทรัพย์ด้านไอทีเป็นล้าน ๆ รายการ และมีการเชื่อมต่อกันเป็นหลายร้อยล้านปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยในการวางแผนสินทรัพย์ที่สำคัญรวมทั้งกระบวนการในเชิงลึก ทั้งนี้ มากกว่าครึ่งของผู้ถูกสำรวจที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูงได้ใช้ระบบอัตโนมัติในการทำรายการสินค้าคงคลังและวางแผนกระบวนการต่าง ๆ เปรียบเทียบกับผู้ถูกสำรวจที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูงเพียง 10%

 

ระบุและทดสอบความทนทานขององค์กรของคุณต่อการถูกบุกรุกโจมตีไม่น่าแปลกใจเลยว่า 73% ขององค์กรในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูงสามารถระบุได้ว่า บริการทางธุรกิจของตนบริการใดที่มีความสำคัญที่สุด ในขณะที่มีเพียง 27% ของบริษัทที่อยู่นอกกลุ่มเท่านั้นที่ระบุได้

รายงานของ PwC ชี้ว่า องค์กรต้องกำหนดขอบเขตระยะเวลาและต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ยอมรับได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน หรือพูดสั้น ๆ ก็คือ ความสามารถในการทนทานต่อผลกระทบจากการถูกบุกรุกโจมตี ทั้งนี้ ประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ถูกสำรวจในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูง ได้กำหนดความสามารถในการยอมรับต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับบริการที่สำคัญขององค์กรไว้แล้ว ในขณะที่มีเพียง 24% ของผู้ถูกสำรวจที่เหลือเท่านั้นที่ทำเช่นเดียวกัน

สำหรับปัจจัยสุดท้ายที่สร้างความแตกต่างให้กับองค์กรที่ถูกสำรวจอย่างสิ้นเชิงนั้น รายงานพบว่า ในกลุ่มองค์กรที่มีระดับ RQ สูงด้วยกัน 61% ได้ทำแผนความสามารถในการยอมรับต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับบริการขององค์กรไม่เพียงเฉพาะบริการที่สำคัญ ๆ ขณะที่มีเพียง 18% ที่เหลือเท่านั้นที่มีการทำแผนดังกล่าว ซึ่งนี่ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากหากการถูกบุกรุกโจมตีส่งผลให้เกิดการจ่ายค่าปรับตามสัญญาแก่คู่ค้าทางธุรกิจ

ออกแบบแผนรับมือความปลอดภัยทางด้านดิจิทัลให้มีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป

สุดท้าย เมื่อถามผู้ถูกสำรวจว่า องค์กรของพวกเขาได้มีการออกแบบแผนรับมือความปลอดภัยทางด้านดิจิทัลให้มีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปทั่วทั้งองค์กรหรือไม่  พบว่า มีเพียง 34% ของบริษัทที่อยู่ในกลุ่มที่มีระดับ RQ สูงที่ตอบว่ามี ส่วนกลุ่มที่เหลือมีเพียง 14%

นางสาววิไลพร กล่าวสรุปว่า ในยุคที่ผู้บริหารต้องเตรียมแผนการในการรับมือกับความเสี่ยงด้านต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์ซึ่งนับวันถือเป็นความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์รูปแบบใหม่ ๆ ได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น องค์กรต้องคอยพัฒนาและยกระดับขีดความสามารถในการรักษาความปลอดภัยให้มากยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ธุรกิจมีความพร้อมในการตอบสนองเมื่อถูกโจมตี มีความต้านทานและมีความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ภัยคุกคามที่ไม่คาดฝันก็ตาม

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราเรียกว่า Cyber Resilience ซึ่งองค์กรที่มีความพร้อมในการตรวจจับและตอบสนองต่อการถูกบุกรุกโจมตี จะเป็นองค์กรที่มีความสามารถในการปรับตัวต่อภัยคุกคามสูง แต่ทว่าระดับของความก้าวหน้าขององค์กรในประเทศที่มีความต้านทานต่อภัยคุกคามในขั้นสูงยังมีไม่มากนักและส่วนใหญ่ยังเป็นไปในลักษณะการป้องกันและรักษาความปลอดภัยเชิงรับมากกว่าเชิงรุก.

คนรุ่นใหม่เร่งเสริมทักษะรอบด้านตอบโจทย์งานยุค 4.0

alivesonline.com : ท่ามกลางการแข่งขันของโลกการทำงานในปัจจุบัน แรงงานจะต้องมีการพัฒนาทักษะความสามารถเพื่อเพิ่มพูนศักยภาพในการรองรับกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล ล่าสุด “แมนพาวเวอร์กรุ๊ป ประเทศไทย” ได้ทำโพลสำรวจการพัฒนาทักษะเพื่อตอบโจทย์การทำงานยุค 4.0 เพื่อพัฒนาขีดความสามารถให้กับตนเองทั้งด้านสายอาชีพและเสริมทักษะความรู้ด้านต่าง ๆ ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง โดยผลโพล 3 อันดับแรกพุ่งสูงสุดด้านการพัฒนาทักษะทางภาษา รองลงมาศิลปะ ตามด้วยการพัฒนาตนเองด้าน Soft Skills (ทักษะทางด้านอารมณ์และสังคม) ต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นถึงการที่แรงงานเลือกพัฒนาทักษะด้านการพัฒนาองค์ความรู้แบบรอบด้านเพื่อที่จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต

จากผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 891 คนในหัวข้อสิ่งที่คุณต้องการเรียนรู้ พัฒนาทักษะเพื่อตอบโจทย์การทำงานยุค 4.0 จากคำตอบทั้งหมดที่ให้ผู้ตอบจาก 8 คำตอบ ได้แก่ ภาษาต่างประเทศ, ความรู้เทคโนโลยีดิจิทัล, ความรู้ศิลปะแขนงต่าง ๆ, ความรู้การเงินและการลงทุน, ความรู้ด้านกฎหมาย, ทักษะชีวิต (เช่น กีฬา การทำอาหาร ), การพัฒนาตนเอง ( เช่น การตัดสินใจ การแก้ปัญหา ) และอื่น ๆ

จากกลุ่มตัวอย่างพบว่า การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศอยู่ในอันดับสูงสุดคิดเป็น 44% อันดับสองคือ ความรู้ศิลปะแขนงต่าง ๆ 25% อันดับสามคือการพัฒนาตนเองด้าน Soft Skill 19% รองลงมาเป็นความรู้เทคโนโลยีดิจิทัล 6% และความรู้ด้านกฎหมาย 6%

การเลือกพัฒนาทักษะจากกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามสะท้อนให้เห็นว่าการเรียนรู้และพัฒนาทักษะทางด้านภาษาต่างประเทศมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษและภาษาที่สามต่าง ๆ ในการติดต่อสื่อสารโดยเฉพาะบริษัทต่างชาติ การที่แรงงานมีทักษะภาษาทำให้เพิ่มศักยภาพทำให้ได้งานและค่าตอบแทนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่าการเรียนภาษาจีนและญี่ปุ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งยังส่งผลให้เกิดเป็นอาชีพใหม่ ๆ ทั้งล่าม นักแปล และงานบริการลูกค้า โดยผู้เรียนสามารถนำไปสร้างรายได้อีกทางหนึ่งด้วย

สำหรับผลโพลที่ระบุถึงการพัฒนาทักษะด้านความรู้ศิลปะแขนงต่าง ๆ สะท้อนให้เห็นว่า แรงงานอยากหลีกหนีความเครียด ต้องการเลือกเรียนที่เป็นไลฟ์สไตล์และช่วยผ่อนคลาย เพราะศิลปะแขนงต่าง ๆ ทำให้คนมีสมาธิในการฝึกทักษะ เช่น การวาดภาพ การทำงานฝีมือ เป็นต้น

จากผลโพลอันดับรองลงมา สิ่งที่ต้องการเรียนรู้คือ เรื่องการพัฒนาตนเองด้าน Soft Skills ซึ่งหมายถึงการพัฒนาทักษะทางอารมณ์และสังคม ตั้งแต่บุคลิกภาพ การสื่อสาร การวางตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ การพัฒนาสมาธิเพื่อฝึกให้มีความละเอียดรอบคอบและไตร่ตรองก่อนคิดตัดสินใจ รวมถึงการทำงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งนำมาประยุกต์ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล หลายคนคงปฏิเสธไม่ได้เพราะทุกวันนี้เกือบทุกคนใช้เทคโนโลยีทั้งในการดำเนินชีวิตและการทำงาน ดังนั้น การพัฒนาให้สามารถใช้เทคโนฯ อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยให้การทำงานมีความสะดวกรวดเร็ว จึงนับเป็นสิ่งจำเป็น  รวมทั้ง ความรู้ด้านกฎมาย  และการบริหารจัดการด้านการเงินและการลงทุนที่กำลังเป็นแนวโน้มที่น่าสนใจของคนทำงานรุ่นใหม่

จากผลโพลครั้งนี้สะท้อนถึงการให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดของคนรุ่นใหม่ในเรื่องของการบูรณาการความรู้ความสามารถเสริมสร้างทักษะทั้งศาสตร์และศิลป์ของคนในยุคปัจจุบันเพื่อพัฒนาศักยภาพของแรงงานยุค 4.0 ต่อยอดความสำเร็จชนะทุกการเปลี่ยนแปลงต่อไป.

 

เปิดตัว Garmin vivoactive 4 และ Garmin Venu คู่ใจสายกีฬาและแฟชั่น

 

“การ์มิน” แบรนด์สมาร์ทวอทช์ระดับโลก เปิดตัวสมาร์ทวอทช์ตระกูล vivo รุ่น Garmin vivoactive 4 และ Garmin Venu จีพีเอสสมาร์ทวอทช์ดีไซน์ใหม่ที่อัดแน่นด้วยโหมดกีฬาที่ครบครัน สามารถปรับแต่งเป็นแบบเฉพาะตัวเพิ่มได้ เสริมด้วยฟังก์ชันใหม่ Animated Workout แสดงภาพตัวอย่างท่าทางการออกกำลังกายที่ถูกต้องบนหน้าปัดนาฬิกา

สมาร์ทวอทช์ทั้ง 2 รุ่นยังอัดแน่นด้วยโหมดพื้นฐานที่สมาร์ทวอทช์ต้องมี โดยเฉพาะ All-day Health Monitoring ผู้ช่วยติดตามข้อมูลสุขภาพและกิจกรรมในชีวิตประจำวันตลอด 24 ชั่วโมง แจ้งเตือนฉุกเฉินเมื่อมีอุบัติเหตุด้วย Safety and Tracking Feature และพบกับครั้งแรกของการ์มิน ด้วยหน้าจอ AMOLED แสดงผลด้วยความละเอียดที่คมชัดมากขึ้น นวัตกรรมใหม่ใน Garmin Venu สะดวกมากขึ้นด้วยแบตเตอรี่ใช้งานต่อเนื่องยาวนานสูงสุด 5 วัน แบบไม่ต้องชาร์จ ตอบทุกความต้องการของไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย เหมาะสำหรับคนรักการออกกำลังกาย และสวมใส่ในชีวิตประจำวัน ด้วยตัวเรือนที่เบา สีสัน สวยงาม ใส่ได้ทุกโอกาส

นายไกรรพ เหลืองอุทัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท จีไอเอส จำกัด ในกลุ่มบริษัทซีดีจี (CDG) ตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทยของ บริษัท การ์มิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันคนรุ่นใหม่ยังคงเน้นให้ความสำคัญกับเทรนด์การดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในด้านของกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบการเล่นกีฬาและออกกำลังกาย จากสถิติ Garmin Connect กลุ่มผู้ใช้งาน vivo series ตั้งแต่ปี 2559-2562  พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นมากกว่า 50% โดยมีการออกกำลังกายในกิจกรรม “วิ่ง” มากถึง 78 % ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 25-45 ปี ซึ่งอยู่ในวัยทำงาน โดยจะเน้นการออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแรงของร่างกายประเภทฟิตเนส โยคะ พิลาทีส วิ่ง จักรยาน ว่ายน้ำ เป็นการออกกำลังกายไม่หนักมาก เฉลี่ยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าผู้คนยุคนี้หันมาให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายดูแลสุขภาพมากขึ้น

“การ์มิน” แบรนด์สมาร์ทวอทช์ระดับโลก จึงส่งไอเทมน้องใหม่ จีพีเอสสมาร์ทวอทช์ ในตระกูล vivo รุ่น Garmin vivoactive4 และ Garmin Venu ซึ่งมีจุดเด่นโหมดกีฬาที่ครบครัน จัดเต็มทุกประเภทกีฬากว่า 20 ประเภท อาทิ การวิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักยาน โยคะ พิลาทิส ฟิตเนส และกิจกรรมอื่น ๆ ทั้งยังสามารถปรับแต่งเป็นแบบเฉพาะตัวเพิ่มได้ เพิ่มเติมด้วยฟังก์ชันใหม่ Animated Workout แสดงภาพตัวอย่างท่าทางการออกกำลังกายที่ถูกต้องในโหมด Strength, Cardio, Yoga และ Pilates บนหน้าจอแสดงผลได้ทันที และพิเศษสุดด้วยหน้าจอ AMOLED นวัตกรรมใหม่ล่าสุดใน Garmin Venu ซึ่งเป็นการแสดงผลบนหน้าจอระดับเดียวกับโทรศัพท์มือถือ ให้ความคมชัดระดับความสูงสมจริงพร้อมภาพเคลื่อนไห  ตอบสนองรวดเร็ว ตอบโจทย์การใช้งานทั้ง Indoor และ Outdoor

นอกจากนี้ Garmin vivoactive 4 และ Garmin Venu ยังคงโหมดฟังก์ชันพื้นฐานของสมาร์ทวอทช์บรรจุไว้อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะ All-Day Health Monitoring ผู้ช่วยติดตามข้อมูลสุขภาพและกิจกรรมในชีวิตประจำวันตลอด 24 ชั่วโมง และ Safety and Tracking Feature แจ้งเตือนฉุกเฉินเมื่อมีอุบัติเหตุ พร้อมระบุตำแหน่งที่อยู่ด้วยสัญญาณดาวเทียม โดยทั้งสองฟังก์ชันนี้ตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่สนใจการออกกำลังกายและติดตามคุณภาพของกิจกรรมที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวัน โดยประเมินจากข้อมูลที่แสดงผลหลังกิจกรรม เป็นการท้าทายความสามารถของการออกกำลังกาย กระตุ้นการเคลื่อนไหว และปรับสมดุลของร่างกาย ในขณะเดียวกันผู้ใช้งานจะรู้สึกปลอดภัยในขณะออกกำลังกายมากยิ่งขึ้นด้วยการติดตามตำแหน่งพร้อมฟีเจอร์ส่งข้อความแจ้งเตือนเมื่อต้องการความช่วยเหลือ อีกทั้งยังช่วยบันทึกการเคลื่อนตัวนับก้าวเดินระหว่างวัน วัดการเผาผลาญแคลอรี่ วัดความเครียด วัดคุณภาพการนอนหลับ ปริมาณการดื่มน้ำ และยังสามารถประเมินค่าพลังงานของร่างกายในแต่ละช่วงเวลาของวันได้อีกด้วย

Garmin vivoactive 4 และ Garmin Venu ตอบโจทย์การออกกำลังกายของกีฬาหลากหลาย พร้อมอายุการใช้งานกิจกรรมแบตเตอรี่ต่อเนื่องยาวนานสูงสุด 5 วัน ในโหมด Smart Watch, 12 ชั่วโมงต่อเนื่องในโหมด GPS และ 6 ชั่วโมงต่อเนื่องในโหมด GPS และ Music โดยไม่ต้องชาร์จ ทั้งยังมาในรูปทรงภายนอกที่มีดีไซน์ที่ทันสมัย เข้าได้กับทุกไลฟ์สไตล์ เหมาะกับทุกกีฬาและการออกกำลังกาย เหมาะกับการสวมในชีวิตประจำวัน ซึ่งครั้งนี้มาในราคาที่เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับฟังก์ชันที่อัดแน่นตอบโจทย์ในทุกไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่แตกต่างอย่างลงตัว

จีพีเอสสมาร์ทวอทช์ vivo รุ่น Garmin vivoactive 4 และ Garmin Venu ราคาเริ่มต้น 13,500 บาท สามารถหาซื้อได้แล้วที่ร้านตัวแทนจำหน่ายการ์มินทั่วประเทศ ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.garminbygis.com